วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024

ศบค.เห็นชอบขยาย Phuket Sandbox ให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจากภูเก็ตไปบางจังหวัดได้

People Unity News : ที่ประชุม ศบค.ให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้ ขยาย Phuket Sandbox ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่าง จ.ภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7+7)

วานนี้ (16 ส.ค.64) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยผ่อนคลายกิจกรรมให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้เพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล เน้นรัฐ/เอกชนทำงานที่บ้าน WFH ยังคงห้ามออกนอกเคหสถาน 21.00-04.00 น. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดถึงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ เห็นชอบจัดตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค.

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลและ ศบค. กำลังเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยที่ยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้ได้โดยเร็ว โดยได้เร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ทั้งในการเร่งรัดการจัดหาวัคซีน ปูพรมฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด การค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเชิงรุกและนำผู้ป่วยทุกคนเข้าระบบการรักษาให้เร็วที่สุด รวมถึงให้ผู้ป่วยติดเชื้อเข้าถึงยาให้ไวที่สุด การสร้างสถานที่กักตัวให้เพียงพอทั้งในประเภท Home Isolation (HI)  และ Community Isolation (CI) ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้งดูแลแรงงานและโรงงานในรูปแบบ Bubble and Seal ใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) ในระบบ HI และ CI  จัดระบบการส่งยา รวมทั้งติดตามการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และสูตรยาอื่น ทั้งของยาจากต่างประเทศ เช่น Remdesivir หรือ Oseltamivir หรือ Hydroxychloroquine เพื่อให้ผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียวเข้าถึงยาได้กว้างขวางที่สุด รวมทั้งให้มีการจัดซื้อชุดตรวจ ATK อย่างโปร่งใส ชัดเจน ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการขยะติดเชื้อแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง คือ การทิ้งขยะติดเชื้อที่ถูกต้อง การจัดเก็บ และปลายทาง คือ กระบวนการทำลายขยะติดเชื้อ

นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต มีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มีนายเสรี วงษ์มณฑา และนายเกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งมาตรการควบคุมและป้องกัน การจัดหาและกระจายวัคซีน ยา เวชภัณท์ มาตรการช่วยเหลือเยียวยา มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริง และต้องมีการสื่อสารลงไปในระดับพื้นที่ด้วย

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการป้องกันและควบคุมโควิด-19 ดังนี้

1.การคงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และตามมาตรการเดิม วันที่ 18 – 31 ส.ค. 2564

2.การเพิ่มมาตรการ และการจัดการขององค์กร อาทิ การตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล จัดระบบการนำเข้าสู่ HI CI หรือ รพ.

-พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดยังคงเน้น WFH ต่อเนื่อง และพนักงานของ ภาครัฐ/เอกชน ที่ต้องมาปฏิบัติงาน ขอให้มีการคัดกรองด้วย ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีความพร้อมก่อนการคลายล็อกดาวน์

-เตรียม Company Isolation สำหรับหน่วยงานที่มีพนักงานเกิน 50 คน

-เร่งรัดการฉีดวัคซีน ให้มีความครอบคลุมของวัคซีนกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อย 80% ใน กทม. อย่างน้อย 70% ใน 12 จังหวัด และอย่างน้อย 50 % ในพื้นที่อื่น

3.ให้ประชาชน องค์กร สถานประกอบการ สามารถตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเองได้ โดยรัฐสนับสนุนให้มีการใช้อย่างทั่วถึง และเน้นย้ำให้ประชาชน ใช้การป้องกันตนเองของประชาชนในทุกกรณี (Universal Prevention) รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาร่วมจัดทำ Thai Covid Pass เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ

4.ปรับมาตรการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด โดยให้เปิดกิจการธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าได้

พร้อมทั้งเห็นชอบรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศในการแลกวัคซีนโควิด 19 (AstraZeneca) ระหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย และเห็นชอบการรับมอบ Monoclonal antibody จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมนี ของบริษัท Regeneron สำหรับการดูแลผู้ป่วยหนัก โดยมีการขึ้นทะเบียน อย.ไทย แล้ว รวมทั้งเห็นชอบการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าร่วม Phuket Sandbox เดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7 + 7) ประกอบด้วยจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) จังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป โดยให้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข ภายใต้มาตรการสาธารณสุขและการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีแผนรับมือหรือแผนชะลอหรือยกเลิกโครงการ รวมทั้งยังผ่อนผันการจัดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมร่วมกันของรัฐสภา และผ่อนผันการเคลื่อนย้ายในห้วงเวลาการห้ามออกนอกเคหสถานด้วยหากมีความจำเป็นเร่งด่วน

Advertising

นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีแอสตร้าฯ ยืนยันเร่งส่งวัคชีนให้ครบ 61 ล้านโดสในสิ้นปีนี้

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีแอสตร้าฯ ยืนยันเร่งส่งวัคชีนให้ครบ 61 ล้านโดสในสิ้นปีนี้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ฟื้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น พร้อมเตรียมสั่งซื้อวัคชีนสูตรใหม่ปีหน้า รับมือไวรัสกลายพันธุ์

15 สิงหาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมทางไกลร่วมกับนายปาสคาล โซริออต (Mr.Pascal Claude Roland Soriot) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด หารือกรอบความร่วมมือด้านสาธารณสุขในการป้องกันโควิด-19  ในภาวะที่มีแพร่ระบาดจากไวรัสกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว  โดย บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข  ยืนยันจะเร่งส่งมอบวัคซีน ที่เหลือให้ครบ 61 ล้านโดส ภายในเดือนธันวาคม 2564 นี้อย่างแน่นอน และ จะช่วยให้จำนวนยอดการจัดหาวัคซีนทุกประเภทในสิ้นปีนี้รวมกันเกินกว่า 120 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกว่า 60 ล้านคน ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่ตั้งเป้าจะจัดหาวัคซีน 100 ล้านโดส สำหรับประชากร 50 ล้านคน ถือเป็นข่าวดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่เร็วขึ้น ลดภาระระบบสาธารณสุขไทย ช่วยให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นอีกด้วย

Advertising

รัฐบาลจัดทำหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว” เชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดไปอ่าน

People Unity News : รัฐบาลเชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว” รวบรวม 17 บทความให้ความรู้ทางออกปัญหาหนี้สินและดูแลสุขภาพจิตในสถานการณ์โควิดระบาด

24 ก.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายกับคณะกรรมการทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายคณะเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้สินครัวเรือนที่ครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้แนวโน้มปัญหาหนี้สิน ปัญหาสุขภาพจิตมีสูงขึ้นนั้น หลายหน่วยงานได้ดำเนินโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยต่อเนื่อง ทั้งการออกมาตรการทางการเงิน การให้คำแนะนำปรึกษา

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กรมสอบสวนคดีพิเศษ มูลนิธิสุภา วงค์เสนา เพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ และมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้ออกหนังสือ “แก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว”  ซึ่งเป็นการรวบรวมบทความความรู้ทั้งในเรื่องการแก้ไขหนี้สิน สิทธิ หน้าที่ ข้อมูลที่ลูกหนี้ควรรู้ และครอบคลุมวิธีการดูแลจิตใจ รวมถึงการสร้างพลังใจให้ลูกหนี้ได้ครบทุกมิติ ด้วยข้อเขียนที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ  รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดหนังสือมาศึกษา จากลิงค์ https://www.bot.or.th/Thai/ReportAndPublication/Publications/Documents/Fix_Debt.pdf หรือจากคิวอาร์โค้ดที่ ธปท. จัดทำขึ้น

“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อประเด็นหนี้สินของประชาชน เนื่องจากเป็นปัญหาที่นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ทั้งสุขภาพจิตและปัญหาทางสังคมอื่น จึงมีนโยบายมาโดยต่อเนื่องว่า การช่วยเหลือนั้นจะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งในส่วนการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ สถาบันการเงิน และการให้ความรู้ประชาชน ซึ่งหนังสือแก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว นี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายสำนักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) ในการร่วมสมทบงบประมาณสนับสนุนและช่วยผลักดันให้หนังสือนี้ไปถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertising

โฆษกกระทรวงดีอีเอสเผยคนไทยเผชิญข่าวปลอมในโซเชียลวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความ

People Unity News : โฆษกกระทรวงดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปผลการมอนิเตอร์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ (18-22 ก.ค. 64) มีข้อความที่ต้องคัดกรอง 8.2 ล้านข้อความ เปิด 3 อันดับข่าวคนสนใจมากสุด พบโควิดยังยึดพื้นที่เฟคนิวส์

23 ก.ค. 64 นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (18-22 ก.ค. 64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีข้อความที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้น 8,246,481 ข้อความ ในจำนวนนี้พบข้อความที่เข้าเกณฑ์ต้องดำเนินการตรวจสอบ 145 ข้อความ เป็นจำนวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 79 เรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 มากถึง 50 เรื่อง

ทั้งนี้ เมื่อดูจากปริมาณข้อความเบาะแสข่าวปลอม พบข้อสังเกตน่าสนใจว่า ประชาชนจะเผชิญกับเนื้อหาบนโซเชียล/โลกออนไลน์ที่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน เฉลี่ยวันละมากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ จะมุ่งทำงานเชิงรุกในการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งประสานงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่ประชาชนและสังคมอย่างรวดเร็ว ลดความตื่นตระหนกและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันการณ์

สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรกตลอดช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ 1.เตือนเฝ้าระวังใน 24 ชม. จะเกิดแผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่า 2.เครื่องตรวจวัดออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ และ 3.กองทัพบก ประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ กทม.

นางสาวนพวรรณ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือประชาชน เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน

Advertising

“ชัยวุฒิ” เบรก “กสทช.รักษาการ” ประมูลดาวเทียม 24 ก.ค.นี้ แนะรอชุดใหม่ หวั่นมีผลกระทบระยะยาว

People Unity News : “ชัยวุฒิ” เบรก “กสทช.” ชุดรักษาการ เร่งประมูลวงโคจรดาวเทียม 24 ก.ค.นี้ หวั่นกระทบการบริหารจัดการวงโคจรดาวเทียมหลังหมดสัญญา แนะควรให้ กสทช. ชุดใหม่เข้ามาจัดการ เหตุมีผลกระทบผูกพันในระยะยาว โดยเฉพาะด้านความมั่นคง

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) เพื่อเปิดประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิวงโคจรดาวเทียม ในวันที่ 24 ก.ค.64 ล่าสุด ตนได้ส่งหนังสือไปถึง กสทช.ชุดรักษาการ เพื่อขอให้ชะลอการเปิดประมูลออกไป และรอ กสทช. ชุดใหม่ที่อยู่ในกระบวนการสรรหา เข้ามาเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ ในหนังสือฉบับดังกล่าวได้แจ้งให้ กสทช. ชุดรักษาการในปัจจุบันทราบว่า ขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯอยู่ระหว่างการเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) พิจารณาให้ความเห็นชอบมอบหมายให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ หลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศสิ้นสุดลง

ดังนั้น หาก กสทช. ดำเนินการประมูลสิทธิการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญา โดยเฉพาะสิทธิการเข้าใช้วงโคจรของดาวเทียมไทยคม 4 ที่ยังมีภาระผูกพันที่จะหมดอายุสัญญา ในวันที่ 10 ก.ย.64 เพราะหากมีกรณีไทยคม 4 เกิดข้อขัดข้อง เสียหาย ก่อนสิ้นอายุสัญญา บริษัทคู่สัญญาต้องรับผิดชอบจัดหาดาวเทียมทดแทนในระยะเวลาตามสัญญา

“กสทช.ชุดรักษาการ ควรพิจารณาชะลอการประมูล โดยคำนึงถึงการรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่ถือเป็นเรื่องใหญ่มีความสำคัญ และส่งผลกระทบในวงกว้างต่อหลายภาคส่วน รวมทั้งยังควรมีแนวทางดำเนินการในทิศทางเดียวกับแนวนโยบายของบอร์ดดีอีด้วย” รมว.ดีอีเอส กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวด้วยว่า อีกทั้ง กสทช.ชุดปัจจุบันยังเป็นชุดรักษาการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ คาดว่าจะได้ผู้เข้ามาทำหน้าที่ กสทช. ชุดใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ดังนั้น กสทช.ชุดรักษาการ จึงควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากการนำสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมออกประมูล ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักการบริหารงานราชการแผ่นดิน ไม่ให้เกิดข้อติดขัดในการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญา รวมถึงความต่อเนื่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน และต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศชาติ และประชาชนและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และความมั่นคงของรัฐ

“การประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม ในลักษณะจัดชุด (Package) ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีผลผูกพันระยะยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงแห่งรัฐ กระทรวงดิจิทัลฯจึงเห็นว่าเพื่อให้การประมูลเป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม ควรรอให้การสรรหา กสทช.ชุดใหม่ในขณะนี้เสร็จสิ้น และให้ กสทช.ชุดใหม่ เข้ามารับผิดชอบพิจารณาดำเนินการ จะมีความเหมาะสมมากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆตามมาในภายหลัง” นายชัยวุฒิกล่าว

Advertising

“ประยุทธ์” ยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

People Unity News : “ประยุทธ์” ยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยระยะ 1 เดือน เน้นดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากประกาศฉบับที่ 25 ใน 6 จังหวัดก่อนขยายไปสู่กิจกรรมอื่นต่อไป

วันนี้ เวลา 12.45 น. (28 มิถุนายน 2564) ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมหารือถึงการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)  และมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งมาตรการการแพร่ระบาด covid -19 ตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) ใน 6 จังหวัดก่อน เป็นระยะเวลา 1 เดือน  โดยรัฐบาลและกองทุนประกันสังคมได้เตรียมงบประมาณไว้แล้ว ประมาณ 7,500 ล้านบาท สำหรับกิจการใน 6 จังหวัด ได้แก่ ก่อสร้าง ที่พักแรม อำนวยการด้านอาหาร ศิลปะบันเทิง และนันทนาการ โดยรัฐบาลจะได้จ่ายเพิ่มเติมให้ลูกจ้างในระบบประกันสังคมจำนวน 2,000 บาทต่อคน ส่วนนายจ้างหรือผู้ประกอบการจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาท/คนของลูกจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการหรือบริษัทสูงสุดไม่เกิน 200 คน เป็นเวลา 1 เดือน รวมถึงกระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลในการชดเชย 50% ของค่าจ้าง  รวมทั้งการดูในเรื่องอาหารด้วย โดยเฉพาะจะพิจารณานำอาหารจากร้านผู้ประกอบการรายย่อยเข้าไปช่วยสนับสนุนจัดส่งให้กับแคมป์คนงานที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างรายได้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้อีกทางหนึ่ง

นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า  รัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในขณะนี้ และจะดำเนินการทุกอย่างอย่างเป็นระบบ รอบคอบรัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ทั้งนี้มาตรการดูแลผลกระทบดังกล่าวจะนำเข้าหารือที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า วันนี้ได้มีการหารือกันในส่วนภาครัฐ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์เพื่อรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนก่อนออกมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบในคัตเตอร์แรงงานและ 6 จังหวัด ตามที่ได้ประกาศออกไป ซึ่งในระยะต่อไปก็จะมีการดำเนินการให้ทั่วถึง ไปยังกิจกรรมอื่นๆด้วยเหมือนเช่นที่ผ่านมา รวมทั้งจะมีการพิจารณามาตรการใหม่ๆออกมาด้วย  ส่วนโครงการคนละครึ่งก็ยังดำเนินการเป็นไปตามกำหนดที่วางไว้

นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใย กรณีที่มีแรงงานหนีกลับบ้านนั้น ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจพลเรือนปฏิบัติหน้าที่ดูแล เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายกลับบ้าน เพื่อป้องกันระมัดระวังไม่ให้ไปแพร่เชื้อที่อื่น พร้อมยืนยันภูเก็ต sandbox จะเปิดในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้  ควบคู่กับการมีมาตรการด้านสาธารณสุขในการดูแลอย่างเหมาะสม เป็นไปตามที่กำหนดและขอให้ทุกคนช่วยกัน

ส่วนเรื่องเตียงสนาม นายกรัฐมนตรีย้ำกำลังเร่งดำเนินการโดยเฉพาะในส่วนสีแดงให้ได้มากขึ้น เพราะนอกจากมีเครื่องมือ สถานที่แล้ว  สิ่งสำคัญต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ โดยจะพิจารณานำบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังจะจบเข้ามาช่วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างมีการรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนรวมถึงภาคประชาชน ก่อนนำมาสู่การออกมาตรการต่างๆ

นายกรัฐมนตรียืนยันไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ม็อบ ที่มีการเคลื่อนไหว เพราะทำทุกอย่างด้วยเจตนารมณ์บริสุทธิ์และรักประชาชน ขณะนี้ทุกภาคส่วนและภาครัฐบาลช่วยกันทั้งหมดในการดำเนินการอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชน

Advertising

“ประยุทธ์” เป็นห่วงทั้งหนี้ครูและหนี้นักเรียน

People Unity News : นายกฯ ติดตามมาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน กยศ. เตรียม 3.8 หมื่นล้านบาท รองรับผู้กู้ปีการศึกษา 2564 ไม่ต้องมีคนค้ำ ขณะที่ ธ.ออมสิน จัด “มหกรรมผ่อนปรนการชำระหนี้ครู” ถึง 30 มิ.ย.นี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงแนวทางการช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อการศึกษา โดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เตรียมเงินไว้ 3.8 หมื่นล้านบาทรองรับผู้กู้ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 6.24 แสนคน ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ผู้กู้มีความยากลำบากในการหาผู้ค้ำประกัน กยศ. จึงได้ยกเลิกกำหนดที่ให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน ในสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564  โดยได้ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาทและอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติอีกส่วนหนึ่ง รัฐบาลโดย กยศ. ยืนยันมีวงเงินเหลือพร้อมให้การสนับสนุนสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข

สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ขณะนี้มีลูกหนี้ 3.6 ล้านคนและผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน โดย กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี คือ 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ที่ไม่เคยผิดนัด 2) ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชี 3) ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมด 4) ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ที่ไม่เคยผิดนัดและชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว 5) ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% กรณีไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะมีผลถึง 31 ธ.ค.ปีนี้  สำหรับกรณีผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ประจำปี 2563 และ 2564 กยศ. จะชะลอการฟ้องคดีไปจนถึง 31 มี.ค.ปีหน้ายกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปีนี้พร้อมงดการขายทอดตลาด กรณีที่ถูกบังคับคดีจนถึงสิ้นปีนี้ กยศ. จะงดการขายทอดตลาด ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับการพักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี  ทั้งนี้ ลูกหนี้ กยศ. ยังจะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษามาตรการอย่างรอบคอบก่อนประกาศใช้ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ ลดเงินงวด ยืดเวลาผ่อนชำระ เป็นต้น ขณะเดียวกัน เบื้องต้นธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือครูและบุคลากรทางการศึกษาจัด “มหกรรมผ่อนปรนการชำระหนี้ครู” ยับยั้งสถานะไม่ให้เป็น NPL ส่งผลเสียทางเครดิต และกระทบต่อหน้าที่ราชการได้ในอนาคต โดยเลือกจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน ตามแผนการชำระหนี้ที่ธนาคารกำหนด เป็นระยะเวลา 12 เดือน หรือนานที่สุดไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 66 เปิดให้แจ้งความประสงค์ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64

“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยหนี้ครู บุคลากรทางการศึกษา และหนี้นักเรียนที่หยั่งลึกมานาน เน้นให้มีมาตรการแก้หนี้ที่เป็นระบบและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบรรเทาวิกฤตหนี้สินภาคประชาชนให้มากที่สุด พร้อมเร่งสร้างวินัยและความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน” นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

เปิดลงทะเบียนโครงการ ”ยิ่งใช้ยิ่งได้” 21 มิ.ย.นี้ รีบหน่อยจำนวน 4 ล้านสิทธิ์เท่านั้น

People Unity News : รัฐบาลเปิดลงทะเบียนโครงการ ”ยิ่งใช้ยิ่งได้” 21 มิ.ย.นี้ 4 ล้านสิทธิ์ สะสม e-Voucher สูงสุด 7,000 บาท เมื่อใช้จ่ายครบ 60,000 บาท คาดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 268,000 ล้านบาท

20 มิ.ย.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนผู้สนใจร่วมโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 22.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ทุกวันเป็นต้นไป จนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ์  เริ่มใช้จ่ายจริง 1 กรกฎาคม 2564 นี้  เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ ซึ่งหากเข้าร่วมเต็มจำนวน 4 ล้านคน ใช้จ่ายเต็มสิทธิ์ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ 240,000 ล้านบาท และเมื่อมีการนำ e-Voucher กลับมาใช้ก็จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มอีก 28,000 ล้านบาท รวมเป็น 268,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้”  เป็นการใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการ เช่น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ (ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (gift voucher) บัตรเงินสด (gift card) และสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า) ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564  กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการ  โดยจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ทั้งนี้ วงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิ์ต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ์ e- Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนตลอดระยะเวลาโครงการ โดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001-60,000 บาท ได้รับ e-Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ์ e-Voucher จะคืนเป็นวงเงินใน g-Wallet ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไปโดยสามารถใช้จ่ายด้วย e -Voucher ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม- 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ e -Voucher “โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้” ไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังย้ำคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการว่า เป็นประชาชนสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือได้รับสิทธิ์โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือไม่ใช้สิทธิ์โครงการคนละครึ่งระยะที่ 3

ด้านโครงการ “คนละครึ่ง ระยะที่ 3” ยังสามารถลงทะเบียนได้ทุกวัน จนกว่าจะครบ 31 ล้าน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ขณะเดียวกัน ก็อยากเชิญชวนผู้ที่ยังมีวงเงินสิทธิ์เหลือในโครงการ “เราชนะ” วางแผนใช้จ่ายก่อนที่วงเงินสิทธิ์จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายนนี้  เพื่อให้ทุกท่านได้รับประโยชน์จากโครงการที่เข้าร่วมสูงสุดและเต็มประสิทธิภาพด้วย

Advertising

“ประยุทธ์” สนับสนุนให้ใช้ “ฟ้าทะลายโจร” รักษาอาการผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวีย

People Unity News : “ประยุทธ์” สนับสนุนการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” รักษาอาการเจ็บป่วยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวีย

25 พ.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวียในการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่มีภาวะอักเสบ ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้ยืนยันว่า “ฟ้าทะลายโจร” ไม่มีฤทธิ์ป้องกันโควิด-19 แต่อาจใช้เพื่อปรับระบบภูมิคุ้มกันได้

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยืนยันว่า “ฟ้าทะลายโจร” มีแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งเป็นสารสำคัญมีฤทธิ์ต้านไวรัส และในการวิจัยพบว่า สามารถฆ่าไวรัสในหลอดทดลอง และยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางตัวในหลอดทดลองได้ด้วย  นอกจากนี้ “ฟ้าทะลายโจร” ยังเป็นยาลดไข้ บรรเทาอาการหวัดที่ดี และลดการอักเสบ โดยได้ใช้เป็นยาในบัญชียาหลักในการรักษาโรคหวัดตั้งแต่ปี 2559  และสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีภาวะอักเสบ “ฟ้าทะลายโจร” สามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมภูมิคุ้มกันได้ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยกำลังศึกษาวิจัยเพิ่มเติมการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” เพื่อป้องกันโควิด-19 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันประชาชนยังมีจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 และปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T เพื่อป้องกันการแพร่หรือติดเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำความสำคัญในการดูแลความปลอดภัยสุขภาพสูงสุด เพราะคนไทยทุกคนคือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย

นายอนุชา กล่าวว่า “นอกจากเรื่องการรักษาโควิด-19 ด้วยยาจากสมุนไพรไทยแล้ว ปัจจุบันความต้องการสมุนไพรในตลาดโลกมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกระแสความใส่ใจในการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรคด้วยวิถีธรรมชาติด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงเร่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสมุนไพรไทยในตลาดต่างประเทศ ซึ่งสมุนไพรและเครื่องเทศในตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งมั่นใจว่าสมุนไพรไทยจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น เครื่องสำอาง และอาหารเสริม ตามนโยบาย BCG ของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วย”

Advertising

รัฐบาลพร้อมใช้เวทีประชุมสภา 31 พ.ค.-2 มิ.ย.แจงประเด็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องงบประมาณปี 65

People Unity News  : รัฐบาลแจง 3 ประเด็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องงบประมาณปี 65 พร้อมจะใช้เวทีสภาระหว่าง 31 พ.ค. – 2 มิ.ย. สร้างความเข้าใจงบประมาณ 65

23 พฤษภาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 31 พ.ค. – 2 มิ.ย.ว่า ถือเป็นพื้นที่การทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลพร้อมชี้แจงให้ข้อมูลถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณปี 65 และขณะเดียวกัน ส.ส.จะได้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง หากการใช้เวลาอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับทุกฝ่ายรวมถึงประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากบางกลุ่มเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ จึงขอชี้แจงดังนี้

1)การที่งบประมาณรายจ่ายลงทุนปี 65 วงเงิน 624,399 ล้านบาท (20.14% ของงบประมาณรายจ่าย) น้อยกว่าการขาดดุลงบประมาณที่ตั้งไว้ 700,000 ล้านบาท ไม่ได้ขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง ตามที่เข้าใจผิดกัน แม้กฎหมายได้กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาในวรรคสองของมาตรา20 ด้วย ซึ่งกำหนดข้อยกเว้น กรณีที่การตั้งงบประมาณรายจ่ายไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ในวรรคหนึ่งได้ ให้รัฐบาลแสดงเหตุผลความจำเป็นและมาตรการในการแก้ไขต่อรัฐสภาพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย และเพื่อให้เป็นตามที่กฎหมายกำหนด ครม.เมื่อ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบหลักการมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนขาดดุล และจะรายงานให้สภาฯได้ทราบ โดยการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศ ประกอบด้วย 1. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership: PPP) 2. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) 3. การใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิต และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ

2)ข้อวิจารณ์ว่า กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในความเป็นจริง งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับทางด้านสาธารณสุขนั้น ยังมีในส่วนของกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเมื่อรวมงบประมาณเข้าด้วยกันแล้ว ด้านการสาธารณสุขได้รับการจัดสรรมากกว่ากลาโหม กว่า 9.2 หมื่นล้านบาท

3)ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเลขการรายงานเงินขาดทุนสะสมของธนาคารแห่งประเทศไทย มูลค่า 1.069 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ใช่หนี้สาธารณะ ตามที่ไปลือกัน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอธิบายว่า รายงานดังกล่าวเป็นการแสดงรายการงบการเงินของ ธปท. และเป็นธุรกรรมที่เกิดจากการทำหน้าที่ปกติของธนาคารฯในการดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกันทั่วโลก ตามนิยามของ IMF ที่กำหนดมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจการเงินเพื่อการเปรียบเทียบและติดตามการทำนโยบายของประเทศสมาชิก

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ส่งผลให้ประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 มีจำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากงบประมาณปีก่อน ที่กำหนดไว้ 3,285,962.5 ล้านบาท ประเด็นข้อสงสัยจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลพร้อมชี้แจงข้อมูลถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งบประมาณแผ่นดินในแผนงานและโครงการต่างๆ รวมถึงความสอดคล้องต่อสถานการณ์ของประเทศ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ประเทศจะได้เดินหน้าบนพื้นฐานความเข้าใจ แม้อาจมีความเห็นต่างกันบ้าง

Advertising

Verified by ExactMetrics