วันที่ 29 พฤศจิกายน 2024

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จทำเนียบรัฐบาล

People Unity News :  สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต และแขกผู้มีเกียรติรับเสด็จ ทรงชมไทยเป็นพหุสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (His Holiness Pope Francis)ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยในพิธีรับเสด็จ นายกรัฐมนตรีได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ เสด็จตามพรมแดงไปยังแท่นรับความเคารพ ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยผู้มีเกียรติที่มารับเสด็จ อาทิ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากนั้น นายกฯกราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ เสด็จไปยังห้องสีงาช้างด้านนอก และทรงลงนามในสมุดเยี่ยม และทอดพระเนตรของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน

จากนั้น นายกฯกราบทูลเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ไปยังตึกสันติไมตรีหลังนอก เพื่ออนุญาตให้คณะทูตานุทูต คณะรัฐมนตรี แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าเฝ้ารับเสด็จ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถวายการต้อนรับ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสถวายการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 350 ปี การจัดตั้งคณะมิสซังคาทอลิกแห่งสยาม และเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับนครรัฐวาติกัน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมพระกรณียกิจของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ที่ทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสามัคคี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมสันติภาพในโลก ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทุกศาสนา

นายกฯกล่าวถึงการดำเนินนโยบายของไทยที่ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งในปี 2562 นี้ ไทยในฐานะประธานอาเซียนได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนและประเทศหุ้นส่วนทุกภูมิภาคส่งเสริมประชาคมอาเซียนให้เป็นสังคมแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ จากผลการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 สมาชิกอาเซียนต่างเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือตามประเด็นที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความยากจน การลดช่องว่างด้านการพัฒนา การพัฒนาทุนมนุษย์ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การลดขยะทะเล การพัฒนาพลังงานทดแทน และการอพยพย้ายถิ่นฐานที่เน้นการอำนวยความสะดวก การส่งกลับโดยสมัครใจ ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรี จึงเชื่อมั่นว่าไทยและนครรัฐวาติกันจะร่วมมือกันได้อย่างใกล้ชิดทั้งในกรอบทวิภาคีและระหว่างประเทศ

ในตอนท้าย นายกฯเชื่อมั่นว่าการเสด็จเยือนไทยครั้งนี้ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ยังความปลื้มปิติแก่คริสต์ศาสนิกชนชาวคาทอลิกในประเทศไทยที่มีจำนวนมากกว่า 380,000 คน และเป็นโอกาสให้ได้เข้าร่วมกิจกรรมและพิธีทางศาสนาที่สมเด็จพระสันตะปาปาฯ จะทรงเป็นประธาน ทั้งนี้ รัฐบาลและชาวไทยพร้อมถวายการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฯ และคณะผู้ตามเสด็จอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้การเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นไปโดยราบรื่นตามที่มุ่งหมายไว้

โอกาสนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้ประทานพระดำรัส ใจความสำคัญว่า ข้าพเจ้า ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้า ในการที่ได้มาอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ทั้งยังได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกแก่ข้าพเจ้าและคณะฯ เพื่อให้ได้มาเยือนผืนแผ่นดินไทย อันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย และยังเป็นประเทศที่ยังคงรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม อันได้แก่ วัฒนธรรมการให้การต้อนรับ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตัวเอง และปรารถนาที่จะเป็นพยานยันยืนถึงสิ่งนี้ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างประเทศและประชาชนทั่วโลก วันนี้ข้าพเจ้าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระบรมราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงเชิญให้ข้าพเจ้ามาเยือนราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งถึงความปรารถนาดีของข้าพเจ้าที่มีต่อราชอาณาจักรและต่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอแสดงความระลึกอย่างสูงต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศได้ผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ?เราทั้งหลายทราบดีแล้วว่า ปัญหาของโลกในปัจจุบันเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อทุกส่วนของโลก เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวมนุษยชาติ และเรียกร้องให้มีความตั้งใจจริง ในการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมระหว่างประเทศ และความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างประชาชนทุกหมู่เหล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งในการที่ประเทศไทยกำลังจะหมดวาระของการเป็นประธานของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจ ในการแก้ไขปัญหาที่ประชาชนในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญ และยังเป็นหนทางในการที่จะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรม

ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันดกดื่น เป็นประเทศพหุสังคมที่มีความหลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นประเทศที่ยอมรับถึงความสำคัญในการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยแสดงความเคารพและยกย่องต่อวัฒนธรรม ศาสนา และความคิดเห็นที่แตกต่าง ปัจจุบันเป็นยุคของโลกาภิวัฒน์ ซึ่งบ่อยครั้งให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการเงิน โดยมองข้ามมิติด้านจิตวิญญาณและความสวยงามในประชาชนของเรา ในทางกลับกัน ประสบการณ์ในการให้ความเคารพและยอมรับความแตกต่าง ได้ให้แรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นสำหรับทุกคน ผู้มีความปรารถนาที่จะสร้างโลกที่แตกต่าง เพื่อมอบให้กับชนรุ่นต่อไป

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่งต่อการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งศูนย์จริยธรรมและสังคม ซึ่งได้เชิญผู้แทนจากศาสนาต่างๆ ในประเทศเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเขาเหล่านี้ ในการที่จะรักษาความทรงจำทางจิตวิญญาณอันมีชีวิตของประชาชน ในแง่มุมมองนี้ ข้าพเจ้าจะได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อแสดงถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการสร้างมิตรภาพและการเสวนาระหว่างศาสนา อันจะนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของสังคม และการเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม รู้จักรับฟัง และไม่มีการแบ่งแยก ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ชาวคาทอลิกแม้ว่าเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในประเทศ จะพยายามอย่างเต็มความสามารถ ในการที่จะสนับสนุนอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งปรากฏในเพลงชาติของท่าน: “รักสามัคคี…รักสงบ…ไม่ขลาด…” และพวกเขาเหล่านี้ มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ไม่ปฏิเสธ หรือบ่ายเบี่ยงเสียงเรียกร้องของพี่น้องชายหญิง ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากความเป็นทาสของความยากจน ความรุนแรง และ ความอยุติธรรม ผืนแผ่นดินของท่านได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินไทย คือแผ่นดินแห่งอิสรภาพ เราทราบกันดีแล้วว่า อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถที่จะเติมเต็มความรับผิดชอบที่เรามีต่อกันและกัน เพื่อเอาชนะความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องพยายามให้ประชาชนทุกคน ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา อาชีพการงาน และความช่วยเหลือด้านสุขภาพ เพื่อที่จะได้สามารถบรรลุถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์และยั่งยืน

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของผู้ย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่สถานการณ์อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมที่สำคัญยิ่งในยุคสมัยของเรา เราไม่สามารถปฏิเสธวิกฤติการณ์ปัญหาผู้อพยพ วิกฤติการณ์นี้ไม่สามารถมองข้ามได้ ประเทศไทยเองเคยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับผู้อพยพ โดยเฉพาะบรรดาผู้ต้องหลบหนีอย่างน่าเศร้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ประชาคมระหว่างประเทศ ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่ผลักดันให้ประชาชนต้องหลบหนีออกจากประเทศของตน และส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย มีการจัดการ และมีการควบคุม ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกประเทศจะจัดตั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของบรรดาผู้ย้ายถิ่นและผู้อพยพ ผู้ซึ่งต้องเผชิญภยันตราย ความไม่แน่นอน และการถูกเอารัดเอาเปรียบ ในการที่เขาแสวงหาเสรีภาพและชีวิตที่มีศักดิ์ศรีสำหรับครอบครัวของตน พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้อพยพ หากแต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมของเราทุกคนด้วย

เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบรรดาสตรีและเด็กในยุคของเรา ที่ต้องเผชิญกับ ความรุนแรง การถูกเอารัดเอาเปรียบ และการถูกบังคับให้ทำงานเยี่ยงทาสในหลากหลายรูปแบบ ข้าพเจ้าของชื่นชมรัฐบาลไทย รวมทั้งบุคคลและองค์กรที่ได้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อแก้ไขปัญหาอันน่าเศร้าใจและเปิดหนทางแห่งการดำเนินชีวิตที่มีศักดิ์ศรีแก่บุคคลเหล่านี้ ปีนี้เป็นปีแห่งการครบรอบ 30 ปี ของ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับเราในการที่จะไตร่ตรองและดำเนินการด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ความพากเพียรพยายาม และความเร่งด่วน เพื่อปกป้องชีวิต พัฒนาการด้านสังคม สติปัญญา โอกาสทางการศึกษา รวมทั้งการเติบโตทางด้านกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณของบรรดาเยาวชน อนาคตของประชากรของเราขึ้นอยู่กับวิธีการที่เราจะสามารถรับประกันต่อเยาวชนของเราถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีมีศักดิ์ศรีในอนาคต

ปัจจุบันนี้สิ่งที่สังคมของเราต้องการมากกว่ายุคสมัยใดๆ คือ ผู้ส่งเสริมให้เกิด “ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” ชายและหญิงที่มีความตั้งใจจริงในการที่จะทำให้เกิดการพัฒนาแบบบูรณาการสำหรับประชากรในครอบครัวมนุษยชาติ ที่จะดำเนินชีวิตในความยุติธรรม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความสมัครสมานสามัคคีฉันพี่น้อง ท่านทั้งหลาย ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ในการที่จะพยายามให้ผลประโยชน์ร่วมกันไปทั่วถึงทุกหนแห่งของประเทศ นี่คือหนึ่งในภารกิจอันประเสริฐที่บุคคลๆหนึ่งสามารถทำได้ ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ทุกท่านปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายของตนให้สำเร็จ และข้าพเจ้าวอนขอพระพรอันไพบูลย์จากพระเจ้า สำหรับประเทศ บรรดาผู้นำ และประชาชนชาวไทยทั้งมวล ข้าพเจ้าภาวนาวิงวอนขอให้พระเจ้าทรงนำท่านและครอบครัวของท่าน ในหนทางแห่งปัญญา ความยุติธรรม และสันติสุข

พล.อ.ประวิตรเร่งพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า

People Unity News :  พล.อ.ประวิตร เรียกประชุมคณะกรรมการเร่งขับเคลื่อน การอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า จ.ระยองและจ.สุรินทร์ รองรับการท่องเที่ยว พร้อมรณรงค์ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อความภาคภูมิใจร่วมกัน

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ครั้งที่3/ 2562 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลาน จ.น.2 แห่งๆที่1 ระยะทาง 96 เมตร พื้นที่รวม 6,280 ตารางเมตร แห่งที่2 ระยะทาง 37 เมตร พื้นที่รวม 434 ตารางเมตรและถนนมหาราช จ.น.1แห่ง มีระยะทาง 90 เมตร พื้นที่รวม 1,146 ตารางเมตร และเห็นชอบการปรับปรุงพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บริเวณถนนราชดำเนินกลางโดยปรับปรุงภาพลักษณ์สถาปัตยกรรมภายนอกอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์และอาคารเทเวศประกันภัย เพื่อเป็นต้นแบบก่อนและสวนนาคราภิรมย์ ให้ปรับปรุงพื้นที่และมีการใช้ประโยชน์แบบผสมผสานสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ข้างเคียงและนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งเห็นชอบโครงการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า(เมืองเก่าระยองและเมืองเก่าสุรินทร์) โดยให้จังหวัดจัดทำกรอบวิเคราะห์แผนแม่บทเมืองเก่า(แผนระดับที่3) เพื่อนำเสนอต่อสภาพัฒนาการฯและจัดทำรายละเอียดประกอบแผนงาน / โครงการตามแผนแม่บทเพื่อนำไปปฏิบัติในระดับพื้นที่ที่มีความสอดคล้องกับเมืองเก่าแต่ละเมืองต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าที่ทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี และขอให้เร่งขับเคลื่อน กำกับดูแลโครงการดังกล่าวพร้อมได้สั่งการ กทม.,จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วให้เป็นไปตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรมและต้องสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมโดยเห็นประโยชน์และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกัน ควบคู่กันไปด้วย

เผย 3 ปัจจัยแผ่นดินไหวในลาว ส่งผลกระทบอาคารสูงกรุงเทพฯ

People Unity News :  ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทยเผย 3 ปัจจัยแผ่นดินไหวระยะไกลเช่นลาว ส่งผลกระทบต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นที่ประเทศลาวเมื่อเช้าวันนี้(21พ.ย.) ทำให้อาคารสูงหลายแห่งใน กทม. ได้รับแรงสั่นสะเทือนนั้น ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทย เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวเป็นแผ่นดินไหวระดับกลางและเป็นแผ่นดินไหวระยะไกลประมาณ 600-700 กม. แต่ก็ทำให้อาคารหลายแห่งใน กทม. ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมี 3 ปัจจัยที่แผ่นดินไหวมีผลกระทบต่ออาคารสูงใน ก.ท.ม. ที่ต้องระวัง

1.สภาพชั้นดินของ กทม. เป็นชั้นดินเหนียวอ่อน ดังนั้นแม้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นจากระยะไกล แต่ด้วยสภาพชั้นดินของ กทม. จะขยายคลื่นแผ่นดินไหวให้แรงขึ้นได้อีก 3-4 เท่า จึงทำให้อาคารได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวดังกล่าว 2.อาคารสูง เช่น คอนโดมีเนียม อาคารสำนักงาน ที่มีความสูง 10 ชั้นมีค่าความถี่ธรรมชาติต่ำ ซึ่งเป็นค่าความถี่การสั่นของอาคารที่ใกล้เคียงกับการสั่นไหวของพื้นดิน ทำให้เกิดการสั่นเข้าจังหวะกันระหว่างพื้นดินและอาคาร ทำให้อาคารสูงมีการสั่นสะเทือนที่แรงกว่าอาคารทั่วไป

3.อาคารสูงหลายแห่งใน กทม. หากก่อสร้างก่อนปี 2550 มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว เนื่องจาก กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักความต้านทานความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เริ่มประกาศใช้บังคับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

จากปัจจัยทั้ง 3 นี้ทำให้อาคารสูงหลายแห่งมีการสั่นไหวที่รุนแรงกว่าปกติ ทั้งนี้ การสั่นไหวของอาคารใน กทม. เนื่องจากแผ่นดินไหวเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตเช่น ในปี พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียขนาด 9.3 ริกเตอร์ และในปี 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ในประเทศลาว

สำหรับแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารสูงใน กทม. อาจมาจาก 3 แหล่งได้แก่ 1. บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทรอินเดียมีระยะห่างจาก กทม.ประมาณ 1200 กม. 2. แผ่นดินไหวทางภาคเหนือและจากประเทศลาวมีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 600-700 กม. และ 3. แผ่นดินไหวที่มาจากทางภาคตะวันตกได้แก่ จ. กาญจนบุรี และจากประเทศพม่า มีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 300-400 กม.

ศ.ดร.อมร กล่าวด้วยว่า ไทยควรให้ความใส่ใจกับแผ่นดินไหวที่มาจากทิศตะวันตกและประเทศพม่าด้วย เนื่องจากมีรอยเลื่อนที่มีพลังคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ นอกจากนี้ยังมีรอยเลื่อนสะแกงในประเทศพม่า ซึ่งอยู่ห่างในระยะประมาณ 400 กม. และอาจเกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 8.5 ริกเตอร์ หากเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบให้อาคารใน กทม. ได้รับความเสียหายได้

“สำหรับผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศลาวในครั้งนี้นั้น คิดว่าอาจมีผลกระทบให้อาคารสั่นไหว แต่คงไม่กระทบต่อโครงสร้างมากนัก เนื่องจากเป็นเพียงแผ่นดินไหวระดับปานกลางและเกิดขึ้นค่อนข้างไกลจาก กทม. อย่างไรก็ตามแนะนำให้เจ้าของอาคารตรวจสอบอาคารของตนว่ามีรอยร้าวที่บริเวณใดบ้าง เช่น เสา คาน ผนังอาคาร เป็นเบื้องต้น และหากตรวจพบรอยร้าวก็ควรแจ้งวิศวกรเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ด้วย”

“อนุดิษฐ์”ติง”บิ๊กตู่” ศก.ไทยแย่อย่าอ้างภาวะโลก เพื่อนบ้านตัวเลขดีกว่าเยอะ

People Unity News :  เลขาธิการพรรคเพื่อไทยเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์หยุดใช้ประเทศเป็นหนูลองยาแก้เศรษฐกิจ หลังมาตรการแจกเงินส่อแววล้มเหลว จนทีมงานด้านเศรษฐกิจเริ่มแสดงอาการถอดใจ

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แสดงความห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หลังหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาเปิดเผยตัวเลขที่ถดถอยลงในทุก ๆ ด้าน ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ทำได้เพียงขอร้องไม่ให้พูดเรื่องเศรษฐกิจแย่เพราะจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาและขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล

น.อ.อนุดิษฐ์เห็นว่า เป็นท่าทีที่ขาดความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาล เพราะการพูดในทำนอง ตัวเองแก้ไม่ได้ แต่กลับยังไปโทษคนอื่นว่าไม่ช่วย ทั้งที่หลายฝ่ายได้เตือนมาตลอดว่าแนวทางแก้เศรษฐกิจของรัฐบาลเดินมาผิดทาง โดยเฉพาะการใช้นโยบายแจกเงินเฉพาะหน้าให้ประชาชน ซึ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันใช้แนวทางนี้ จนกระทั่งตัวเลขด้านต่าง ๆ ออกมาประจานความล้มเหลวให้เห็น

“ประเทศไม่ใช่หนูลองยา ที่จะให้ผู้นำที่ขาดความรู้อย่าง พล.อ.ประยุทธ์มาทดลองแก้เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแจกเงินแบบคิดเอาเองว่าแจกแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แต่วิกฤติครั้งนี้รุนแรงมากกว่าที่คิด เพราะต่อเนื่องมาจากการรัฐประหารที่ต่างชาติไม่ยอมรับ จนกระทั่งมาเป็นนายกฯรอบ 2 ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ดังนั้นการจะให้ต่างชาติหรือคนส่วนใหญ่เชื่อมั่น จึงเป็นไปได้ยาก” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่าที่ผ่านมารัฐบาลมักโทษไปที่ปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่หากย้อนไปดูประเทศเพื่อนบ้าน ตัวเลขทางเศรษฐกิจของเขาดีกว่าของเรามาก เนื่องจากมีผู้นำที่ทำให้คนในชาติเชื่อมั่นได้ ต่างกับของไทยที่ผู้นำขาดวิสัยทัศน์ ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและขาดความเชื่อมั่นต่ออนาคตของประเทศ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่ใช่จ่ายหรือลงทุน เพราะเห็นฝีมือ พล.อ.ประยุทธ์มาแล้วกว่า 5 ปี ไม่ใช่ 4 เดือนอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามกล่าวอ้าง

“พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงตัวเลขโรงงานที่ต้องปิดตัวลงกว่า 1,000 แห่งในยุคของตัวเอง แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว และใช้วิธีการแบบเดิม ๆ แก้ปัญหา นั่นคือสั่งให้รัฐมนตรีลงไปดูแล ขณะที่ตัวรัฐมนตรีเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายร่วมกันที่ชัดเจน แม้กระทั่งค่าแรงขั้นต่ำที่หาเสียงเอาไว้ก็เบี้ยวผู้ใช้แรงงานหน้าตาเฉย สุดท้ายก็แก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ด้วยการเดินตามก้นระบบราชการ” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่ออีกว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจอยู่ในอำนาจต่อไปได้เรื่อย ๆ ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่พวกเขาช่วยกันออกแบบมา แต่หากอยู่แล้วไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ ก็น่าสงสัยว่าจะอยากอยู่ต่อไปทำไม หากพล.อ.ประยุทธ์ยิ่งอยู่เศรษฐกิจยิ่งแย่ ขอถามว่าใครจะรับผิดชอบ กว่า 5 ปีแล้ว พวกเราจะปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้ประเทศเป็นหนูลองยาแก้เศรษฐกิจต่อไปอีกหรือ

“เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องกับธรรมกาย

People Unity News :  “เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องธรรมกาย เผยที่ประชุมมีมติรับศึกษาร่างพรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ธนาคารพระพุทธศาสนา และแม่ชีไทย ตามที่เสนอ วอนฝ่ายกล่าวหาอย่ากล่าวโจมตีให้ร้ายเหตุมีอคติเข้าครอบงำ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุม 405 อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เริ่มประชุมที่ประชุมได้เสนอเชื่อและลงมติในการพิจารณาอนุกรรมาธิการเพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รองประธาน เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ

จากนั้นได้ศึกษาทำความเข้าใจในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ของอนุกรรมาธิการเพื่อให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายและอื่นๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในวาระพิจารณานั้นส่วนของอาตมาได้ขอให้คณะอนุกรรมาธิการขออำนาจจากกรรมาธิการชุดใหญ่เพื่อศึกษาและเสนอต่อกรรมาธิการใน 3 เรื่องคือ 1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2.ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา และ 3.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย ที่ประชุมมีมติรับไปดำเนินการทั้ง 3 เรื่องแต่ขอพิจารณาคราวละเรื่องเพื่อจะได้สำเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด

ก่อนหน้าเข้าสู่ระเบียบวาระ อาตมาได้ปรารภกับที่ประชุมว่า ก่อนมาประชุมมีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าวว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้กล่าวในทำนองว่าทำไมคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้จึงแต่งตั้งบุคคลที่เป็นเครือข่ายวัดใหญ่วัดหนึ่งเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการด้วยโดยสื่อท่านนั้นก็พูดแสดงความเห็นทำนองว่ารวมเอาอาตมาเข้าไปในเครือข่ายนั้นด้วย รวมทั้งพูดว่าอาตมานั้นเคยลุกขึ้นถือดาบ รำดาบปกป้องอดีตเจ้าอาวาสวัดนั้นด้วย

อาตมาจึงยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า(เคยยืนยันกับสื่อมาแล้วหลายครั้ง) 1.ในชีวิตนี้ไม่เคยเข้าไปที่วัดดังกล่าว ไม่เคยเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่เคยรับงานใครมาทำ ยืนยันชัดเจน ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นได้ทำงานเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวมตลอดมา 2. บุคคลที่อดีตเลขาธิการพรรคการเมืองและสื่อคนนั้นเจาะจงพูดถึงซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการอยู่ด้วยนั้นอาตมาได้ยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่าไม่คยรู้จักกัน ไม่เคยติดต่อกัน เคยพบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 นอกจากนั้นในการประชุมนัดแรกนี้ยังตั้งป้ายให้อาตมานั่งติดกันอีก คงจะเป็นประเด็นได้อีกแน่นอน นี่คือคำปรารภของอาตมาในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เมื่อเลิกประชุมก็รับการถวายข้าวกล่องขึ้นไปฉันบนรถเพื่อกลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ

ภายหลังระหว่างเดินทางกลับได้รับการติดต่อจากหลายคน หลายฝ่ายว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่งท้วง (หรือจะเรียกอะไรก็ตาม) ว่าการแต่งตั้งให้อาตมาเป็นอนุกรรมาธิการฯนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำได้ พระสงฆ์เป็นอนุกรรมาธิการไม่ได้ ตอนนี้ฝ่ายที่รับผิดชอบก็เลยกำลังศึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร จะออกมาในรูปแบบใหน อย่างไร

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอาตมานั้น ก่อนรับปากว่าจะไปนั่งทำหนัาที่ตรงนั้น ได้ศึกษารายละเอียดมาพอสมควร ทำการบ้านมาบ้างแล้ว และไปฟังจากนักกฎหมายหลายท่านในการประชุมวันแรก อาตมาขอสรุปประเด็นที่กำลังถูกบางท่าน บางคนตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1.ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ผิดกฎหมายอื่นใดไหม
3. ผิดกฎหมายสงฆ์และกฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ข้อบังคับและอื่นๆของมหาเถรสมาคมหรือไม่
4.เป็นการนำพาพระหรือพระกระโจนลงไปเล่นการเมืองใหม
5.เหมาะสม สมควรหรือไม่
6. ผิดพระธรรมวินัยไหม

ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้
1. ไม่ปรากฎในรัฐธรรมนูญว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลตัองห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว
2. ไม่ปรากฎว่ามีกฎหมายฉบับใดๆของไทยในการห้ามพระสงฆ์เข้าไปดำรงตำแหน่งในอนุกรรมาธิการโดยเฉพาะในอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
3.ไม่ปรากฎในกฎหมายสงฆ์และอื่นๆในการต้องห้ามในกรณีนี้
4. กรณีนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ นี่เองที่อาตมาปรารภว่าได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว เราจะต้องแยกแยะเรื่องบ้านเมืองกับเรื่องการเมืองให้ออก บ้านเมืองคือส่วนรวมของประเทศชาติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมรวมทั้งพระสงฆ์ก็ไม่เว้น ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจ การหาเสียง และผลประโยชน์อื่นใดนั้น จะรวมทั้งการชี้นำทางการเมืองด้วยแล้ว แน่นอนพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ไม่ควรเกี่ยวข้อง

สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติไว้ชัดเจนในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของอนุกรรมาธิการ เพราะที่ผ่านมานั้นการตั้งคณะอนุฯมาหลายคณะ หลายชุดแล้วกลับกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น เรียกบุคคล องค์กร มาสอบ มาถาม มีการชี้ผิดชี้ถูกให้คุณให้โทษได้ เป็นต้น

รัฐธรรมนูญจึงกำหนดบทบาทของคณะอนุฯใหม่ไม่ให้มีอำนาจกระทำการแบบนั้นได้ เป็นเสมือนที่ปรึกษาทางวิชาการของกรรมาธิการชุดนั้นๆเท่านั้น ขอย้ำ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านวิชาการแก่คณะกรรมาธิการชุดใหญ่เท่านั้น ไม่มีอำนาจ หน้าที่อะไรมากไปกว่านี้

ในคำสั่งแต่งตั้งนั้น ชัดเจนให้คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้

1. พิจารณาศึกษาประเด็นปัญหาตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย ในเรื่องเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ทำนุบำรุงและคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆที่ทางราชการให้การรับรอง รวมทั้งสร้างศาสนสัมพันธ์เพื่อความสามัคคีและศาสนิกชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข

2. ให้คณะอนุกรรมาธิการรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อคณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ และจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อคณะกรรมาธิการภายในระยะเวลาที่กำหนด

เหตุผลที่อาตมาได้อธิบายมาและยิ่งมาดูหน้าที่และอำนาจตามกรอบที่ได้รับมอบหมายแล้วก็จะมีแค่อย่างละข้อเท่านั้นเองสำหรับหน้าที่และอำนาจ และโดยเฉพาะข้อที่หนึ่งนั้นชัดเจนมาก ชัดเจนในภารกิจที่จะต้องทำ คือจะต้องปฎิบัติในสิ่งที่เป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ให้เข้าใจเหมือนกันทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายที่กำลังร้องอยู่ในขณะนี้ด้วย จึงอยากถามว่า นี่หรือการเมือง นี่ใช่ใหมพระเล่นการเมือง นี่ใช่ใหมพระทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง นี่ใช่ใหมพระทำตัวไม่เหมาะสม และถ้าหน้าที่และอำนาจที่ระบุไว้ในอนุกรรมาธิการชัดเจนขนาดนี้แล้วถ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นศากยบุตรยังไม่เหมาะในการไปทำหน้าที่ดังกล่าว ไม่ควรเป็นผู้แทนไปแสดงบทบาทนี้ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร แล้วใครละที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะไปทำหน้าที่ ช่วยตอบทีการกล่าวอ้างการเมืองโดยไม่ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนถ่องแท้มันง่ายดีและโดยเฉพาะเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกับสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็โยนเป็นการเมืองไปหมด แบบนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากการกล่าวโจมตีโดยการจับมัดรวมว่าเป็นเครือข่ายวัดโน้นวัดนี้ คนของคนโน้นคนนี้ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรมแล้วก็สนุกปากดี

5. เหมาะสมหรือไม่ ตอบรวมแล้วในข้อที่ 4
6. พระพุทธองค์มีปณิธานส่วนพระองค์ว่า จะยังไม่ปรินิพพาน ถ้าสาวกของพระองค์ยังไม่ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฎิบัติแล้วนำไปสู่ปฎิเวธ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา

“กรณีนี้เข้าข่ายพุทธปณิธานทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์ พิทักษ์ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา วันนี้อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ยึดติด ไม่กังวล พร้อมจะลุกออกไป ไม่มีปัญหา อาตมาขอร้องเพียงว่า อย่ากล่าวโจมตี ให้ร้าย มุ่งทำลายเพราะมีอคติเข้าครอบงำ บ้านเมืองของเราต้องการความสามัคคี เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่การกินดีอยู่ดีของคนทั้งประเทศ ท่านทั้งหลายจะมีสติและพอกันได้หรือยังกับการเล่นการเมืองเพื่อมุ่งทำลายล้างคนที่เราไม่ชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
พอได้แล้วโยม” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ

โฆษกรัฐบาลยันเศรษฐกิจยังขยายตัวโรงงานขอปิดแค่ 1,391 แห่ง

People Unity News : โฆษกรัฐบาลยันเศรษฐกิจยังขยายตัว ลงทุนใหม่มูลค่าทะลุ 4.3 แสนล้าน กิจการเปิดเพิ่มมากกว่าปิด 2 เท่าตัว

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่าตั้งแต่ 1 ม.ค.-12 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการยื่นขอ “เปิดกิจการ” โรงงานใหม่ สูงถึง 2,889 โรงงาน มีการจ้างงานสูงถึง 84,033 คน และมีการจ้างงานเพิ่มจากการ “ขยายโรงงาน” อีกจำนวน 84,704 คน ขณะที่การยื่นขอ “ปิดกิจการ” โรงงาน จำนวน 1,391 โรงงาน มีการเลิกจ้างงานจำนวน 35,533 คน กล่าวคือมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการกว่า 2 เท่าตัว และพบว่าในปีนี้มีเงินลงทุนเพิ่มสูงถึง 4.31แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 36.6% สอดคล้องกับข้อมูลกระทรวงแรงงานที่รายงานว่ายังมีตำแหน่งงานว่างถึง 79,000 อัตรา

สำหรับการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือ ใบรง.4 ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ย. 62 จำนวน 3,184 โรงงาน มีการลงทุนสูงถึง 3.67 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการเปิดกิจการใหม่ 2,519 โรงงาน เพิ่มขึ้น 47.9% และการขยายกิจการ 665 โรงงาน เพิ่มขึ้น 32.51% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยยังเติบโต ส่วนการเปิดโรงงานใหม่และขยายโรงงานในโครงการอีอีซี ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ รง.4 และขยายกิจการ 402 โรงงาน มีมูลค่าการลงทุน 8.35 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.29 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และแขนกล ท่องเที่ยวสุขภาพ และยานยนต์ ตามลำดับ

“ปิยบุตร”ลั่น”ธนาธร”พร้อมสู้ทุกมรสุมไม่มีหวั่น

People Unity News :  “ปิยบุตร”ลั่น”ธนาธร”ยังเป็นแคนดิเดทนายกฯ ซัดปิดกองถ่ายหนังม้วนเก่าได้แล้ว ยันพร้อมสู้ทุกมรสุมไม่มีหวั่น ถามตกลงประเทศนี้จะลงทุนเผาป่าเพื่อฆ่าหนูตัวเดียวจริงๆหรือ

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายธนาธร ว่า ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาล แม้ว่านายธนาธรจะถูกตัดสิทธิแต่ยังเป็นหัวหน้าพรรค ผู้นำพรรคและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ถ้าเมื่อไรที่มีการลงมติเลือกนายกฯ นายธนาธรก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับการเลือกเป็นนายกฯ คำตัดสินครั้งนี้สมาชิกพรรค ไม่ได้เสียใจ ทุกคนยังทำหน้าที่ในสภาด้วยความยิ้มแย้ม เพราะนายธนาธรไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่เสียดายโอกาสที่นายธนาธรไม่มีโอกาสได้อภิปรายในสภา ที่ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งนายธนาธรเป็นตัวหลักในการเตรียมข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เราไม่ได้กังวลอะไรเพราะเราคิดไว้ตั้งแต่ตอนตั้งพรรคแล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วเราคงเจอมรสุมแบบนี้ เราพร้อมสู้ทุกคดี จาก 25 คดีตอนนี้เหลืออีก 24 คดี หากจะมีมาเพิ่มอีกก็พร้อมสู้

“ผมเห็นว่าหนังม้วนเก่าที่ฉายซ้ำๆมาหลายรอบแล้ว หมดเวลาฉายหนังม้วนเก่า ควรปิดกองถ่ายได้แล้ว ตกลงประเทศนี้จะลงทุนเผาป่าเพื่อฆ่าหนูตัวเดียวจริงๆหรือ”

นายปิยบุตร กล่าวว่า เวลานี้ส.ส.หลายคนที่มีคดีเกี่ยวกับสื่อก็ใจตุ้มๆต่อมๆ ว่าจะโดนแบบนี้หรือไม่ แต่มีส.ส.คนหนึ่งที่มีคู่สมรสทำสื่อ แต่ไม่กลัวและไม่ต้องลุ้น แต่อีกหลายคนต้องลุ้นทั้งๆที่ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ หรือท้ายที่สุดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่พยายามจะเป็นเครื่องมือขุคุ้ยและจับผิดนักการเมือง

เมื่อถามว่า นายธนาธรจะสามารถลงสมัครส.ส. ได้หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญสามารถทำได้เพราะไม่ติดโทษห้าม แต่ตอนนี้พรรคยังไม่มีแผนในอนาคต

เมื่อถามว่า กกต.จะยื่นเรื่องดำเนินคดีทางอาญา นายปิยบุตร กล่าวว่า เราพร้อมสู้คดี จะมาอีกกี่มรสุมอีกกี่ระลอกก็ว่ามา ตนขอร้องว่าอย่าฉายหนังม้วนนี้ซ้ำ ตนอยากอยากฝากทิ้งท้ายว่า เวลาจะทำอะไรให้นึกถึงประชาชนบ้างว่าเขาโอดร้องกันด้วยเรื่องอะไร

เมื่อถามว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้สาธารณชนตัดสิน เวลาศาลตัดสินอะไรจะปรากฎต่อสาธารณะ คงไม่ใช่ตนหรือนายธนาธรจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่เป็นอำนาจของประชาชนที่เป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดของประเทศ

เชือด”ธนาธร”ต่อ! กกต.เล็งสอบปมรู้ไม่มีสิทธิแต่ลงสมัครเลือกตั้ง

People Unity News : เชือด”ธนาธร”ต่อ! กกต.เล็งสอบปมรู้ไม่มีสิทธิแต่ลงสมัครเลือกตั้ง คาดนำผลคำวินิจฉัยศาลรธนฯ.ไปพิจารณาประกอบในสำนวน ขณะที่ “วิษณุ” ร่ายยาวบอกมีช่องเอาผิดอาญาปมหุ้นสื่อ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) กรณีถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ว่า หลังจากนี้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ก็คงดำเนินการสอบสวนกรณีคำร้องที่มีผู้กล่าวหาว่านายธนาธร ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)​ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) กรณีผู้ใดรู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต่อไป โดยตามหลักการทั่วไปแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คงจะต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ไปพิจารณาประกอบในสำนวนด้วย เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธรขาดคุณสมบัติ

“วิษณุ”ร่ายยาวบอกมีช่องเอาผิดอาญาปมหุ้นสื่อ

เวลา 16.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. กรณีถือครองหุ้นสื่อ บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ว่า ตนได้ติดตามการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงเล็กน้อย เนื่องจากติดประชุม ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้นายธนาธรพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.เท่านั้น ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ได้ ไม่ได้ถูกตัดสิทธิอะไร พรรคอนาคตใหม่ก็ยังอยู่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องคุณสมบัติอย่างเดียว ส่วนเรื่องอื่นตนไม่ทราบว่าคดีอะไรอีกหรือไม่

นายวิษณุ กล่าวว่า ตนได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายธนาธรภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก็สงสัย ที่นายธนาธรบอกว่าคดีนี้แปลกหรือไม่ ศาลไม่ได้บอกว่ามีมติเท่าไรต่อเท่าไร ตนไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ว่านายธนาธรใช้ประโยคนี้ ซึ่งโดยปกติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมี 9 คน ต้องลงมติอยู่แล้ว ถือว่าแปลกถ้าศาลไม่ได้บอก หรือบอกไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะตนไม่ได้ฟังอย่างละเอียด แต่นายธนาธร มาพูดในตอนท้ายว่าให้สังเกตว่าไม่ได้มีการสรุปว่ามีมติเท่าไร ซึ่งมติตรงนี้อาจจะไปอยู่ในคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ารู้เหมือนกัน

“ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามติเท่าไร มันจะแสดงอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะแสดงถึงความเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นต่อไปในอนาคต เพราะจะทำให้มองเห็นได้ว่า ทัศนคติศาลเป็นอย่างไร”นายวิษณุ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธนาธร สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งลงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ

เมื่อถามว่า สามารถนำคำวินิจฉัยดังกล่าวไปฟ้องร้องอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้ฟังศาลอ่านคำวินิจฉัยทั้งหมด จึงไม่รู้ว่าศาลพูดถึงอะไรบ้าง แต่โดยปกติมันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเรื่องนั้นเรื่องเดียวเท่านั้นเอง เพียงแต่อาจเป็นช่องทางให้มีการไปหาพยานหลักฐานอื่น แต่จะเอาตรงนี้ไปปิดปากคดีอื่นไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า คดีนี้มีโทษทางอาญาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในตัวเองมันเองแค่นี้จบ ไม่มี แต่ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง เท่าที่ดูกันไว้นานมาแล้ว เหมือนที่มีคนกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่าบุคคลใดที่รู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแล้วยังไปดำเนินการอันเป็นเท็จ อย่างนั้นมันผิด แต่เราจะมาพูดเอาคดีนั้นมาชนคดีโน้น มันจึงไม่ได้ในตัวมันเอง ต้องไปพิสูจน์อะไรกันอีกเยอะ

เมื่อถามว่า หากมีคนสงสัยประเด็นนี้ สามารถร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ขอตอบอะไรในส่วนนี้ ตอบได้เท่าที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งใครๆ อ่านแล้วก็รู้ แต่ถ้าเกินจากนั้นจนไปอนุมานเอาว่าเป็นอย่างนั้น ตนไม่ควรจะไปพูด

เมื่อถามว่า ส.ส.คนอื่นที่ถูกร้องเรื่องถือหุ้นสื่อ จะนำไปเป็นบรรทัดฐานหรืออ้างอิงในการต่อสู้คดีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าข้อเท็จจริงตรงกันมันก็ใช่ แต่จะตรงกันหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะมีหลายสิบคน กรณีนี้มีการแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น บางประเภทมีหุ้นในบริษัทที่มีตราสารจนทะเบียนว่า มีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง แต่ไม่เคยทำ หรืออีกประเภทคือ ได้ลงมือทำ แล้วเลิกไป ซึ่งมีหลายประเภทเหลือเกิน

เมื่อถามถึงกรณีนายธนาธร ปล่อยกู้เงินให้กับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเรื่องอยู่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ได้ติดตาม แต่เป็นคนละเรื่องกับการถือหุ้นสื่อ

เมื่อถามว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ได้ห้ามเรื่องการกู้เงิน นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ

เมื่อถามว่า กฎหมายพรรคการเมืองถือเป็นกฎหมายเฉพาะ แม้กฎหมายไม่ได้เขียนห้าม แต่ต้องทำเท่าที่เขียนไว้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ปกติแล้วกฎหมายที่จำกัด ตัดสิทธิคน หลักที่เคยใช้มาโดยตลอด คณะกรรมการกฤษฎีกาก็เคยใช้มาตลอด ต้องตีความโดยเคร่งครัด จะไปตีความขยายออกไปไม่ได้ หลักมันมีอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า กฎหมายเขียนแค่ไหนต้องทำเท่านั้นใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แต่ละคำจะต้องแปล ถ้าแปลออกไปได้มันก็จบแค่นั้น กฎหมายขยายความให้เป็นผลดีได้ แต่จะขยายความออกไปให้มันยาวเพื่อเป็นผลร้ายนั้นไม่ได้

เมื่อถามอีกว่า กรณีที่กฎหมายไม่ได้เขียนห้าม แสดงว่าทำได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องดูหลายอย่าง บางอย่างไม่ได้อนุญาตก็ทำไม่ได้ โดยมี 2 อย่าง คือ 1.ไม่ได้ห้าม เพราะฉะนั้นทำได้ และ 2.ไม่ได้อนุญาต เพราะฉะนั้นจึงทำไม่ได้ มีอยู่ 2 หลักนี้ ซึ่งไม่ได้มั่ว มันมีวิธีใช้ว่าเมื่อไรจะใช้

เมื่อถามว่า พรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า นี่คือ ปัญหาที่เขาเถียงกันอยู่ ขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่

“ธนาธร”เปิดใจ! “สมชัย”แนะจับตา 60 ส.ส.ดาบต่อไป

People Unity News : “ธนาธร”เปิดใจหลังพ้นสภาพ ส.ส. ลั่น! ยังเป็นหัวหน้าอนค. การเดินทางยังไม่สิ้นสุด พร้อมก้าวเดินต่อไป “สมชัย”แนะจับตา 60 ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่อไป

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดใจครั้งแรกหลังศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามทำให้ต้องพ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยกล่าวว่า ขอบคุณและซาบซึ้งทุกกำลังใจที่มีให้ ทั้งที่เดินทางมาและที่ให้กำลังใจอยู่ทางบ้านหรือที่อื่นๆ

พร้อมกันนี้ นายธนาธร ยังแสดงความคิดเห็นถึงผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นต่างๆ ด้วย ก่อนที่จะพูดทิ้งท้ายว่า พรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง และการเดินทางยังไม่สิ้นสุดลง ตนเองยังคงเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป ขอบคุณผู้มาให้กำลังใจพวกเราในวันนี้

“สมชัย”แนะจับตา 60 ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่อไป

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊ก“สมชัย ศรีสุทธิยากร”ถึงกรณีธนาธร โดยระบุว่า 1.การพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2562 หมายความว่า ธนาธร มีสถานะเป็น ส.ส. เป็นเวลา 2 เดือน นับแต่วันเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 ดังนั้น เงินเดือนและสิทธิประโยชน์ในช่วง 2 เดือนนั้น ยังคงเป็นไปตามสิทธิ 2.หลังวันที่ 23 พ.ค. 2562 หากได้รับสิทธิประโยชน์ใด ต้องคืนให้แก่ราชการ 3.ศาลรัฐธรรมนูญ มิได้ตัดสิทธิการเมืองใด ดังนั้น การทำหน้าที่หัวหน้าพรรค และ กรรมาธิการวิสามัญ จึงยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 4.คุณสมบัติที่ขัดต่อการสมัครเป็นผลต่อการสมัครครั้งที่ผ่านมา หากมีการสมัครครั้งใหม่ และได้แก้ไขเรื่องคุณสมบัติแล้ว สามารถกลับมาสมัครได้ 5.ความต่อเนื่องในเรื่องนี้ คือ คดีอาญาที่ กกต. ต้องดำเนินการต่อ ตามมาตรา 151 ของ พรป.ส.ส. สำหรับผู้ที่รู้ตัวว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังสมัคร ซึ่งโทษอาญา มีทั้งจำคุก และตัดสิทธิในการเลือกตั้งถึง 20 ปี 6.ท่อนคำวินิจฉัยที่น่ากลัวที่สุด คือ ” หากยังมีสถานะเป็นบริษัทที่จดแจ้งว่าทำสื่อ แม้ปัจจุบันไม่ทำสื่อ ก็มีโอกาสทำได้ ก็ถือเป็นสื่อ” ดังนั้น อีกกว่า 60 ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่มีบริษัทที่แม้ไม่ได้ทำสื่อ แต่ในหนังสือจดบริคณห์สนธิระบุว่า สามารถทำสื่อได้ จะถูกบรรทัดฐานนี้ในการวินิจฉัยแบบเดียวกันหรือไม่ฤดูหนาวกำลังมาเยือน Winter is coming-

“โรม”ผิดหวังหดหู่จนมือไม้สั่น-ยากที่จะรับได้

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากความเป็น ส.ส.โดยระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง และยากที่จะยอมรับ ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณธนาธรได้เคยพูดเอาไว้ “ถ้าถามผมว่าผมผิดอะไร คำตอบคือ มันไม่ใช่เรื่องหุ้นสื่อ แต่ความผิดของผม คือการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคสช.”

ผมหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจนมือไม้สั่น และยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่คุณธนาธร ได้เสียสละและทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ในการเข้ามาทำงานการเมือง แต่กลับไม่สามารถเข้าไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ยิ่งน่าเศร้าใจ หนทางนี้ไม่ง่าย ตั้งแต่เราเลือกเดิน ขวากหนามและอุปสรรคคือสิ่งที่สามารถคาดคะเนได้ในยุคสมัยที่ความหวังและอนาคตถูกสกัดกั้นทุกวิถีทาง อย่างไรก็ตามสำหรับคนชื่อธนาธร ไม่ว่าในนามของคนที่ผมเรียกว่าหัวหน้า หรือเรียกว่าพี่เอก เราจะร่วมเดินกันต่อไป ถึงไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ยังเป็นนายกฯ ได้นะพี่เอก

“ช่อ”ทวีต”ธนาธร”พ้นส.ส.อนค.เดินหน้าต่อ

นางสาวพรรณิการ์ วานิช โพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัว “Pannika Wanich” โดยมีข้อความว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายธนาธร พ้นจากตำแหน่งส.ส.เนื่องจากมีคุณลักษณะต้องห้าม เป็นผู้ถือหุ้นสื่อ อนาคตใหม่ยังเดินหน้าต่อ ธนาธรยังเป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี

และต่อมาโพส์เพิ่มเติมว่า ….แม้สิ้นสภาพ ส.ส. แต่ #ธนาธร ยังคงเป็นหัวหอกทีม #อนาคตใหม่ เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ ใครมีเบาะแสการทุจริต ใช้อำนาจในทางมิชอบของรัฐบาล ส่งมาที่ whistle@futureforwardparty.org

“เฉลิมชัย”จับมือกมธ.เซี่ยงไฮ้ร่วมมือใช้ไอทีสมัยใหม่พัฒนาเกษตร

People Unity News :  “เฉลิมชัย”จับมือ คณะกรรมาธิการเกษตรเซี่ยงไฮ้ เร่งผลักดันพัฒนาศักยภาพภาคการเกษตรร่วมกัน ผ่านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการฝึกอบรมกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ เข้าพบหารือกับคณะกรรมาธิการเกษตรเซี่ยงไฮ้ เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาภาคการเกษตรร่วมกัน โดยฝ่ายจีน แจ้งว่า เซี่ยงไฮ้ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรมาก โดยมีนโยบายหลักในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในภาคเกษตรในทุกมิติ ตั้งแต่ การบริหารจัดการน้ำและดิน การคัดเลือกพันธุ์ การปลูก การดูแลและการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ใช้พื้นที่เกษตรน้อยแต่ได้ผลผลิตมาก โดยเน้นการฝึกอบรม ให้ความรู้ แก่เกษตรกรรุ่นใหม่ การผลักดันการจ้างงาน การบริหารจัดการรายได้ให้เกษตรกรรายบุคคล และการให้สวัสดิการด้านสุขภาพต่างๆ เพื่อดึงแรงงานกลับภาคการเกษตร แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานจากปัญหา Aging Society ทั้งนี้ ยังเน้นในเรื่อง การรวมกลุ่มพื้นที่ในทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ระบบสหกรณ์ และสินค้าเกษตรปลอดภัยที่ลดการใช้สารเคมี และยาปราบศัตรูพืช

ฝ่ายไทยแจ้งว่า ไทยมีนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตร ที่สอดคล้องกับแนวทางของจีน อาทิเช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคเกษตร ผ่านการฝึกอบรมเกษตรกรที่อายุไม่เกิน 45ปี นโยบายตลาดนำการผลิต ผ่านระบบสหกรณ์ และการทำ Zoning พื้นที่เกษตร โดยฝ่ายไทยมุ่งเน้นในเรื่องสินค้าเกษตรปลอดภัย และการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ สองฝ่ายมีความยินดีที่จะมีความร่วมมือกันในด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการฝึกอบรมระหว่างเกษตรกรของสองประเทศ

“เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการให้องค์ความรู้แก่เกษตรกร ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของทั้งสองประเทศ ซึ่งสองฝ่ายพร้อมจะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในเร็ววันนี้” นายเฉลิมชัย กล่าว

Verified by ExactMetrics