วันที่ 30 พฤศจิกายน 2024

“ธณิกานต์” ร่วมปักหมุดจุดเผือกสร้างเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเขตบางซื่อ

People Unity News : “ธณิกานต์” ประธานคณะกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ ร่วมปักหมุดจุดเผือกสร้างเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเขตบางซื่อ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนผู้หญิง และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนและผลักดันนโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงอย่างจริงจัง วันนี้จึงรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน แคมเปญ #ปักหมุดจุดเผือก ‘Safe Cities for Women เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง’ ในเขตบางซื่อ ซึ่งได้ลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยงและปักหมุดแล้วบางส่วน ต่อจากนี้ก็อยากเชิญชวนให้ผู้หญิงเราร่วมด้วยช่วยกัน ส่งเสียง ส่งข้อมูล ปักหมุดพื้นที่ที่ต้องการได้รับการดูแลเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ผ่านช่องทาง Line: @traffyfondue๐”

ทั้งนี้จากสถิติ ผู้หญิงไทย 86% เคยถูกคุกคามทางเพศในที่สาธารณะ วันนี้หน่วยงานภาคประชาสังคม อาทิ ActionAid สสส. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายสลัม 4 ภาค แผนงานสุขภาวะผู้หญิง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาครัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. ตำรวจนครบาล จับมือกันดูแลผู้หญิงอย่างเป็นรูปธรรม กับ โครงการ #ปักหมุดจุดเผือก ‘Safe Cities for Women เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง’

โดยโครงการ ได้นำ concept เมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง มาบวกกับ technology และพัฒนา platform โดยทีม Nectec สร้าง ai เพื่อเก็บข้อมูลและประมวลผล มี machine learning ช่วยวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ โดยความสำเร็จของโครงการขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่จะเข้าถึง platform และร่วม #ปักหมุดจุดเผือก

โฆษณา

อยู่ไม่เป็น!ประชาชนแห่ร่วม “อนาคตใหม่” จัดยิ่งใหญ่

People Unity News : “อนาคตใหม่”จัดยิ่งใหญ่ “อยู่ไม่เป็น” ประชาชนแห่ร่วมเนืองแน่น “ธนาธร – ปิยบุตร” ชี้ผู้สนับสนุนพรรคท่วมท้นทำผู้มีอำนาจไม่สบายใจ จนเป็นที่มาคดีความเพียบ – ปลุกเดินทางต่อ ร่วมปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทุกคน “อยู่ได้”

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ห้องกำแพงเพชร ศูนย์การค้าเจเจมอลล์ จตุจักร พรรคอนาคตใหม่จัดงาน “อยู่ไม่เป็น” โดยมีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน สมัครสมาชิก ซื้อสินค้าระดมทุนของพรรค เยี่ยมชมบูธนิทรรศการต่างๆ เช่น บูธไอทีและแอพลิเคชั่นของอนาคตใหม่ บูธปีกแรงงาน บูธเกี่ยวกับ พ.ร.บ.รับราชการทหาร เป็นต้น ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงของการปราศรัยโดย ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ในหัวข้อต่างๆ ได้แก่ อยู่เป็น โลกไม่เปลี่ยน โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ประชาชนใต้อำนาจทุน โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, ประชาชนใต้อำนาจปืน โดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

รวมถึงการปราศรัยในหัวข้อ ความอยู่ไม่เป็นของพรรคอนาคตใหม่ โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล และปิดท้ายด้วยการปราศรัยในหัวข้อ อนาคตใหม่คือผู้คนและการเดินทาง โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทั้งนี้ในงานยังมีมินิคอนเสิร์ตโดย ศิลปินแร็พกลุ่ม RAD เจ้าของเพลงดัง ประเทศกูมี, ถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นต้น

“ธนาธร” เผยตั้งพรรคเพื่อเป็นเครื่องมือทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น

นายธนาธร กล่าวว่า การเดินทางของพรรคอนาคตใหม่จากวันแรก พ.ค. 61 ถึงวันนี้เป็นเวลา 540 วัน จากวันที่เริ่มต้นเพราะคนอยู่ไม่เป็น 3 คน กลายเป็นผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรค 26 คน จากนั้นจึงมีสมาชิกเริ่มแรก 670 คน ร่วมจดจัดตั้ง ต่อมาขยับเป็นทีมจังหวัด 77 จังหวัด กลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.ที่มีทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อชุดแรก 474 คน กระทั่งกลายมาเป็นคะแนนเสียงมากกว่า 6,300,000 คน และมีสมาชิกพรรคมากกว่า 60,000 คน ในปัจจุบัน ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและทุกหัวใจที่ผลักดันให้มาจนถึงจุดนี้ ทั้งนี้ เหตุผลที่ตนร่วมตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองจะสามารถเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นได้ และสาเหตุที่ทุกคนมารวมกันก็เพราะมีปลายทาง มีความฝันเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เป็นคนเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นคนจะรวย จน สูงศักดิ์ เป็นชาวนาดำกร้าน นับถือศาสนาหรือไม่นับถือ เป็น LGBTQ หรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดก็ตาม

“ปลายทางของเราคือ ทุกคนในสังคมไทยมีสิทธิและเสรีภาพ ได้รับสวัสดิการที่ดี เราต้องการเห็นเทคโนยีก้าวหน้าที่ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ มีอุตสาหกรรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปี่ยมไปด้วยความหมาย เป็นประเทศที่กระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม ไม่มีเศรษฐกิจผูกขาด มีความเข้มแข็งในระดับนานาชาติที่ไม่ใช่การมีเรือดำน้ำ แต่เข้มแข็งเพราะมีมนุษยธรรม ได้รับความเคารพนับถือจากนานาชาติ พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนบ้านยามลำบาก พร้อมที่จะต่อสู้กับความยากจนและเดินไปด้วยกัน เราต้องการประเทศไทยที่คนทุกคนเท่าเทียม เท่าทัน และทัดเทียมกับโลก” นายธนาธร กล่าว

ไม่ใช่หัวรุนแรง-ก้าวร้าวแต่เกิดจากรักในเพื่อนมนุษย์

นายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า เพื่อไปสู่จุดหมายนั้น พรรคอนาคตใหม่กลับถูกกล่าวหาว่าหัวรุนแรง ก้าวร้าว ชังชาติ และอยู่ไม่เป็น แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นและการดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มเพราะความรัก เห็นคนตกงาน เห็นความลำบาก เห็นชีวิตที่อัตคัดขัดสนข้างนอก คำถามคือเราได้เห็นชีวิตพวกเขาแล้วร้องไห้ไหม ได้ยินแล้ว ยังปล่อยให้เขาดิ้นรนต่อสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรมอย่างเดียวดายหรือไม่ หรือเป็นเพราะสังคมถูกโบยตีด้วยแส้หมดแล้วจึงด้านชาไม่รู้สึกอะไร หัวใจของพวกเรายังอุ่นอยู่ มีเลือดมีเนื้อ สามารถแบ่งทุกข์เฉลี่ยสุขกันได้ นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพรรคอนาคตใหม่จึงไม่ได้เริ่มจากความเกลียดชัง แต่เริ่มจากความรักในความเป็นมนุษย์ รักในความเป็นคนในสังคมเดียวกัน จึงก่อเกิดเป็นทางสายนี้ขึ้น

“บางคนบอกว่า พรรคอนาคตใหม่หัวรุนแรง จะทำให้สังคมพังเพราะเปลี่ยนแปลงเร็วไป แต่อยากให้หันไปดูว่า ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีในเวลานี้หรือไม่ เห็นความยากจน อัตคัด ที่ดำรงอยู่หรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องกลัวไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เร็วไป แต่ต้องกลัวว่า ถ้าอยู่เป็นและกลัวเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะสายเกินการณ์” นายธนาธร กล่าว

“อนาคตใหม่” คือผู้คนและการเดินทางต่อ

นายธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า การอยู่ไม่เป็น หมายถึง เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่ตั้งอยู่บนศักยภาพที่หนักแน่น มั่นคง เราเชื่อในศักยภาพของคนไทยว่าจะสามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ รวมทั้งมองเห็นศักยภาพของชาวอนาคตใหม่ที่มีความแน่วแน่ จึงมองไม่เห็นเลยว่า ถ้าเราเริ่มเดินทางตั้งแต่วันนี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ อนาคตใหม่ไม่ใช่สำนักงาน ไม่ใช่ตึกรามบ้านช่องหรือออฟฟิศ แต่อนาคตใหม่คือเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ อนาคตใหม่ไม่ใช่เพียงแค่พรรคการเมืองแต่คือการเดินทาง อนาคตไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์ส่วนบุคล แต่คือผู้คนที่มีปลายทางการเดินทางไปที่เดียวกัน อนาคตใหม่ไม่ใช่ผม แต่คือพวกเรา ที่พร้อมเดินทางไปด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกล่าวจบ นายธนาธรได้เชิญชวนทุกคนที่มาร่วมงานลุกขึ้นยืนและเดินไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง

“ปิยบุตร” ลั่นต้องกล้าตั้งคำถามกับ “อำนาจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายปิยบุตร กล่าวปราศรัยโดยระบุว่า คำว่าอยู่เป็นและอยู่ไม่เป็น กลับมาเป็นคำที่อยู่ในกระแสสังคมทั้งในโลกออนไลน์และในโลกออฟไลน์ช่วงนี้ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คำนี้ปรากฏขึ้นบ่อยๆ หลังรัฐประหาร 2557 มีการเลาะกัน แซวกันเล่นๆว่า พวกนักกิจกรรมนิสิตนักศึกษา พี่น้องประชาชน นักวิชาการ ที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจของคณะ คสช. แล้วออกไปต่อต้านนั้น เป็นพวกอยู่ไม่เป็น พวกนี้ถ้าอยู่เป็นบ้านเมืองก็จะสงบเรียบร้อยดี คสช.จะบริหารประเทศได้ต่อไป ซึ่งก็มีคนที่ทนสภาพสังคมแบบนี้ไม่ได้ แต่พวกเขามีศักยภาพ เบื่อประเทศนี้ก็ไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เหลือทางเลือกของคนไทยเพียง 2 ทางคือ 1.คืออยู่ให้เป็น เอาตัวรอดให้ได้ในสังคมต่อไป หรือ 2.ถ้าทนไม่ไหว มีศักยภาพเพียงพอ ก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศ

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า อำนาจเป็นปรากฏการณ์ในทางสังคมที่เกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีคนมากกว่าหนึ่งคน เมื่อคนกลุ่มหนึ่งสั่งให้คนอีกกลุ่มปฏิบัติตามแล้วเขาก็ยอมเชื่อฟัง อำนาจได้เกิดขึ้นแล้ว อำนาจทำงานได้ต่อเมื่อมีความยินยอมและการเชื่อฟัง อำนาจทำงานได้ด้วยความกลัวและความเชื่อ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า บนโลกนี้มีปีศาจมากมายเต็มไปหมด แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ คนที่พร้อมเชื่อฟังคำสั่งโดยที่ไม่กล้าเถียงไม่กล้าปฏิเสธ เวลาที่มีคนถามเราว่าอดทนอยู่เฉยๆ ให้เป็นไม่ได้หรือไง เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยดี นั่นไม่ใช่คำถามที่ถูกต้อง คำถามที่ควรถามมากกว่าคือ สภาพสังคมที่เป็นอยู่แบบนี้ เราทนอยู่กับมันได้อย่างไร เราต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถาม เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ยุติธรรม

ชี้ผู้สนับสนุนพรรคท่วมท้นทำผู้มีอำนาจไม่สบายใจ

นายปิยบุตร กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่เป็นที่มาของพรรคอนาคตใหม่ คือเหตุผลที่เรารวมตัวกันเป็นพรรคเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้ดีขึ้น สภาพสังคมที่มีรัฐราชการส่วนกลางกำหนดทุกความเป็นไปในประเทศ สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำรวยกระจุกจนกระจาย มีรัฐประหารทุกๆ 4-6 ปี ทหารเข้ามาครองอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน ตบเท้าสั่งรัฐบาลพลเรือนได้ สังคมที่เกณฑ์เอาคนหนุ่มสาวไปเสียโอกาสอยู่ในกองทัพทำงานให้กับนายพล ปล่อยให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถขยับชนชั้นสถานะ เราพรรคอนาคตใหม่จึงตัดสินใจออกมาเพื่อบอกว่าเราจะอยู่ไม่เป็น

“เราออกแบบพรรคอนาคตใหม่ ออกแบบนโยบายเพื่อให้ทะลุทะลวงไปจนถึงโครงสร้างของปัญหา ทั้งหลายทั้งปวงจึงนำมาซึ่งเภทภัยทั้งหลายที่พรรคอนาคตใหม่กำลังเผชิญอยู่ บรรดาผู้ครองอำนาจไม่สบายใจ แต่ก็คงคิดว่าเราจะไปทำอะไรได้ หากแต่ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา มีเสียงผู้สนับสนุนเราถึง 6 ล้านเสียง พร้อมกับ ส.ส.81 ที่นั่ง นี่จึงเป็นเหตุให้เรามีคดีถึง 25 คดีแล้วตอนนี้ สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า คดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ไม่นับรวมว่ามีเพจโซเชียลมีเดียต่างๆ เกิดขึ้นมาโจมตีใส่ร้ายพรรคอนาคตใหม่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาชี้นิ้วมาและหาว่าพวกเรามาล้างสมองเด็ก ผมกลับเห็นว่า คนเหล่านั้นควรต้องชี้นิ้วกลับไปที่ตัวเองต่างหากว่า สร้างบ้านเมือง ปล่อยบ้านเมืองให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร สร้างปัญหาแล้วมีแต่เรื้อรังบานปลายขึ้นมา” นายปิยบุตร กล่าว

ปลุกร่วมกัน “ปฏิรูป” ให้ทุกคนอยู่ในประเทศได้

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เหล่านี้คือสาเหตุที่เราต้องอยู่ไม่เป็น ถ้าทุกคนพร้อมใจกันอยู่แบบที่เป็นอยู่ บ้านเมืองก็จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงจะไม่มีวันเกิดขึ้น เราชาวอนาคตใหม่ต้องอยู่ไม่เป็นเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันในแผ่นดินนี้ได้ เปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ทุกๆคนอยู่ได้ ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปไปด้วยกัน ไม่มีสังคมไหนอนุญาตให้คนไม่กี่คนเอาทุกอย่างไปเป็นของตัวเอง ทั้งอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้แบบนี้ ทุกการเปลี่ยนแปลงในสังคมเริ่มจากแบบนี้หมด คนกลุ่มเดียวครอบครองเอาไว้ทุกอย่างทั้งอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ออกมาเรียกร้องให้มีการแบ่งปันอำนาจ ถ้าคนที่ครองอำนาจมองเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นจะอยู่กันไม่ได้ทั้งหมด ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูป แต่ถ้าคนครอบอำนาจไม่ยอมมองเห็นความสำคัญ คิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการปราบปรามได้ มันก็จะกลายเป็นการปฏิวัติ

“อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า แนวทางที่สังคมไทยควรเป็นไปมากที่สุดคือวิถีการปฏิรูป นั่นจึงเป็นที่มาของการตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อเข้าไปทำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจต้องตระหนักให้ดีว่า เราจะปล่อยประเทศให้เป็นไปเช่นนี้ไม่ได้ ต้องหันกลับมามองความต้องการของพี่น้องคนไทยแล้วเดินหน้าปฏิรูปไปด้วยกัน ที่เราต้องอยู่ไม่เป็น ก็เพื่อให้ทุกคนอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างมีความสุข” นายปิยบุตร กล่าว

“เพื่อไทย” แนะรัฐหยุดนโยบายแจกเงิน อัดเม็ดเงินลง SME ดีกว่า

People Unity News : “เพื่อไทย” จัดสัมมนา “ฟังเสียง SMEs ไทย” แนะรัฐหยุดนโยบายแจกเงิน เร่งอัดเม็ดเงินลง SME เชื่อเป็นทางรอดวิกฤตเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 พรรคเพื่อไทย จัดงานสัมมนา “ฟังเสียง SMEs ไทย” ภาคอีสาน ณ ศูนย์ประชุมมณฑาทิพย์ฮอลล์ จ.อุดรธานี เพื่อรับฟังและแชร์ปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจ SME ไทย กับเซียนธุรกิจตัวจริงเสียงจริง มีการจับคู่ธุรกิจสร้างโอกาสต่อยอดสู่อนาคต โดยมีวิทยากรมากความสามารถ ได้แก่ คุณต้น-ธนพันธ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของกิจการชาบูเพนกวิน นักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้เชี่ยวชาญในการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมี ส.ส. อุดรธานี เข้าร่วมงานด้วย อาทิเช่น นายอนันต์ ศรีพันธุ์ นายขจิตร ชัยนิคม นางอาภรณ์ สาราคำ นางเทียบจุฑา ขาวขำ เป็นต้น

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ในอดีตเราพยายามแก้ไขหลักเกณฑ์ SME เพื่อให้คนตัวเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น พร้อมปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดการแก้ไขหนี้เสีย จนระดับหนี้ขึ้นมาอยู่ในระดับสากลพร้อมหาตลาด SMEs ใหม่ เราเพิ่มแต้มต่อให้นักธุรกิจขนาดเล็ก คนตัวเล็ก เพื่อไปสู้กับธุรกิจใหญ่ได้ โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในอดีตจะทำหน้าที่เป็นผู้ขาย นำสินค้าของประเทศไทยไปขายและหาโอกาสเจรจาด้านการค้าให้กับกลุ่มธุรกิจ SMEs และเปิดเจรจาการค้าเสรี รวมทั้งเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในระบบ แต่หลังจากการรัฐประหารเป็นต้นมา ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจคือตัวฟ้องเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและกลางประสบปัญหามาโดยตลอด

ซึ่งพรรคเพื่อไทยเราแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร แต่เราทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เราจึงตั้งคำถามว่า นโยบายของรัฐบาลเปิดโอกาสสร้างความแข็งแรงให้ธุรกิจขนาดเล็กหรือไม่ และคำตอบที่ได้คือไม่

“เราต้องเติมกำลังให้ SMEs ขับเคลื่อนต่อได้เศรษฐกิจประเทศจึงจะไปได้ หาก SMEs ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ คนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาล รัฐบาลที่ทำงานเป็น คิดเป็น จะต้องสร้างนโยบายที่สนับสนุนให้คนตัวเล็กอย่าง SMEs มีกำลังเดินได้ ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการ SMEs กลับต้องเดินเองและต่อสู้เอง” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

จัดแคมป์คนรุ่นใหม่ระดมความคิดเห็น พร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

พรรคเพื่อไทย จัดกิจกรรมร่วมกับเยาวชนและนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ในโครงการ “Pheu Thai Top Secret ไขความลับพรรคเพื่อไทย” ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไขความลับของพรรคเพื่อไทยในฐานะสถาบันทางการเมืองของประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย. 62 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์จากสถาบันพรรคการเมือง และร่วมรับฟังพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่กับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย อาทิเช่น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ ประธานกลุ่มเพื่อไทยพลัส , นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส. เชียงใหม่ รองประธานกลุ่มเพื่อไทยพลัส , นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการเพื่อไทยพลัส , นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย , นายสงวน พงษ์มณี ส.ส. ลำพูน , น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่ และ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส. หนองคาย

การจัดโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นและออกแบบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน โดยภายในงานมีการโต้วาทีร่วมกันระหว่างเยาวชนและนักการเมือง การเสวนาในหัวข้อต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ร่วมกับชุมชนจริง อีกทั้งยังมีการแนะแนวการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ทางด้านสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น

วันนี้ได้มีการเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งมีน้องๆเยาวชนให้ความสนใจเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

โดย น.ส.จิราพร กล่าวถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท ทำให้งบประมาณกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ กทม. ไม่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีถึง 85% แต่กลับได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียง 30% เท่านั้น

ในขณะที่ นายพลนชชา กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดจากการมองคนไม่เท่าเทียมกัน

“ทางออกของความเหลื่อมล้ำคือการปฏิรูประบบภาษี การกระจายสวัสดิการกับการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และการบริหารจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของประชาชน” นายพลนชชา กล่าว

“ราเมศ”อาศัยศาลาวัดสัญจรชัยภูมิ เกษตรกรฝากขอบคุณ”จุรินทร์”

People Unity News : “ราเมศ”อาศัยศาลาวัดสัญจรชัยภูมิ เกษตรกรดีใจขอบคุณ “จุรินทร์” ทำประกันรายได้สำเร็จ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ภายใต้โครงการโฆษกประชาธิปัตย์สัญจร พร้อมด้วย นายกฤษณ์ดนัย หมู่สะแก อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยภูมิ เขต 3 ได้พบปะกับพี่น้องเกษตรกรที่มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องประกันรายได้ ทั้งนี้พี่น้องเกษตรกรมีการปลูกข้าว และปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก ได้เริ่มทยอยรับเงินส่วนต่างแล้ว ส่วนมันสำปะหลังจะมีการจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 นี้

พี่น้องเกษตรกรได้ขอบคุณนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ที่ได้มุ่งมั่นทำนโยบายการประกันรายได้พืชผลทางการเกษตรจนสำเร็จ และพี่น้องเกษตรกรก็ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ได้หาเสียงไว้ตั้งแต่ต้น

นายราเมศ ยังรับข้อเสนอแนะเรื่องการขึ้นทะเบียนตามขั้นตอนที่กำหนด ที่พี่น้องเกษตรกรอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้มากขึ้นโดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่จะต้องลงพื้นที่พบเกษตรกรในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสียสิทธิ์

นอกจากนี้ได้มีการให้ความรู้กฏหมายเบื้องต้น ให้ความรู้ระบบประชาธิปไตยพร้อมทั้งเปิดคลินิกกฎหมายให้คำปรึกษากับพี่น้องประชาชนและรับเรื่องราวร้องทุกข์เรื่องที่ดินทำกิน ที่พี่น้องเกษตรกรอยากให้มีการจัดการอย่างเป็นระบบและยั่งยืนโดยเฉพาะเรื่องเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชน ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็จะมีการนำเสนอข้อมูลต่อพรรคและรัฐบาลต่อไป

“เพื่อไทย”อัด”บิ๊กตู่”แนวคิดเผด็จการชี้แช่แข็งท้องถิ่น

People Unity News : “เพื่อไทย”อัด”บิ๊กตู่”แนวคิดเผด็จการชี้แช่แข็งท้องถิ่น ต่อรองอำนาจ ไม่ยอมรับ ไม่ให้เลือกตั้ง

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากไม่เลือกตั้งท้องถิ่นใครจะตาย อยากบอกให้พลเอกประยุทธ์ทราบว่า คนที่จะตายคือประชาชนในพื้นที่ เพราะเวลามีปัญหาไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครเพราะ ไร้ผู้นำหมู่บ้านที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างรัฐกับประชาชน ทั้งนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นคือประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน ของประชาชนและใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด

การปกครองส่วนท้องถิ่นถูกพลเอกประยุทธ์และคณะแช่ แข็งมานาน รวมทั้งมีการตั้งคนที่ผู้มีอำนาจสั่งได้เข้าไปมีอำนาจแทน ดูจากกรุงเทพมหานครที่มีการปลดผู้ว่าราชการคนเก่าที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วตั้งคนของตัวเองมานั่งบริหารแทน หรือที่พัทยามีการปลดคนเก่า แล้วตั้งคนของพรรคร่วมรัฐบาลดำรงตำแหน่งแทน คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งจึงไม่มีความเชื่อมโยงกับประชาชนและไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน

นายวิสาร กล่าวด้วยว่า จากภาพรวมที่เกิดขึ้น มีความเชื่อมั่นว่าผู้มีอำนาจจากคณะรักษาความมั่งคงแห่งชาติ หรือ คสช.เดิมที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ต้องการที่จะสืบทอดอำนาจในการควบคุมประเทศไปอีกนาน จึงไม่ปล่อยอำนาจให้กลับไปสู่ประชาชน รวมทั้ง้องการที่จะนำการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นข้อต่อรองอำนาจ ถ้ายอมเป็นพวก หรือ สยบต่อผู้มีอำนาจก็จะปลดล็อคให้

เจตนาที่แท้จริงของผู้มีอำนาจที่จะไม่จัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น พลเอกประยุทธ์อ้างว่าจะเกิดความวุ่นวาย แต่ในความจริงคือไม่ยอมรับการมีอำนาจของประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นชัดก็คือ จิตใจและแนวคิดของผู้มีอำนาจมีแนวคิดเผด็จการชัดๆ ไม่มีแนวคิดเป็นประชาธิปไตย ขอประณามผู้มีอำนาจที่คิดจะสืบทอดอำนาจ สร้างวาทกรรมให้ตัวเองดูดีเท่านั้น

ร.ท.หญิงสุณิสาถามพล.อ.ประยุทธ์แค่มาตอบคำถามกมธ.ป.ป.ช.จะตายหรือ

People Unity News : ร.ท.หญิงสุณิสาถามพล.อ.ประยุทธ์แค่เดินมาตอบคำถามกมธ.ป.ป.ช. ทำไมต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ที่ผ่านมารัฐมนตรีคนอื่นเขาก็ยังมาชี้แจงได้เพราะเป็นเรื่องปกติ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็นภาพกรรมาธิการ ปปช. ซีกรัฐบาล วิ่งพล่านทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมิให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องมาตอบคำถามคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้า เป็นเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านธรรมดาๆ แล้วบรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายจะออกแรงเพื่อปกป้องกันสุดใจถึงขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งหาก ส.ส. เหล่านี้ แบ่งพลังสักครึ่งหนึ่งที่ใช้ในการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเอาพลังงานตรงนั้นไปใช้ในการเรียกร้องความถูกต้องให้ประชาชน ประเทศไทยก็คงจะเจริญกว่านี้มาก

ทั้งนี้ เรื่องการเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. นั้น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คณะกรรมาธิการ เขาแค่เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาตอบคำถามที่สภา ไม่ได้เรียกมาเข้าคุกสักหน่อย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร รัฐมนตรีคนอื่น ๆ เขาก็เคยเดินทางเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ กันเป็นเรื่องปกติ ทำไม พล.อ. ประยุทธ์ ต้องกลัวขนาดนี้ จนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบบอกว่าเลือกตั้งช้าแล้ว จะเป็นจะตายกันหรือไง ก็ขอถามกลับว่า กะอีแค่เดินมาตอบคำถามที่สภา ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายด้วย ดังนั้น ทางออกง่าย ๆ ของเรื่องนี้ ก็แค่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งรถมาที่สภาเท่านั้น  ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เลิกทำตัวมีปัญหา และยอมรับการตรวจสอบ ผู้ใหญ่ในประเทศหลาย ๆท่านก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวายมาช่วยจนเสียหลักการกันไปหมด แถมยังอาจช่วยทำให้ พล.อ ประยุทธ์ ดูดีขึ้น ว่าขนาดเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยอมลดทิฐิเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายด้วย อย่าทำให้ ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในประเทศนี้ต้องควักต้นทุนทางสังคมเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งและความวุ่นวายในคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่า ตนเห็นด้วยกับความเห็นของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงใดๆเกี่ยวกับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ เป็นเรื่องภายในของคณะกรรมาธิการนั้นๆ เพราะการโหวตเลือกตำแหน่งต่างๆของคณะกรรมาธิการ เป็นการลงมติในที่ประชุมคณะกรรมาธิการทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใดๆก็เป็นเรื่องภายในของกรรมาธิการที่จะพิจารณากัน จากข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการระบุถึงการสิ้นสุดของผู้ดำรงประธานคณะกรรมาธิการ ต้องพิจารณาว่าสามารถนำข้อบังคับข้อที่ 108 ว่าด้วยการสิ้นสุดของกรรมาธิการมาบังคับใช้โดยอนุโลมได้หรือไม่

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือโดยประเพณีปฎิบัติไม่เคยมีการโหวตเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมาธิการเลย เว้นแต่ตัวประธานจะขอลาออกจากตำแหน่งเสียเอง เพราะตำแหน่งประธานคณะกรรมาธการแต่ละคณะ เป็นข้อตกลงร่วมกันเป็นการภายในระหว่างวิปทั้ง2ฝ่าย และเป็นโควต้าของแต่ละพรรค ที่แบ่งกันชัดเจนตามสัดส่วนระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล

ส่วนกรณีที่มีกรรมาธิการ ปปช.ในสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาการทำหน้าที่ของประธานคณะกรรมาธิการ ปปช.ว่าถูกต้องหรือไม่ และร้องเรียนถึงความขัดแย้งในการทำงานของคณะกรรมาธิการนั้น เชื่อว่า เรื่องนี้เมื่อท่านประธานสภาฯรับหนังสือดังกล่าวแล้ว อาจจะมอบให้คณะกรรมาธิการกิจการสภาดำเนินการเหมือนกับข้อขัดแย้งของคณะกรรมาธิการบางคณะที่คณะกรรมาธิการกิจการสภาพิจารณาแก้ปัญหาจบแล้ว

ต้องยอมรับความจริงว่า สภาชุดนี้ มีส.ส.หน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ในคณะกรรมาธิการบางคณะ มีกรรมาธิการที่เป็นส.ส.ใหม่เกิอบทั้งคณะ และบางคณะมีประธานคณะกรรมาธิการเป็นส.ส.สมัยแรก ยังขาดประสบการณ์ในการทำหน้าที่ ไม่เคยผ่านงานด้านกรรมาธิการมาก่อน ก็จะทำให้เกิดความขลุกขลักในการทำงานช่วงแรกๆ เชื่อว่าเมื่อผ่านการทำงานไปได้สักระยะหนึ่งทุกอย่างก็คงจะเข้าที่เข้าทาง ดำเนินการไปด้วยดีได้อย่างแน่นอน

อยากให้ ส.ส.ทุกคนได้ตระหนักถึงการทำหน้าที่ของตนในคณะกรรมาธิการว่า ทุกคนเป็นตัวแทนของประชาขน ในคณะกรรมาธิการจะไม่มีความเป็นพรรคการเมือง ทุกคนมีสถานะเป็นกรรมาธิการ มีหน้าที่ต้องทำงานร่วมกันตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ควรนำเอาความเป็นพรรคการเมือง หรือขั้วการเมือง หรือความมีอคติ ความไม่พอใจส่วนตัวมายุ่งเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ หรือหากไม่มีการลดราวาศอกซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะไม่ประสบความสำเร็จตามเจตนารมย์ของข้อบังคับการประชุมสภา และเจตนารมย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน

“ไพบูลย์”แนะ”บิ๊กตู่”ส่งคืนหนังสือเรียกของ”เสรีพิสุทธิ์” เหตุกระทำโดยผิดกฏหมาย

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ตนได้ ยื่นเรื่องคำร้อง เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2562 เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาวินิจฉัยเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณี พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129 ซึ่งต่อมาในวันที่ 15 พ.ย.2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปในวันเดียวกัน

นายไพบูลย์เห็นว่าการที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ปปช) สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ สผ.0019.05/945 เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อ กมธ.ปปชในวันพุธที่ 20 พ.ย. 2562 ในประเด็นข้อซักถาม ระบุไว้ 16 ข้อ ทั้งนี้ เนื้อหาในหนังสือระบุว่าอาศัยอำนาจตามมาตรา 129 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกอบมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 โดยหนังสือระบุไว้มุมบนขวาว่า กมธ.(บค.)1 นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปชได้ดำเนินการออกหนังสือฉบับดังกล่าว ตามแบบ กมธ.(บค.)1 เป็นไปตาม พรบ คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯมาตรา 6 ที่ตนได้ตรวจสอบพบว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 129 เนื่องจากได้บัญญัติให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน “ซึ่งเป็นการขัดต่อเอกสารหลักฐานความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่อธิบายไว้ ว่าเจตนารมย์แห่งรัฐธรรมนูญ วางหลักการใหม่ให้คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจ”สอบสวน” แต่ให้มีอำนาจเพียง”สอบหาข้อเท็จจริง” เท่านั้น จึงทำให้ พรบ คำสั่งเรียกของคณะกมธฯมาตรา 6 ซึ่งปรากฏให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ”สอบสวน”จึงขัดต่อความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 เช่นเดียวกับ พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีความเห็นไปแล้วว่า มาตราดังกล่าว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 129

ดังนั้นการออกหนังสือเรียกให้นายกรัฐมนตรีมาชี้แจงครั้งล่าสุดของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช นอกจากขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ในหนังสือฉบับดังกล่าวยังระบุเรื่องที่ขอให้ชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงคำถามจำนวน 16 ข้อที่ไม่อยู่ในกรอบอำนาจของกมธ ปปช วิญญูชนที่ได้อ่านคำถามดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้อย่างชัดเเจ้งว่า มีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งผู้ที่ต้องไปชี้แจงแถลงข้อเท็จจริง จึงอาจเข้าข่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

และประกอบกับกรณีดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย พรบ คำสั่งเรียกของกมธฯขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา129 แล้ว นายไพบูลย์จึงเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรปฏิเสธไม่ไปชี้แจงต่อ คณะกมธ ปปช ตามหนังสือที่สผ.0019.05/945 หรือพิจารณาส่งคืนหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเหตุที่เป็นการออกหนังสือโดยมิชอบด้วยกฏหมายหลายประการ และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ ปปช ควรเร่งขอยกเลิกหนังสือฉบับดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157

“อ้น”จี้”ธนาธร”แจงเหตุแถลงนอกศาลให้ข้อมูลไม่ชัด

People Unity News : “อ้น”จี้”ธนาธร”แจงเหตุแถลงนอกศาลให้ข้อมูลไม่ชัด มั่วยกเจตนารมณ์ รธน.เก่าคนละมาตรามาอ้าง ยกประเด็นคดีต่างกันกล่าวหามาตรฐานศาลฎีกา-ศาลรธรน. แถมระบุวันที่โอนหุ้นไม่ตรงกับที่ผ่านมา ย้ำชัดการมีความฝันไม่ผิด แต่ความฝันและการทำตามความฝันต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2562 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวเพื่ออ่านคำแถลงปิดคดีกรณีการถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดความเป็นส.ส.สิ้นสุดลงหรือไม่ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ที่ระบุว่า ศาลฎีกาใช้คนละมาตรฐานกับศาลรัฐธรรมนูญเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน เพราะศาลฎีกาพิจารณากรณีของผู้สมัครส.ส.นายภูเบศว์ เห็นหลอดในประเด็นคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) แต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีส.ส. พรรคฝ่ายร่วมรัฐบาล 41 คนที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ร้องนั้น ในประเด็นที่ร้องขอให้ ส.ส. ทั้ง 41 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นการพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรค 2 ว่า “หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย” ซึ่งเป็นคนละเหตุกับของผู้สมัคร ส.ส. นายภูเบศว์ การแถลงให้ข้อมูลว่าศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญใช้คนละมาตรฐานนั้นไม่น่าจะถูกต้อง การเทียบเคียงของที่แตกต่างกันว่าจะต้องเหมือนกันนั้นเป็นการใช้ตรรกะเหตุผลที่ผิด และสำหรับคำอธิบายว่าบริษัทวีลัคมีเดีย ไม่ได้เป็นบริษัทเกี่ยวกับสื่อเพราะเลิกพิมพ์หนังสือไปแล้วนั้น ก็ขอให้พิจารณากรณีผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ นายทวีป ขวัญบุรีที่ถูกตัดสิทธิสมัคร ส.ส. เแม้จะหยุดการพิมพ์หนังสือไปแล้วกว่า 20 ปี มาเทียบเคียง

น.ส.ทิพานัน กล่าวถึงวันที่ทำการซื้อขายโอนหุ้นระหว่างนายธนาธรและมารดา สังคมเกิดความสับสนอีกครั้งจากการให้ข้อมูลที่ขัดกันเองของนายธนาธร เพราะที่ผ่านมานายธนาธรกล่าวยืนยันและแสดงหลักฐานการโอนหุ้นว่าทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 แต่จากคลิปการแถลงปิดคดีประมาณนาทีที่ 17 เป็นต้นไป นายธนาธรกลับกล่าวเองชัดเจนว่าโอนเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2562 ทำให้ประชาชนที่เชื่อในบรรทัดฐานว่า ความจริงพูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เกิดความสงสัยว่าทำไมนายธนาธรถึงพูดแตกต่างกัน ความเครียดความกดดันใดทำให้พูดออกมาแตกต่างกันอีกแล้ว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า และอีกประเด็นที่สำคัญคือ การกล่าวอ้างเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคนละฉบับ คนละมาตราที่แตกต่างกันมาสนับสนุนว่าตัวเองไม่ผิดนั้น ประชาชนที่ฟังการแถลงมีความสงสัยว่านายธนาธรทำไปเพราะเข้าใจผิดหรือต้องการชี้นำสังคมให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ที่นายธนาธรแถลงอ้างนั้น เป็นเจตนารมณ์ของมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นมาตราที่บังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยบัญญัติห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อ แต่ความผิดของนายธนาธรที่กำลังถูกพิจารณาเป็นเรื่องคุณสมบัติของ “ผู้สมัคร ส.ส.” ในขั้นตอนตั้งแต่สมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 (3) ซึ่งบัญญัติห้ามผู้สมัคร ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมุ่งหวังปรับปรุงให้การเมืองโปร่งใสมากขึ้น จึงเป็นครั้งแรกที่บัญญัติห้ามเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อตั้งแต่การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ดังนั้นการกล่าวอ้างของนายธนาธรจึงไม่น่าจะรับฟังได้

อีกทั้ง การที่นายธนาธรกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาคดีนั้น อยากให้นายธนาธรและทนายความที่ปรึกษาได้ทบทวน ทำความเข้าใจ ตัวบทมาตราของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561เสียก่อนที่จะแถลงออกมาเช่นนั้น และอยากให้นายธนาธรชี้แจงว่าเหตุใดจึงแถลงปิดคดีนอกศาลซึ่งไม่มีผลทางกฎหมายและการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเลย การแถลงนอกศาลดังกล่าวเป็นการแถลงฝ่ายเดียว ไม่มีกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์พยานหลักฐานว่าสิ่งที่กล่าวอ้างเป็นจริงหรือไม่ การแถลงดังกล่าวกลับยิ่งทำให้เกิดความสับสนต่อสังคมว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลหรือไม่

“การมีความฝันและทำตามความฝันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องดูด้วยว่าความฝันมันถูกหรือไม่ และวิธีการที่ทำตามความฝันมันถูกหรือเปล่า เช่น หากมีความฝันว่าอยากเป็นคนขี้หลอกลวงก็ไม่ควรฝันต่อแล้ว หรือฝันว่าอยากรวยซึ่งไม่ผิดแต่ดันไปใช้วิธีการหลอกลวงเงินคนอื่นมาเพื่อให้ตนเองรวย แบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนตัว ดิฉันเองก็เคยมีความฝัน ฝันว่าจะมีเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็นคนรู้ผิดชอบ ไม่สะดุดขาตัวเองหกล้มแล้วคอยแต่โทษคนอื่น ฝันว่าเขาจะเป็นคนรักษาสัญญาทำตาม MOU ฝันว่าเขาจะรักษาคำพูดที่เขาให้ไว้กับคนในองค์กร ฝันว่าเขาจะไม่โกหกหลอกลวงใครอีกต่อไป แต่เมื่อความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ดิฉันก็หยุดฝัน หยุดเอาความฝันนั้นมาหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น ตื่นมาเผชิญความจริงและทำหน้าที่ในทางที่ถูกต้องต่อไป” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว

ภูมิใจไทยยังไม่เคาะ! เลือกตั้งซ่อมส.ส.ขอนแก่นเขต7

People Unity News : “เศรษฐพงค์” เผยเลือกตั้งซ่อมขอนแก่นรอผู้บริหาร เคาะ ส่งหรือไม่ย้ำ แก้รธน.ต้องเพื่อประโยชน์ปชช.เท่านั้น ชี้สื่อบางค่ายโจมตีรัฐมนตรี ภท. ไร้ข้อเท็จจริง ยันมีผลงานชัด ระบุ ส.ส. ทั่วประเทศแจ้งความสื่อเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีพรรค

เมื่อวันที่ 16 พ.ย. พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดขอนแก่น เขต 7 ว่า สำหรับพรรคภูมิใจไทยการจะส่งผู้สมัครหรือไม่ ต้องรอให้ผู้บริหารของพรรคได้หารือกันก่อน ขณะนี้ยังมีเวลาที่จะปรึกษากันภายในพรรคเพื่อให้การตัดสินใจมีความรอบคอบมากที่สุด เนื่องจากผลการเลือกตั้งที่ออกมามีความสำคัญทั้งกับฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจจะมีการพิจารณาญัตติในสัปดาห์หน้านั้น ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ ยืนยันมาตลอดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้อง ก็พร้อมที่จะพิจารณา เราเห็นว่าประเด็นไหนที่ประชาชนเห็นด้วยก็ต้องทำให้เป็นเรื่องหลัก ส่วนประเด็นไหนที่ประชาชนไม่เห็นด้วยก็จะเป็นเรื่องรองลงมา ส่วนการจะตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ถือว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายต่างๆ ได้แสดงความเห็น หารือถึงทางออกร่วมกัน แต่ต้องไม่ลืมที่จะถามประชาชนด้วย เพราะส.ส.พวกเราทุกคนมาจากเสียงประชาชน ดังนั้นการศึกษาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่ลืมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมีประเด็นเกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน หรือการทำงานของรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตนอยากชี้แจงว่าในการทำงานของพรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้มีปัญหาอะไร การทำงานทุกพรรคสามารถสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี และการทำงานของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ชัดเจนว่าไม่ได้มุ่งเน้นให้เป็นประเด็นการเมือง เพราะรัฐมนตรีแต่ละคนตั้งแต่นายอนุทิน รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่างเดินหน้าปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างหนัก มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน แต่ที่ผ่านมารัฐมนตรีของเรากลับถูกโจมตีจากสื่อบางค่าย โดยการโจมตีจากสื่อเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับผลงานของรัฐมนตรีอย่างเห็นได้ชัด

“การโจมตีจากสื่อบางค่ายโดยไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมีนัยแอบแฝงอะไรอยู่หรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นธรรมกับพรรคภูมิใจไทยอย่างมาก การที่สื่อบางค่ายมาตัดสินพรรคการเมืองว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ควรดูผลงานของรัฐมนตรีของเขาด้วย เพราะผลงานที่ออกมาเห็นได้ชัดว่ารัฐมนตรีทุกคนของพรรคฯ ตั้งใจทำงานโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่มีประเด็นการเมืองที่ต้องไปทะเลาะกับใคร ผมอยากให้สังคมตั้งข้อสังเกตุว่าหากพรรคภูมิใจไทยทำไม่ดีจริง ทำไมมีสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์โจมตีอยู่เพียงค่ายเดียว ทั้งที่สื่อในประเทศไทยมีมากมายหลาย สำนัก เราไม่ได้ปฏิเสธการตรวจสอบ แต่หากสื่อจะตรวจสอบก็ควรทำให้เสมอภาคตรวจสอบทุกพรรคการเมือง หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเรียกว่าเป็นสื่อมืออาชีพได้อย่างไร” โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว

พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวต่อว่า การที่ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อบางค่ายนั้น มันคือความจำเป็นที่เราต้องทำ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของพรรค รักษาความถูกต้องเอาไว้ ยืนยันว่าไม่ใช่ทำเพื่อต้องการไปกลั่นแกล้งอะไร แต่หากเราไม่ทำจะกลายเป็นยอมรับความไม่ถูกต้อง ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี เราคงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นกระบวนการตรวจสอบทางสภาฯ ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายรัฐมนตรีคนไหนบ้าง แต่หากมีรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยถูกอภิปรายด้วย เราไม่ได้กังวลอะไร เพราะเรามั่นใจในความตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน มีผลงานให้เห็นเด่นชัด สามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น

“พุทธิพงษ์”แถลงจับกุมหนุ่มแฮกเฟซบุ๊ก”หลอกโอนเงิน”

People Unity News : “พุทธิพงษ์”แถลงจับกุมหนุ่มแฮกเฟซบุ๊ก”หลอกโอนเงิน” เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เผยสถิติตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.จับกุมได้ 7 ราย เสียหายกว่า 34 ล้าน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยในการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ที่ผ่านมาและมีสถิติรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาดำเนินคดีตามกฎหมายและเร่งรัดดำเนินคดีการตามมาตรการป้องกันและปราบปราม ในห้วงที่ผ่านมามีสถิติการจับกุมระหว่างเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายน 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย ดังนี้ เดือนกรกฎาคม 6 ราย เดือนสิงหาคม 6 ราย และเดือนกันยายน 1 ราย

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ (15 พฤศจิกายน) มีการแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาแฮก facebook หลอกยืมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรูปแบบการกระทำความผิด (แผนประทุษกรรม) ที่ซับซ้อน โดยหลอกลวง รับสมัครงานในโลกออนไลน์เพื่อเอาบัญชีผู้อื่นที่มาสมัครงานเป็นบัญชีผู้รับโอนเงินจากเหยื่อ ซึ่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2562 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สมเกียรติ เฉลิมเกียรติ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ศราวุฒิ บวรกิจประเสริฐ ผกก.2 บก. ปอท., พ.ต.ท.กมล ทวีศรี รอง ผกก.2 บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปอท. ได้ร่วมกันจับกุมตัว ผู้ต้องหา นาย วุฒิวัฒน์ ชื่นมโน อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 1317/2562 ลงวันที่ 6 พ.ย.62 ณ บ้านเลขที่ 37/157 และ 37/158 ซ.สุขสมภพ 14 หมู่ที่ 6 ต.เกาะขวาง อ.เมือง จ.จันทบุรี

ข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ,โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดย ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”พฤติการณ์คดี  :  ผู้ต้องหา ได้สร้างเฟสบุ๊กปลอมแล้วนำไปหลอกรับสมัครงานเพื่อให้ได้ข้อมูลบัตรประชาชนและเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลอื่นเพื่อนำมาสมัครกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น ได้ทำการแฮค เฟสบุ๊กของบุคคลอื่นและส่งข้อความไปขอยืมเงินโดยให้โอนเงินเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้เปิดลงทะเบียนไว้ เมื่อได้เงินก็จะนำเงินที่ได้ไปซื้อรหัสเงินสดหรือทำการโอนเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของนายชวัลกร ระงับภัย จากนั้น นายชวัลกรฯ ก็จะนำเงินที่ได้รับไปซื้อรหัสเงินสดแล้วนำรหัสเงินสดไปขายกับทางแม่ค้าซื้อขายไอเทมเกมส์หรือทางเวปไซด์รับซื้อรหัสเงินสด

เมื่อได้เงินมาก็จะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหาจากข้อมูลมีการโอนเงินจากนาย ชวัลกรฯ เข้าบัญชี ผู้ต้องหาเป็น เงินจำนวนกว่า 8 ล้านบาท และมีเงินหมุนเวียนในบัญชีผู้ต้องหา กว่า 34 ล้านบาท ผู้ต้องหา ก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี 2559 – ปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ย.62 ยังคงก่อเหตุ

นายพุทธิพงษ์  กล่้าวต่อว่า การใช้ Social Media เป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดตามกฎหมายไทย กฎหมายนานาชาติ (เชื่อมโยงการใช้งาน/ปรากฏเนื้อหา ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง Social Media) อาทิ (1) การก่อการร้ายสากล / ปัญหาชายแดนภาคใต้ (2) ความรุนแรงสุดโต่ง (3) ยาเสพติด (4) การลามกอนาจาร / เด็กและเยาวชน (5) อาหาร ยา วัตถุอันตราย เครื่องสำอางที่ผิดกฎหมายและอันตราย (6) การฉ้อโกง หลอกลวงทรัพย์ (7) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเครื่องหมายการค้า ภาพยนตร์ เพลง (8) สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น (9) ความมั่นคงของประเทศ สถาบันหลักของชาติ (10) ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรม จารีต ประเพณีอันดีของไทย

เป็นต้น และเกณฑ์การพิจาณาข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) มีหลักเกณฑ์ในเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนโดยตรง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมตลอดจนข่าวที่ทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ซึ่งในกรณีที่ทำการจับกุมได้ที่แถลงข่าวในวันนี้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจเป็นอย่างมากเพราะมูลค่าความเสียหายมีเป็นจำนวนมากกว่า 34 ล้านบาท

“ธนาธร”เปิดคำแถลงปิดคดีถือหุ้นสื่อ ย้ำสาระสำคัญวีลัคไม่ใช่บริษัทสื่อแล้ว

People Unity News : “ธนาธร”เปิดคำแถลงปิดคดีถือหุ้นสื่อ ย้ำสาระสำคัญวีลัคไม่ใช่บริษัทสื่อแล้ว-การโอนหุ้นสมบูรณ์ตามกฎหมายก่อนสมัครรับเลือกตั้ง-ไม่ขัดคุณสมบัติตามเจตนารมณ์ รธน.-กระบวนการร้องต่อศาลไม่สุจริต ย้ำความผิดเดียวของ “ธนาธร” คือต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่สำนักงานพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดแถลงปิดคดีถือหุ้นวีลัคต่อสาธารณะผ่านสื่อมวลชน ก่อนฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ โดยนายธนาธรระบุว่าต่อคดีดังกล่าว ตนมี 4 ประเด็นที่ต้องการแถลงด้วยกัน คือ หนึ่ง บริษัทวีลัคเป็นสื่อหรือไม่ สองตนยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทวีลัคในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562หรือไม่ สาม การถือหุ้นวีลัคของตนผิดตามเจตนารมย์ของรัฐธรรรมนูญหรือไม่ และสี่ กระบวนการพิจารณาคดีนี้ ถูกต้อง เที่ยงธรรม และเป็นธรรมแก่ตนหรือไม่

ประเด็นแรก คือ เรื่องการวินิจฉัยว่าบริษัทใดเป็นสื่อมวลชนหรือไม่ เรื่องนี้เริ่มต้นจากกรณีที่ กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีการเลือกตั้งให้พิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. ของนายภูเบศวร์ เห็นหลอด อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่เขต 2 จังหวัดสกลนคร ซึ่งศาลฎีกาไม่ได้ไต่สวนพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงว่า ห้างหุ้นส่วนของนายภูเบศวร์ทำกิจการรับเหมาก่อสร้าง และไม่เคยประกอบกิจการสื่อใดๆ เลย แต่เห็นว่าดูแค่หนังสือบริคนธ์สนธิของบริษัทซึ่งระบุวัตถุประสงค์การประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์ ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายภูเบศวร์

เมื่อศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้เช่นนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2562 จึงมีการยื่นคำร้องจากหลายภาคส่วนให้พิจารณาสมาชิกสภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมถึงของสมาชิกวุฒิสภา รวมกันมากกว่า 100 คน ที่อาจเข้าข่ายถือหุ้นสื่อ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้แล้วจำนวน 32 รายและไม่รับคำร้อง 9 ราย แต่ไม่สั่งให้ใครยุติการปฏิบัติหน้าที่เลย เพราะศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีแต่เพียงหนังสือบริคนธ์สนธิกับสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยว่าถือหุ้นสื่อหรือไม่ ต้องดูเอกสารอื่นประกอบด้วย เช่น ต้องดูงบการเงินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่ถูกร้องว่ามีรายได้จากการประกอบกิจการใด จึงตัดสินได้ว่าถือหุ้นสื่อหรือไม่ นี่คือจุดต่างระหว่างคำวินิจฉัยของสองศาล

ในกรณีของบริษัทวีลัค ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทวีลัคได้ยุติกิจการไปแล้ว ไม่ได้ผลิตสินค้าและ/หรือบริการใดๆแล้ว โดยแต่เดิมบริษัทวีลัคมีผลิตภัณฑ์และบริการอยู่ 3 อย่าง คือ หนึ่ง ผลิตนิตยสารของตัวเองภายใต้ชื่อ WHO?, สอง รับจ้างทำนิตยสารJibJib ให้กับบริษัทนกแอร์, และสาม รับจ้างทำนิตยสาร Wealthให้กับธนาคารไทยพานิชย์

ทั้งนี้ นิตยสาร Who?ฉบับสุดท้ายคือฉบับเดือนตุลาคม 2559 Wealthฉบับสุดท้ายคือฉบับไตรมาสที่ 4 ปี 2559 และ JibJib ฉบับสุดท้ายคือฉบับเดือนธันวาคม ปี 2561 ส่วนพนักงานกองสุดท้ายที่เหลือในบริษัทวีลัคก็ทำงานวันสุดท้ายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561หลังปิดต้นฉบับของ JibJib ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทวีลัคไม่มีพนักงาน ไม่มีผลิตภัณฑ์ ไม่มีบริการใดอีกแล้ว จะมีรายได้แต่เงินรับค้างจ่าย ส่วนรายได้ในปีบัญชี 2562 คือยอดขายจากการขายทรัพย์สินเพื่อปิดกิจการ เช่น เฟอร์นิเจอร์โต๊ะเก้าอี้ และคอมพิวเตอร์ บริษัทเช่นนี้จะเป็นสื่อตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญได้อย่างไร

“ดังนั้น ถ้าเราดูหลักฐานแวดล้อมประกอบ ทุกท่านจะเห็นว่า บริษัทวีลัคไม่เหลือความเป็นสื่อแล้ว เป็นบริษัทที่ไม่มีการปฏิบัติการใดๆ รอเพียงแต่การชำระบัญชี ซึ่งก่อนพิจารณาเรื่องอื่น เราต้องมาพิจารณาเรื่องนี้ว่าบริษัทวีลัคยังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ ถ้าไม่เปฺ็นสื่อ ทั้งหมดที่เราพูดคุยมาไม่มีความหมาย จบไปเลย” นายธนาธรกล่าว

ประเด็นที่สอง คือ ตนยังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทวีลัคหรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

ในคำร้องของ กกต. ระบุว่า ตนยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทวีลัคถึงวันที่ 21 มีนาคม 2562 โดยอ้างอิงถึงเอกสาร บอจ.5 หรือสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่กระทรวงพานิชย์ ทั้งๆ ที่ในทางปฏิบัติจริงในโลกธุรกิจหรือในทางนิตินัย บอจ. 5ไม่ใช่หลักฐานแห่งการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 แต่อย่างใด เป็นเพียงหนังสือที่บริษัทแจ้งกระทรวงพาณิชย์ถึงรายชื่อผู้ถือหุ้น การจะดูว่าการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเกิดผลสำเร็จหรือธุรกรรมเกิดขึ้นเรียบร้อยเมื่อไร เขาอ้างอิงประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1129 และมาตรา 1141 ซึ่งในวันที่ 8 มกราคม 2562 ตนได้โอนหุ้นให้คุณสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เรียบร้อยแล้ว โดยได้ทำตราสารโอนหุ้นโดยมีพยานสองคนรับรองลายมือชื่อต่อหน้าทนายความโนตารี และส่งมอบเช็คชำระเงินค่าหุ้น พร้อมทั้งได้จดแจ้งการโอนและรับโอนหุ้นลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทวีลัคในวันเดียวกันครบถ้วนสมบูรณ์ความตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1129 และมาตรา 1141

ดังนั้น สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจึงไม่ใช่หลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น หากผู้ร้องไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้อง ศาลจึงพึงรับฟังข้อเท็จจริงไปตามสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นว่า ตนได้โอนหุ้นให้แก่นางสมพรไปตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 ผู้ร้องไม่อาจนำสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) มาใช้เป็นหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ว่าตนได้โอนหุ้นของบริษัทวีลัคภายหลังจากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ได้

“ดังนั้นก็ต้องบอกว่า ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นอื่น ถ้าไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักพอหรือเป็นวิทยาศาสตร์พอ ซึ่งผู้ร้องคือ กกต. ไม่มี ก็ต้องถือว่าธุรกรรมถูกทำสำเร็จ เสร็จสิ้นครบถ้วนตั้งแต่วันที่มีการทำธุรกรรมเรียบร้อยแล้ว จนถึงวันนี้ยังเป็นหน้าที่ของผู้ร้องในการหาหลักฐานมาหักล้างการทำธุรกรรมที่สำเร็จเสร็จสิ้นในวันนั้น” นายธนาธรกล่าว

ประเด็นที่สาม การถือหุ้นของตนนั้นผิดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่

เพื่อชี้แจงเรื่องนี้ นายธนาธรได้อธิบายที่มาของมาตรา 98 (3) ของรัฐธรรมนูญว่า บทบัญญัตินี้เริ่มมีขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งถ้าดูรายงานการประชุมของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่ 24/2550 นายชูชัย ศุภวงศ์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อภิปรายไว้ว่า มาตรานี้เกิดขึ้นมาเพราะในสถานการณ์ที่ผ่านมา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กุมอำนาจรัฐได้แทรกแซงสื่อ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้นยังกว้านซื้อสื่อ เป็นเจ้าของสื่อ แล้วการที่นักการเมืองไปเป็นเจ้าของสื่อก็ทำให้เกิดการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพของสื่อ ทำให้กลไกการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญต้องพิกลพิการ และที่สำคัญคือไปกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างที่ควรจะรับรู้

“ผมอยากชี้ให้เห็นข้อเท็จจริง 2 ประการ เกี่ยวกับเจตนารมย์ของผม ว่าผิดเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) หรือไม่ นิตยสาร 3 เล่มที่อยู่ในมือผมนี้ ตั้งแต่วันที่มันเกิดขึ้นจนถึงวันที่มันตายลง ไม่เคยให้คุณทางการเมืองกับผม และไม่เคยให้โทษทางการเมืองกับคู่แข่งทางการเมืองของผมเลย ผมพูดอีกครั้งนะครับ เจตนารมย์บอกว่า ไม่ให้นักการเมือง ไม่ให้ผู้มีอำนาจถือหุ้นสื่อ เพื่อให้คุณให้โทษกับตัวเองและคู่แข่ง แต่นิตยสาร 3 เล่ม ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตายของมัน ไม่เคยให้คุณกับผม ไม่เคยให้โทษกับนักการเมืองคู่แข่งของผมเลยแม้แต่นิดเดียว” นายธนาธรกล่าวและว่า

อีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน ที่จะแสดงเจนารมย์ของผมได้ดี คือ วันที่นิตยสารปิดตัวลง 26 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งมีหลักฐานอย่างดีว่าบริษัทไม่มีผลิตภัณฑ์ ไม่มีพนักงาน ไม่มีรายได้แล้ว เกิดขึ้นก่อนที่จะมีใครรู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ และจะมีเมื่อไร เพราะ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการเลือกตั้งทั่วไป 2562 ประกาศเมื่อ 23 มกราคม 2562 ไม่มีใครรู้ก่อนวันที่ 23 มกราคม ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่เมื่อไร แต่บริษัทปิดไปแล้วตั้งแต่ 26 พฤศจิกายน 2561

ประเด็นที่สุดท้ายที่นายธนาธรอยากชี้แจงในการปิดแถลงคดี คือ กระบวนการพิจารณาคดีถูกต้อง ยุติธรรม และให้ความเป็นธรรมกับตนหรือไม่

นายธนาธรชี้ว่าคดีนี้ กกต.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 ทั้งๆที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. เองยังดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงไม่เสร็จสิ้น กล่าวคือเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 พยานทั้งสองคนที่ลงลายมือชื่อในตราสารโอนหุ้นและทนายโนตารีซึ่งรับรองการลงลายมือชื่อในตราสารโอนหุ้นฉบับดังกล่าว ยังได้รับหนังสือขอเชิญไปให้ถ้อยคำจากนายปรีชา นาเมืองรักษ์ ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 6 ของ กกต.อยู่เลย การที่ กกต. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยที่กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในชั้นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. เองยังไม่เสร็จสิ้น แสดงให้เห็นว่าการรวบรวมพยานหลักฐานของ กกต.มีความเร่งรัดผิดปกติ และตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบให้สิ้นกระแสความเพื่อกลั่นแกล้งตนในทางการเมืองหรือไม่

“ทุกท่านครับมันทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากรณีนี้เกิดขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองกับผมหรือไม่ เป็นคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ เป็นการฟ้องโดยไม่สุจริตหรือไม่ เพราะขณะที่กรรมการสืบสวนไต่สวนยังทำงานอยู่ กกต.ชุดใหญ่มิได้มีรายงานจากกรรมการสืบสวนไต่สวนข้อเท็จจริง ท่านเอาข้อมูลที่ครบถ้วนกระบวนความจากไหนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญความบกพร่องในรูปแบบและกระบวนการในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะกระบวนการที่อยู่ในชั้นของศาลรัฐธรรมนูญต่างจากศาลอื่นๆ ศาลรัฐธรรมคือศาลชั้นเดียว ดังนั้นไม่มีการให้ความเป็นธรรมกับผมอย่างอื่น นอกจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการที่ไม่ถูกต้อง กระบวนการที่ไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกร้อง แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็มีน้ำหนักเพียงพอแล้วที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญออกคำสั่งหรือคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องนี้เสีย” นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรได้ตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า หากถามว่าตนกระทำผิดอะไร ความผิดของตนย่อมไม่ใช่ถือหุ้นสื่อ ไม่ใช่เรื่องให้เงินพรรคกู้ ความผิดฐานเดียวของนายธนาธรคือต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.

“ทุกท่านครับ พวกเรามีความฝัน พวกเราฝันเห็นประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย พวกเราฝันเห็นประเทศไทยที่คนเท่าเทียมกัน ประเทศไทยที่เป็นนิติรัฐนิติธรรม ที่คนทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน ที่คนทุกคนไม่ว่ามีอำนาจหรือไม่มี เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎหมายแล้ว ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน เราฝันเห็นประเทศไทยที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประเทศไทยที่ดอกผลของการพัฒนาได้รับการกระจายแจกจ่ายไปให้กับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อย่างยุติธรรม ประเทศไทยที่ไม่มีรัฐประหารอีกในอนาคต ความฝันเช่นนี้มันผิดบาปมากนักหรือครับในประเทศนี้”

ดังนั้น นี่จึงเป็นเวลาที่เราต้องมาทบทวนกันว่า หลายฝักหลายฝ่ายมีส่วนทำให้สังคมไทยมาถึงจุดนี้ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง, สื่อมวลชน, เอ็นจีโอ, นักวิชาการ, กระบวนการยุติธรรม, กลุ่มทุนขนาดใหญ่, องค์กรอิสระ, และกองทัพ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับไปมองอดีตเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องพาสังคมไทยกลับสู่ความปกติ

“สังคมวันนี้มีเส้นทาง ความแตกต่างทางความคิดอย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 กระแส หนึ่งคือ เส้นทางที่จะพาประเทศไปข้างหน้าด้วยประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อีกเส้นทางหนึ่งต้องการพาประเทศไปข้างหน้าด้วยอำนาจนิยมและอนุรักษนิยม ผมคิดว่า คนที่จะตัดสินเรื่องนี้ได้ดีที่สุดไม่ใช่ศาล คนที่จะตัดสินเรื่องนี้ได้ดีที่สุดควรจะเป็นประชาชนผู้ทรงสิทธิ์ ผู้ทรงอำนาจ มีเสรีภาพในการเลือกอนาคตประเทศไทยด้วยตัวเอง” นายธนาธรกล่าวปิด

Verified by ExactMetrics