วันที่ 18 เมษายน 2025

ครม.รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มิถุนายน 2567 ครม.รับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. 4 มิถุนายน 2567 รับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ดังนี้ 1.ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ได้แก่ 1) ควรมีหลักการในการจัดทำกรอบคุณวุฒิทางการศึกษาโดยกำหนดให้สมรรถนะเป็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcomes) 2) ควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีแพลตฟอร์มสำหรับผู้มีสมรรถนะสูงและคนไทยทุกระดับให้เข้ารับการพัฒนาและเทียบระดับสมรรถนะ โดยมีการออกแบบเพื่อให้คนไทย Up-Skill และ Re-Skill ได้ทุกที่ทุกเวลา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2.ข้อเสนอเชิงนโยบายการเทียบระดับการศึกษา จัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ (Online) เพื่อแก้ไขสภาพปัญหาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีสมรรถนะสูงสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา

นายคารม กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาการดำเนินงานประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้เรียนการศึกษานอกโรงเรียน และการเทียบประสบการณ์บุคคลที่มีสมรรถนะสูงสู่การศึกษาระบบ Fast Track ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว สรุปผลการพิจารณาว่า กรอบคุณวุฒิแห่งชาติครอบคลุมกรอบคุณวุฒิการศึกษาที่เน้นการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ตามสมรรถนะของบุคคลทั้งคุณวุฒิทางการศึกษา และมาตรฐานอาชีพ และกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อใช้เป็นกลไกในการเชื่อมโยงระบบการเรียนรู้ของภาคการศึกษาให้ยึดโยงกับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ตลาดแรงงานยอมรับ และได้จัดแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาวิชาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ.2562 – 2565 เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมอันจะนำไปสู่การจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพ รวมถึงได้ทดลองนำร่องจัดตั้งธนาคารหน่วยกิตระดับจังหวัดใน 4 ภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อสร้างระบบการสะสมและการเทียบโอนหน่วยการเรียนทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบให้มีความยืดหยุ่นหลากหลายในช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน โดยจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับได้อย่างสะดวก และง่ายต่อการดำเนินการ

Advertisment

รัฐบาลเผยแก้หนี้นอกระบบ แล้วเสร็จทั่วประเทศ 150,015 ราย มูลหนี้ลด 1,202 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มิถุนายน 2567 รัฐบาลเผยผลสำเร็จแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แล้วเสร็จทั่วประเทศ จำนวน 150,015 ราย มูลหนี้ลดลง 1,202 ล้านบาท นายกฯ กำชับทุกภาคส่วนเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะสิ้นสุดโครงการ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แล้วเสร็จทั่วประเทศ จำนวน 150,015 ราย มูลหนี้ลดลง 1,202 ล้านบาท โดยยังคงเหลืออีก 3,385 ราย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ย ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยยังคงเดินหน้าให้ทุกจังหวัดไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบให้แล้วเสร็จ ถึงแม้จะครบกำหนดให้ประชาชนลงทะเบียนหนี้นอกระบบ

นายคารม กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายการจัดระเบียบสังคม และปราบปรามผู้มีอิทธิพลให้ครอบคลุมประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปัญหาหนี้นอกระบบ” ที่ต้องดำเนินการเชิงรุก ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้กลไกกระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ทุกจังหวัดดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบครอบคลุมทั้งระบบ ภายใต้การดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ รวมถึงสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบูรณาการกับทุกภาคส่วน อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาล ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนให้สำเร็จ เพราะคนเป็นหนี้นอกระบบต้องเผชิญกับการชำระดอกเบี้ยสูงมากและเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

”นายกรัฐมนตรีชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคที่ร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีการดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ยังคงมีพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก นายกฯ กำชับทุกภาคส่วนดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน หลุดพ้นจากการเป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสารของปัญหาผู้มีรายได้น้อย“ นายคารม ระบุ

Advertisment

นายกฯ ร่วมขบวนสมรสเท่าเทียม โบกสะบัดธงสีรุ้ง Bangkok Pride 2024 จัดยิ่งใหญ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มิถุนายน 2567 นายกฯ ร่วมขบวนสมรสเท่าเทียม โบกสะบัดธงสีรุ้ง Bangkok Pride 2024 จัดยิ่งใหญ่ ย้ำรัฐบาลพร้อมผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ให้เกิดผลสำเร็จ

วันนี้ (1 มิถุนายน 2567) เวลา 14.50 น. ณ สนามกีฬาแห่งชาติ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน  กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ร่วมขบวน “บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024” (Bangkok Pride Festival 2024) ภายใต้แนวคิด “Celebration of Love เฉลิมฉลองสมรสเท่าเทียม” จัดยิ่งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร พันธมิตรภาคประชาสังคม และภาคเอกชนที่พร้อมใจกันเนรมิต ถนนพระราม 1 เป็นถนนสีรุ้งแห่งความเท่าเทียมใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวเเพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะทำงานบางกอกไพรด์ พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วนกว่า 170,000 คน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เครือข่ายพันธมิตรสีรุ้ง สื่อมวลชน ตลอดจนเหล่าศิลปินดารา นักแสดงที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เข้าร่วมขบวน Bangkok Pride Festival 2024 ครั้งนี้ด้วย

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในโอกาสที่นายกฯ ร่วมขบวน “บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024” นายกฯ ได้กล่าวทักทายชาว LGBTQIAN+ พร้อมกล่าวสนับสนุนงานต่างจังหวัดและเฉลิมฉลองสมรสเท่าเทียมทั่วประเทศว่า เดือนมิถุนายนเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองสิทธิเสรีภาพของความเสมอภาคเท่าเทียม และสิทธิเสรีภาพในการที่จะมีโอกาสได้เลือก ซึ่งเดือนมิถุนายนนี้จะมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ทั้งเดือน วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่ทุกคนมารวมตัวกันในครั้งนี้ และจะมีการเริ่มต้นการเดินพาเหรด โดยมีขบวนพาเหรด 5 ขบวน และยังมีวงสนทนาอีกมาก เพื่อจะมาพูดคุยในเรื่องที่เราจะต้องทำกัน รัฐบาลรวมถึงภาคประชาชนจะเดินหน้าไปด้วยกัน ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมให้สำเร็จ รวมทั้งคำนำหน้าชื่อ Sex Worker ด้วย

พร้อมกันนี้ นายกฯ ได้มอบธงสัญลักษณ์ Pride Month ให้กับเครือข่ายต่างจังหวัด จำนวน 19 เครือข่าย สัญลักษณ์การเปิดเทศกาลเฉลิมฉลองเดือนไพรด์ให้กับเครือข่ายต่างจังหวัด เพื่อปักหมุดไพรด์ทั่วประเทศ

จากนั้นนายกฯ ได้ร่วมขบวน “บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024” (Bangkok Pride Festival 2024) โดยนายกฯ ได้อยู่ในขบวนที่ 1 สมรสเท่าเทียม (Love Wins) และได้ขึ้นเวทีโบกมือทักทายขบวนสมรสเท่าเทียมด้วย ทั้งนี้ ขบวน Bangkok Pride Festival 2024 ครั้งนี้ประกอบด้วย 5 ขบวนหลัก ได้แก่ ขบวนที่ 1 สมรสเท่าเทียม (Love Wins) ขบวนที่ 2 ตัวตน (Love for Identity) ขบวนที่ 3 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Love for Dignity) ขบวนที่ 4 สันติภาพ (Love for Peace & Earth) และขบวนที่ 5 เสรีภาพ (Love for Freedom) โดยขบวน Bangkok Pride 2024 เริ่มจากสนามกีฬาแห่งชาติผ่านเส้นทางพระราม 1 – ศูนย์การค้าเอ็มบีเค – ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ – ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ – ศูนย์การค้าสยามพารากอน – วัดปทุมวนารามวรวิหาร – แยกราชประสงค์ – เวทีเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยตลอดเส้นทางขบวน “บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024” เหล่าภาคีเครือข่ายกลุ่มต่าง ๆ ได้ร่วมกันแสดงพลัง LGBTQIAN+ สร้างสีสันโบกสะบัดธงสีรุ้งยาวที่สุดในประเทศไทย 200 เมตร โบกสะบัดตั้งแต่สนามกีฬาเทพหัสดิน ลานหน้าอาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ทอดยาวบนถนนพระราม 1 ตลอดทั้งเส้น มุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์ บริเวณลานเซ็นทรัลเวิลด์ รวมระยะทางกว่า 2.5 กิโลเมตร

Advertisment

รัฐบาลสนับสนุนงาน Pride Month ตั้งเป้าสังคมไทยเป็นสังคมเท่าเทียม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มิถุนายน 2567 ทำเนียบ – รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกความหลากหลาย ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชนฉลอง Pride Month ตั้งเป้าให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความเท่าเทียม

น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีการจัดงานของกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ เทศกาลไพรด์ หรือ Pride Month ซึ่งเป็นเทศกาลที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศจะมาร่วมเฉลิมฉลอง และเป็นแรงผลักดันให้เกิดความเสมอภาคของชาว LQBTQ+ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้การดูแลของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะร่วมมือกับเอกชนจัดงานในหลายพื้นที่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวทั่วประเทศ

“รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ ว่าจะผลักดันกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มหลากหลายทางเพศ หลังจากนั้นรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการผลักดันกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายให้สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเปิดรับความหลากหลาย เท่าเทียม โดยไม่คำนึงถึงอายุ เพศ ศาสนา สัญชาติ หรือสถานะทางสังคม และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจากทั่วโลกในฐานะศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล Pride Month” น.ส.เกณิกา กล่าว

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการจัดงานเฉลิมฉลอง Pride Month 2024 นอกจากจะสนับสนุนการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะทำให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยมีความเท่าเทียม และเราพร้อมที่จะตอบรับทุกความหลากหลายด้วยความเสมอภาค ทั้งนี้ ทาง ททท.คาดว่าการสนับสนุนการจัดงานดังกล่าวจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 860,000 คน และสร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

Advertisement

รัฐบาลห่วงใยผู้สูงอายุหกล้ม แนะเดินเสริมกล้ามเนื้อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – รัฐบาลห่วงใยปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ เผยรัฐจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีหกล้ม เกือบ 1,500 ล้านบาท แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเนือยนิ่ง เดินเสริมกล้ามเนื้อแข็งแรง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเนือยนิ่งด้วยการเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 5,000 ก้าว เพื่อป้องกันการหกล้ม เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้ทรงตัวดีขึ้น และหากมีการเดินเพิ่มมากขึ้น วันละ 7,000-10,000 ก้าว จะช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อ และเพิ่มสมรรถภาพทางกายให้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวที่ดี ป้องกันการหกล้ม ใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง ช่วยเหลือตนเองได้ และเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

นายคารม กล่าวว่า ในทุกๆ ปี ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 1 ใน 3 หรือมากกว่า 3 ล้านคน พลัดตกหกล้ม และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้สูงอายุหญิงมีการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้มสูงกว่าผู้สูงอายุชาย 1.6 เท่า โดยร้อยละ 60 พลัดตกหกล้มจากการลื่น สะดุด หรือก้าวพลาด บนพื้นระดับเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 5 ที่ตกหรือล้มจากขั้นบันได

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ด้านร่างกาย ทั้งการมองเห็น การเดิน การทรงตัว และโรคประจำตัว 2.ด้านพฤติกรรม คือ ขาดการออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ 3.ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พื้นลื่นต่างระดับ บันไดไม่มีราวจับ และ 4.ด้านจิตใจ ขาดความมั่นใจในการเดิน

“จากข้อมูลการรักษาพยาบาล พบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 80 ใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาพยาบาล โดย 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุหกล้มทุกปี หรือกว่า 4 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 20 ของผู้หกล้มได้รับบาดเจ็บ และมากกว่า 41,000 ราย ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล รัฐต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเกือบ 1,500 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดการณ์ว่าจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2576 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุกว่า 18 ล้านคน คิดเป็น 28% ของประชากรทั้งหมด” นายคารม กล่าว

Advertisement

“ชัชชาติ” ชูผลงาน 2 ปี ทำ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่-เหนื่อยน้อยลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 พฤษภาคม 2567 ผู้ว่าฯ กทม. แถลงผลงาน 2 ปี ยืนยันทำงานเน้นประสิทธิภาพ โปร่งใส ยกระดับเมืองน่าอยู่ ดันทางเท้าใหม่ แก้น้ำท่วมลดไว เผยลุยต่ออีก 2 ปี เร่งเครื่องเมกะโปรเจกต์เชื่อมเส้นเลือดฝอย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงกับสื่อมวลชน ในโอกาสการครบรอบ 2 ปี ของการทำงาน ภายใต้ชื่องาน “2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่” และแผนการบริหารใน 2 ปี ต่อไป นายชัชชาติ ระบุว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งทำให้คนเหนื่อย กับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลายๆ ด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น

ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำว่า 2 ปี ที่ผ่านมาเป็นช่วงของการทำงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกรุงเทพมหานครโดยผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจน อาทิ ในมิติ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” คือ Traffy Fondue โดยผู้ว่าฯได้มีการนำเสนอผลงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ปรับ Traffy Fondue ลดขั้นตอน เพิ่มโปร่งใส โดย 2 ปีที่เปิดให้ประชาชนร้องเรียนความเดือดร้อนผ่าน Traffy Fondue ได้ลงมือแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 467,743 เรื่อง จากที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 592,842 เรื่อง คิดเป็น 78% เฉลี่ยระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมา จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหลือเพียง 2 วัน ขณะนี้ได้เพิ่มความสะดวก ลดขั้นตอนให้แจ้งเรื่องร้องเรียนได้ง่ายขึ้น

ผู้ว่าฯ กทม. ยังเผยให้เห็นถึงทางเท้ามาตรฐานใหม่ คงทน คุ้มค่า คิดถึงทุกคน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับปรุงทางเท้าไป 785 กม. ขณะเดียวกันได้ปรับพื้นทางเข้าออกอาคารให้เรียบเสมอทางเท้า เพื่อผู้พิการ นอกจากนี้ ยังได้จัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด จัดพื้นที่ขายชั่วคราวให้ก่อนจะขยับขยายเข้ามาอยู่ใน Hawker Center ที่จะสร้างเสร็จในปีนี้ พร้อมทั้งจัดระเบียบสายสื่อสารที่รกรุงรังในถนนสายต่างๆ รวมระยะทาง 627 กม.

ส่วนอีกปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาฝนตก น้ำไม่ระบาย เดินทางลำบาก ซึ่งอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มายาวนาน นับตั้งแต่มีการถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดสำคัญที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 67 อีก 190 จุด

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน โดยการล้างท่อระบายน้ำทำไปแล้ว 4,200 กม. ทำความสะอาดคลองเปิดทางน้ำไหล ขุดลอดคลอง 217 กม. ตรวจสอบเครื่องสูบน้ำทุกเครื่องให้พร้อมใช้งาน โครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น ขณะนี้ ปลูกไปแล้ว 935,000 ต้น เตรียมตั้งเป้าเพิ่ม ให้ได้ 2 ล้านต้น

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง การทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด นอกเหนือจากดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จากนี้จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม. ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน

นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 69 บริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัปเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกต และสั่งการผ่าน Command Center เป็นต้น

Advertisement

 

ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่งกระทรวง พม.ดำเนินการต่อ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤษภาคม 2567 “รัดเกล้า” เผย ครม. รับทราบรายงานการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) เพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า (Accessibility for all in Action : AAA) ในที่ประชุม ครม. (21 พฤษภาคม 2567) ซึ่งที่ประชุมได้มีมติรับทราบรายงานนั้นแล้ว

โดยรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รายงานดังกล่าวพิจารณาปัญหาด้านคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อให้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการ 6 ประการ ได้แก่

1.จัดตั้ง คกก. ส่งเสริมและกำกับการเข้าถึงสภาพแวดล้อมได้โดยสะดวก (Accessibility for All Super Board)

2.กำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า

3.ยึดถือหลักการ “การเข้าถึงโดยสะดวกแบบองค์รวม (Comprehensive and Holistic approach to Accessibility)”

4.กำหนดให้มี “การประเมินผลกระทบการเข้าถึงโดยสะดวก (Accessibility Impact Assessments: AIA)” ในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

5.ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงดิจิทัลสำหรับคนพิการ (Digital Accessibility) และ

6.ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาวิจัย และขับเคลื่อนการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคน รวมถึงคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ อันเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้คนพิการสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรี เสมอภาคกับทุกคนในสังคม

ทั้งนี้ ครม. มอบหมายให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอของ กมธ. ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป

Advertisment

กรมศุลฯขานรับข้อสั่งการ “เศรษฐา” เพิ่มโทษลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤษภาคม 2567 กรมศุลกากรแก้ไขเพิ่มบทลงโทษปราบผู้กระทำความผิดสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนและนักศึกษา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจึงได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการด้านการปราบปราม โดยเร่งให้มีการปราบปรามจับกุมผู้ลักลอบนำเข้า และผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังเด็ดขาด โดยให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

เพื่อให้มาตรการด้านปราบปรามผู้กระทำความผิดสัมฤทธิ์ผลตามแนวนโยบายของรัฐบาลกรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 สำหรับผู้กระทำความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากรตามมาตรา 242 (กรณีจับกุมผู้กระทำความผิด ณ ด่านพรมแดน) ฐานหลีกเลี่ยงอากรตามมาตรา 243 ฐานหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดตามมาตรา 244 และฐานซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ตามมาตรา 246 กรณีของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า จากเดิมที่ให้ผู้กระทำความผิดยกของกลางให้เป็นของแผ่นดินเพียงอย่างเดียว เป็นให้ผู้กระทำความผิดต้องชำระค่าปรับหนึ่งเท่าของราคาของรวมค่าอากร กับอีกหนึ่งเท่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีอื่น ๆ (ถ้ามี) และให้ยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน เช่นเดียวกับสินค้าอ่อนไหวจำพวกสุรา บุหรี่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หอมแดง และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น

จากการเพิ่มเติมเกณฑ์และเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า เป็นการปรามผู้กระทำความผิดให้เห็นถึงบทลงโทษที่หนักมากขึ้น และสร้างความเกรงกลัวในการกระทำความผิด เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไทยปลอดภัยจากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า อีกด้วย

Advertisement

เผย ปชช. พึงพอใจร้อยละ 95% “30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – รัฐบาลเดินหน้า เฟส 3 นโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” เผยมีหน่วยบริการฯ รองรับ 3,633 แห่ง ใน 45 จังหวัด ด้าน ปชช. พึงพอใจ ร้อยละ 95% เฉลี่ยเวลาบริการ 33 นาที/ราย

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เปิดเผยความคืบหน้า ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เริ่มในระยะที่ 3 จำนวน 33 จังหวัดนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อข้อมูลการบริการและการเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยเฉพาะ “หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่” ที่ สปสช. ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกในการรับบริการ ประกอบด้วย ร้านยา คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น

นายคารม กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดมีหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ใน 33 จังหวัดที่ได้สมัครขึ้นทะเบียนร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. แล้วจำนวน 2,325 แห่ง ดังนี้ 1. คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 81 แห่ง 2. คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 84 แห่ง 3. ร้านยา จำนวน 1,452 แห่ง 4. คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวน 562 แห่ง 5. คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 44 แห่ง 6. คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 74 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น จำนวน 28 แห่ง โดยประชาชนที่อยู่ใน 33 จังหวัดที่เริ่มดำเนินการในระยะที่ 3 สามารถเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมการดำเนินการเปิดรับหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ ตั้งแต่ระยะที่ 1 -3 รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดนั้น มีหน่วยบริการที่ร่วมเป็นหน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่กับ สปสช. ใน 45 จังหวัดนำร่อง 3,633 แห่งแล้ว

สำหรับจำนวนการรับบริการใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 2 ระยะที่ผ่านมา พบว่า สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ได้ โดยจากข้อมูลในระบบเบิกจ่ายของ สปสช. ในระยะที่ 1 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่จำนวน 257,984 คน เป็นจำนวน 387,932 ครั้ง ส่วนในระยะที่ 2 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยนวัตกรรมฯ จำนวน 142,936 คน เป็นจำนวน 196,913 ครั้ง และเมื่อรวมจำนวนการรับบริการทั้ง 2 ระยะ มีประชาชนเข้ารับบริการจำนวน 400,920 คน เป็นจำนวน 584,845 ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ 22.9 จากจำนวนประชาชนที่รับบริการทั้งที่หน่วยบริการภาครัฐและเอกชนทั้งหมด จำนวน 1,857,111 คน เป็นจำนวน 2,553,316 ครั้ง ในส่วนของหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 8.84 จาก 10 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ขณะที่ระยะเวลาของการเข้ารับบริการ ทั้งการเดินทางไปกลับและรับบริการจะอยู่ที่ 33 นาที/ราย

Advertisement

เผยเงื่อนไข คุณสมบัติ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ มีสิทธิได้รับเงินเดือนละ 3,000 บาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 เมษายน 2567 “คารม” เผยเงื่อนไข คุณสมบัติ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ มีสิทธิได้รับเงินเดือนละ 3,000 บาท เริ่มยื่นเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการประกาศระเบียบกรมกิจการผู้สูงอายุ ว่าด้วยการคุ้มครองผู้สูงอายุแบบครอบครัวอุปถัมป์ พ.ศ. 2566 ด้วยกรมกิจการผู้สูงอายุ มีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนผู้สูงอายุในด้านต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ และการสร้างความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้ง เพื่อตอบสนองผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่มีความต้องการอยู่กับครอบครัว ชุมชนและสังคม จึงมีการสนับสนุนงบประมาณให้ลูกหลานที่ต้องลาออกมาดูแล เครือญาติ หรือคนในชุมชนที่ดูแลผู้สูงอายุเปราะบางแล้วไม่มีใครดูแล เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในศูนย์พัฒนาการและสวัสดิการสังคม

นายคารม กล่าวว่า “ครอบครัวอุปถัมภ์” หมายความว่า บุคคลหรือครอบครัวที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ให้เป็นครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน และไม่มีผู้ดูแลหรือ มีแต่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ การคุ้มครองตามระเบียบนี้ ผู้สูงอายุต้องยินยอมเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดีกำหนด กรณีผู้สูงอายุไม่สามารถให้การยินยอมได้ ให้นักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้รวบรวมข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการขอคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุให้ขอได้เพียงคราวละหนึ่งคน หากจะรับมากกว่านั้น ให้ระบุเหตุผล และความจำเป็นที่จะต้องรับผู้สูงอายุไว้คุ้มครองดูแลมากกว่าหนึ่งคน

สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ขอเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ มีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งมีความพร้อมและศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ อาจได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการ เป็นรายๆ ไป มีที่อยู่อาศัยที่เป็นหลักแหล่ง และอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับผู้สูงอายุ ได้รับความยินยอมจากสมาชิกทุกคนในครอบครัวว่ามีความพร้อมในการคุ้มครองผู้สูงอายุ ไม่เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิดอาญา และอยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล

การขอเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ให้ยื่นความประสงค์ตามแบบที่อธิบดีกำหนด ดังนี้ ในท้องที่กรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอได้ที่กรมกิจการผู้สูงอายุ หรือศูนย์พัฒนาการ จัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค หรือหน่วยงานที่อธิบดีประกาศกำหนด ในจังหวัดอื่น ให้ยื่นคำขอได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หรือศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุที่อยู่ในจังหวัดนั้น

”กรมกิจการผู้สูงอายุให้ความช่วยเหลือคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ ครอบครัวละ 2,000 บาท ต่อผู้สูงอายุหนึ่งคนต่อเดือน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นและเหมาะสม อาจพิจารณาให้เงินช่วยเหลือได้ไม่เกินครอบครัวละ 3,000 บาท ต่อผู้สูงอายุหนึ่งคนต่อเดือน ทั้งนี้ โครงการครอบครัวอุปถัมภ์จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2567 “นายคารม ระบุ

Advertisement

Verified by ExactMetrics