วันที่ 2 เมษายน 2025

รัฐบาลเปิดรับสมัครนักเรียนชายแดนใต้ ศึกษาต่อมหาวิทยาลัย 12 แห่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2568 ยกระดับน้องๆ นักเรียนใต้ รัฐบาลเปิดรับสมัครนักเรียนชายแดนศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยปีนี้ใน 12 แห่ง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย เปิดรับสมัครนักศึกษาตามโครงการจัดส่งนักเรียนจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2568 ที่มีภูมิลำเนาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) รวม 44 ทุน ประกอบด้วย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาทต่อปี) และสาขาวิชาสังคมศาสตร์ 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาทต่อปี) โดยมีมหาวิทยาลัยที่จะรับนักศึกษาตามโครงการฯ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

สำหรับคุณสมบัติผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ มีดังนี้ 1. สัญชาติไทย และเป็นผู้มีความเลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีภูมิลำเนาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานีจังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์นับถึงวันที่รับสมัคร 2. บิดา หรือมารดา หรือผู้ปกครอง ของผู้สมัคร มีภูมิลำเนาปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวีและอำเภอสะบ้าย้อย) ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันที่รับสมัคร 3. เป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่เกิน 1 ปีการศึกษาหรือกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) และมีระยะเวลาการศึกษาในสถานศึกษาดังกล่าวติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ภาคการศึกษา 4. มีผลการเรียนดี และมีความประพฤติดี โดยมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่สำเร็จการศึกษา 5. เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมีหนังสือรับรองฐานะทางครอบครัวจากอำเภอที่ผู้สมัครมีภูมิลำเนาอยู่ 7. ไม่เป็นผู้เคยถูกคัดชื่อออกจากสถานศึกษาใด ๆ 8. ไม่เป็นผู้กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐในระบบปิด 9. มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่มหาวิทยาลัยที่คัดเลือกเข้าศึกษานั้น ๆ กำหนด และ 10. ไม่เป็นผู้ที่กำลังรับทุนหรือเคยได้รับทุนตามโครงการฯ นี้มาก่อน

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์สมัครรับทุนการศึกษาตามโครงการฯ สามารถศึกษารายละเอียดของโครงการจากประกาศกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งศึกษาคุณสมบัติทางการศึกษาและเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกตามแต่ละคณะ สาขาวิชาที่ทางมหาลัยกำหนดโดยละเอียด ได้ที่ https://multi.dopa.go.th/gacd/news/cate6/view31 ตั้งแต่วันที่ นี้ไปจนถึง 5 มีนาคม 2568

Advertisement

อธิบดีกรมที่ดิน ยันสนามกอล์ฟปากช่อง ออกเอกสารสิทธิถูกต้อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 อธิบดีกรมที่ดิน ยันที่ดินสนามกอล์ฟปากช่อง “อนุทิน” ออกเอกสารสิทธิถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ชี้การเพิกถอน ต้องตรวจสอบ น.ค.3 ก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ บอกกรมที่ดินไม่ได้ลอยตัว แต่เกี่ยวเรื่องพื้นที่ซ้ำซ้อน ไม่หนักใจ เพราะทุกอย่างตามกฎหมาย

นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการออกเอกสารที่ดิน น.ค.3 ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ว่า ข้อมูลจริงๆ อยู่ที่ผู้จัดนิคม ในส่วนที่กรมที่ดินเกี่ยวข้องด้วย พื้นที่ที่กรมที่ดินได้ออกโฉนดไปมีทั้งหมด 4,500 แปลง เป็นพื้นที่กว่า 25,000 ไร่ รวมถึงได้มีการออก น.ส.3 ก. ประมาณ 217 แปลง 2,600 กว่าไร่ รวมทั้งหมดประมาณ 4,700 แปลง ที่มีการออกเอกสารสิทธิตามอำนาจหน้าที่ของกรมที่ดิน ถ้าคิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดก็ไม่ถึง 30,000 ไร่ ประมาณ 28,000 ไร่

เมื่อถามว่า ในส่วนที่ดินในพื้นที่สนามกอล์ฟปากช่อง และพื้นที่แข่งรถ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย คาบเกี่ยวกับพื้นที่ ส.ป.ก. กี่ไร่ และมีการออกโฉนดแล้วกี่ไร่ นายพรพจน์ ยืนยันว่า เอกสารสิทธิที่ออกโดยกรมที่ดิน ทั้งโฉนดและ น.ส.3 ก. ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น เป็นโฉนดและเอกสารสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในส่วนของสนามกอล์ฟและสนามแข่งรถ เป็นพื้นที่ของการนิคมที่มีการจัดนิคม เอกสารสิทธิที่ออกมา ออกมาโดยพื้นฐานของ น.ค. 3 ที่นิคมได้ดำเนินการจัด ซึ่งหลักเกณฑ์พิจารณาในการออกเอกสารสิทธิ ถ้ามี น.ค.3 มา กรมที่ดินจะถือว่ามีการรับรองจากภาครัฐ ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินการอยู่ โดยจะต้องสอบถามไปยังผู้จัดนิคมว่ามีการใช้ประโยชน์เช่นเดิมหรือไม่ ยินยอมให้ออกโฉนดได้หรือไม่ ถ้ามีหลักฐานยืนยันมา กรมที่ดินก็ยืนยันตามกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ ดังนั้นยืนยันว่า ที่ดิน 4,500 แปลง ที่เป็นโฉนดที่ดิน กับ 217 แปลงที่เป็น น.ส.3 ก. กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิตามแนวทางในการดำเนินการระหว่างกรมที่ดินและผู้จัดตั้งนิคมอย่างถูกต้อง

เมื่อถามถึงกรณีที่อาจถูกมองว่าเป็นการฟอกขาวที่ดินให้เอกชน นายพรพจน์ กล่าวว่า ต้องไปดูที่มาของการจัดตั้งนิคม โดยพื้นที่ที่เป็นปัญหาอยู่ในเขตที่มีการขยาย ซึ่งทำถูกต้องตามกฎหมายตามที่นิคมได้ดำเนินการ เพียงแต่มีพื้นที่คาบเกี่ยวกับ ส.ป.ก. ซึ่งมีความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อปี 2548 ว่าถ้ามีการจัดนิคมเข้าไปในพื้นที่ ส.ป.ก. ไม่สามารถทำการปฏิรูปเพื่อการเกษตรกรรมได้ ดังนั้น มีความจำเป็นที่ ส.ป.ก. จะยกที่ให้การจัดตั้งนิคมตามวัตถุประสงค์ พร้อมยืนยันว่า ในการจัดพื้นที่ซ้ำซ้อน กรมที่ดินไม่ได้ลอยตัว เพียงแต่กรมที่ดินไม่ได้เกี่ยว เพราะในพื้นที่ซ้ำซ้อนเป็นพื้นที่นิคมกับ ส.ป.ก. จึงต้องเคลียร์ตรงนี้ เเละกรมที่ดินเป็นปลายทางในการออกเอกสารสิทธิ์ตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า หาก ส.ป.ก.มาทวงพื้นที่คืน จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมที่ดินด้วย นายพรพจน์ กล่าวว่า จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ขั้นแรกคือ ต้องบอกว่าทำไมถึงมีการจัดนิคม ให้ประชาชนผู้ยากไร้มีสิทธิ์ทำกินในที่ดินของนิคม ถ้าบอกว่าน.ค. 3 ที่มาจากนิคมไม่ถูกต้อง ก็ต้องไล่มาถึงกรมที่ดินในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีหลายกรณีที่น.ค.3 ไม่ถูกต้อง กรมที่ดินก็ทำตามขั้นตอน จึงต้องพิสูจน์ทราบว่าก่อนว่าน.ค.3 ที่มายื่นถูกต้องหรือไม่

เมื่อถามว่า กรณีที่ดินที่ถูกเพิกถอน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเยียวยาเอกชน นายพรพจน์ กล่าวว่า ถ้ามีการเพิกถอน ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ประชาชนก็จะต้องอุทธรณ์ผู้ออกคำสั่ง นั่นคือฟ้องกรมที่ดิน

เมื่อถามว่า กรณีที่ดินสนามกอล์ฟปากช่องของนายอนุทิน มองว่าไปถึงขั้นเพิกถอนหรือไม่ นายพรพจน์ กล่าวว่า ยังต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ก่อนว่า น.ค.3 ที่เป็นพื้นฐานของการออกเอกสารสิทธิถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีรายละเอียดพอสมควร และไม่ได้เพิ่งเกิดปัญหา ประชาชนหลายพันครัวเรือนมีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่ หากความเชื่อมั่นในโฉนดที่ออกมา มีการถามไปที่ผู้จัดตั้งนิคมว่าจะมีแนวทางชัดเจนอย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีการหารือกันว่า จริงๆ ต้องไปที่สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ ที่เป็นผู้จัดวางนโยบาย เพื่อดูภาพรวมของการจัดที่ดิน ซึ่งถ้ามาจริงๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชนเยอะ

เมื่อถามว่า ในฐานะข้าราชการหนักใจหรือไม่ เพราะดูเหมือนต้องรับจบ ทั้งปัญหาที่ดินอัลไพน์ เขากระโดง และสนามกอล์ฟปากช่อง นายพรพจน์ ยืนยันว่า ทุกอย่างทำตามพื้นฐานของกฎหมายและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปก็พร้อมรับ แต่ตอนนี้ขอยืนยันว่า แนวทางในการออกเอกสารสิทธิในแต่ละยุคแต่ละสมัยมีระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่เหมือนกัน แต่กรมที่ดินดำเนินการถูกต้องตามที่ต้องทำ ตามวิสัยที่ข้าราชการที่ดีพึงกระทำ

นายพรพจน์ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ต้องไปดูต้นเรื่องที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพราะมีประวัติศาสตร์อยู่ ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ คือประชาชน ในการทำธุรกรรมในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่เคยหารือในกรมที่ดิน เพราะผู้เกี่ยวข้องจริงๆ คือผู้จัดตั้งนิคม ถ้าถามกรมที่ดินอย่างเดียว หรือกระทรวงมหาดไทย อาจจะไม่ครบถ้วน เพราะเกี่ยวพันหลายหน่วยงาน ก่อนย้ำระเบียบการออกโฉนดว่าถ้ามี น.ค.3 กรมที่ดินออกโฉนดได้อย่างเดียว เพียงแต่เพื่อความชอบธรรมก็มีแนวทางปฏิบัติ ให้สอบถามไปยังผู้จัดนิคมก่อน หากได้รับการยืนยัน กรมที่ดินก็ออกโฉนดให้ ไม่สามารถปฏิเสธประชาชนได้ เพียงแต่หลังโฉนดไม่ได้มีการสลักว่าต้องทำประโยชน์อย่างไร แต่มีพื้นฐานว่าเปลี่ยนมาจาก น.ค.3 แค่นั้นเอง ซึ่งอาจจะเป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน ที่ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตนได้แถลงข่าวไปแล้ว และการทำงานของกรมที่ดิน

Advertisement

โฆษก รบ. เผย “โอเค..เบตง” นักท่องเที่ยวแน่นเมือง ดันซอฟต์พาวเวอร์ท้องถิ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 กุมภาพันธ์ 2568 “จิรายุ” บอก “โอเค..เบตง” นักท่องเที่ยวแน่นเมือง หลังลงพื้นที่เก็บข้อมูลให้ ครม. พิจารณา ด้านชาวเบตงฝากหนุนสนามบินใหม่ที่เปิดแล้วแต่บินพาณิชย์หยุดมาตั้งแต่ปี 66 หวังเพิ่มนักท่องเที่ยวเข้าเบตงมากขึ้น พร้อมขอดันซอฟต์พาวเวอร์อาหาร วัฒนธรรมขึ้นชื่อ ดันเศรษฐกิจภาคใต้พุ่ง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสวัสดิการของกองทัพฯ พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังข้อมูล เพื่อนำเสนอก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดสงขลา ในวันอังคารนี้

โดยวันนี้ (16 ก.พ.) ได้เดินทางเข้ารับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะบริเวณชายแดน ไทย-มาเลเซีย และอำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยได้พบปะกับผู้แทนของภาคเอกชน ส่วนราชการด้านความมั่นคงและผู้แทนของปกครองท้องถิ่นและผู้แทนของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในการพัฒนาพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการท่องเที่ยวชายแดนไทย- มาเลเซีย ซึ่งพบว่าชาวอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ขอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาลงที่สนามบินเบตงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหลังจากยกเลิกเที่ยวบินมาเบตงตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน เพื่อเพิ่มช่องทางการขนส่งทั้งผู้โดยสารและ สินค้า

ขณะที่สถานการณ์ทั่วไปในพื้นที่อำเภอเบตง พบว่าเป็นไปด้วยความคึกคัก ธุรกิจห้างร้าน เปิดกันอย่างคึกคัก ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเบตงมีความสงบมากว่า 11 ปีที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ จนวันนี้ เบตงเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียกว่าร้อยละ 95% เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากทุกวัน

ทั้งนี้ชาวเบตงอยากให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ ร่วมกับอำเภอเบตง จัดกิจกรรมท่องเที่ยวสำคัญในช่วงเทศกาลต่างๆ ของอำเภอเบตง รวมทั้งอยากให้สนับสนุนเรื่องศิลปะวัฒนธรรม และซอฟต์พาวเวอร์ท้องถิ่น ทั้งอาหารชื่อดังที่น่าสนใจ เช่น ข้าวมันไก่เบตง ติ่มซำ อาหารประเภทปลาที่ขึ้นชื่อแห่งเดียวอย่างเมนู “ปลานิล สายน้ำไหล” อันเป็นของดีของเบตง รวมทั้งกิจกรรม ประเพณีสำคัญของพื้นถิ่น อันเป็นวิถีชีวิตของชาวไทยและชาวจีนมาเลเซียในอดีต นอกจากนี้ อำเภอเบตงได้รายงานว่า สกายวอล์คแห่งใหม่ในอำเภอเบตงที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 05:00 น. ไปจนถึง 10:00 น. มีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวเต็มเกือบทุกวัน ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของอำเภอ ชึ่งชาวเบตงฝากเชิญชวนมาเที่ยวที่เบตงแล้วจะหลงรักเบตง

นายจิรายุ กล่าวว่าทั้งนี้ ตนจะสรุปรายงานการลงพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

Advertisement

 

กรมที่ดินไขข้อข้องใจ ที่ดิน ส.ป.ก. ออกโฉนดได้หรือไม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กุมภาพันธ์ 2568 กรมที่ดิน เผยผลการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ไขข้อข้องใจ ที่ดิน ส.ป.ก. สามารถออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่

การตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินยังไม่มีผลให้ ส.ป.ก. ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินจนกว่า ส.ป.ก. มีความประสงค์จะนำที่ดินมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินและในกรณีที่เป็นที่ดินของรัฐ ส.ป.ก. ต้องดำเนินการตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1),(2),(3) หรือ (4) หรือ หากจะนำที่ดินของเอกชนมาดำเนินการ ก็ต้องจัดซื้อหรือเวนคืนตามมาตรา 29 เสียก่อน ส.ป.ก. จึงจะนำที่ดินนั้นมาดำเนินการการปฏิรูปที่ดิน

การออกโฉนดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเป็นที่ดินที่มีการสงวนหวงห้ามและต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2597 ข้อ 14 (4) และคณะกรรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นในเรื่องเสร็จที่ 781/2535 และเรื่องเสร็จที่ 207/2537 ว่าเมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ราษฎรที่ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับไมได้ ถ้าราษฎรดังกล่าวไม่ได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 หรือมิได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไว้ก่อนมีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

ดังนั้น เจ้าของที่ดินที่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินและมีหลักฐานเดิมอยู่ก่อนการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินมีหน้าที่ต้องพิสูจน์สิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน และการออกโฉนดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ฯ ข้อ 14 “ที่ดิน จะออกโฉนดที่ดินต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้ว และเป็นที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมาย

ปัจจุบันการออกโฉนดที่ดินนอกจากต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้องแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องถือปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2558

Advertisement

นายกฯนั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรกคณะกรรมการโครงการ ODOS เดินหน้าสร้างโอกาสให้เด็กไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรกคณะกรรมการ โครงการ ODOS เดินหน้าสร้างโอกาสให้เด็กไทย มีการศึกษาที่ดี เพิ่มโอกาสในชีวิต ต่อยอดเตรียมพร้อมเพื่ออุตสาหกรรมอนาคตประเทศ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 15.20 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship : ODOS) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์  ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน นายไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมเรื่องของทุน การศึกษาที่จะรื้อฟื้นขึ้นมา ซึ่งประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการศึกษาอยู่มาก หลังจากที่ได้ลงพื้นที่มาหลายจังหวัดเห็นน้อง ๆ ที่มีความสามารถ  แต่ยังขาดในเรื่องโอกาสในการรับการศึกษาที่ดี ทั้งนี้ การศึกษาสามารถที่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองในอนาคต จึงต้องการที่จะให้น้อง ๆ ทั่วประเทศได้รับโอกาส อยากให้ทุนการศึกษาสามารถกระจายไปได้ทั่วทั้งประเทศไทย ให้น้อง ๆ นักเรียนได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศในด้านที่จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของประเทศ เช่น ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมในอนาคต เพราะถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการให้กลับมาช่วยในเรื่องของการเพิ่มโอกาสเรื่องของเทคโนโลยี หรืออุตสาหกรรมในอนาคต เป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลการศึกษาหรือเครื่องมือที่ครบถ้วนเท่ากับต่างประเทศ การที่น้องๆได้ไปต่างประเทศแล้วได้กลับมาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติต่อไป ถือเป็นการเตรียมคน เพื่ออนาคตด้วย

โดยที่ประชุม ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ทำหน้าที่ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการโครงการและการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การสรรหาและคัดเลือก เงื่อนไขการให้ทุน การดูแลนักเรียนทุน การเบิกจ่าย งบประมาณ การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการดำเนินการ เป็นต้น โดยคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ อาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง หรือส่วนราชการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการในแต่ละประเภททุนกำหนดก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการฯ จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ให้มีองค์ประกอบ ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมจำนวนไม่เกิน 10 คนและให้มีวาระ 3 ปี ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการเสนอประธานกรรมการ ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่อไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำในตอนท้ายว่า จุดประสงค์ของนโยบาย ODOS ต้องการให้เด็ก ๆ มีวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นมัธยมศึกษา หรือระดับปริญญาตรี นักเรียนที่เรียนเก่ง แต่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ เมื่อไปเรียนต่างประเทศอาจเกิดความเครียด การให้โอกาสทางการศึกษา จึงอาจเป็นแนวทางให้โอกาสเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่พร้อม มหาวิทยาลัยในภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย ของนักเรียนเอง ขอเน้นย้ำว่านโยบาย ODOS ไม่ได้เป็นนโยบายที่ส่งนักเรียนไปเรียนต่างประเทศทั้งหมด

Advertisement

UN ยกไทยเป็นประเทศพัฒนายั่งยืนที่ 1 ในอาเซียน 6 ปีซ้อน รัฐบาลตั้งเป้าต้องยืน 1 ในเอเชีย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2568 นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาทุกมิติของประเทศไทยจนทำให้ อันดับของการพัฒนาที่ยั่งยืนจัดโดย UN ส่งผลไทยแลนด์ยืนที่ 1 ในอาเซียน 6 ปีซ้อน มั่นใจเร็ววันนี้จะขยับขึ้นมากว่าอันดับ 3 ที่เคยได้ในภูมิภาคเอเชีย ยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มั่งคั่ง และครอบคลุม โดยเน้นที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568) เวลาประมาณ 11.15 น. ณ ห้อง Grand Ballroom โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน JFCCT Prime Minister’s Address Luncheon 2025 ของหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) ในหัวข้อ “Sustainable Thailand – Advancing with Reforms” โดยมี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร. นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นางวีเบ็คก้า ลิสซานด์ เลอร์ว็อก (Mrs. Vibeke Lyssand Leirvag) ประธาน JFCCT พร้อมด้วยคณะผู้แทน JFCCT จำนวน 36 คน คณะทูตานุทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ผู้บริหารภาคเอกชนจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานในวันนี้ ซึ่งมีผู้นำภาคธุรกิจและผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกเข้าร่วมจำนวนมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศต่ออนาคตทางเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งขอบคุณ JFCCT ที่ได้จัดงานนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงหัวข้องาน “Sustainable Thailand – Advancing with Reforms” ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล เพื่อสร้างการเติบโตและยืดหยุ่นให้กับประเทศไทยในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนจะช่วยนำทางประเทศไทย ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างความสำเร็จระยะยาวในเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   สำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน นั้นรัฐบาลย้ำในการให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยดัชนี SDGs ปี ค.ศ. 2024 ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 45 ของโลก  อันดับที่ 3 ในเอเชีย และอันดับที่ 1 ในอาเซียน ติดต่อกัน 6 ปี (ค.ศ. 2019 – 2024)

นอกจากนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยได้รับเชิญให้เข้าสู่กระบวนการเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นสมาชิก OECD โดยเป็นผลสำเร็จจากโครงการความร่วมมือต่าง ๆ กับ OECD เช่น การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการสนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนและการเปลี่ยนผ่านของไทย ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นเปลี่ยนการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมให้เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน โดยสนับสนุนการนำโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) มาใช้ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก เช่น เกษตรกรรมและอาหาร การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานและวัสดุ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้จุดแข็งของไทยด้านความหลากหลายทางชีวภาพและเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับโลก

สิ่งสำคัญของกลยุทธ์นี้คือ การส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านการผลิตและการบริโภค การลดขยะ และการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะสนับสนุนไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 นอกจากนี้ ไทยมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อปี ค.ศ. 2018 และมีความก้าวหน้าภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 โดยความพยายามเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนสำหรับทุกคน

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณและยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งมุ่งเน้นที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเชื่อมั่นว่า แนวคิดและความคิดเห็นที่ได้มีการแลกเปลี่ยนในวันนี้จะเป็นแรงบันดาลใจและแนวทางในการขับเคลื่อนสู่สังคมที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน มั่งคั่ง และครอบคลุมสำหรับทุกคน

Advertisement

นายกฯ บอกคนบูลลี่เรื่องแต่งตัว “ฉันก็จะแต่งตัวแบบนี้แหละไปทำงานให้ประชาชนมีความสุข เพราะเป็นฉันก็อย่างนั้นล่ะค่ะ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กุมภาพันธ์ 2568 “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” นักจัดรายการมือใหม่​ ฝากเนื้อฝากตัว หวังใจถึงใจกับประชาชน​ ไล่เรียงภารกิจนโยบาย หลายเรื่องแบบเบื้องหลัง Exclusive 30 บาทรักษาทุกที่-บ้านเพื่อคนไทย-แก้ฝุ่น-พ.ร.ก.ไซเบอร์ ยันเงินหมื่นเฟส 3 มาแน่รอคลังเคาะ นายกฯ รับเสียใจถูกบูลลี่เรื่องแต่งตัว​ แต่จะแต่งแบบนี้ไปทำงานให้ประชาชนมีความสุข

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ครั้งแรก ​โดยจะมีเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน เริ่มเล่าที่มาที่ไปเกี่ยวกับการทำรายการ เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังจากตัวเอง เป็นรายการพิเศษสำหรับประชาชน ในรูปแบบที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน ไม่เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้​ เป็นแบบ Exclusive นำเบื้องหลังมาเล่าให้ฟังว่าได้พบเจออะไรมาบ้าง ได้พูดอธิบายที่มาที่ไปของนโยบายและขั้นตอน แต่ละนโยบายว่าไปถึงไหนแล้ว

นายกรัฐมนตรี เล่าถึงเรื่องแรกเกี่ยวกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ครอบคลุมทั่วประเทศไทย 77 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งรู้สึกดีใจมากที่ประชาชนไม่ต้องต่อคิวรอตั้งแต่ 05.00 น. เพื่อเข้ารักษา เพียง 15 นาที เสียเวลา 1 วันเต็ม ซึ่งผลตอบรับกลับมาดีมาก หากมีระบบตรงไหนไม่ตอบสนองสามารถแจ้งมายังรัฐบาลได้

นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงงานวันเด็กที่ผ่านมา ถึงเป็นปีแรก ที่ได้เจอเด็กๆ ทั่วประเทศ และได้ดำเนินนโยบาย odos ให้โอกาส ได้เรียนในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยเคยทำนโยบาย 1 อำเภอ 1 ทุน จึงพิจารณางบประมาณเพื่อนำไปสู่การขยายและ Kick Off นโยบาย 1 อำเภอ 1 ทุน การศึกษาภาคฤดูร้อน หรือ odos ซึ่งถือเป็นโอกาส ให้เด็กได้นำความรู้ไปทำอะไรได้อีกมาก ให้เด็กที่ไม่ได้เรียนเก่งระดับท็อป เหมือนตนเองได้ไปเรียน Summer Camp และเป็นการสร้างโอกาส แม้ไม่ได้เห็นผลใน 1 ปีแต่เห็นผลแน่นอนในอนาคต

นายกรัฐมนตรียังเล่าถึงการเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก โดยอยากให้คนที่มีศักยภาพในการทำงานมีกำลังใจ มีที่อยู่ และมีความภูมิใจ ที่มีบ้านของตัวเอง จากการทำงานมีเงินเดือน ออกไปทำงานอย่างสดชื่น รัฐบาลมีคนมีศักยภาพมากขึ้นสุขภาพจิตดีขึ้น แข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ โครงการนี้ตอบโจทย์ปัจจัย 4 และเป็นแรงบันดาลใจ ผลักดันให้คนสู้งานต่อ อยากทำงานเก็บเงินซื้อในสิ่งที่ตัวเองฝันไว้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนดีใจมาก ทุกฝ่ายของการเมือง​ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน​ ​สว. เห็นตรงกัน ว่าเป็นการสร้างโอกาสสร้างความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยก รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายดูแลทุกคนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ทุกแรงที่ต่อสู้ ผลักดันมา 20 ปี ถ้าไม่ใช้ทุกแรงก็ไม่สำเร็จ จึงเป็นความภูมิใจของทุกคน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุม World Economic forum Annual Meeting 2025 ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ว่า​ ทำให้รู้ว่าการมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สามารถดึงความสนใจของคนได้จริง มีโอกาสสามารถผลักดันตัดสินใจเรื่องใดๆ ได้มีคนมาประชุมและขอคุยด้วย และมีผลที่ดี หาเงินเข้าประเทศได้อย่างมากมาย เช่น การลงนามสัญญาการค้าเสรี ดังนั้นปีหน้าก็จะไปอีกแน่นอนจะเอารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปด้วย โดยจะมีการเตรียมการล่วงหน้าในแต่ละกระทรวงที่มีนโยบายเกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดที่ Thailand Reception ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจองข้ามปีตั้งแต่สมัยที่นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ เมื่อจัดแล้วทั่วโลกชม เพราะหลายคนชื่นชอบอาหารไทย ได้รับผลตอบรับที่ดี นอกจากนี้มีโอกาสได้ไปเดินซูเปอร์มาเก็ต พบสินค้าไทยไปขาย

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่าได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำชับทุกกระทรวง ให้ดำเนินการตามกฎทุกอย่างอย่างเคร่งครัดเพราะมีการพยากรณ์สถานการณ์ล่วงหน้า​ จึงจะต้องทำมาตรการให้เข้มข้นเพื่อบรรเทาสถานการณ์มากที่สุด แต่เมื่อถึงสถานการณ์จริง ทุกคนไม่มีความสุขตัวเองก็ไม่แฮปปี้ เพราะมีลูกเล็ก 2 คนหลานๆ เต็มบ้านไปโรงเรียนไม่ได้ แต่ละกระทรวง ก็ทำงานอย่างเต็มที่ทุกวิถีทาง นโยบายใช้รถไฟฟ้าฟรีทำให้รถไม่ติด ลดจำนวนรถยนต์ 5 แสนคันต่อวัน ทำให้ฝุ่นลดน้อยลง​ด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประสานงานติดต่องานกับต่างประเทศ ว่าต้องมีลำดับขั้นขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการพูดคุยโดยใช้ Connection ส่วนตัวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ส่วนตัวก็คุยกับผู้นำประเทศอื่นเลย แล้วแต่หัวข้อบางครั้งเรื่องวิกฤติก็สามารถช่วยกันได้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง การโอนเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ 3 ล้านคน เมื่อ 27 มกราคม 2568 โดยยืนยันว่าโครงการเฟส 3 มาแน่นอนต้องรอให้กระทรวงการคลังยืนยันช่วงเวลาอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีผ่านร่างพ.ร.ก. ปราบอาชญากรรมเทคโนโลยีว่า ว่าเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ที่ประเทศอาเซียนให้ความสำคัญ สามารถมีสิทธิ์จับคนที่มาตั้งเสาอากาศดักในเขตแดนเพื่อดึงสัญญาณมือถือของคนไทย เอาเบอร์เหล่านั้น ไปทำบัญชีม้า​ โทรกลับมาหลอกคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้บางคนร้องไห้ถึงขั้นจบชีวิต เพราะเก็บเงินมาทั้งชีวิตแล้วเหลือ 0 จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องออก เป็นพ.ร.ก. รีบบังคับใช้ เพื่อทำให้ธนาคารและเจ้าของกิจการมือถือมีส่วนรับผิดชอบ และตัดวงจรนี้ให้เด็ดขาดจริงๆ

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกำลังใจในทุกๆ วันนี้ว่า หากโดนต่อว่า เสียใจและรู้สึกอย่างแน่นอน แต่จมไม่ได้ เพราะงาน รออยู่เยอะมาก

“โดนว่านาทีนี้​ นาทีหน้าต้องไปประชุมแล้วจึงพยายามมองว่า หัวข้อไหนที่ถูกต่อว่าเช่นประชาชนไม่พอใจ เรื่องการจัดการบางเรื่อง ก็กลับมาเรียกประชุม จัดการแต่ละกระทรวง แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเช่นถูกบูลลี่ มาตลอด เรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่ได้คิดอะไร หากนโยบายต่างๆทำสำเร็จความภูมิใจในความสำเร็จ ของดิฉันคือประชาชน ที่มีความสุขมากกับนโยบายที่ได้ไปชีวิตที่ดีขึ้น จากสิ่งที่นโยบายสำเร็จ และขอบคุณรัฐบาลขอบคุณนายกฯได้เงินหมื่นต่อยอดขายของได้เยอะขึ้น หมดเกลี้ยง มีแต่คนมาจับจ่ายใช้สอย​ คนซื้อดีใจคนขายก็ดีใจ หรือขอบคุณมาก 30 บาทเปลี่ยนชีวิต มันเติมเต็ม และรู้สึกว่า ฉันก็จะแต่งตัวแบบนี้แหละไปทำงานแบบนี้ให้ประชาชนมีความสุข เพราะเป็นฉันก็อย่างนั้นล่ะค่ะ” นางสาวแพทองธารกล่าว

ช่วงท้ายรายการนายกรัฐมนตรีระบุว่า หวังว่าประชาชนจะได้ยินได้ฟังอะไรที่เป็นความรู้หรือ Entertain สนุกสนาน จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยเดือนหน้าเจอกันใหม่ จะได้เข้าใจใจถึงใจ ส่งใจถึงใจกันมากขึ้นว่าใจนายกรัฐมนตรีจริงๆ คิดอะไรให้กับประชาชนบ้าง อยากเล่าอะไรให้ประชาชนบ้าง และขอฝากติดตามนักจัดรายการมือใหม่ด้วย

Advertisement

นายกฯ “แพทองธาร” เชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 มกราคม 2568 วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 เวลา 07.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ซึ่งเป็นการจัดรายการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี

“คำว่าโอกาสเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องสร้างให้กับพี่น้องประชาชนให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมมาร่วมฟังโอกาส นโยบาย วิสัยทัศน์ และเบื้องหลังการทำงานจากทำเนียบรัฐบาลส่งตรงถึงพี่น้องประชาชนกับรายการโอกาสไทยกับนายกแพทองธาร พบกันได้ทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนหลังเคารพธงชาติ” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

สำหรับรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” #EmpoweringThais กำหนดออกอากาศครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568  ตั้งแต่ เวลา 08.00 – 08.30 น. และจะออกอากาศทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน  ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD ททบ. 5 MCOT และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ รวมถึงคลื่นวิทยุในส่วนราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถรับชมผ่านทางโซเชียลมีเดียได้ในทุกช่องทางของรัฐบาล ทั้งเว็บไซต์รัฐบาลไทย ไทยคู่ฟ้า เว็บไซต์ของกรมประชาสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์จังหวัดทั่วประเทศ

Advertisement

ปภ.ช. สั่งข้าราชการทุกจังหวัดต้องจัดการมือเผาให้ได้ 100%

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มกราคม 2568 ทำเนียบ – ปภ.ช. สั่งข้าราชการทุกจังหวัดต้องจัดการมือเผาให้ได้ 100% พร้อมรายงานสถิติจับกุมทุกวันให้ ปภ.ช. ทราบ ขณะที่สั่งการสาธารณสุขจัดทีมแพทย์ดูแลประชาชน แนะใส่หน้ากากอนามัยลดผลกระทบจากฝุ่นระลอกใหม่สัปดาห์นี้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมในวันนี้ได้รายงานว่าตั้งแต่วันนี้ (30 ม.ค.) จนถึงวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ประเทศไทยจะเผชิญกับอากาศปิดอีกระลอก จะส่งผลให้ประมาณค่าฝุ่นในหลายพื้นที่ของประเทศ อาจเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุม ปภ.ช. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการสั่งงดเผาโดยไม่มีข้อยกเว้น และยกระดับมาตรการต่าง ๆ แต่ในระยะเร่งด่วน ในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นยังเกินมาตรฐาน ให้ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนให้มากที่สุด โดยได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเจ้าหน้าที่พร้อมทีมแพทย์เข้าดูแลประชาชน โดยเฉพาะ 5 กลุ่มเสี่ยง ซึ่งสาธารณสุขได้รายงานว่า มียอดรวมประมาณ 178,000 ราย ประกอบด้วย เด็กเล็ก 29,982 ราย ผู้สูงอายุ 137,622 ราย หญิงตั้งครรภ์ 2,305 ราย ผู้มีโรคหัวใจ 3,857 ราย และผู้มีระบบทางเดินหายใจ 5,007 ราย

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข จัดทีมพิเศษฉุกเฉินสุขภาพ ระดับจังหวัด 76 ทีม และระดับอำเภอ 878 ทีม ลงพบประชาชนและเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขแล้ว

ขณะที่ ปภ.ช. รายงานว่า หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีสูงใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย ลำพูน พิษณุโลก สุโขทัย นนทบุรี สระบุรี เพชรบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และประจวบคีรีขันธ์นั้น ได้ให้ อสม. ลงพื้นที่ให้ความรู้ถึงแนวปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพแก่ประชาชนแล้ว

ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยไปแล้วกว่า 180,000 ชิ้น และหน้ากาก N95 จำนวนกว่า 1,100,000 ชิ้น ขณะที่สำนักอนามัย กทม. มีการแจกหน้ากากอนามัยให้กับกลุ่มเปราะบางแล้วกว่า 377,000 ชิ้น ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ชี้ชัดว่า การใส่หน้ากาก N95 แม้จะป้องกันฝุ่นได้ดีกว่า แต่อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริง ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยแบบทั่วไปสามารถกรองฝุ่นได้แต่หากรู้สึกไม่มั่นใจหรือต้องไปในพื้นที่ฝุ่นหนาแน่นอาจสวมหน้ากาก 2 ชั้น เพื่อป้องกันฝุ่นได้ดียิ่งขึ้น

ที่ประชุม ปภ.ช. กำชับให้ทุกส่วนราชการที่บังคับใช้กฎหมายดำเนินการจับกุมตามนโยบาย “ป้องกัน ปราบปราม สนับสนุน ลดฝุ่น” ของ ปภ.ช. อย่างเคร่งครัดโดยให้รายงานต่อที่ประชุม บก.ปภ.ช. ทุกวัน หากส่วนราชการใดที่ยังละเลยไม่ดำเนินการ ปภ.ช.จะมีข้อสั่งการและรายงานต่อ ผู้บัญชาการ บก.ปภ.ช. เพื่อพิจารณาตามการบังคับบัญชาทันที

“ในช่วงที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานขอความร่วมมือประชาชนงดออกกำลังกายกลางแจ้ง รวมทั้งกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจ ออกกลางแจ้งเท่าที่จำเป็น หากพบอาการผิดปกติ ไอ จาม หายใจลำบาก มีผื่นแดงตามตัว มีน้ำมูก หอบเหนื่อย ตาแดง ให้พบแพทย์ที่สถานพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อทำการรักษาโดยเร็ว” นายจิรายุ กล่าว

Advertisement

เปิดให้บริการทำบัตรประจำตัวประชาชน วันเลือกตั้ง 1 ก.พ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มกราคม 2568 โปรดทราบ เปิดให้บริการทำบัตรประจำตัวประชาชนในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในวันเลือกตั้ง อบจ.

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประสานและขอความร่วมมือกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดให้บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ที่ไม่ได้นำเอกสารหลักฐานแสดงตนติดตัวมาในวันเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สามารถติดต่อทำบัตรประชาชนได้ที่ สำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นในวันดังกล่าวได้

สำนักงาน กกต. ยังขอเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีชื่ออยู่

ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ที่เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

Advertisement

Verified by ExactMetrics