วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024

“ประยุทธ์” เชิญชวนประชาชนประเมินความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐผ่านทางแอป ไอทีเอเอส

People Unity News : นายกรัฐมนตรีประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมชวนประชาชนและข้าราชการ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพ และคุณธรรมของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ

17 พฤษภาคม 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวคำปราศรัย เชิญชวนประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาการทุจริตส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการพัฒนาประเทศ รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ทั้งในแง่การรับรู้ของภาคประชาชน และภาคธุรกิจ รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม

ทุกปี องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จะดำเนินการสำรวจสถานการณ์การทุจริตของทุกประเทศทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอันดับปัญหาการทุจริตผ่านดัชนีการรับรู้การทุจริตหรือ คอรัปชั่น เพอเซพชั่น อินเดกซ์ หรือค่าซีพีไอ (CPI) โดยมีค่าคะแนนอยู่ในอันดับที่ 104 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า  รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งยึดหลักภาครัฐของประชาชน เพื่อประชาชน และประโยชน์ส่วนรวม เพื่อสร้างภาครัฐให้โปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และมุ่งสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต รวมทั้งความละอายต่อการทุจริต ประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกและค่านิยมในการปฏิเสธไม่ยอมรับการทุจริตอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน และภาคีต่างๆ ร่วมมือกันในการลดและป้องกันการทุจริตให้ได้ผลอย่างยั่งยืน

โดยได้มีการนำระบบการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือที่เรียกว่า ไอทีเอ (ITA) มาใช้ในการยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติงาน ให้มีความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาด้านการบริหารจัดการภาครัฐของประเทศ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนคนไทย ทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับความโปร่งใสของประเทศไทยให้มีมาตรฐานในระดับสากล และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพ และคุณธรรมในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ โดยร่วมกันประเมินหน่วยงานภาครัฐที่เคยติดต่อหรือรับบริการได้ทางเว็บไซต์สำนักงาน หรือทางแอปพลิเคชัน ไอทีเอเอส (ITAS) ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยจะมีการประกาศผลการประเมิน ไอทีเอ ของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศให้ต่อไป

Advertising

นายกฯมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่

People Unity News : นายกฯ รับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานฯ ย้ำรัฐบาลไม่เคยท้อ พร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มที่

วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564 ) เวลา  09.00  น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ให้ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าพบเพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อส่งมอบแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 274,000 ราย วงเงินความคุ้มครอง 275,410 ล้านบาท เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรดังกล่าว

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความเสียสละ และเสี่ยงภัยตลอดเวลา ในส่วนของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็พยายามทำอย่างเต็มที่และให้ดีที่สุด ขอยืนยันนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่ท้อแท้ แม้ที่ผ่านมาจะมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนต่างๆ แต่เชื่อมั่นภายในระยะเวลาไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น ขณะนี้ได้สั่งการให้เร่งรัดฉีดวัคซีนให้มากขึ้นตามปริมาณวัคซีนที่กำลังจะเข้ามาเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนระมัดวังดูแลตัวเองให้ดีที่สุดและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด -19 ซึ่งคุ้มครองการเสียชีวิต ภาวะโคม่าเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และผลประโยชน์กรณีตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 โดยสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จะร่วมกันสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยเต็มจำนวนครอบคลุมบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 274,000 ราย เบี้ยประกันภัยรวมกว่า 38,000,000 บาท และวงเงินความคุ้มครองรวมกว่า 275,410 ล้านบาท โดยแต่ละรายจะได้รับ ความคุ้มครองจาก 3 กรมธรรม์ ดังนี้

1.กรมธรรม์คุ้มครองการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 2 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ต่อราย

2.กรมธรรม์คุ้มครองภาวะโคม่าอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ต่อราย

3.กรมธรรม์คุ้มครองผลประโยชน์กรณีพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 10,000 บาท ต่อราย

4.กรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จำนวนเงินความคุ้มครอง 10,000 บาท ต่อราย

นอกจากนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทยยังจะบริจาคมอบเครื่องช่วยหายใจให้แก่โรงพยาบาลบุษราคัม (โรงพยาบาลสนาม) ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อ COVID-19 ให้สามารถดูแลรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที จำนวน 50 เครื่อง รวมมูลค่า10,500,000 บาทด้วย

Advertising

“ประยุทธ์” ระบุคนไทย 50 ล้านคนจะได้รับการฉีดวัคซีนภายในปลายปีนี้

People Unity News : นายกรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายคนไทย 50 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนในปลายปีนี้ พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่หอการค้าไทยหนุนรัฐบาล ตั้ง 4 ทีม ร่วมกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือน มิ.ย.นี้

วันนี้ (28 เม.ย.64) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล คณะกรรมการหอการค้าไทยนำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกลินท์ สารสิน ประธานอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำเสนอแนวทางการทำงานของหอการค้าไทยในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจัดทำแผนตั้ง 4 ทีมสนับสนุน โดยมีบริษัทที่ถนัดในธุรกิจนั้นๆมาช่วยกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะเริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยการหารือ นายกรัฐมนตรีดีใจที่รัฐบาลและเอกชนจะร่วมมือโดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อประเทศไทยเปิดประเทศ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงบทบาทสำคัญของรัฐบาลเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ เอกชน ดูแลกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆให้เกิดความยืดหยุ่นและดำเนินการได้ เช่นเดียวกับการโอนอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีมาเป็นของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวใน  พ.ร.บ.ทั้ง 31 ฉบับตามประกาศการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีฯ (ฉบับที่ 3) ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นการบูรณาการกฎหมาย เพื่อแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แผนการจัดหาวัคซีนเดิมจำนวน 63 ล้านโดส จัดหาเพิ่มเติมจำนวน 37 ล้านโดส เป้าหมาย 100 ล้านโดส ดูแลคนไทยทุกคนทั่วประเทศ รวมทั้งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 เฉพาะหน้าโดยเฉพาะการนำผู้ป่วยเข้าถึงสถานพยาบาล การเตรียมพร้อมบุคลากร เครื่องมือ เตียงและยา ด้วย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้กำลังใจในการทำงานของหอการค้าฯมาโดยตลอด คณะกรรมการหอการค้าซึ่งประกอบด้วยผู้แทนธุรกิจเอกชนพร้อมจะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ทั้งการเพิ่มจำนวนวัคซีนโควิด-19 และการกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้มากขึ้นและเร็วขึ้น รวมทั้งการสร้างความมั่นใจในการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย และการเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน จึงได้จัดตั้งทีมสนับสนุนการฉีดวัคซีนภาคเอกชน ประกอบด้วย

TEAM A: ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน (Distribution and Logistics) เพื่อสนับสนุนสถานที่เพิ่มเติมจากภาคเอกชน ในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ รวมถึงใช้พื้นที่โรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรม เป็นพื้นที่ฉีดวัคซีน ด้วย

TEAM B: ทีมการสื่อสาร (Communication) สนับสนุนการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนทั่วไป สร้างการรับรู้ให้กับสังคม เชิญชวนประชาชนมารับการฉีดวัคซีนในสถานที่ที่พร้อมและรายงานความคืบหน้าที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงระบบ “หมอพร้อม”

TEAM C: ทีมเทคโนโลยีและระบบ (IT Operation) เพื่อจัดระบบลงทะเบียนให้รวดเร็วและระบบการติดตามตัวอย่างมีประสิทธิภาพ

และ TEAM D: ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม (Extra Vaccine procurement) ร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน โดยจะไปสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมจะทำงานเคียงคู่ไปกับภาคเอกชน เน้นการทำงานที่มีผลสัมฤทธิ์ โดยจะมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งทีมประสานงาน เพื่อดำเนินกิจกรรมคู่ขนานร่วมกับทีมภาคเอกชนทั้ง 4 ทีม รวมถึงการมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมและ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไปพิจารณาแนวทางการขึ้นทะเบียนสำหรับวัคซีนที่ได้รับการยอมรับจาก WHO นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนไทยทุกคน รวมทั้งแรงงานและชาวต่างประเทศที่ทำงานในประเทศไทยด้วย ไม่เพียงเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น ยังรวมถึงโรคภัยอื่น ๆ รวมทั้งเดินหน้าเศรษฐกิจ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) สำหรับ SMEs มาตรการเยียวยาผู้มีรายได้น้อย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว และตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อรองรับการเปิดประเทศของไทยหลังวิกฤตโควิด-19 ด้วย

Advertising

“ประยุทธ์” ตั้งเป้าปี 64-65 จะเร่งดำเนินการ 13 เป้าหมายตามแผนของสภาพัฒน์

People Unity News : รัฐบาลเดินหน้า 13 ด้านตามแผนสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาครัฐ

วานนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 14.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้หารือหลักการสำคัญ ในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่รัฐบาลได้เดินหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายสำคัญคือ การหารายได้เพิ่ม โดยให้ประชาชนได้เข้าถึงประโยชน์ให้เกิดเศรษฐกิจต่อเนื่องทั้งภาคการเกษตร การค้าการลงทุน รวมทั้งยังได้พิจารณาถึงความเสี่ยงของสถานการณ์ทางการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสงครามการค้าด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกด้วยว่า ได้ถือโอกาสแนะนำรัฐมนตรีใหม่ 2 ท่าน คือ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายปี 2564 และ 2565 จะเร่งดำเนินการ 13 เป้าหมาย ตามแผนของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แบ่งเป็น 4 ด้านประกอบไปด้วย ด้านที่ 1 เศรษฐกิจ อาทิ เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบริการดิจิทัล ประตูการค้า การลงทุนและโลจิสติกส์ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์พวงมาลัยขวา การท่องเที่ยวเชิงคุณค่า เกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง ด้านที่ 2 วิถีชีวิตที่ยั่งยืน อาทิ การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ลด PM 2.5 ลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจะต้องปรับเปลี่ยนให้วิถีชีวิตมีความปลอดภัยและยั่งยืน ด้านที่ 3 ขยายโอกาสสำหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่ อาทิ SMEs วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจสังคม ให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พัฒนาพื้นที่และเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่ ความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอและเหมาะสม และด้านที่ 4 ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ เพิ่มกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศจากภาคการศึกษา ผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ เพิ่มความเข้มแข็งให้ภาครัฐด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การบริการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการเร่งแก้ปัญหากำลังคนที่มีทักษะต่ำและภาครัฐที่ล้าสมัย ไปสู่กำลังคนและภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสังคม และปฏิรูปกฎหมาย เพื่อเดินหน้าประเทศต่อไปได้ด้วยดี

Advertising

“บิ๊กตู่” อวยพรขอให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความสุข เนื่องในวาระปีใหม่ไทย

People Unity News : นายกรัฐมนตรีอวยพรขอให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ประชาชนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม พร้อมเชิญชวนร่วมงาน “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” และกิจกรรม “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”

วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมประเพณีสงกรานต์ พ.ศ. 2564 “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “สงกรานต์ ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ Amazing ยิ่งกว่าเดิม” แด่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเน้นการจัดกิจกรรมในรูปแบบ New Normal ดำเนินการตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข  รณรงค์การท่องเที่ยววิถีใหม่ในกิจกรรมสงกรานต์ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิดปลอดภัย ประเพณี ประหยัด และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการท่องเที่ยวต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (Expat) และสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 15 เมษายน 2564  ณ บริเวณพื้นที่ลานกิจกรรม รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ (สถานีมักกะสัน)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สรงน้ำพระพุทธมหานาค ปฏิมากร นาคปรก 9 เศียร ซึ่งมีความหมายสิริมงคลหมายถึงการปกป้องดูแลประเทศชาติ พร้อมกล่าวขอพรให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง และอวยพรให้ประชาชนคนไทยมีความสุข เป็นคนดีของสังคม ขณะเดียวกันก็อวยพรให้แก่คณะรัฐมนตรีและตัวแทนเด็กเยาวชนที่ได้รดน้ำดำหัว ขอให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหา นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะดูแลทุกคนให้ดีที่สุด

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำนายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมสืบสานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมสงกรานต์ให้สอดคล้องกับแนวทางมาตรการสงกรานต์ 2564 โดย ศบค. ที่ยึดหลัก DMHT เน้นจัดงานสงกรานต์ในพื้นที่โล่งแจ้ง งดการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของคนหมู่มากและสัมผัสใกล้ชิดกัน อาทิ งดการรวมกลุ่มเล่นสาดน้ำ งดประแป้ง งดการเล่นปาร์ตี้โฟม สนับสนุนการจัดพิธีรดน้ำดำหัวแบบเว้นระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัยเสมอ

จากนั้น  นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย โดยได้ร่วมพูดคุยกับ ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตผ้าไทย ที่นำผ้าไทยมาจัดจำหน่ายก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แนะนำไว้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้และสวมใส่ผ้าไทย ให้หลากหลายยิ่งขึ้น  พร้อมเลือกซื้อสินค้าที่นำมาจัดจำหน่ายโดยคณะกรรมการสวัสดิการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจกิจกรรมของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วย

Advertising

รัฐบาลเตือนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเยียวยา ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน

People Unity News : รัฐบาลเตือนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเยียวยา ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน

8 มีนาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ ที่ดำเนินการมาระยะหนึ่ง และโครงการเรารักกันที่จะเริ่มใช้จ่ายได้เร็วๆนี้ โดยเฉพาะในส่วนของการควบคุมดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ให้ติดตามตรวจสอบไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนถึงปัญหานี้มายังรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีขอให้ร้านค้าเห็นใจประชาชน เพราะทุกคนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนกัน รัฐบาลมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน ได้ดำเนินคดีกับร้านค้าที่กระทำผิดไปแล้ว 68 ราย ในจำนวนนี้เป็นร้านธงฟ้า 47 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปยังร้านค้าทุกแห่งและออกตรวจสอบไม่ให้ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ เช่น ห้ามยึดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ห้ามรับ/แลกเป็นเงินสด ห้ามบังคับการซื้อ/ขายสินค้า ห้ามจำหน่ายบุหรี่ สุรา เบียร์ ห้ามเอาเปรียบขึ้นราคาและขายเกินราคาที่กำหนดโดยเด็ดขาด

หากพบหลักฐานว่าร้านค้าใดจำหน่ายสินค้าราคาแพงเกินสมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับร้านธงฟ้านั้นมีข้อกำหนดชัดเจนอยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร ดังนั้น ถ้าตรวจพบการกระทำผิดจะถูกยกเลิกจากโครงการทันทีและอาจถูกยึดเครื่อง EDC หรือยกเลิกการใช้แอปพลิเคชัน ทำให้ไม่สามารถขายสินค้ากับโครงการได้อีกต่อไป

ทั้งนี้ หากประชาชนพบร้านค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า หรือไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ

Advertising

“ประยุทธ์” สั่งทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลงานสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเผยรูปแบบการทำงานเน้น “รับฟังเสียงประชาชน ยินดีรับข้อมูล” เน้นตรงความต้องการประชาชนให้มากที่สุด ย้ำทุกกระทรวงต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน

เมื่อวานนี้ (23 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการบริหารราชการของคณะรัฐมนตรีและส่วนราชการต่างๆ เน้นให้ทุกกระทรวงติดตาม กำกับ ดูแลการทำงาน ทั้งงานตามภารกิจหลักและงานที่ได้รับมอบหมาย ด้วยบูรณาการงบประมาณและโครงการ โดยเน้นการสื่อสารสองทาง ทั้งบนลงล่าง (Top-Down) และแบบล่างขึ้นบน (Bottom-Up) นำความต้องการของประชาชนนำมาปรับแก้ไขให้เกิดความต่อเนื่องและความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรียังแถลงว่า ได้สั่งการกระตุ้นส่วนราชการ ข้าราชการทุกคน ให้ติดตามประเมินผลการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องร้องเรียนที่เกิดจากการจัดทำโครงการจากงบประมาณจำนวนมากในแต่ละปี ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นจะต้องมีความผิดชอบ ที่ผ่านมาต้องขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงข้าราชการ ที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดให้นายกรัฐมนตรีทราบในหลายช่องทางทั้งช่องทางของรัฐและผ่านสื่อมวลชน มีข้อมูลสำคัญมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำไปแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เป็นการใช้อำนาจของประชาชนในบริหารราชการแผ่นดิน ควบคู่ไปกับรัฐบาล ให้ประชาชนเข้าถึงการร้องทุกข์ แจ้งความ เพื่อสามารถครอบคลุมทุกปัญหาได้เร็วมากขึ้น

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงช่องทางประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐบาล อาทิ PM PODCAST ซึ่งจะใช้แพลตฟอร์มนี้พูดคุยถึงความก้าวหน้าในการทำงานภาพรวม อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ไฟฟ้า การคมนาคม และจะเพิ่มเติมการทำงานอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องน้ำ การดูแลผู้มีรายได้น้อย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงผลงานให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ตามที่ได้มีการอภิปรายชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้ทุกกระทรวงเผยแพร่ข้อมูลถึงความคืบหน้าในการทำงาน โครงการที่กำลังดำเนินการ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยเช่นกัน และขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมมือทำงานเป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตาม ให้มีการติดตามความเคลื่อนไหวในแอปพลิเคชัน Clubhouse เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงหากมีการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนด้วย

Advertising

ศาลเตือนโซเชียล บิดเบือนข้อเท็จจริงวิพากษ์วิจารณ์ศาล

People Unity News : ศาลเตือนโซเชียล บิดเบือนข้อเท็จจริงวิพากษ์วิจารณ์ศาล

ศาลยุติธรรม เตือนกลุ่มโซเชียล บิดเบือนข้อเท็จจริงวิพากษ์วิจารณ์ศาลถือว่ามีความผิด ส่วนผู้ที่วิจารณ์ด้วยเหตุผล ศาลพร้อมรับฟัง

11 ก.พ. 64 นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีการกล่าวพาดพิง และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการพิจารณาและพิพากษาคดีผู้พิพากษาและศาลยุติธรรมว่า ในฐานะที่สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานธุรการที่สนับสนุนการอำนวยความยุติธรรมของศาลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอเรียนว่า ศาลได้ทราบการปราศรัยและการเผยแพร่ข้อความที่พาดพิงศาลแล้วจากที่มีการเผยแพร่ตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เบื้องต้นได้รวบรวมข้อเท็จจริงจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อนั้นไว้แล้ว โดยในส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้น สํานักงานศาลยุติธรรมจะได้ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป

ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ต่อการอำนวยความยุติธรรมด้านคดี ขอเรียนว่าผู้พิพากษาทุกท่าน ต่างปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระ ปราศจากอคติ ใช้ดุลยพินิจเพื่อออกคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีต่างๆโดยชอบตามกรอบแห่งกฎหมาย ปราศจากการแทรกแซงทั้งภายในและภายนอกองค์กร

สำหรับขั้นตอนการขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาก็จะดำเนินการไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากนั้นผู้พิพากษายังอยู่ในกรอบจริยธรรมและการดำรงตนตามประมวลจริยธรรมของผู้พิพากษา ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม การใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาในทุกเรื่องต้องมีเหตุผลตามหลักกฎหมายที่สามารถอธิบายให้กับคู่ความทุกฝ่ายได้ชัดเจน และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาก็จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีของคู่ความทุกฝ่าย

โดยเมื่อศาลมีคำสั่ง หรือคำพิพากษาแล้ว หากคู่ความไม่เห็นด้วยก็สามารถยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเป็นการตรวจสอบการทำงานตามหลักสากล ดังนั้นกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวต่างๆในช่วงนี้ ขอให้ทุกฝ่ายต่างเข้าใจถึงหลักการทำงานของผู้พิพากษา ไม่ควรดึงศาลเข้าไปเกี่ยวข้อง

Advertising

“ประยุทธ์” อวยพรตรุษจีนแก่คนไทยเชื้อสายจีนให้สุขสมหวัง ร่ำรวยตลอดปี

People Unity News : “ประยุทธ์” อวยพรตรุษจีนแก่คนไทยเชื้อสายจีนให้สุขสมหวัง ร่ำรวยตลอดปี

วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีวีดิทัศน์เพื่ออวยพรชาวไทยเชื้อสายจีน เนื่องในเทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าเนื่องในโอกาสช่วงเทศกาลตรุษจีนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ นายกรัฐมนตรีได้มีวีดิทัศน์กล่าวอวยพรชาวไทยเชื้อสายจีน โดยอวยพรให้ชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านสุขสมหวังและร่ำรวยตลอดปี “ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ” นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันหยุดพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ระลึกถึงสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับจีน มิตรภาพ ความผูกพัน และความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ แม้สถานการณ์การโรคโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าไทยและจีนจะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่างๆได้ด้วยดี

ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมมิตรภาพความสัมพันธ์ไทยจีนเสมอมา โดยทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมาแล้วกว่า 45 ปี เป็นความร่วมมือทวิภาคีที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศประสบกับความท้าทายจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเชื่อมั่นว่าในภายหลังเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นแล้ว ทั้งสองประเทศจะมีความร่วมมือกันในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาร่วมกัน

Advertising

“ประยุทธ์” ย้ำรัฐบาลพรรคร่วมเข้มแข็ง ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน

People Unity News : “ประยุทธ์” ย้ำรัฐบาลพรรคร่วมเข้มแข็ง ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 64 เวลา 13.30 ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีความสามัคคีกัน ยึดหลักการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน ดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์เพื่อนบ้านว่า ไทยยึดตามหลักการของ  ASEAN พร้อมเตือนให้ระวังกลุ่มที่อาจเข้ายุยง/ปลุกปั่นการชุมนุม

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 จากพึ่งพิงรายได้ภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว ในปี พ.ศ. 2530 ได้พัฒนาปรับปรุงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยมีสินค้าส่งออกทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และวันนี้ รัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG Model ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีดิจิทัล นำงานวิจัยมาผลิตให้เกิดสินค้า ผลิตภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้ โครงการต่างๆที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ หรือสำนักงบประมาณ การใช้จ่ายงบกลาง งบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาตามลำดับความเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอเรียกร้องของกลุ่มชาวประมงที่ขอระยะเวลาในการทำประมงเพิ่มเติม ซึ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ IUU ด้วย

นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมุ่งหวังที่จะดูแลประชาชนให้ครบทุกภาคส่วน ในทุกพื้นที่ โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพื่อที่จะร่วมมือกันให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้ทุกกลุ่ม เนื่องจากโลกมีความเปลี่ยนแปลง ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จึงอยากให้ทุกคนสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุมีผล รู้จักพอประมาณ และมีความรู้คู่คุณธรรม ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวอวยพรขอให้ประชาชนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งคนไทยเชื้อสายจีนและประชาชนชาวจีนด้วย

Advertising

Verified by ExactMetrics