วันที่ 29 พฤศจิกายน 2024

“อนุทิน”โพสต์! ถูกกัปตันเรือสั่งให้เก็บมือเก็บเท้า

People Unity News : เก็บมือเก็บเท้า! “อนุทิน”โพสต์รูปนั่งเรือกับ”บิ๊กตู่” พร้อม Caption ชวนสงสัย

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่เฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล” ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏภาพนายอนุทิน ขณะนั่งเรือร่วมกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมข้อความว่า
“ลงเรือลำเดียวกันเชื่อฟังกัปตันท่านสั่งให้เก็บมือเก็บเท้า”

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวปรากฎขึ้นหลังมีข่าวว่านายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย มีปัญหากับสื่อค่ายดัง ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ส.ส.พรรคแกนนำรัฐบาล จากกรณีที่สื่อค่ายดังนำเสนอข่าวโจมตีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ต้องแจ้งความดำเนินคดีสำนักข่าวข้างต้น และมีการนำความขัดแย้งดังกล่าวไปขยายความว่าพรรคภูมิใจไทย กำลังมีปัญหากับพรรคแกนนำรัฐบาลด้วย ซึ่งประเด็นหลัง ผู้สื่อข่าววิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้นายอนุทินโพสต์ข้อความดังกล่าว เพื่อยุติข่าวลือเรื่องความขัดแย้งในพรรคร่วม

“ธนาธร”ชะตาขาดจากส.ส.! ศาลรธน.ตัดสินเป็นผู้ถือหุ้นสื่อ

People Unity News : “ธนาธร”ชะตาขาดจากส.ส.! ศาลรธน.วินิจฉัยเป็นผู้ถือหุ้นสื่อ ยกเหตุบริษัทวี-ลัค มีเดียยังประกอบกิจการอยู่ และไม่มีหลักฐานการเปลี่ยนแปลงการโอนหุ้นให้กับมารดาที่ชัดเจน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา14.30 น. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จากกรณีถือครองหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด หรือไม่ โดยในห้องพิจารณาคดีฝ่ายกกต.(ผู้ร้อง) มีผู้อำนวยการสำนักและวินิจฉัยเข้าร่วมรับฟังคำวินิจฉัย ขณะที่ฝ่าย (ผู้ถูกร้อง) นายธนาธรเดินทางมาฟังคำวินิจฉัยด้วยตนเอง โดยมีนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา ติดตามมาให้กำลังใจด้วย ทั้งนี้ก่อนที่ศาลจะเริ่มอ่านคำวินิจฉัย เจ้าหน้าที่ศาลได้แนะนำผู้ร่วมรับฟังคำวินิจฉัยภายในห้องพิจารณา อยู่ในความสงบไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร อย่าแสดงกิริยาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพราะจะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้

จากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้มอบให้นายปัญญา อุชชาชน และนายวรวิทย์ กังศิศิเทียม เป็นตุลาการร่วมอ่านคำวินิจฉัย ความว่า คดีนี้ศาลกำหนดประเด็นต้องวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลงหรือไม่ และสิ้นสุดลงเมื่อใด โดยพยานหลักฐานเห็นว่า กกต.ได้ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 และกำหนดให้พรรคการเมืองยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครประจำเขตเลือกตั้งแต่วันที่ 4 -8 ก.พ.62 ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครในวันที่ 6 ก.พ.62 และมีชื่อนายธนาธร เป็นผู้สมัครในลำดับที่ 1 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง นายธนาธรถูกร้องว่าขาดคุณสมบัติเป็นส.ส.เนื่องจาก ถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่ 12 ม.ค.58 โดยรับหุ้นจากนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดา ) ทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้สมาชิกภาพสิ้นสุด เมื่อมีลักษณะต้องห้าม เพื่อไม่ให้ผู้เป็นเจ้าของสื่อ อาศัยความเป็นได้เปรียบ หรือความเป็นเจ้าของกิจการ เผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์หรือโทษ หรือครอบงำสื่อมวลชนทำให้สื่อไม่สามารภปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง

ข้อโต้แย้งของนายธนาธร ที่ระบุว่า กระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบ ศาลเห็นว่า มาตรา 82 วรรค 4 กำหนดให้กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นว่าสมาชิกสภาพสิ้นสุดลง โดยกกต.มีมติเมื่อวันที่ 14 พ.ค. และวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลง การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อโต้แย้งที่ 2 ซึ่งนายธนาธรระบุว่า บริษัทวี-ลัค มีเดีย ไม่ได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ และได้ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.61 แต่เมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ แล้วเห็นว่า กิจการสื่อสิ่งพิมพ์หมายความรวมถึงวารสารและนิตยสารด้วย และเมื่อเจ้าของกิจการประสงค์จะเลิกกิจการต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อภายใน 30 วัน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าบริษัทวี-ลัค มีเดียไปจดแจ้งยกเลิกการพิมพ์ก่อนวันที่ 16 ก.พ. 62 ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ส่งรายชื่อผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

นอกจากนี้ บริษัมวี-ลัค มีเดีย ยังจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ แผ่นป้าย กระจายเสียงทางวิทยุ โทรทัศน์ และเคเบิ้ลทีวี งบการเงินที่ยื่นต่อกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รอบปี 59, 60 และ 61 ก็ระบุว่ามีรายได้จากการโฆษณา ดังนั้นแม้ว่าบริษัทวี-ลัคมีเดียจะอ้างว่าหยุดกิจการ เลิกจ้างพนักงานตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.61 เป็นต้นมา และแจ้งต่อสำนักงานประกันสังคมแล้ว แต่บริษัทยังสามารถประกอบกิจการอีกเมื่อไรก็ได้ จนกว่าจะจดทะเบียนแจ้งยกเลิกกิจการ บริษัท วี-ลัคมีเดีย จึงถือเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่จนถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

ข้อโต้แย้งที่ 3 นายธนาธร อ้างว่า ในวันสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นายธนาธรไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย แล้วเพราะได้โอนหุ้นให้นางสมพร ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.62 แต่จากการไต่สวนพบว่า แบบสำนารายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ที่ยื่นต่อกรมธุรกิจการค้าในวันที่ 12 ม.ค.58 และ 21 มี.ค 62 ยังปรากฏชื่อนายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวจำนวน 670,000 หุ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 62 จึงมีการส่งสำเนาบอจ. 5 ระบุว่านางสมพรเป็นผู้ถือหุ้นดังกล่าว

ข้อชี้แจงว่า มีโอนหุ้นที่ปรากฏตามตราสารการโอนหุ้น มีลายมือชื่อ น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม น.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ เป็นพยาน และมีการจ่ายค่าตอบแทนในการโอนหุ้นจำนวน 6.7 ล้านบาท เป็นเช็คธนาคารกรุงศรีฯ ลงวันที่ 8 ม.ค.62 สั่งจ่ายนายธนาธร ต่อมามีการโอนหุ้นให้นายทวี จรุงสถิตพงศ์ และโอนกลับคืนให้นางสมพร โดยไม่มีค่าตอบแทน ทำให้ต้องวินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่านายธนาธรโอนหุ้นจริงหรือไม่ โดยพบว่าในทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จะมีการส่งรายชื่อตามบอจ. 5 ให้กรมธุรกิจการค้าโดยเร็ว เป็นปกติทุกครั้ง เช่น ในปี 52 จัดส่งบัญชีภายในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น หรือในการประชุม ปี 58 ก็จัดส่งบัญชีภายในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นการโอนหุ้นของนางสมพรให้นายธนาธร แต่การโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค.กลับไม่ปรากฏการส่งสำเนาบอจ.5 ทั้งที่เป็นหลักฐานสำคัญในการเข้าสู่การเมืองของนายธนาธร ซึ่งผิดปกติไปจากที่ผ่านมา ทั้งที่มีความสำคัญต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะจะทำให้มีลักษณะต้องห้าม

แม้ฝ่ายของนายธนาธรจะแก้ข้อกล่าวหา โดยให้เหตุผลว่า ไม่ได้ส่งสำเนาบอจ. 5 ในทันที เพราะมีการเลิกจ้างพนักงาน จึงไม่มีนักบัญชีมาติดตามจัดการหลักฐานทางทะเบียน ดังเช่นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การของน.ส.ลาวัลย์ ที่ระบุว่า สามารถทำได้ถ้ามีคำสั่งให้ทำ เพราะน.ส.ลาวัลย์มีหน้าที่แจ้งแบบสำเนาบอจ. 5 อยู่แล้ว ประกอบกับการยื่นเอกสารดังกล่าว สามารถกระทำได้โดยไม่มีความยุ่งยาก โดยบริษัทวี-ลัค มีเดีย จัดส่งสำเนาบอจ. 5 งบดุล ทางอิลเล็กทรอนิกส์ มาตั้งแต่ปี 59-61

ส่วนประเด็นที่นางสมพรสั่งจ่ายเช็คค่าหุ้นวงเงิน 6,750,000 บาท แต่กลับนำเช็คไปขึ้นเงินตรงกับวันที่กกต. ส่งคำร้องให้ศาลวินิจฉัย ซึ่งเป็นเวลานานถึง 128 วัน ทั้งที่ประมวลกฎหมายแพ่ง กำหนดให้ผู้ทรงเช็คมีหน้าที่นำเช็คไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ขึ้นเงินภายใน 1 เดือน กรณีเช็คต่างเมืองให้เวลา 3 เดือน โดนคดีนี้เป็นเช็ค ธนาคารกรุงศรีอยุธยา อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เจ้าของเช็คจึงมีหน้าที่นำไปขึ้นเงินภายในวันที่ 8 ก.พ.62 และเมื่อตรวจสอบย้อนหลัง 3 ปี พบว่า เช็ควงเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป บริษัทวี-ลัค มีเดีย จะเรียกเก็บเงินภายใน 42-45 วัน แต่ในการเรียกเก็บเช็ค ฉบับลงวันที่ 8 ม.ค.62 กลับใช้เวลาถึง 128 วัน ส่วนเช็คบางฉบับที่ใช้เวลา 98 วันในการขึ้นเงิน ก็มียอดเงินเพียง 27,000 บาทเท่านั้น ข้ออ้างที่ นางรวิพรรณเบิกความว่าไม่สะดวกจะนำเช็คไปขึ้นเงิน เพราะต้องดูแลบุตรซึ่งเป็นเด็กทารก รวมถึงยังอ้างว่าทนายความนำเช็คต้นฉบับไปใช้ต่อสู้คดี ก็ขัดแย้งกับหนังสือของกกต. ที่ชี้แจงต่อเลขากกต. ว่า นายธนาธรส่งสำเนาเช็คมาชี้แจงเท่านั้นไม่ได้ส่งเช็คต้นฉบับมาแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่านางรวิพรรณสามารถนำเช็คเข้าบัญชีได้ตั้งแต่ 9 ม.ค. 62 ข้อโต้แย้งจึงไม่มีน้ำหนัก เชื่อถือไม่ได้ เพราะเป็นเช็คขีดคร่อม โอนไปยังบุคคลอื่นไม่ได้ สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ เพราะนางรวิพรรณก็ไม่มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามเช็ค จึงไม่ต้องรอเวลาถึง 4 เดือนเศษ

สำหรับประเด็นที่นางสมพรโอนหุ้นให้แก่นายทวี หลานชาย แล้วต่อมาได้โอนกลับคืนนางสมพรนั้น ศาลเห็นว่า การโอนหุ้นให้และการโอนหุ้นคืน โดยไม่มีค่าตอบแทนตามที่อ้างความสัมพันธ์เครือญาติ ย้อนแย้งกับการโอนหุ้นให้กับนายธนาธรซึ่งบุตร แม้นางสมพรจะอ้างว่าต้องการให้นายทวีเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการ แต่การโอนหุ้นโดยไม่มีค่าตอบแทนทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะเอกสารต่างๆบริษัทวี-ลัคมีเดีย สามารถจัดการได้เองในภายหลัง อีกทั้งกาโอนหุ้นคืนภายในเวลา 2 เดือนเศษ โดยอ้างว่าศึกษาแล้วต้องใช้เงินลงทุนอีกหลายล้านบาท ข้อเท็จจริงส่วนนี้ขัดกับปกติวิสัยของนักลงทุนทั่วไป ที่ต้องศึกษาแผนและทดลองปฏิบัติตามแผนเสียก่อน และเมื่อเทียบกับสถานะทางเศรษฐกิจของนางสมพรแล้ว การอ้างว่ากิจการวี-ลัค มีเดีย มีหนี้สิน 10 ล้านบาท ก็ต่างจากการงบดุลที่นำส่ง โดยแจ้งว่ามีลูกหนี้เพียง 2 ล้านบาทเศษ จำนวนเงินดังกล่าวไม่ตรงกัน หนี้สินจำนวนไม่มาก การทวงถามและวิเคราะห์โครงสร้าง สามารถให้ทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการแทนได้ โดยไม่จำเป็นต้องโอนหุ้นให้หลานก็ได้ เพราะการเป็นผู้ผู้ถือหุ้นไม่มีอำนาจบริหาร ติดตามหนี้สิน หรือบริหารเงินสด การที่ผู้ถูกร้องอ้างว่าโอนหุ้นกันในวันที่ 8 ม.ค.62 โดยมีพยานบุคคลกลุ่มเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากเอกสารหลักฐานต่างๆแล้ว เห็นว่าล้วนเป็นการกล่าวอ้างเพียงให้เจือสมกับหลักฐานที่ปรากฏตาม บอจ. 5 ที่โอนหุ้นกลับคืนจากนายทวี

ส่วนข้อโต้แย้งเรื่องการการเดินทางกลับจากการปราศรัยในจ.บุรีรัมย์ มายังบ้านพักในกรุงเทพฯ ในวันที่ 8 ม.ค.62 เพื่อโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ให้กับนางสมพรนั้น แม้จะฟังได้ว่าเดินทางกลับมาจริง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่านายธนาธรอยู่ในกทม.เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามีการโอนหุ้นในวันดังกล่าวจริง เพราะการโอนหุ้นต้องพิจารณาจากหลักฐานทั้งปวง แม้ผู้ถูกร้องจะมีพยานหลักฐานมาแสดง แต่การโอนหุ้นจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อต้องจดแจ้งต่อนายทะเบียน กรณีจึงมีข้อพิรุธหลายจุด หลายประการ สอดรับแน่นหนาจากพฤติการณ์แวดล้อมมากกว่าพยานของผู้ถูกร้อง และมีน้ำหนักหักล้างพยานของผู้ถูกร้อง “ฟังได้ว่านายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ซึ่งประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ ในวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทำให้สมาชิกภาพของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 62 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้สั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้ถือว่าวันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัย หรือวันนี้ (20 พ.ย.) เป็นวันที่ตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อเลื่อนรายชื่อ ส.ส.ในลำดับถัดไปแทนตำแหน่งที่ว่างลงภายใน 7 วัน

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเช่นนี้ส่งผลมีความผิดความเป็นส.ส.จะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98(7) ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.ทันที และส่งผลให้มีการดำเนินคดีอาญาในมาตรา 151 นี้ โดยได้กำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี โดย กกต.ต้องเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป

“เด็กส้มหวาน” แห่รับ “ธนาธร”ฟังคำพิพากษาเนืองแน่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ อาคาร A ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ก่อนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย นายธนาธรได้เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยในคดีที่ กกต.เป็นผู้ร้องในกรณีหุ้นวี-ลัค มีเดีย ซึ่งนายธนาธรพร้อมทีมทนายความได้เดินทางมาถึงในเวลาประมาณ 13.30น. ก่อนเดินขึ้นห้องพิจารณาเพื่อฟังคำพิพากษา โดยบรรยากาศที่ลานห้องโถงกลางอาคาร A ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ได้มีผู้สนับสนุนและประชาชนจำนวนมากมาร่วมให้กำลังใจนายธนาธรตั้งแต่เวลาประมาณ 12.00น. พร้อมสื่อมวลชนจากทุกสำนักที่เดินทางมาทำข่าวนายธนาธรในวันนี้ โดยเมื่อนายธนาธรเดินทางมาถึง ประชาชนและผู้สนับสนุนต่างพร้อมใจกันตะโกน “ธนาธรสู้ๆ” ให้กำลังใจพร้อมมอบดอกไม้เป็นกำลังใจให้นายธนาธร ก่อนที่นายธนาธรจะกล่าวขอบคุณสั้นๆต่อผู้สนับสนุน

นายธนาธรระบุว่าตนรู้สึกตื้นตันและขอบคุณในทุกกำลังใจที่ทุกคนให้ตนในวันนี้ และอย่างที่ตนบอก ไม่ว่าจะเกิดแะไรขึ้น พรรคอนาคตใหม่จะเดินไปข้างหน้าต่อ เพราะพรรคอนาคตใหม่คือผู้คนและการเดินทางยาวไกล การเดินทางของเราจะยังไม่จบแค่ในวันนี้ ขอให้พวกเราร่วมกันเดินหน้าต่อไป

รองโฆษกพรรคเพื่อไทยจี้รัฐเร่งแก้วิกฤตว่างงาน

People Unity News : รองโฆษกพรรคเพื่อไทยจี้รัฐเร่งแก้วิกฤตว่างงาน แนะกระทรวงศึกษาปรับหลักสูตร ให้สอดคล้องกับการทำงาน เชื่อสนแต่ อาวุธยุทโธปกรณ์ ระวังไทยจะรั้งท้ายอาเซียน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นางสาวธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่ายอดคาดการณ์นักศึกษาจบใหม่ปี 2563 จะมีสูงถึง 5.24 แสนคน และอาจต้องประสบปัญหาภาวะว่างงานสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังถูกเลิกจ้าง สูงกว่า 5 แสนคน เนื่องจากหลายๆ บริษัทและโรงงานปิดตัวลงกว่าพันแห่งเพราะผลจากพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ โดยแรงงานไทยมีอยู่ประมาณ 37.6 ล้านคน คิดเป็น 56.5% ของประชากรทั้งหมด แต่แรงงานเหล่านี้กำลังจะลดลงหากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญ คาดว่าในทุกๆ ครัวเรือนอาจมีคนตกงานอย่างน้อยครอบครัวละ 1 คน

และทราบมาว่ากรมการจัดหางานเตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 70,000 อัตรา แต่หากเทียบสัดส่วนกับเด็กจบใหม่และผู้ที่ถูกเลิกจ้างงานแล้วมีจำนวนรวมกันกว่าล้านคน ในจำนวนที่เตรียมไว้นี้ เรียกได้ว่าไม่เพียงพอ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมผลักดันให้เป็นวาระเร่งด่วน

รองโฆษกพรรคเพื่อไทยยังแนะให้กระทรวงศึกษาธิการ แก้ไขหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย และสอดคล้องกับการทำงาน ไม่ใช่เรียนตามที่กระทรวงศึกษากำหนดแล้วออกมาทำงานไม่เป็น เพราะไม่ตรงสายงาน การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขหลักสูตรเพื่อให้พร้อมต่อการทำงานจะทำให้แรงงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นักศึกษาจบใหม่เป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น และเมื่ออัตราการจ้างงานสูงขึ้นจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ กระตุ้นให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นตามลำดับ

“ดิฉันขอขอบคุณคุณท่านนายกฯ ที่ขอให้คนไทยเชื่อมั่นในศรัทธาและพร้อมสู้ไปกับท่าน แต่เรื่องนี้ไม่สามารถพึ่งพาแต่ศรัทธาได้ ผู้นำควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพราะหากมัวแต่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ โดยไม่สนใจเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานของประชาชน ไม่ฟังเสียงประชาชนแล้ว ประเทศก็จะถอยหลัง จากเสือตัวที่ 5 ของอาเซียน จนตอนนี้อยู่รั้งท้าย” นางสาวธิดารัตน์กล่าว

“ชวลิต” ชี้ 10 ประยุทธ์ 10 สมคิด ก็แก้ปัญหา ศก.ไม่ได้ ถ้าไม่ปรับโครงสร้าง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งปรับปรุงการทำงานของ ครม.เศรษฐกิจ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า จะปรับอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องไปถามนายกรัฐมนตรี นั้น

นายชวลิต กล่าวว่า ตนเคยให้ความเห็นไว้หลายครั้งว่า รัฐบาลที่ผ่านมา จนถึงรัฐบาลนี้ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และปัญหาจะจมลึกไปเรื่อย ๆ จนถึงกับเคยอภิปรายในสภา ฯ เปรียบเปรยว่า ต่อให้ 10 ประยุทธ์ 10 สมคิด ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ตราบใดที่ยังไม่ปรับโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ ด้วยการแก้ไขรธน.ให้เป็นประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ขอเรียนว่า จากการลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอได้สัมผัสกับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเหล่านั้นทุกข์ยากในการดำรงชีพมากว่า 5 ปีแล้ว คนไทยจำนวนหนึ่งที่มีฐานะดี ไม่รู้หรอกว่า ความยากจน คืออะไร การมีหนี้สินครัวเรือนมากมาย นั้น ทุกข์ ยากขนาดไหนเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่มีค่าเทอมลูก ให้ลูกไปศึกษาเล่าเรียน คนเป็นพ่อ เป็นแม่ เจ็บปวดอย่างไร ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะให้เศรษฐกิจไทยพ้นวิกฤติ ท่านต้องให้อำนาจแก่ประชาชนผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน โปรดอย่าบอกว่า รธน.60 ผ่านประชามติ เพราะไม่มีประชามติที่ไหนในโลกที่กระทำท่ามกลางการใช้ ม.44 และกฎอัยการศึก หันหน้าเข้าหากัน ร่วมมือกันเถิดครับ แก้วิกฤติประเทศต้องใจกว้าง เสียสละ เพื่อให้บ้านเมือง และประชาชน อยู่รอด ปลอดภัย

เพื่อไทยพลัส เตรียมจัดกิจกรรม “เพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม”

พรรคเพื่อไทย โดยกลุ่มเพื่อไทยพลัส ออกคลิปวีดีโอรายการสั้น รายการ เพื่อไทยพลัส : เพื่อไทยยุคใหม่แข็งแกร่งกว่าเดิม” รายการที่จะพาทุกคนลงพื้นที่เจาะลึกถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยมีส.ส. หรือสมาชิกเพื่อไทยพลัส ร่วมรับฟังปัญหา และนำไปสะท้อนเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา

พร้อมเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” ในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทั้งนี้ภายในงานจะมีการปาฐกถาในหัวข้อ “เพื่อไทยยุคใหม่ ประชาชนคิด เพื่อไทยทำ” โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและจะมีการจัดกิจกรรมสำรวจความคิดเห็นแบบกลุ่ม หรือ โฟกัสกรุ๊ปในหัวข้อ “พรรคการเมือง และนักการเมืองที่คุณอยากเห็นเป็นอย่างไร” พร้อมทั้งกิจกรรมที่เปิดกว้างให้นักศึกษาและผู้ที่สนใจได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่สอดแทรกความรู้ด้านการเมือง ซึ่งจะมีตัวแทนดาวสภา ส.ส.และสมาชิกเพื่อไทยพลัส เข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย เช่น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, นายสุรชาติ เทียนทอง, นางสาวขัตติยา สวัสดิผล, และ นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบพรรคการเมืองในแบบของคนรุ่นใหม่ผ่านแนวคิดของเพื่อไทยพลัส ร่วมกับนักการเมืองที่มีประสบการณ์ถือเป็นการรวมพลังเตรียมความพร้อมประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ (21 พ.ย. 62) ได้ โดยสมัครผ่านทาง bit.ly/ptplus01 หรือ สถานที่จัดงานได้ตั้งแต่เวลา 13.30 – 17.30 น.

“ธนาธร”พบ”ส.ส. – ทีมงานอนค.” ก่อนเข้าห้องฟังศาลรธน.ชี้ชะตา

People Unity News :  “ธนาธร” พบ “ส.ส. – ทีมงานอนาคตใหม่” มั่นใจหลังคำวินิจฉัยศาล รธน. ได้กลับมาร่วมประชุมสภา – ทันโหวตกฎหมายสำคัญ ย้ำวิธีปกป้องพรรคที่ดีที่สุดคือ “ทำผลงานให้ปรากฏ”

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องทำงานพรรคอนาคตใหม่ รัฐสภา (เกียกกาย) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมมาธิการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 ก่อนที่จะเดินทางไปรับฟังคำวินิจฉัย คดีถือครองหุ้นสื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้มาพบปะพูดคุยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรค ท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับให้กำลังใจดังกระหึ่ม โดยนายธนาธร กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ มั่นใจในพยานหลักฐานของเรา ก็หวังว่าวันนี้ในช่วงบ่ายตนจะได้กลับเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมประชุมกับทุกท่านและได้ร่วมโหวตทันในช่วงบ่ายวันนี้

“อย่างที่ย้ำเสมอว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่ธนาธร พรรคอนาคตใหม่คือพวกเรา พรรคอนาคตใหม่คือผู้คน พรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง เรามุ่งมั่นที่จะทำงานต่อไป ในการปกป้องพรรคได้ดีที่สุดคือการทำงานของเราทุกคน ไม่ว่าจะ ส.ส. ไม่ว่าจะทีมงานพรรค ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ให้พี่น้องเห็นถึงความตั้งใจ ทำผลงานให้ปรากฎ ทำนโยบายให้เป็นรูปธรรมๆได้ นั่นคือการปกป้องพรรคที่ดีที่สุด ขอให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำให้การเดินทางสดใสสวยงาม มีความหมาย เปี่ยมด้วยพลัง เดินหน้าทำงานกันเป็นทีม เพราะเพียงคนเดียวไม่มีใครพาอนาคตใหม่มาถึงนี่ได้ บ่ายวันนี้หวังว่าผมจะได้กลับมาเจอกับทุกคนอีกที่สภาฯ” นายธนาธร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการพูดคุยกับ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และหลังพูดจบก็ได้จับไม้จับมือขอบคุณ จากนั้นได้ร่วมเขียนข้อความบนสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์พรรคซึ่งติดอยู่ตรงประตูห้อง ซึ่งได้มีการติดวันนี้เป็นวันแรก โดยนายธนาธรได้เขียนข้อความว่า “อนาคตใหม่คือผู้คนและการเดินทาง” จากนั้น นายธนาธรได้ไปขึ้นรถก่อนเดินทางต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่เตรียมตัวประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งจะมีขึ้นในช่วงบ่าย

“วัฒนา”ถามไม่ชอบกันอีกหรือ นั่งที่ปรึกษา”เสรีพิศุทธ์”ฟรี

People Unity News :  “วัฒนา”ถามไม่ชอบกันอีกหรือ นั่งที่ปรึกษา”เสรีพิศุทธ์”ฟรี ยันประธานกมธ.ปราบโกงมีอำนาจตั้ง ยันไม่กระทบคดีในศาลฏีกา เหตุรธน. ม.129 คุ้มครองไว้แล้ว

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายวัฒนา เมืองสุข ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช.แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ว่า การแต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ.เป็นอำนาจโดยตรงของประธาน กมธ.ไม่จำเป็นต้องให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าตนเองยังมีคดีอาญาในศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายวัฒนากล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญมาตรา 129 วรรค4 กมธ.มีอำนาจเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำชี้แจง ยกเว้นผู้พิพากษาและองค์กรอิสระ ดังนั้นตนเองจะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาประธาน กมธ. ก็ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวได้คุ้มครองไว้แล้ว อีกทั้งรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ปรึกษาประธาน กมธ.ดังกล่าวได้

“ผมเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนไม่มีเบี้ยเลี้ยง ไม่มีค่าน้ำมันรถ เบิกค่าน้ำมันไม่ได้ ผมมาทำงานฟรีๆเพื่อการตรวจสอบให้กับประชาชน ไม่ชอบกันเหรอที่มาทำงานให้ฟรีๆ“นายวัฒนากล่าว

“อนุสรณ์” ได้ที เย้ย หน.-ลูกน้อง ทีมเศรษฐกิจ โดดหนีตายกันวุ่น

People Unity News :  “อนุสรณ์” ชี้ หน.-ลูกน้อง ทีมเศรษฐกิจ โดดหนีตายกันวุ่น ประชาชนเดือดร้อนหนัก

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โยนให้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุ จะยกเครื่องครม.เศรษฐกิจอย่างไร เพราะไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่า สภาพวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้ ทั้งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ทั้งลูกน้อง ยิงลูกโดดหนีตายกันหมด โทษกันไป โทษกันมา แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกไปวันๆ เพื่อให้รัฐบาลอยู่ให้ได้นานที่สุด แต่ประชาชนที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เดือนร้อนจริง ได้รับผลกระทบหนักจริง รัฐบาลที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนโดยกองทัพหลายรัฐบาล ไม่มีความสามารถด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะขาดความรู้ ความเข้าใจ เฉพาะปัญหาโรงงานปิดตัวพันกว่าแห่ง ทำคนตกงานจำนวนมาก ไม่นับรวมคนว่างงานก่อนหน้านี้ นักศึกษาที่กำลังจะตกงานเพิ่มอีก 500,000 คน พล.อ.ประยุทธ์ ทำได้เพียงสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องไปหาวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการใด และจะช่วยลดผลกระทบผู้เดือดร้อนได้หรือไม่ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจากต่างพรรค ก็ทำงานตามระบบราชการปกติ ไม่มีมาตรการเชิงรุกใดๆทั้งสิ้น

“พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ จะเรียกคืนความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจอย่างไร ถ้าทำได้แค่นี้ ไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนน่าจะดีกว่า” นายอนุสรณ์ กล่าว

“เสรีพิศุทธ์”ยันมีอำนาจแต่งตั้งที่ปรึกษา เมิน “สิระ” ฟ้องหมิ่น

People Unity News : “เสรีพิศุทธ์” ยันมีอำนาจแต่งตั้งที่ปรึกษา เมิน “สิระ” ฟ้องหมิ่น ยันเสนอปลดออกจากประธานกมธ.ป.ป.ช.ไม่ได้ เป็นไปตามโควตา จ่อขอมติที่ประชุมใช้พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ “ประยุทธ์-ประวิตร”

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา 08.45 น. ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามในเอกสารแต่งตั้งที่ปรึกษาของประธานกมธ. ล่วงหน้า อีกทั้งในหนังสือดังกล่าวยังอ้างมติของคณะกมธ. ว่า คนส่วนใหญ่ทำงานมาน้อยก็จะไม่เข้าใจขั้นตอนการทำงานของตนที่ต้องการความรวดเร็วและที่ทำไปก็เพื่อที่ปรึกษาได้เข้ามานั่งทำงานได้ทันทีในวันนี้ ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกสัปดาห์หนึ่ง คำสั่งแต่งตั้งข้าราชการก็ทำล่วงหน้าแบบนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นอำนาจแต่งตั้งของตน ไม่จำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุม แต่ตนให้เกียรติคณะกมธ. รวมทั้งให้กมธ.ของแต่ละพรรคการเมืองส่งตัวแทนของตนมา จึงได้เห็นชื่อของนายวัฒนา เมืองสุข เพราะพรรคเพื่อไทยเสนอ เช่นเดียวกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ฟ้องหมิ่นประมาท เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าได้ตำแหน่ง ส.ส. เพราะซื้อเสียง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ชี้แจงว่า ไม่มีปัญหาอะไร ที่แสดงความคิดเห็นไปนั้นเป็นการกระทำที่สุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม จึงไม่ผิดกฎหมาย

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้รับหนังสือจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ นร 0404/11582 ลงวันที่ 18 พ.ย.เพื่อขอแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นต่อคณะกมธ.ในวันที่ 20 พ.ย.ออกไป โดยพล.อ.ประยุทธ์ ระบุในหนังสือว่า เนื่องจากมีภารกิจ จึงไม่สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ จึงขอแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนยังได้หนังสือจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ นร 403 (กร.1) / 11573 ลงวันที่ 18 พ.ย. เพื่อขอแถลงข้อเท็จจริงและความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากติดราชการไม่สามารถมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นต่อคณะกรรมาธิการด้วยตนเองได้ โดยมอบหมายให้นายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเป็นผู้นำส่งเอกสารคำแถลงข้อเท็จจริง และความเห็นต่อคณะกรรมาธิการฯ ประกอบการชี้แจงให้ข้อมูลในวันที่ 20 พ.ย.ต่อไป

“เมื่อพล.อ.ประยุทธ์มีหนังสือมาเช่นนี้ก็พร้อมจะรับไว้ และจะแจ้งต่อที่ประชุมคณะกมธ.ต่อไป ส่วนจะใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 อีกครั้งหรือไม่นั้น ยังเป็นประเด็นที่ไม่อาจพูดล่วงหน้าได้ เพราะต้องขอมติจากที่ประชุมก่อน เพื่อให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ต้องเชิญพล.อ.ประยุทธ์ เพราะนายกฯเป็นผู้นำกล่าวคำถวายสัตย์เพียงคนเดียว จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่อาจสอบถามรัฐมนตรีคนอื่นได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการพยายามของฝ่ายรัฐบาลในการจะปลดตนเองออกจากการเป็นประธานคณะกมธ.นั้น อยากจะขออธิบายว่าคณะกมธ. 35 คณะตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร และตำแหน่งประธานคณะกมธ.เป็นเรื่องที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านได้หารือกันมาแล้ว โดยจัดสรรให้ตามสัดส่วนของส.ส.แต่ละพรรค ซึ่งประธานคณะกมธ.ชุดนี้เป็นสัดส่วนของพรรคเสรีรวมไทย เป็นเหมือนสมบัติของพรรคเราใครก็เอาไปไม่ได้ ต่อให้ 14 คนในกมธ.เสนอปลดก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมันเป็นโควตาของพรรค การเสนอจะให้ปลดแบบนี้เหมือนเป็นการปล้นกัน

“สมคิด” ให้ถาม “บิ๊กตู่” ปรับการทำงาน ครม.เศรษฐกิจ แนะต้องคุยกันให้มากขึ้น

People Unity News : “สมคิด” ให้ถาม “บิ๊กตู่” ปรับการทำงาน ครม.เศรษฐกิจ แนะต้องคุยกันให้มากขึ้น ระบุตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมแล้ว

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา 08.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งปรับปรุงการทำงานของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ว่า นายกฯ บอกว่า ครม.เศรษฐกิจต้องปรับการทำงานให้มากกว่านี้ ส่วนจะปรับอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของตน ต้องไปถามนายกรัฐมนตรีเอง

เมื่อถามว่ามาตรการเพิ่มเติมที่นายกฯ อยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นมากกว่านี้ ได้มีการเตรียมเพิ่มหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามนายกฯ และต้องไปถามกระทรวงการคลัง เพราะตนไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เมื่อถามย้ำว่านายกฯ ได้ให้แนวทางอย่างไรบ้าง ในฐานะที่นายกฯเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายสมคิด กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องไปถามนายกฯ

เมื่อถามอีกว่าตอนที่นายกฯ สั่งปรับการทำงานของ ครม.เศรษฐกิจ ได้มีการมาปรึกษาก่อนหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า คุยกันใน ครม.แต่ตนไม่ได้ยินว่านายกฯ จะให้ปรับการทำงาน แต่บอกว่า ครม.เศรษฐกิจควรที่จะพูดจากันให้มากขึ้นกว่านี้ ส่วนจะมีการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันที่ 22 พฤศจิกายนหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ต้องถามนายกฯ

โฆษณา

ลุ้นบ่ายสองโมงวันนี้! ศาลรธน.ชี้ชะตา “ธนาธร”

People Unity News : ลุ้นบ่ายสองโมงวันนี้! ศาลรธน.ชี้ชะตา “ธนาธร” หากรอดได้ปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไม่รอดถูกส่งดำเนินคดีตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ติดคุก 1-10 ปี เพจเฟซบุ๊กพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความในหัวข้อ “9 ข้อควรรู้ ก่อนฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีวีลัคของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่”

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20พ.ย.) เวลา 14.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดฟังคำวินิจฉัยสถานภาพ ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.หรือไม่

ทั้งนี้ หากศาลวินิจฉัยว่า นายธนาธร ไม่มีความผิด ก็สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้ตามปกติ แต่หากศาลมีคำวินิจฉัยชี้ว่า มีความผิดความเป็นส.ส.จะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (7) ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.ทันที หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายธนาธร มีความผิด อาจส่งผลให้มีการดำเนินคดีอาญาในมาตรา 151 นี้ โดยได้กำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี โดย กกต.ต้องเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป

อย่างไรก็ตามเพจเฟซบุ๊กพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ “9 ข้อควรรู้ ก่อนฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีวีลัคของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่” ว่า 1.หากนับระยะเวลาตั้งแต่ขั้นตอนรับเรื่องร้องเรียนของ กกต. ไปจนถึงวันที่ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการทั้งหมดของ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ใช้เวลา 417 วัน ส่วนของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ใช้เวลา 53 วัน 2.ในบรรดา ส.ส. และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดที่ถูกร้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาธร ส.ส. ทั้งฝั่งรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือรัฐมนตรีรวมแล้วอีกหลายสิบคน มีเพียงธนาธรคนเดียวเท่านั้นที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

3.กกต ยังไม่ได้สอบปากคำพยานที่ลงลายมือชื่อในตราสารโอนหุ้นสักปาก ขณะที่ ปพพ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) กำหนดบทสันนิษฐานให้ข้อความในตราสารและสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นถือว่าถูกต้องเป็นจริง แต่ กกต.ไม่ได้แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อหักล้างบทสันนิษฐานทางกฎหมายดังกล่าว การสอบสวนไต่สวนในชั้น กกต.ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ กกต. กลับเร่งยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 4.ธนาธรได้โอนหุ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 ก่อนการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ และจวบจนบัดนี้ ยังไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาหักล้างบทสันนิษฐานความถูกต้องแท้จริงแห่งการโอนหุ้นดังกล่าวได้เลย

5.ในคดีนายดอน ได้มีการส่งหลักฐานบางชิ้นหลังการสืบพยานในศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญเรียกสอบพยานของดอนเพียง 3 ปาก และศาลเชื่อว่ามีการโอนหุ้นจริง ส่วนธนาธรโดนเรียกไต่สวนทั้งหมด 10 ปาก 6.บริษัท วีลัค มิได้ประกอบกิจการเป็น “สื่อมวลชน” หากแต่วีลัคเป็นกิจการรับจ้างตีพิมพ์เท่านั้น อาทิ รับจ้างตีพิมพ์นิตยสารที่แจกบนเครื่องบิน และวีลัคยังไม่มีอำนาจควบคุมเนื้อหาหรือแม้แต่ตีพิมพ์นิตยสารโดยพลการด้วย เพราะเป็นอำนาจของผู้ว่าจ้าง 7.บริษัท วีลัค ได้แจ้งหยุดกิจการต่อสำนักงานประกันสังคมแล้วตั้งแต่มกราคม 2562 บริษัทไม่มีผลิตภัณฑ์ สินค้า และพนักงาน ตั้งแต่ก่อนธนาธรสมัคร ส.ส. ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562

8.เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คือต้องการไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอิทธิพลอำนาจหรือควบคุมสื่อมวลชนเพื่อนำไปเป็นคุณต่อตนเองและเป็นโทษต่อคู่แข่งทางการเมือง คำถามที่น่าสนใจคือ กระบวนการทั้งหมดที่พยายามเอาผิดกับธนาธรนั้นตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้วหรือไม่? 9.ในขณะที่ธนาธรและ ส.ส. อีกหลายสิบคนกำลังร้อนๆ หนาวๆ ว่าบริษัทของตนเองที่แม้ไม่ได้ทำสื่อจริง แต่มีเขียนระบุไว้ในบริคณห์สนธิว่าประกอบกิจการสื่อด้วยนั้นจะมีความผิดหรือไม่ แต่ยังมี ส.ส. คนหนึ่งที่นั่งสบายใจในสภาเพราะไม่ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ทุกคนในประเทศก็รู้ดีว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้สื่อมวลชนเครือหนึ่งเพื่อเป็นคุณแก่พรรคพวกตนเองและเป็นโทษต่อคู่แข่งทางการเมืองอย่างประจักษ์ชัด

มท.2 ยกนครศรีฯเป็นจังหวัดต้นแบบการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

People Unity News :  “นิพนธ์” มั่นใจตำบลขับขี่ปลอดภัย ลดตายได้แน่นอนหากทุกฝ่ายร่วมมือ หลังดูต้นแบบตำบลขับขี่ปลอดภัย อบต.ท่าซัก นครศรีฯ

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ในการติดตามการดำเนินงานปัองกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนระดับพื้นที่ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีนายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการจากทุกภาคส่วน เจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นครศรีธรรมราช รวมถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเพื่อรับทราบนโยบาย ณ ห้องประชุม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการ ตำบลขับขี่ปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการลดการสูญเสียบนท้องถนน โดยการบูรณาการร่วมกันจากทุกภาคส่วน โดยการให้จังหวัดกำหนดการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระสำคัญ ที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังในทุกระดับ โดยใช้กลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด และศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับอำเภอ เป็นกลไกหลักในการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล ท้องถิ่น อำเภอ จนถึงระดับจังหวัดให้เกิดเป็นรูปธรรม และมีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นายนิพนธ์ กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของจังหวัดหนึ่งที่สามารถลดการสูญเสียชีวิต ให้อยู่ในเป้าหมายได้ โดยกระบวนการขับเคลื่อนของชุมชน โดยการดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อลดการสูญเสียในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ขณะนี้ทางรัฐบาลพุ่งเป้าไปที่ตำบล และท้องที่มากขึ้น ซึ่งโมเดลอย่างนี้มันตรงเป้าหมายในเรื่องของตำบลขับขี่ปลอดภัย วันนี้จึงเดินทางมามอบนโยบาย และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่ดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ที่เป็นแบบนี้ได้ทุกจังหวัดของประเทศ ผมเชื่อว่าจะสามารถลดการสูญเสียชีวิตบนท้องถนน ถึงกว่า 22,000 ราย และพิการอีกกว่า 4 หมื่นถึง 5 หมื่นรายต่อปี ซึ่งวันนี้ถ้าทุกฝ่ายไม่ร่วมมือกัน ก็ยากที่จะแก้ไข วันนี้จึงเป็นการเริ่มขับเคลื่อน ตำบลขับขี่ปลอดภัย เพราะเห็นตัวเลขชัดเจนแล้วว่า ถนนทั้งหมดที่มีอยู่ ที่ใช้สัญจรไปมา และอยู่ในความรับผิดชอบของทางหลวงชนบท ราว 48,000 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบของทางหลวงประมาณ 51,000 กิโลเมตร แต่อยู่ในความรับผิดชอบของท้องถิ่นทั้งหมดกว่า 590,000 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นถ้าคิดเป็นสัดส่วนมีถึง 86 เปอร์เซ็นต์ เป็นถนนที่ใช้ยานพาหนะสัญจรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วันนี้ถ้าเราไปดูตัวเลขการเกิดเหตุ จะเกิดในท้องถิ่นถึงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นวันนี้จึงต้องนำเอาท้องถิ่นที่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นกลไก ที่จะดูแลความปลอดภัยบนถนน โดยจะใช้ทั้งท้องที่ และท้องถิ่นร่วมกัน และบัดนี้ในเรื่องของกฏหมาย การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมิ่อต้นปีที่ผ่านมา สนช.ได้แก้ไขในอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น ให้ดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลด้านการจราจร ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป บัดนี้เราต้องใช้กลไกของตำบล กลไก สพถ.ระดับอำเภอ สพถ.ระดับจังหวัด ศูนย์อำนวยการปลอดภัยบนท้องถนนระดับจังหวัด ศูนย์ความปลอดภัยบนท้องถนนระดับอำเภอ และของท้องถิ่น ซึ่งกลไกเหล่านี้ จะเป็นกลไกหลักในการประสานงานกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้

ต่อจากนั้น 16.00 น.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะ เดินทางไปเทศบาลนครนครศรีธรรมราช เพื่อดูห้องปฏิบัติการของกล้อง CCTV ของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการกล้อง CCTV เทศบาลนครนครศรีธรรมราช รายงานสรุปถึงผลการปฏิบัติงานในส่วนของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดจนถึงการเก็บรายละเอียดของอุบัติเหตุ การวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุจากทุกทิศทาง และร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ประชุมเพื่อหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และนำไปสู่การแก้ไข เพื่อร่วมกันลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นการทำงานในเชิงรุก ทำให้จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลง

ต่อมาคณะของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปพบปะกับชุมชน ที่มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานลดอุบัติเหตุบนท้องถนนระดับพื้นที่ตำบลท่าซัก ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลท่าซัก โดยองค์การบริหารส่วนตำบลท่าซัก ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน ร่วมกับภาคีเครือข่ายตำบลท่าซัก จัดทำโครงการขับขี่ ปลอดภัย รู้วินัย ใส่ใจจราจร สู่ ท่าซักโมเดล เพื่อเป็นการลดการเสียชีวิตจาก 7 รายให้เหลือ 0 ลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางท้องถนน โดยการดำเนินงานจาก 3 ด่าน ด่านครอบครัว ด่านชุมชน ด่านโรงเรียน โดยการให้ความรู้แก่ชุมชน ด้วยการพบปะผู้นำชุมชน เพื่อประชุมชี้แจงในเรื่องของการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายจากทุกภาคส่วน ในการร่วมคิด วางแผนและดำเนินงาน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน ขับเคลื่อนผ่านระดับตำบล โดยมีทีม ศปถ. อำเภอเป็นทีมพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นการเข้าถึงผู้นำชุมชน ในอันที่จะร่วมมือ ร่วมแรง และดำเนินงานด้วยชุมชนเองอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่ความสำเร็จของโครงการ ท่าซักโมเดล

โฆษณา

Verified by ExactMetrics