วันที่ 29 พฤศจิกายน 2024

“ถวิล”โพสต์เตือน”เสรีพิศุทธ์” ระวังหลุดเก้าอี้เหมือน”ยิงลักษณ์”

People Unity News :  “ถวิล”โพสต์เตือน”เสรีพิศุทธ์” ยกบทเรียน”ยิงลักษณ์”หลุดเก้าอี้นายกฯเทียบ”มติโดเรมอน”

วันที่ 23 พ.ย.2562 นายถวิล เปลี่ยนศรี สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์โพสต์บุ๊กส่วนตัวความว่า มติโดเรม่อน สองสามวันมานี้ มีเรื่องเกิดขึ้นในกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการเอาเรื่องที่ยังไม่เกิด มาทำเป็นมติ และหนังสือลงนามแจ้งล่วงหน้าเป็นตุเป็นตะ เหมือนว่าเกิดขึ้นแล้ว …. ใช่ครับผมกำลังพูดถึงหนังสือ ที่ประธานกรรมาธิการคณะนี้ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาประธาน แล้วมีผู้นำออกมาแสดงตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย 62 โดยหนังสืออ้างมติเห็นชอบของที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ วันที่ 20 พ.ย 62 ซึ่งยังมาไม่ถึง

เรื่องนี้ แปลกดี และเป็นข่าวเกรียวกราว. ผู้ที่เกี่ยวก็ออกมาให้ข้อมูล. ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางแล้ว แม้จะรู้สึกแหม่งๆ แต่ผมก็ขอเว้นไม่พูดถึงนะครับ แต่อยากจะพูดเรื่องคล้ายๆกันนี้ ที่เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ซึ่งซับซ้อน และต่อยอดยิ่งกว่านี้… โดยเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญมาเล่าให้ฟัง ประกอบกรณีที่เกิดขึ้น ครับ

เรื่องนี้ ต้องย้อนไปถึงปี 2554 เมื่อเดือนกันยายน ปีนั้น ที่ผมถูกย้ายโดยไม่เป็นธรรม. และผมไปฟ้องศาลปกครอง จนชนะได้ตำแหน่งคืน และต่อมาท่านสมาชิกวุฒิสภาหลายท่านในขณะนั้น ได้ไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย จนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้ย้ายผม ต้องพ้นตำแหน่ง พร้อมรัฐมนตรีทั้งคณะที่มีมติ เรื่องทราบทั่วกันแล้ว

ในเอกสารประกอบการย้ายผมครั้งนั้น. เริ่มจากเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2554 เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ทำหนังสือ 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งมีไปถึงรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานต้นสังกัดผม อีกฉบับมีไปถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยที่จะรับโอน แม้จะรีบเร่งทำกันในวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นไปตามวิธีการที่ราชการปฏิบัติกันอยู่ครับ แต่ที่ประหลาดจนผมต้องนำมาเล่าวันนี้อีกครั้ง ก็เพราะหนังสือที่ลงวันที่ 4 กันยายน วันเดียวกันนี้ ที่มีไปถึงรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบไม่ขัดข้องให้โอนผมไปนั้น ดันไปแจ้งว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นชอบพร้อมรับโอน

ทั้งๆที่ต่อมาปรากฏว่ารัฐมนตรี เพิ่งลงนามเห็นชอบเอาวันที่ 5 กันยายน รุ่งขึ้นอีกวัน ซึ่งในขั้นการพิจารณาของศาลปกครองนั้น เห็นว่าเรื่องนี้เป็นการปกปิด ข้อเท็จจริง หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อประกอบการพิจารณา ไปยังรองนายกฯ ด้วยซ้ำ

หนังสือฉบับที่มีถึงรองนายกรัฐมนตรี ที่อ้างอิงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นฉบับนี้ ไปปรากฎอีกครั้ง เมื่อท่านสมาชิกวฺฒิสภาไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยสถานภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี ของนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ดังที่ผมกล่าวแล้ว ในชั้นนั้น ผมไปเป็นพยาน และมีการใช้หนังสือฉบับนี้อีก แต่ที่แปลกก็คือวันที่เคยลงไว้เดิม 4 กันยายน กลายเป็นวันที่ 5 กันยายน เสียแล้ว

ในการไต่สวนวันนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง ให้ผมดูสำเนาหนังสือ 2 ฉบับ ทั้งสองฉบับเป็นหนังสือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีถึงรองนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน เลขที่หนังสือเดียวกัน เนื้อหาและข้อความในหนังสือก็ตรงกันหมดทุกอย่าง แต่ทั้ง 2 ฉบับ ลงวันที่ไม่ตรงกัน ฉบับที่ผมนำส่งศาลนั้นลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ส่วนฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญ เรียกจากนายกรัฐมนตรีนั้น ลงวันที่ 5 กันยายน 2554

ผมได้เรียนท่านไปว่า เมือหนังสือทั้งสองฉบับ ออกมาจากที่เดียวกัน เลขที่ตรงกัน และข้อความเหมือนกัน เเต่ลงวันที่ต่างกันเช่นนั้น แสดงว่าต้องมีฉบับหนึ่งปลอม หรือถูกแก้ไข ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าฉบับใดปลอมฉบับใดจริง แต่ฉบับที่ผมนำส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผมได้รับมาตั้งแต่หลังมืคำ

สั่งโอนย้ายผม เมื่อเดือนกันยายน 2554 ซึ่งผมก็ได้ใช้หนังสือฉบับลงวันที่ 4 กันยายน 2554 นี้ ส่งให้ กพค.และศาลปกครองเป็นพยานเอกสารมาตลอด

ข้อสังเกตเรื่งนี้ก็คือ ถ้าหนังสือลงวันที่ 5 กันยายน ตามฉบับที่เรียกจากนายกรัฐมนตรีภายหลัง. ข้อความในหนังสือที่อ้างว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี. เห็นชอบ( 5 กันยายน ) ก็จะสอดคล้อง ต้องกันพอดี แต่ถ้าเป็นวันที่ 4 กันยายน ตามที่ผมใช้ส่งให้ทั้ง กพค. ศาลปกครอง มาแต่ต้น จนถึงศาลรัฐธรรมนูญ ข้อความที่อ้างว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นขอบ ก็เป็นเท็จ เพราะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่งมาเกษียนเห็นชอบ 5 กันยายน

เรื่องการปลอมแปลงแก้ไข และใช้เอกสารปลอมในคดีผมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญท่านให้บันทึกไว้นะครับ ที่มาเล่าให้ฟังนี่ ก็อยากจะบอกว่า การกระทำแบบสะเพร่า น่าหัวเราะนี้ มันเคยมีมาแล้วและเคยมีถึงขั้นพยายามไปแก้ไขกลบเกลื่อนภายหลัง แต่วิสัยคนทำผิด คิดไม่ซื่อ มันก็ทิ้งร่องรอยให้ผู้คนจับได้เสมอ เหมือนกรณีคดีผมไงครับ

“สนธิรัตน์”ปลื้มประชาชนชูยืนหนึ่งมือบริหาร

People Unity News :  “สนธิรัตน์”ปลื้มประชาชนชูยืนหนึ่งมือบริหาร มั่นใจ “พปชร.”พร้อมรับมือเลือกตั้งซ่อมขอนแก่น

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงผลการสำรวจความคิดเห็นซุปเปอร์โพลที่ยกให้เป็นนักบริหารและเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ว่า ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความเชื่อมั่นตนในการร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐบริหารประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานก็จะยังมีแผนการยกระดับความมั่นคงทางพลังงานตามแนวนโยบาย พลังงานเพื่อทุกคน (energy for all) ต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในการบริหารการะทรวงพลังงานยุคตนนั้น ได้ให้ความสำคัญกับภาคประชาชนยิ่งกว่ารัฐบาลที่ผ่านๆมา มีการเปิดเวทีรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยมุ่งให้เกิดการแก้ปัญหาและผลักดันให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงพลังงานอย่างเป็นธรรมมากที่สุด โดยการประชุมคณะทำงานเพื่อพลังงานที่เป็นธรรม ครั้งที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานในฐานะเจ้าภาพก็รับฟังเสียงสะท้อนข้อเสนอหลายข้อจากภาคประชาชน เพื่อนำมาพิจารณาศึกษารายละเอียดและประเมินความเป็นไปได้ต่อไป

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานก็ยังคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคม ด้วยการผลักดัน B10 ให้เป็นน้ำมันเกรดมาตรฐาน โดยในปี 2563 ที่จะเริ่มรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงาน ด้วยการปรับให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันดีเซล B10 แทน B7 ซึ่งนอกจากเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดสาเหตุหนึ่งของค่าฝุ่น pm 2.5 แล้ว ยังสามารถแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ สามารถดูดซับน้ำปาล์มในตลาดที่คงค้างออกมาได้หลักล้านตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปาล์มให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดอยู่ที่ 4.30 บาทต่อกิโลกรัม และจะสูงขึ้นอีก ส่วนของขวัญปีใหม่จากกระทรวงพลังงานนั้น ยังไม่ขอเปิดเผย แต่ยืนยันว่า จะถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ สร้างความสุขให้คนไทยช่วงเทศกาลอย่างแน่นอน

ส่วนความพร้อมต่อการเลือกตั้งซ่อม เขต 7 จ.ขอนแก่น ช่วงปลายปี นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มีความพร้อมและมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้สมัครส.ส. จะได้รับชัยชนะ เนื่องจากคะแนนเสียง ห่างกับผู้ได้รับเลือกตั้งส.ส. เพียง 3,000 คะแนน เท่านั้น โดยยืนยันว่า พปชร. ไม่ได้มีการใช้กลไกรัฐในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ ตามที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานส.ส.พปชร.ให้สัมภาษณ์อย่างแน่นอน ซึ่งตลอด 6 เดือน ที่ผ่านมารัฐบาลมีผลงานที่จับต้องได้ จึงเชื่อว่า ชาวจังหวัดขอนแก่นจะเลือกพปชร. ทำให้ได้ส.ส.เพิ่มอีก 1 คน ส่งผลให้รัฐบาลมีเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 256 เสียง มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศมากยิ่งขึ้

“เพื่อไทยพลัส”แพร่คลิปความคิดคนรุ่นใหม่ชี้ต้องแก้รัฐธรรมนูญ

People Unity News : “เพื่อไทยพลัส”แพร่คลิปสะท้อนความคิดคนรุ่นใหม่ ชี้ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้คือรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 พรรคเพื่อไทย เผยแพร่คลิปรายการ “เพื่อไทยพลัส : เพื่อไทยยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” EP.2 หลังลงพื้นที่จัดกิจกรรมโฟกัสกรุ๊ป ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเป็นการสะท้อนความคิดเห็นว่าคนรุ่นใหม่อยากเห็นอะไรในบ้านเมืองของเรา

โดย นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการกลุ่มเพื่อไทยพลัส กล่าวสรุปกิจกรรมว่า พรรคการเมืองที่คนรุ่นใหม่อยากเห็นมากที่สุดคือพรรคการเมืองที่ทำเพื่อประชาชน พูดจริงทำจริง และปกป้องประชาธิปไตย และนักการเมืองที่พวกเขาอยากเห็นคือต้องมีความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีวิสัยทัศน์ และรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองที่ได้พบเจอในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เห็นตรงกันว่าต้องนำมาแก้ไข คือ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง ซึ่งต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

นายตรีรัตน์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ภายในงานยังมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยผลสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมถึงเรื่องภาพลักษณ์พรรคเพื่อไทยและบุคลากรของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 26 มองพรรคเพื่อไทยและบุคลากรมีภาพลักษณ์ที่ดีมาก และร้อยละ 31 มองว่าดี ซึ่งเมื่อจบกิจกรรมแล้วร้อยละ 54 มองภาพลักษณ์พรรคเพื่อไทยและบุคลากรพรรคเพื่อไทยอยู่ในระดับที่ดีมาก และเรายังมีการสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ถึงการมองภาพรวมทางเศรษฐกิจอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าสภาพเศรษฐกิจแย่ลงถึงร้อยละ 37 และสำรวจทางด้านการศึกษา น้องๆนักศึกษาร้อยละ 18 รู้สึกเฉยๆ กับหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบันว่าจะตอบโจทย์นักศึกษาที่เรียนจบแล้วมีงานทำหรือไม่

ทั้งนี้ นายตรีรัตน์ ได้เชิญชวนติดตามรายการ “เพื่อไทยพลัส : เพื่อไทยยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00 น. ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดียพรรคเพื่อไทย

“สิระ”ชง”คนขับรถบรรทุกสิบล้อ”อ้างโดนยัดยาเข้ากมธ.กมธ.ป.ป.ช.

People Unity News : “คนขับรถบรรทุกสิบล้อ”โร่ขอความเป็นธรรมจาก “สิระ” หลังอ้างโดนยัดยา ด้าน “สิระ” ลั่นต้องหาคำตอบให้สังคม เตรียมนำคดีเสนอที่ประชุม กมธ.ป.ป.ช.หาคนผิด

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.เวลา 10.00 น. นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้พบกับนายโสภณ วงษ์สวัสดิ์ คนขับรถบรรทุกสิบล้อ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจค้นภายในรถบรรทุกสิบล้อ ก่อนถูกกล่าวหาว่ามียาบ้าไว้ในครอบครอง 1 เม็ด โดยนายโสภณได้มาร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อตนจากคดีที่เกิดขึ้น โดยในวันอังคารที่ 26 พ.ย.เวลา 13.00 น.ตนจะเดินทางไปที่ สภ.สามร้อยยอด เพื่อติดตามข้อเท็จจริง และขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่

“เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่านายโสภณได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แต่ในฐานะที่ตนเป็นผู้แทนของประชาชน และมีหน้าที่ในกรรมาธิการ ป.ป.ช.จะเพิกเฉยต่อเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนไม่ได้ เพราะนายโสภณก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง หากถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่ามียาบ้าไว้ในครอบครอง ทั้งๆที่ไม่ได้กระทำความผิดก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อนายโสภณ”นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า ตนจะนำคดีของนายโสภณ เสนอต่อที่ประชุมกรรมาธิการ เพื่อให้พิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อหาคำตอบให้กับสังคม ทั้งนี้ตนยินดีที่จะรับฟังความจากทั้ง 2 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นตัวของนายโสภณเอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ หากฝ่ายใดมีข้อมูลก็สามารถแจ้งมาที่ตนได้ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทำอย่างที่นายโสภณกล่าวหา ก็ต้องพิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ แต่หากเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำความผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นกัน

ด้านนายโสภณ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเฟซบุ๊ก “สานฝันพ่อ ส.แท่นทองขนส่ง โอเคนะ” ได้นัดรวมตัวกลุ่มคนขับสิบล้อ หน้าสถานีตำรวจสามร้อยยอด เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ในวันอังคารที่ 26 พ.ย. นี้ว่า ตนต้องขอขอบคุณเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพทุกคนที่จะมาเป็นกำลังใจให้ และตนจะสู้คดีจนถึงที่สุด เนื่องจากตนไม่ได้กระทำความผิด และการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นกรณีตัวอย่างที่กลุ่มคนขับสิบล้อจะได้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก

รองโฆษกพรรคเพื่อชาติชี้ 3 เหตุผล ทำประเทศวิกฤตรอบใหม่

People Unity News : ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ ชี้ไม่มีใครปลุกคนลงถนนได้ นอกจากตัวรัฐบาลเอง แนะพลเอกประยุทธ์ และเครือข่ายอำนาจทั้งหลาย ศึกษาประวัติศาสตร์ เรียนรู้อดีตอย่าปลุกม็อบนำความขัดแย้งกลับมา ชี้ 3 เหตุผล ทำประเทศวิกฤตรอบใหม่

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ แสดงความเห็นต่อสถานการณ์และบรรยากาศทางการเมืองว่า ณ ห้วงเวลานี้ ถือเป็นความท้าทายและยากลำบากสำหรับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องรับศึกหนักรอบด้าน ทั้งปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้สภาวะข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจปากท้องของคนในประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ประชาชนไม่รู้จะฝากความหวังไว้กับใคร ไม่รวมถึงวิกฤตศรัทธาความไว้เนื้อเชื่อใจและข้อสงสัยของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและองค์กรอิสระที่เป็นผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในหลายกรรมหลายวาระด้วยกัน ดังนั้น ตนจึงอยากฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ และเครือข่ายวงศ์วานว่านเครือ รวมไปถึงผู้ถืออำนาจทั้งหลายว่า ขอให้เรียนรู้และศึกษาจากอดีตให้มาก อย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องเดินซ้ำรอย อย่าต้องให้เกิดความสูญเสียและความขัดแย้งขึ้นอีก เพราะตนเชื่อว่า ณ วันนี้คงไม่มีใครอยากเห็นและอยากให้เกิดขึ้นอีก และก็คงไม่มีใครมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะสามารถปลุกคนลุกขึ้นมาเดินบนท้องถนนได้ นอกจากการกระทำและพฤติกรรมของผู้ถืออำนาจและรัฐบาลเอง ที่สำคัญวันนี้ทุกฝ่ายต่างก็เห็นตรงกันแล้วว่าท้ายสุดความขัดแย้งทางการเมืองที่นำมาสู่ความขัดแย้งของประเทศในอดีตนั้นไม่ใช่ทางออกของประเทศ ไม่มีใครชนะ แต่ที่แพ้มากที่สุดคือประชาชนและคนไทยทั้งประเทศ

ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า การเกิดขึ้นทั้งของกลุ่มพันธมิตรฯ กปปส . นปช. หรือ กลุ่มเสื้อสีต่างๆ ในอดีต ตนมองว่าไม่ได้ผิด แต่หากต้องเป็นการต่อสู้กันทางการเมือง ต่อสู้กันในเชิงหลักการและต่อสู้กันในเชิงความคิด ที่จะต้องไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นอีกแล้ว ณ จุดนี้ ตนคิดว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจต้องเข้าใจ และต้องเรียนรู้ศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง และในฐานะที่ตนเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ก็อยากเห็นการเมืองในแบบใหม่ที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองที่เราสามารถแข่งขันกันที่ผลงานได้อย่างเสรี และเป็นธรรม เพื่อเป็นความหวัง และเป็นประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ตนจึงอยากฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ และวงศ์วานว่านเครือผู้ถืออำนาจทั้งหลาย ว่า ประเทศอาจจะเดินไปสู่วิกฤตรอบใหม่และประชาชนอาจลุกขึ้นมาบนท้องถนนได้อีกครั้ง หาก 1)รัฐบาล ผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครองประเทศไร้ซึ่งความธรรม ใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดอีกฝ่าย ภายใต้กติกาที่ตนเองได้เปรียบ ฝ่ายผู้มีอำนาจจะทำอะไรก็ไม่ผิด เกิดบรรทัดฐานและตรรกะทางคุณธรรมจริยธรรมที่ผิดเพี้ยนในสังคม 2)มองความเห็นต่างของคนรุ่นใหม่ และพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่พยายามเสนอสิ่งใหม่ๆเป็นศัตรู และต้องการกำจัดกลุ่มคนเหล่านี้ 3)ระบบนิติธรรม และนิติรัฐของประเทศขาดสมดุล กระบวนการยุติธรรมของประเทศถูกแทรกแซง สร้างความเคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคมส่วนใหญ่

“วัชระ”แฉ ขรก.รายงานเท็จ”ประธานชวน”กรณีสอบ”สรศักดิ์”ล่าช้า

People Unity News : “วัชระ”อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แฉ ขรก.รายงานเท็จ”ประธานชวน”กรณีสอบ”สรศักดิ์”ล่าช้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุของความล่าช้าในการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรงต่อนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากผู้ร้องคือตนเองไม่ได้มาให้ข้อเท็จจริง แล้วกลับมีการยื่นคัดค้านกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะไม่เชื่อว่าจะให้ความเป็นธรรมได้นั้น ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตนเองและประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นอย่างมาก เพราะความจริงนั้นได้ไปให้การกับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีนายนัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภาเป็นประธาน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.15 น.ที่อาคารสุขประพฤติ ตรงกำหนดระยะเวลาตามหนังสือที่คณะกรรมการได้นัดไว้ โดยมีพยานคือนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปปช.สภาผู้แทนราษฎรเป็นพยานและเป็นผู้ให้การกล่าวโทษนายสรศักดิ์ เพียรเวช เพิ่มเติมอีกด้วย

และในวันนั้นยังได้ยืนยันความผิดของนายสรศักดิ์ พร้อมส่งพยานเอกสารการคุกคามทางเพศของนายสรศักดิ์ เพียรเวชที่กระทำต่อข้าราชการสุภาพสตรีซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายสรศักดิ์เพิ่มเติมต่อนายนัฑ ผาสุข รวมทั้งคัดค้านกรรมการสืบสวนอย่างมีเหตุผลและเอกสารของทางราชการรองรับว่ากรรมการทุกคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน มีส่วนได้ส่วนเสียกับนายสรศักดิ์และได้ส่งพยานหลักฐานเอกสารของทางราชการที่ระบุชื่อกรรมการแต่ละคน ตั้งแต่นายนัฑ ผาสุขว่าเกี่ยวพันกับนายสรศักดิ์อย่างไรโดยให้เอกสารกับมือของกรรมการทุกคนเป็นรายบุคคลครบทั้งคณะอีกด้วย

นายวัชระ ระบุว่า ตนเองมีพยาน2คนเข้าไปนั่งเป็นสักขีพยานตลอดจนจบคำให้การในประเด็นของการคุกคามทางเพศครบทุกถ้อยกระบวนความที่ให้กรรมการได้เห็นจนสามารถชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงตามกฎของก.ร.ได้ทันที และได้ขอให้ทบทวนคณะกรรมการชุดนี้เพราะจะเกิดความไม่เที่ยงธรรมดังเหตุผลที่กล่าวมา ซึ่งบัดนี้ได้ครบกำหนดเวลา 15 วันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ทั้งนี้ นายวัชระยังได้ส่งภาพการให้การของตนเองและของนายวิลาศในคณะกรรมการสืบสวนชุดนายนัฑเป็นประธานเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน มาด้วย พร้อมกับขอให้ตั้งกรรมการสอบผู้ที่รายงานเท็จต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรโดยด่วนที่สุดต่อไป ซึ่งจะมีการยื่นหนังสือในเรื่องนี้ต่อนายชวน หลีกภัย ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ เวลา 11.00น.ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยนายวัชระ ได้ระบุทิ้งท้ายว่า พวกเขากล้าแม้กระทั่งรายงานเท็จต่อนายชวน หลีกภัย ที่เป็นถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆสำหรับข้าราชการบางคนในยุคสมัยนี้

“เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ขายของไม่ได้

People Unity News : “เทพไท”ตาสว่าง! สำรวจตลาดหูชา ไม่มีเงินซื้อของขาย ขายของไม่ได้ สินค้าการเกษตรตกต่ำ มาตรการประกันรายได้เกษตรกรเหลว

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ facebook live การลงพื้นที่ตลาดนัดเขาลำปะ อ.ชะอวด เพื่อสำรวจสภาวะเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน ว่า ได้รับเสียงบ่น เสียงโอดครวญจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจ่ายตลาดจำนวนมาก ว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวของ พ่อค้าแม่ค้าพูดถึงกำลังซื้อจากพี่น้องประชาชนมีน้อย ขายของไม่ได้ สาเหตุหลักมาจากสินค้าการเกษตรตกต่ำ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกรแล้ว ก็เป็นแค่มาตรการชั่วคราว เพื่อเยียวยาเกษตรกรเฉพาะหน้า สภาพการเงินไม่ได้หมุนเวียนเหมือนกับภาวะเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในอดีต ประชาชนได้ฝากเสียงสะท้อนปัญหาปากท้องมายังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลให้เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาในขณะนี้คือ 1.ราคาพืชผลด้านการเกษตรของเกษตรกรตกต่ำทุกชนิด 2.การเงินขาดสภาพคล่อง เงินในกระเป๋าของเกษตรกรไม่มีในการใช้จ่าย 3.เกิดภาวะการตกงาน หรือ อัตราการว่างงานสูงมาก
จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มาจากการบริหารงานบ้มเหลวของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ผมจึงขอเสนอให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ

การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ใช้คนไม่ตรงกันงาน เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นนายทหารไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ จึงควรที่จะให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งในขณะนี้ทีมเศรษฐกิจแบ่งออกเป็นสามก๊กสามเหล่า คือทีมของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับผิดชอบกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ทีมของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทีมของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ดังนั้นควรจะต้องใช้การบริหารแบบบูรณาการ มอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่แท้จริง ในฐานะที่เป็น ส.ส.คนหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่วันนี้จะขอทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชน เพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก ที่กระทบต่อปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้รับทราบ ได้รับรู้ปัญหาทั้งหมด และจะได้นำไปพิจารณาหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป

กรมควบคุมโรคเผยปี 2562 พบผู้ป่วยโรคคอตีบแล้ว 23 รายเสียชีวิต 4 ราย

People Unity News : กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังสถานการณ์โรคคอตีบ ในปี 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 23 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ เด็กแรกเกิด-9 ปี

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคคอตีบ ในปี 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 23 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ เด็กแรกเกิด-9 ปี รองลงมาคือ 10–14 ปี ข้อมูลจากการตรวจสอบข่าวการระบาดในระบบเฝ้าระวังเหตุการณ์ ในปีนี้มีรายงานทั้งหมด 83 เหตุการณ์ พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์รายงานสงสัยโรคคอตีบ 83 ราย โดยเป็นผู้ป่วยยืนยันตามระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา (รง.506) จำนวน 23 ราย ส่วนในกลุ่มผู้เสียชีวิต 4 ราย เป็นเด็กอายุระหว่าง 2–9 ปี ผู้เสียชีวิตไม่มีประวัติได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่เพียงพอ

“พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพในสัปดาห์นี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคคอตีบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากมักมีการรายงานพบผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน และอีกช่วงคือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และอาจพบความรุนแรงขึ้นในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนที่ได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ โรคคอตีบเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนบน ติดต่อจากคนสู่คนโดยการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อปนเปื้อน ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ในลำคอของผู้ที่เป็นพาหะได้นานถึง 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ เจ็บคอ และพบแผ่นฝ้าขาวในคอ โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุมีทั้งสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดพิษ และไม่ทำให้เกิดพิษ ซึ่งพิษสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจบวมเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ และเสียชีวิตได้ กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนพาบุตรหลานไปรับวัคซีนให้ครบตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในแต่ละบุคคล ลดการเจ็บป่วยรุนแรง และยังสามารถช่วยสร้างการคุ้มกันและลดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนได้อีกด้วย นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปยังสถานที่แออัด สังเกตอาการเจ็บป่วยของบุตรหลานและเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิดที่อาจเป็นพาหะโรคคอตีบได้ หากพบบุตรหลานมีอาการป่วยสงสัยตามข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422”

“อนุสรณ์”ชี้อีก! สถานการณ์สุกงอมฝ่ายค้านจัดหนักซักฟอก

People Unity News : “อนุสรณ์”โฆษกพรรคเพื่อไทชี้อีก! สถานการณ์สุกงอม ฝ่ายค้านจัดหนักอภิปรายไม่ไว้วางใจ

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี การเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน ว่า ก่อนหน้านี้โพลหลายสำนักก็สะท้อนความเห็นของประชาชนว่า สถานการณ์สุกงอมที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ใช่การดำเนินการที่เร็วเกินไป ในอดีตรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช 4 เดือนก็ถูกกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว เบื้องต้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้น่าจะแบ่งกลุ่มผู้ที่ถูกอภิปรายเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่ม 3 ป. ที่เป็นแกนหลักตั้งแต่รัฐบาลรัฐประหาร จนถึงรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2.กลุ่มใกล้ชิด หรือ ตัวแทนของ 3 ป. ที่อยู่ในอำนาจต่อเนื่องนานๆ 3.กลุ่มที่เข้ามาใหม่ แล้วพบพิรุธในโครงการต่างๆเพื่อเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งจะต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างใกล้ชิดต่อไป

ฝ่ายค้านยุคนี้ ไม่มีเครื่องมือพิเศษ หรือตัวช่วยอะไร ที่พออภิปรายล้มรัฐบาลไม่ได้ แล้วสามารถใช้ดาบ 2 ดาบ 3 เครื่องมือพิเศษอื่นๆในการจัดการรัฐบาลให้พ้นไป นอกจากการดำเนินการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ตามกลไกรัฐสภา จากสภาพของพรรคร่วมรัฐบาลที่ขาดเอกภาพ ต่างคนต่างยึดกุมหม้อข้าวตัวเอง มีรอยร้าวระหว่างพรรคหลายกรณี เชื่อว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะโดนลอยแพสูง เพราะขนาดนัดกันกินข้าวลดความบาดหมางระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่สามารถนัดกันได้เลย

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ ฝ่ายค้านจะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ประชาชนฝากความหวังในการตรวจสอบรัฐบาล เพื่อไม่ให้ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสในการแข่งขันและการพัฒนาประเทศ” นายอนุสรณ์ กล่าว

ปชป.มุ่งใช้โซเชียลมีเดีย ติดอาวุธดิจิทัล สร้างคะแนนนิยมชาวกรุง

People Unity News : “องอาจ”ปิดงาน”โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กทม.” เสริมความแข็งแกร่ง ยึดเหนี่ยว 3 กลไกหลัก “รัฐมนตรี-สภา-พรรค” เน้นการทำงานตอบโจทย์พื้นที่ ด้านรองโฆษกพรรคจับมือสมาชิก ทำ Workshop การใช้โซเชียลมีเดีย ติดอาวุธดิจิทัล ช่วยสร้างคะแนนนิยม

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และรองหัวหน้าพรรคฯ กรุงเทพฯ ได้ร่วมปัจจฉิมนิเทศและปิดการสัมมนา “โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กทม.” ณ ศูนย์ประชุมสัมมนา ภูโอบ น้ำใส คันทรี รีสอร์ท อ.เมือง จ.นครนายก ทั้งนี้ในวันสุดท้ายของการสัมมนา ได้มีขุนพลของพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมปิดงานอย่างคับคั่ง อาทิ น.ต.สุธรรม ระหงษ์ ผู้อำนวยพรรคประชาธิปัตย์, นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนการทำงานของพรรค โดยจะสอบถามความต้องการของสมาชิกพรรค เพื่อให้ตอบโจทย์ของแต่ละพื้นที่

ในส่วนของนางดรุณวรรณ ได้ตอกย้ำการใช้โซเซียลอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการทำ workshop เพื่อใช้สร้างคะแนนนิยมให้พรรคและคนกรุงเทพมหานคร รวมถึงเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารของพรรค โดยตัวแทนจากทั้ง 30 เขต ของ กทม. ตื่นตัวสามารถใช้ความรู้ที่ได้จากการอบรมในวันนี้ทั้ง Line, Facebook การสื่อสารทั้ง Online และ Offline เป็นเครื่องมือในการสื่อสารได้อย่างเท่าทันและเต็มที่

นายองอาจได้กล่าวถึงรูปแบบการทำงานทางเมืองคือการรับใช้ผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ โดยใช้นโยบายของพรรคไปบริหารจัดการให้สามารถทำงานได้เกิดผลสำเร็จ เป้าหมายสูงสุดเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำงานของนักการเมือง ช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน ช่วยกันทำงาน ตลอดระยะเวลา 3 วัน นายองอาจเชื่อว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วม เชื่อว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้

ตอนท้าย นายองอาจยังได้กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนา วิทยากร และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่สำคัญคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นสถาบันการเมืองที่พึ่งหลักของประเทศ โดยเชิญชวนให้สมาชิกทุกคนร่วมกันทำงาน เพราะยังมีภารกิจอีกมาก ที่ต้องหลอมรวมหัวใจ “พลพรรครักสีฟ้า” ไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ชัยชนะ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นชัยชนะของประชาชนทั้งประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคมส่วนรวมต่อไป

Verified by ExactMetrics