People Unity : เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวว่า “เสธ.นิมิตติ์” พล.ต.นิมิตติ์ สุวรรณรัฐ นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการทหาร เพื่อไปช่วยงานการเมืองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เต็มตัว พล.ต.นิมิตต์ ถือเป็น เสธ.ทหารคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไว้วางใจมาก ว่ากันว่าเป็น “ลูกรัก” ของ พล.อ.ประยุทธ์ เลยทีเดียว ทำหน้าที่ประสานงานด้านการเมืองและติดตาม พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการมาโดยตลอด
ข่าว พล.ต.นิมิตต์ ลาออกจากทหาร เกิดขึ้นไล่หลังจากที่มีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้คาดกันว่า พล.ต.นิมิตต์ จะเข้าไปทำงานการเมืองในพรรคพลังประชารัฐตาม พล.อ.ประยุทธ์
แต่ทว่าล่าสุด มีข่าวว่า พล.ต.นิมิตต์ ได้เปลี่ยนใจไม่ลาออกจากทหารแล้ว ซึ่งนั่นอาจหมายถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจตัดสินใจไม่เข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแล้ว
ผมเห็นว่า พล.ต.นิมิตต์ ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ไม่ลาออกจากทหาร และคงไม่ลงไปเล่นการเมืองเต็มตัว เพราะหาก พล.ต.นิมิตต์ ประสงค์จะช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป ก็สามารถทำได้โดยการมาช่วยราชการหรือมาติดตามนายกฯดังเช่นที่ผ่านมา ไม่จำเป็นต้องลาออกจากราชการ แต่หาก พล.ต.นิมิตต์ ตัดสินใจลาออกจากทหารเพื่อไปเล่นการเมืองหรือไปทำการเมืองเต็มตัว ก็ถือว่าตัดสินใจผิดมหันต์ในแง่ส่วนตัว และมีผลเสียกระทบต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อกองทัพ ต่อรัฐบาลใหม่ และต่อพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่ พล.ต.นิมิตต์ เท่านั้นที่ไม่ควรเปิดตัวเข้าไปทำการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ ทหารคนอื่นๆในสายของ คสช. ทั้งที่ยังรับราชการอยู่หรือเกษียณไปแล้ว ก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ควรปล่อยให้นักการเมือง นักวิชาการและบุคคลอื่นที่มิใช่ทหารเป็นผู้ดำเนินการพรรคและขับเคลื่อนพรรค ทั้งนี้เพื่อลบภาพพรรคของ คสช.ออกไป เพราะภาพลบของพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ก่อตั้งคือ ถูกโจมตีว่าเป็นพรรคทหาร หรือเป็นพรรคสืบทอดอำนาจของ คสช.
พล.ต.นิมิตต์ ซึ่งเป็นนายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่สมควรเข้าไปเล่นหรือไปทำการเมืองเต็มตัวเปิดเผย เพราะจะทำให้ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเป็นนายกฯรอบสองครั้งนี้ ถูกมองว่ามีทหารสนับสนุนหรือมีทหารทำการเมืองให้ ซึ่งภาพแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งต่อกองทัพหรือทหาร และต่อรัฐบาลใหม่ โดยจะเป็นจุดอ่อนให้พรรคฝ่ายตรงข้ามนำไปโจมตีได้ต่อไป และจะทำให้ประชาชนอีกส่วนหนึ่งของประเทศที่ไม่ชอบ คสช.และทหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีทัศนคติที่เป็นลบและต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งกองทัพหรือทหาร และรัฐบาลใหม่มากยิ่งขึ้น ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้น ขนาดวันนี้ไม่มีทหารเป็นผู้บริหารพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคแม้แต่คนเดียว ก็ยังถูกโจมตีเป็นพรรคทหารหรือพรรคของ คสช. หากมีทหารเข้าไปเปิดตัวทำงานกับพรรคหรือเป็นผู้บริหารพรรค ก็จะกลายเป็นพรรคทหารขึ้นมาทันทีอย่างปฏิเสธไม่ได้ และภาพของพรรคจะเป็นพรรคเฉพาะกิจ ซึ่งจะทำให้พรรคพลังประชารัฐไม่สามารถเติบโตไปได้มากกว่านี้ และอาจมีนักการเมือง นักวิชาการ หรือนักธุรกิจในพรรคถอยออกไป เพราะรับแรงเสียดทานหรือแรงกระทบจากการเป็นพรรคทหารไม่ไหว ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น พรรคพลังประชารัฐจบเห่แน่นอนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อีกด้านหนึ่ง ปัญหาภายในของพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้คือ ทหารบางกลุ่มเข้าไปมีบทบาทในการบริหารจัดการและการตัดสินใจทางการเมืองในพรรคพลังประชารัฐมากเกินไป ส่งผลทำให้กลุ่มการเมือง กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มนักธุรกิจผู้สนับสนุนพรรค และกลุ่มภาคประชาสังคมในพรรค รู้สึกอึดอัด เพราะไม่สามารถเสนอแนะความคิดเห็นต่อพรรคได้ และหลายกรณีไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของทหาร นอกจากนี้ยังเห็นว่าปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลที่วุ่นมาตลอดและไม่สามารถลงตัวกับพรรคร่วมได้อย่างราบรื่นนั้น และส่งผลทำให้เกิดปัญหาคุกรุ่นไม่พอใจและปริแยกภายในพรรคพลังประชารัฐ ในกรณีโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีที่ต้องเสียกระทรวงสำคัญไปให้กับพรรคร่วมหลายกระทรวง จนพรรคพลังประชารัฐเหลือกระทรวงสำคัญดูแลไม่กี่กระทรวง และเสียการดูแลกระทรวงเศรษฐกิจทั้งระบบไป ก็เพราะความผิดพลาดของทหารในพรรคที่ไปรีบร้อนดีลกับพรรคร่วมโดยไม่หารือกับแกนนำพรรคหรือกลุ่มต่างๆในพรรคให้ดีเสียก่อน
นอกจากนี้ อีกประการหนึ่ง ขณะนี้ต่างชาติก็มองว่ารัฐบาลใหม่ของไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่เป็น “รัฐบาลทหารแปลงร่าง” ซึ่งตรงนี้จะทำให้ต่างชาติใช้ประเด็นนี้เป็นเงื่อนไขกดดันประเทศไทยต่อไป หรือเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากประเทศไทย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลใหม่ทำงานด้วยความยากลำบาก
ผมเห็นว่า นาทีนี้ เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรเป็นเวลาของประชาธิปไตย ควรหมดเวลาของ คสช. และทหาร ไม่ควรที่ทหารจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก ทั้งโดยเปิดเผยหรือโดยลับหลัง ยิ่งโดยเฉพาะในพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นนายกฯโดยการเสนอชื่อของพรรค ไม่ควรที่ทหารจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรค เพื่อทำให้ภาพของพรรค ของนายกฯ และของรัฐบาล สลัดพ้นจากภาพของทหารและ คสช. เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ไทยจะต้องแสดงให้โลกเห็นว่า ไทยเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวแล้ว เพื่อที่ไทยจะได้ยืนอยู่ในเวทีโลกอย่างมีสง่าราศี และมีอำนาจที่จะพูดจาเต็มปากเต็มคำกับต่างชาติ ไม่ถูกกดดันหรือตกเป็นเบี้ยล่างดังเช่น 5 ปีที่ผ่านมาในยุคของ คสช.
สำหรับในแง่ส่วนตัวของ พล.ต.นิมิตต์ ผมเห็นว่า การเป็นทหารอาชีพย่อมดีกว่าเข้าไปเล่นการเมือง เพราะอนาคตทางทหารของ พล.ต.นิมิตต์ นั้นน่าจะไปได้อีกไกลและสดใส ส่วนการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน มีขึ้นมีลง หากลาออกจากราชการไปเล่นการเมืองแล้ว วันหน้า พล.อ.ประยุทธ์ วางมือการเมือง พล.ต.นิมิตต์ คิดจะกลับเข้ารับราชการต่อ ก็แทบหมดโอกาสเจริญก้าวหน้าในราชการ เพราะเพื่อนร่วมรุ่นไปไกลแล้ว ขณะที่รุ่นน้องก็ไล่หลังขึ้นมาเบียดเส้นทางเติบโตของ พล.ต.นิมิตต์
วิเคราะห์การเมือง : กรณี “เสธ.นิมิตติ์” กับกรณีบทบาทของทหารในพรรคพลังประชารัฐ
โดย : พูลเดช กรรณิการ์ นักวิชาการอิสระด้านการเมือง
ขอบคุณภาพจากมติชน
People Unity : post 28 มิถุนายน 2562 เวลา 12.00 น.