วันที่ 2 เมษายน 2025

พม. ทำ MOU กสทช. ให้สิทธิคนพิการ 7 ประเภทใช้เน็ตฟรี 6 เดือน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – “วราวุธ” เผย พม. ร่วม MOU กสทช. ให้สิทธิ คนพิการ 7 ประเภท ลงทะเบียนใช้เน็ตฟรี หวัง ส่งเสริม-พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รายงานให้ทราบถึง การให้ความร่วมมือของ พก. กับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ได้ดำเนินโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับคนพิการ เป็นการสนับสนุนและสร้างโอกาสให้คนพิการที่มีความยากจนในประเทศไทย สามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมการพัฒนาภาคการศึกษา สาธารณสุขและบริการภาครัฐ จึงร่วมทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กสทช. และ บริษัท บางกอก เทลลิ้ง จำกัด เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ตามศักยภาพ โดยคนพิการที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 1.1 ล้านสิทธิ สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต ฟรี แบบไม่จำกัดปริมาณ ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 20 Mbps เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม 2568

สำหรับคนพิการที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ได้นั้น เป็นคนพิการที่มีความยากจน จำนวน 1.1 ล้านคน ซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการ ในฐานข้อมูลของ พก. กระทรวง พม. ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยครอบคลุมคนพิการที่มีสิทธิ 7 ประเภท ได้แก่ 1) พิการทางการเห็น  2) พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย 3) พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย 4) พิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม 5) พิการทางสติปัญญา 6) พิการทางการเรียนรู้ และ 7) พิการทางออทิสติก

โดยคนพิการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิได้คนละ 1 สิทธิ และไม่สามารถโอนสิทธิให้บุคคลอื่นได้ ยกเว้นกรณีคนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม คนพิการทางสติปัญญา คนพิการทางการเรียนรู้ และคนพิการทางออทิสติก ให้ผู้ดูแลทำบัตรคนพิการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิได้ อีกทั้ง สามารถเลือกใช้เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เดิมหรือรับ ซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตสำหรับเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) สนับสนุนเรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อคนพิการที่มีสิทธิร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลให้สำนักงาน กสทช. สำหรับการสนับสนุนซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตให้กับคนพิการ และยังประชาสัมพันธ์การลงทะเบียนเพื่อขอรับซิมการ์ด ติดตาม ประเมิน และสรุปผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนากระบวนการช่วยเหลือคนพิการและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพของคนพิการ

ในขณะที่ กสทช. สนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนของรายการส่งเสริมการขายของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นเงิน 107 บาท ต่อเดือนต่อคน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็นระยะเวลา 6 เดือน อีกทั้งสนับสนุนศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะหรือ USO Net เพื่อนกระตุ้นการเปิดใช้บริการซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตของคนพิการ และ บริษัท บางกอก เทลลิ้ง จำกัด สนับสนุนเรื่องการให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบเติมเงินและไม่จำกัดปริมาณ ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่ต่ำกว่า 20 Mbps โดยใช้ซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตเครือข่ายของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อีกทั้งจัดให้มีคอลเซ็นเตอร์ทางโทรศัพท์และแอพพลิเคชั่น LINE สำหรับช่วยเหลือ ให้ข้อมูล และคำแนะนำการใช้งานต่างๆ รวมถึงจัดทำวิดีโอแนะนำการใช้งานที่มีภาพ เสียง และภาษามือ

หากคนพิการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับซิมการ์ดและการเปิดใช้บริการอินเทอร์เน็ต ขอให้ติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักงาน กสทช. โทร. 1200 และ LINE ID: @netfree_infinite

Advertisement

รัฐบาลชวนร่วมฉลอง ยูเนสโกขึ้นทะเบียน ‘ภูพระบาท’ มรดกโลกทางวัฒนธรรม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 กุมภาพันธ์ 2568 ทำเนียบ – รัฐบาลชวนคนไทยร่วมฉลอง ยูเนสโกยกย่อง “ภูพระบาท” มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย ที่อุดรธานี 28 ก.พ.นี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period) โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานีต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อพุทธศักราช 2535

สำหรับการประกาศดังกล่าวได้ลงนาม รับรองโดย Ms. Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองและติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี โดยภายในงานมีกิจกรรมและการแสดงมากมาย อาทิ การแสดงศิลปะพื้นบ้าน จากชุมชนไทพวน อำเภอบ้านผือ พิธีปลูกต้นรวงผึ้ง เฉลิมพระเกียรติ พิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก และป้ายส่งเสริมการท่องเที่ยว พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ โบราณสถานหอนางอุสา การแสดงละครตำนานภูพระบาท เรื่อง “อุสา – บารส” โขนรามเกียรติ์ ตอน “สุครีพถอนต้นรัง

Advertisement

“เลขาฯ สมช.” ยันชาวอิสราเอลแค่มาเที่ยว อ.ปาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กุมภาพันธ์ 2568 “เลขาฯ สมช.” ยันชาวอิสราเอลแค่มาเที่ยว อ.ปาย เชื่อไม่กระทบความมั่นคง ข่าวลงโซเชียลเกินจริง

นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหานักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่ไปเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน หลังคนในพื้นที่ร้องเรียนว่าไปตั้งชุมชนเตรียมยึดพื้นที่ ว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้แถลงไปหมดแล้ว อาจเป็นเพราะลงโซเชียลมากเกินไป และได้ถามผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็แจ้งมาแล้วว่ายังอยู่ควบคุมได้ ไม่เป็นอย่างที่โซเชียลเผยแพร่

ส่วนที่มีชาวอิสราเอลมาเที่ยวเดือนละประมาณ 3-4 พันคน ไม่ผิดปกติใช่หรือไม่ นายฉัตรชัย กล่าวว่า ทางผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว ซึ่งในภาพรวมยังเป็นสถานการณ์ปกติ พื้นที่ดังกล่าวนักท่องเที่ยวยังเที่ยวได้ และอนาคตข้างหน้าไม่น่าจะกระทบความมั่นคงขนาดนั้น เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เหมือนชาวต่างชาติมาเที่ยว โดยการแก้ปัญหาเบื้องต้นทางส่วนราชการได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่

Advertisement

“พิพัฒน์” ยัน สปส. บริหารเงินเหมาะสมโปร่งใส ขอผู้ประกันตนมั่นใจ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กุมภาพันธ์ 2568 สงขลา​ – “พิพัฒน์” ยันพร้อมแจงทุกเวที​ ขอผู้ประกันตนมั่นใจ สปส. บริหารเงินเหมาะสมโปร่งใส ชี้มีหลักเกณฑ์การเดินทางอยู่แล้ว ระดับเจ้ากระทรวงต้อง Frist class แจงทำปฏิทินยังจำเป็น ยอด 400 ล้านบาท สำหรับ 8 ปี ไม่ใช่ปีเดียว เผยใช้งบประชาสัมพันธ์เพียง 3% จาก 10% เท่านั้น ขออภัยโทรสายด่วนติดยาก เหตุมี 300 คู่สาย ใครโทรฯ แล้วรับเลยถือว่าโชคดี จวกคนออกมาพูดเรื่องหยุมหยิม มีเจตนาไม่ดี

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน​ กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณของ สำนักงานประกันสังคมแห่งชาติ ฟุ่มเฟือยไปดูงานต่างประเทศ จัดทำปฏิทิน 400 ล้านบาทว่า​การไปดูงาน มีหลักปฏิบัติของแต่ละกระทรวงอยู่แล้ว ว่าผู้บริหารระดับไหนจะนั่งชั้นไหน ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องปฏิบัติกันตามปกติ หากเป็นเจ้ากระทรวงระดับรัฐมนตรีว่าการและสำนักปลัดกระทรวง ก็จะเป็นที่นั่งระดับ Firast Classให้อยู่แล้ว หรือหากเป็นระดับปลัดกระทรวงและอธิบดี ชั้น Business อยู่แล้ว การจะเอาเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ มาโจมตีผ่านสื่อ ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เดือดร้อนหรือกังวล เพราะสามารถอธิบายได้

ส่วนเรื่องบอร์ดประกันสังคมที่เดินทางก็ต้องดู ว่าบอร์ดในแต่ละบอร์ดมีระดับที่นั่งในคลาสไหน หลักปฎิบัติมีให้อยู่แล้ว ในส่วนที่มีการเดินทาง ไม่ใช่ว่ากรรมการในบอร์ดจะมีพรรคใดพรรคหนึ่ง เมื่ออยู่ในบอร์ดก็มีเกือบทุกพรรค โดยเฉพาะที่อยู่ในกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรสภาผู้แทนราษฎรก็มีองค์ประกอบทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมอยู่ด้วย แต่หากอยู่ในบอร์ดประกันสังคมปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง เป็นฝ่ายนายจ้าง 7 คน ลูกจ้าง 7 คน และมีภาครัฐอีก 7 คน ซึ่งลูกจ้างหรือนายจ้างภายในสังกัดหรืออยู่ในกลุ่ม​ไหน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะฉะนั้นไม่กังวลในเรื่องนี้

ส่วนที่ผู้ประกันตนเริ่มกังวลว่า การบริหารงบประมาณของประกันสังคม ที่เป็นงบก้อนใหญ่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า ด้วยหลักเกณฑ์ของประกันสังคมสามารถหยิบเงินของประกันสังคมมาเพื่อการบริหารจัดการเพื่อการประชาสัมพันธ์ได้ 10% แต่ขณะนี้ประกันสังคมใช้เพียง 3% คนที่ออกมาพูดต้องดูหลักเกณฑ์ด้วยว่าเขาให้ไว้อย่างไร การที่ประกันสังคมนำมาใช้ 3% คิดว่าพยายามประหยัดงบประมาณให้กับ ผู้ประกันตนทั้ง 3 มาตรา 33 39 40

ส่วนการจัดทำปฏิทินกว่า 400 ล้านบาท นายพิพัฒน์ กล่าวว่า งบประมาณดังกล่าวเป็นการจัดทำปฏิทิน ระยะเวลา 8 ปีไม่ใช่ปีเดียว ดังนั้นการพูดอะไรที่เป็นการเหมารวมและตีขุม ขอให้มีจรรยาบรรณในการพูด การที่พูดจั่วหัวขึ้นมาว่า 400 กว่าล้านบาท เชื่อว่าผู้พูดมีเจตนาไม่ดี ส่วนตัวไม่เคยออกมาตอบโต้ แต่วันนี้ได้จังหวะมาประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดสงขลาซึ่งเป็นบ้านของตนเองจึงถือโอกาส ขอพูดให้กับสื่อมวลชนและผู้ประกันตนทั้งประเทศได้ทราบว่าประกันสังคมมีมาตรฐานในการใช้งบประมาณอย่างประหยัด

ส่วนกรณีเรื่องสายด่วนโทรไปไม่เคยมีคนรับนั้น นายพิพัฒน์ ย้อนถามว่า โทรฯ ไปกี่ครั้ง อาจจะติดสายอยู่ก็ได้ เพราะช่วงเวลาที่มีความเดือดร้อนทุกคนก็พยายามโทรเข้าไป เมื่อไม่มีการรับสายก็คิดว่าไม่รับสาย แต่อาจจะเป็นสายซ้อน ซึ่งจะมีการแจ้งในสายอยู่แล้วว่าโปรดรอสักครู่ อย่าว่าแต่ประกันสังคมเลย ศูนย์ Call Center ที่เป็นศูนย์รวมก็เป็นลักษณะเดียวกัน เพราะมีช่วงเวลาที่สายแน่นมาก อาจทำให้ไม่สามารถโทรศัพท์เข้าไปแล้วรับเลยได้ ถ้าโทรแล้วรับทันทีจะถือว่าเป็นจังหวะว่าง โดยทั่วไปจะมีผู้ประกันตนทั้งหมด 25 ล้านคน ในขณะที่ผู้ให้บริการสายด่วน 300 คู่สาย การโทรไปแล้วรับทันทีถือว่าโชคดีมากๆ บางครั้งต้องขออภัย ขอให้ผู้ประกันตนทั้งสามมาตราสบายใจได้ว่าประกันสังคมทำทุกสิ่งทุกอย่างโปร่งใส ที่สำคัญบอร์ดไม่มีใครเลือกหรือสรรหามา แต่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นคนออกมาให้ข่าวกรุณาทบทวนตัวเองว่าสิ่งที่พูดออกมามีข้อเท็จจริงอย่างไร และตนเองไม่มีปัญหา จะมาพบที่กระทรวงก็ได้ หรือจะทวงถามในสภาก็พร้อมที่จะตอบ หรือจะใช้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยินดีที่จะตอบคำถามทุกคำถามเพราะมั่นใจ ว่ากระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมของเรามีความโปร่งใส

ทั้งนี้นายพิพัฒน์ มั่นใจว่า งบประมาณจัดทำปฏิทินปีละ 50 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่เหมาะสม เพราะ เกษตรกร 12,000,000 คน อยู่ในพื้นที่ชุมชนชนบทการที่จะสื่อสารผ่านโซเชียลบางครั้งอาจจะไม่ได้ จึงต้องอำนวยความสะดวกในการประชาสัมพันธ์ ทางปฏิทิน ดังนั้นการใช้ปฏิทินยังมีคุณค่าสำหรับคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนบางกลุ่ม อาจไม่มีความจำเป็นแต่บางกลุ่มมีความจำเป็น

Advertisement

พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2568 พัทลุง – “วราวุธ” เผย พม. ดันนิคมสร้างตนเอง สร้างมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ขยายผล ช่วยกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน ตำบลลานข่อย อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาทุนมนุษย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสังคม ส่งเสริมอัตลักษณ์ในนิคมสร้างตนเอง (นิคม NEXT) เยี่ยมชมกิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นการส่งเสริมอาชีพด้านเกษตรกรรม มอบวัวให้กับครอบครัวเปราะบางจำนวน 2 ตัว เป็นการส่งเสริมด้านการปศุสัตว์ และร่วมกิจกรรมทักทอผ้าลายโบราณ เป็นการส่งเสริมด้านหัตถกรรม การสาธิตการทอ “ผ้าลานข่อย”

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาสังคม สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม อีกทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิต สถาบันครอบครัว และชุมชน ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายคนทุกช่วงวัย และในปีนี้ได้มีการกำหนดพันธกิจสำคัญ (Flagship Project ) 9 ด้าน เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ส่งเสริมพันธกิจสำคัญที่ 3 คือการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง โดยมีการขับเคลื่อน โครงการนิคม Next เริ่มต้นที่นิคมสร้างตนเองกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแห่งแรก จากนั้นขยายผลไปยังพื้นที่นิคมสร้างตนเองทั้งสิ้น 25 แห่ง โดยในปีหน้าจะขยายผลให้ครอบคลุมครบทุกแห่งทั้งสิ้น 43 นิคม

นายวราวุธ กล่าวว่า ครั้งนี้มาลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนโครงการนิคม Next ที่นิคมสร้างตนเองควนขนุน จังหวัดพัทลุง มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม พร้อมมอบโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ผนวกกับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดล การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ โดยใช้พื้นที่นิคมสร้างตนเองที่มีกฎหมายเฉพาะด้านการบริหารจัดการที่ดิน และการดูแลราษฎรในพื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. เป็นการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านอาชีพและรายได้ของประชาชนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวง พม. กับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

Advertisement

เตือน ระวังมิจฉาชีพแฝงตัวหลอกช่วงวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กุมภาพันธ์ 2568 “ยิ่งรักมาก..ต้องยิ่งเตือนมาก” “อนุกูล”  เตือนระวังมนต์รักออนไลน์ “เทศกาลวันวาเลนไทน์” รวม 8 ข้อหลอกลวงยอดฮิตจากมิจฉาชีพ

วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2568 ) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเดือนแห่งความรักและช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ รัฐบาลห่วงใยประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้รัก และหลอกลวงให้สูญเสียเงิน ผ่านสื่อออนไลน์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมทั้งจากข้อความผ่านSMS  เป็นต้น  โดยขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงกล ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า หากมีการเชิญชวนให้โหลดแอปพลิเคชัน เล่นเกมผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมถึงหากต้องการซื้อช่อดอกไม้จากร้านค้าออนไลน์ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ขอให้ตรวจสอบแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และร้านดอกไม้ที่น่าเชื่อถือ ก่อนจะชำระเงินหรือโอนเงินไปยังปลายทาง เพื่อป้องกันความเสียหายในการชำระเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ

นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันการกระทำผิดบนสื่อออนไลน์ของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ ถึงแม้รัฐบาลได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันการกระทำผิดของมิจฉาชีพผ่านสื่อออนไลน์อย่างเข้มงวด รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามกลโกงของสื่อรักผ่านออนไลน์ หรือ Romance Scam ซึ่งเป็นการหลอกให้รัก เพื่อหวังแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อใจของเหยื่อ สำหรับกลอุบายของมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกลวงมักจะมาด้วยกลอุบาย ดังต่อไปนี้ 1. หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (Hybrid scam) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปลอมด้วยการโอนเงินหรือลงทุนในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล  2. หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท (Remote access scam) ควบคุมสมาร์ตโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี 3. หลอกให้รัก ให้ถ่ายรูปลับส่วนตัว แล้วแบล็กเมล์ (Sextortion) ขู่กรรโชกทางเพศ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ 4. มิจฉาชีพที่เป็นชาวต่างชาติจะทำทีมาจีบและให้ความหวังว่าอยากจะมาแต่งงานที่เมืองไทย และส่งทรัพย์สินให้ แต่ต้องชำระเงินค่าภาษีก่อน และขอให้ท่านช่วยชำระภาษีให้ก่อน  5. มิจฉาชีพแสดงตัวว่าได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่ต้องชำระภาษีมรดก ขอให้ท่านช่วยชำระภาษี 6. ป่วยหนัก แต่ประกันยังเบิกจ่ายไม่ได้ 7. ส่งของรางวัลราคาแพงมาให้ แต่ติดอยู่ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน ขอให้ท่านโอนเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมรางวัลก่อน และ 8. เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่จะมาลงทุน แต่ต้องการให้ร่วมทุนด้วย

“รัฐบาลย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทัน ภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อ หากท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์มิจฉาชีพ หรือถูกหลอกลวงออนไลน์ต่าง ๆ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง หากโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 และสามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)” นายอนุกูล ระบุ

Advertisement

กรมอนามัยแนะวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ-การจัดบ้านให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 กุมภาพันธ์ 2568 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะหลักการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการจัดบ้านให้ปลอดภัยในช่วงที่สถานการณ์ค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้นและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

แพทย์หญิง อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 มีค่าเกินมาตรฐานเกือบทุกพื้นที่ และจากการคาดการณ์ของกรมควบคุมมลพิษ ระหว่างวันที่ 7-13 กุมภาพันธ์ 2568 ยังพบว่าสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือระดับสีส้ม (37.6-75.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด เป็นต้น เนื่องจากมีความอ่อนไหวมากกว่าประชาชนทั่วไป เครื่องฟอกอากาศจึงกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ภายในอาคาร

กรมอนามัยจึงขอแนะนำวิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เลือกเครื่องฟอกอากาศที่ใช้แผ่นกรองฝุ่นชนิด HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter) ซึ่งใช้กรองฝุ่นขนาดเล็กที่ผ่านอากาศเข้ามา และปล่อยอากาศที่สะอาดออกมา หรืออาจเครื่องฟอกอากาศชนิดไอออน ซึ่งจะปล่อยอนุภาคประจุลบ จับฝุ่นในอากาศและร่วงสู่พื้น ทั้งนี้ ควรดูดฝุ่นหรือทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นออกจากพื้น

2) เลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้อง หากมีขนาดเล็กเกินไปอาจไม่สามารถลดฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ดูค่าอัตราการส่งอากาศสะอาด หรือค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) ควรมีค่ามากกว่า 3 เท่าของปริมาตรห้อง หากมีค่าสูงจะกระจายอากาศสะอาดได้เร็วและมากขึ้น โดยสามารถตรวจสอบจากรายละเอียดบนกล่องบรรจุสินค้าหรือคู่มือการใช้งาน และ 4) ดูค่าความเร็วลม (Air Flow หรือ Air Volume) ยิ่งมีค่าสูงจะยิ่งฟอกอากาศได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือหากใช้เครื่องฟอกอากาศชนิดแผ่นกรองอากาศ ควรเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเมื่อมีการสะสมของฝุ่นมาก โดยสังเกตจากสีหรือลมที่ออกมาจากเครื่อง หากแผ่นกรองมีสีดำหรือลมที่ออกมาจากเครื่องเบาลงควรเปลี่ยนใหม่ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือการใช้งานอย่างเคร่งครัด

นายแพทย์ ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเลือกเครื่องฟอกอากาศแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้บ้านสะอาดปราศจากฝุ่นคือ การจัดบ้านด้วยหลัก 3ส.1ล. คือ 1ส สะสาง คัดแยกและกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากบ้าน เพื่อลดการสะสมของฝุ่น โดยเฉพาะห้องที่อยู่เป็นประจำควรมีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของให้น้อยชิ้นที่สุด เพื่อการทำความสะอาดได้ทั่วถึงทุกซอกมุม

2ส สะอาด หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน เช่น แอร์ พัดลม เครื่องฟอกอากาศ มุ้งลวด โต๊ะ ตู้ เตียง ฯลฯ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเช็ดถูพื้นและซอกมุมต่างๆ ภายในบ้าน 3ส สร้าง สร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นสูง ควรเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดให้มากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีรอบบริเวณบ้าน โดยการปลูกต้นไม้ดักฝุ่น เช่น ทองอุไร ตะขบ โมก สนฉัตร เป็นต้น โดยรอบบ้าน และ 1ล. ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองเพิ่ม เช่น จุดธูป เทียน เผาขยะ ปิ้งย่าง และสูบบุหรี่ รวมถึงหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี ไม่ก่อควันดำอีกด้วย

Advertisement

ตำรวจจับจริง ขับรถปล่อยควันดำบนถนน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2568 ปภ.ช.ย้ำตำรวจจับจริงผู้ขับรถปล่อยควันดำบนถนน ย้ำต้องตรวจสอบรถให้ดี ก่อนนำออกวิ่งบนถนน ขอความร่วมมือ ปชช. พบเบาะแสก่อฝุ่นพิษ โทร. 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปภ.ช.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขานรับนโยบายรัฐบาลดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 โดยบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องดำเนินการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ ดังนี้

1.หากฝ่าฝืนนำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่น ควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์มาใช้ในทาง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ

2.หากใช้รถในการขนส่งที่มีสภาพ ไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่มีอุปกรณ์และส่วนควบ ตามที่กำหนด ปรับไม่เกิน 50,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ฯ

3.หากฝ่าฝืนคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษ เกินกว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฯ

นายคารมฯ กล่าวเพิ่มว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ประกอบการโรงงานที่มีลักษณะปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งผู้ลักลอบเผาป่า พืชไร่ และพื้นที่เพาะปลูกเพื่อทำการเกษตร เผาในที่โล่ง และกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ขับยานพาหนะ ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถโดยสารประจำทาง ควรตรวจสอบควันดำก่อนนำออกวิ่งบนถนน นอกจากนี้ ขอความร่วมมือประชาชน หากพบเบาะแสก่อฝุ่นพิษ โทร.1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

กรมทางหลวง ชวนเที่ยว One Day Trip ชุมชนเก่าแก่กว่า 100 ปี ริมน้ำจันทบูร จังหวัดจันทบุรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2568 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ชวนเที่ยวชมแหล่งศิลปวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานเอกลักษณ์ต่าง ๆ ไว้ได้อย่างดี ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือนเก่า และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์เฉพาะถิ่นที่มีอายุกว่า 100 ปี “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” เดิมเรียก “บ้านลุ่ม” เป็นชุมชนเก่าแก่ริมน้ำของจังหวัดจันทบุรีด้านตะวันตก ซึ่งชาวจีนและชาวญวนได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของจังหวัดจันทบุรี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันชุมชนนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดจันทบุรี มีอาคารเก่าแก่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน – โปรตุเกส รวมถึงบ้านขนมปังตั้งเรียงรายตามถนนคนเดินตลอดระยะทาง 1 กิโลเมตร ริมแม่น้ำจันทบุรี

สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงชุมชนริมน้ำจันทบูร ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ – ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์) ไปถึงอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ระยะทางประมาณ 89 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางออกอำเภอบ้านบึง เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 344 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 97 กิโลเมตร ถึงอำเภอแกลง จังหวัดระยอง (แยกอำเภอแกลง) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 56 กิโลเมตร ถึงสี่แยกเขาไร่ยา จังหวัดจันทบุรี จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 316 วิ่งต่อไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงสี่แยกพระยาตรัง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 3150 (ถนนท่าหลวง) วิ่งต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจอดรถในค่ายตากสินเพื่อสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือวิ่งต่อจากค่ายตากสินไปอีก 500 เมตร เพื่อนำรถไปจอดที่วัดจันทนาราม แล้วเดินข้ามไปยังชุมชนริมน้ำจันทบูร

ทั้งนี้ ทล. ได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาทางหลวงทุกสายให้ความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในทุกเส้นทาง เพื่อรองรับการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจัดให้มีจุดพักรถเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทล. ขอให้ประชาชนเดินทางด้วยความระมัดระวัง หากต้องการสอบถามเส้นทางการจราจรหรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วน ทล. โทร. 1586

Advertisement

‘ดีอี’ ระงับ ‘บัญชีม้า’ แล้วกว่า 1,600,000 บัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 กุมภาพันธ์ 2568 ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ เผย ‘ดีอี’ ระงับ ‘บัญชีม้า’ แล้วกว่า 1,600,000 บัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ ผู้เกี่ยวข้องโทษหนักจำคุก 3 ปี

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ  ซึ่งกระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสถิติการระงับบัญชีม้าจนถึง ธันวาคม 2567 จำนวนรวมกว่า 1,660,000 กว่าบัญชี (ปปง. 630,537 บัญชี ธนาคารระงับ 581,637 บัญชี และ ศูนย์ AOC ระงับ 455,241 บัญชี)

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ขยายผลดำเนินการจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างเข้มข้น โดยมีสถิติผลการจับกุมบัญชีม้า ซิมม้าที่เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 พบว่าในปี 2567 ตั้งแต่เดือน มกราคม – ธันวาคม  (12 เดือน) มีการจับกุมบัญชีม้าจำนวนรวม 2,495 ราย เฉพาะในเดือนธันวาคม 2567 มีผลการจับกุมจำนวน 328 ราย

ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล เพื่อลดปัญหา พยายามหยุดการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายจากบัญชีม้า โดยตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ หรือที่เรียกว่า บัญชีม้า จะถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และยังอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีนั้นไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย

“กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีธนาคารใหม่ในธนาคารทุกสาขา ซึ่งหากพบความผิดปกติจะดำเนินการตรวจสอบทันที ให้ดังนั้นขอเตือนประชาชนว่า การขายบัญชีธนาคารไม่ว่าจะในรูปแบบใด มีโทษหนักจำคุกถึง 3 ปี ทั้งนี้หากหลงเชื่อขายบัญชีธนาคารให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีรายชื่ออยู่ในลิสต์ว่าขายบัญชี และถูกระงับทุกบัญชีธนาคารของทุกธนาคารที่มี รวมทั้งไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีไปใช้ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics