วันที่ 28 พฤศจิกายน 2024

ศธ.-สธ. เร่งกำหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอนตามปกติ

People Unity News : ศธ. และ สธ. เร่งกำหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอนตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา

โฆษก ศบค. ชี้แจง มีโรงเรียนจำนวนหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศที่เริ่มกลับมาเปิดการเรียนการสอนปกติ เหลือเพียงอีก 4,532 แห่งที่ยังต้องสลับกลุ่ม สลับวันมาเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่พื้นที่จำกัด ห้องเรียนขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. ยอมรับว่าหลายโรงเรียนมีนโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถกลับไปเปิดการเรียนการสอนแบบปกติได้ทั้งหมด ทั้งนี้ มีการมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข เร่งหารือเพื่อจัดทำมาตรการสำหรับโรงเรียนที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ รวมทั้งให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอน เพื่อลดภาระของครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยจะให้เสนอต่อ ศบค. เพื่อพิจารณาให้มีการผ่อนคลายโดยเร็วที่สุดต่อไป

โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังชี้แจงกรณีคณะกรรมการกลุ่มการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน เสนอให้เปิดจุดผ่านแดน จุดผ่อนปรนการค้า ทั้งหมด 91 จุดทั่วประเทศแบบถาวรตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้นว่า กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และฝ่ายความมั่นคง จะกำหนดความเหมาะสมและความพร้อมของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เพื่อเสนอ ศบค. ให้พิจารณาเห็นชอบ โดยมีเป้าหมายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ

ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงพื้นที่ Organizational Quarantine เป็นความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดหาพื้นที่รองรับสำหรับแรงงานที่ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานสาธารณสุข ปลอดภัย ลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องกักตัวในพื้นที่ 14 วัน เพื่อป้องกันควบคุมโรค พร้อมทั้งสร้างความปลอดภัย มั่นใจให้แก่ประชาชนในประเทศ

Advertising

“ประวิตร” สั่งเดินหน้า “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ให้ อปท.สำรวจหาพื้นที่เหมาะสมเติมน้ำใต้ดิน

People Unity News : “ประวิตร” สั่งขับเคลื่อนธนาคารน้ำใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ำท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ำขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน

17 กรกฎาคม 2563 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2563   โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมในวันนี้ เพื่อรับทราบแผนและโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี  โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค  น้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อเศรษฐกิจ พร้อมกำชับการบริหารจัดการน้ำใต้ดิน  การขุดเจาะน้ำบาดาลโครงการ 1 ตำบล 1 แหล่งกักเก็บน้ำ ให้เป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อการเกษตรให้ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายงบประมาณต้องคุ้มค่า เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากในแต่ละปี เพื่อแก้ปัญหาน้ำให้กับประชาชนทั่วประเทศ

โอกาสนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการจัดหาน้ำต้นทุนและแผนปฏิบัติการ ปี 2563 – 2566 จังหวัดภูเก็ต โดยให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการจัดหาแหล่งน้ำและแผนการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว และชุมชนเมือง โดยเห็นชอบแผนระยะสั้น  4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ 2) โครงการระบบสูบผันน้ำ บ้านโคกโตนด-อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ 3) โครงการบำบัดน้ำเสียมาผลิตน้ำประปา และ 4) โครงการพัฒนาระบบควบคุมบริหารจัดการน้ำ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ำท่วมขังให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพพื้นที่ได้ตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ 20 ปี ภายใต้แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ การบริหารจัดการน้ำ

ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรียังสั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ดำเนินการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งระบบ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการงานจัดทำระบบ Big data เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร

Advertising

โฆษกรัฐบาลมั่นใจ นายกฯปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถมาช่วยงาน

People Unity News : โฆษกรัฐบาลมั่นใจ นายกฯปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ

16 ก.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ออกมาระบุให้นายกรัฐมนตรีเร่งปรับ ครม. ภายหลัง 4 รัฐมนตรียื่นหนังสือลาออก โดยระบุว่าต้องเคารพการตัดสินใจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และอีก 3 รัฐมนตรี และการปรับ ครม. นายกฯได้ยืนยันไปแล้วว่าจะทำให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนสิงหาคม โดยจะเป็นผู้พิจารณาเอง

พร้อมกันนี้ ยังมั่นใจว่านายกฯจะคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มาทำหน้าที่ได้ โดยเฉพาะการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการ รวมถึงโครงการต่างๆเอาไว้แล้วในการฟื้นฟูประเทศ

ขณะเดียวกันการปรับ ครม. ของนายกฯ ไม่ได้เป็นการยอมรับความล้มเหลวในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจตามที่นายพิชัยระบุ แต่เป็นไปเพื่อความเหมาะสม ซึ่งในทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็มีการปรับ ครม. เช่นเดียวกัน

ส่วนกรณีที่นายพิชัยระบุถึงการเดินสายพบปะกับสื่อมวลชน เพราะความนิยมในตัวนายกฯลดลงนั้น โฆษกรัฐบาลระบุว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เดินสายพบแต่สื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังได้เดินสายพบกับหลายกลุ่มอาชีพ  ซึ่งถือว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ก่อนที่จะนำไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้ตรงจุด และยังเป็นการสอบถามถึงความร่วมมือจากประชาชนในการพัฒนาประเทศอีกด้วย ถือว่าเป็นการใส่ใจ แสดงถึงความจริงใจในการบริหารประเทศที่จะทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำมาก่อน

Advertising

นายกฯให้เร่งพัฒนา Data Center และ Cloud ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล

People Unity News : นายกรัฐมนตรี ย้ำเร่งพัฒนา Data Center และ Cloud ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล คำนึงสิทธิส่วนบุคคลและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

13 ก.ค.63 เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติครั้งที่ 3/2563 โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีย้ำความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้วาง Platform ต่างๆ เพื่อมุ่งสู่อนาคต ทั้งการพัฒนา Data Center และ Cloud ที่มีมาตรฐานและปลอดภัย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการใช้ข้อมูลในการบริหารราชการให้สอดคล้องกับงบประมาณของประเทศที่มีอยู่เพื่อความโปร่งใส คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยทุกหน่วยราชการต้องมีข้อมูลที่ทันสมัย เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

โอกาสนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ในระดับรัฐเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์พ.ศ. …. เพื่อกระตุ้นการลงทุนจากผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ ตอบสนองความต้องการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติในการให้บริการ เกิดการแข่งขันทางธุรกิจอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ คณะกรรมการดีอี ยังสนับสนุนตามที่ บริษัท ทีโอที  จำกัด (มหาชน) เสนอเส้นทางการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในเส้นทางที่การไฟฟ้านครหลวงไม่มีการรื้อถอนเสาไฟฟ้าและไม่มีสภาพบังคับ จำนวน 12 เส้นทางรวมระยะทาง 48.7 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ IMD ของสถาบัน IMD World Competitiveness Center ในภาพรวมประจำปี 2563 โดยไทยถูกจัดอยู่ที่ 29 จาก 63 ประเทศ เป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ผลการจัดอันดับกลุ่มปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของไทย ปรับตัวดีขึ้น 4 อันดับ ในลำดับที่ 34 จาก 63 ประเทศ โดยตัวชี้วัดที่มีอันดับโดดเด่นอาทิ ตัวชี้วัดผู้ลงทะเบียนใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การพัฒนาและเปิดตัวเว็บไซต์ www.bigdata.go.th เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรภาครัฐ และประชาชนทั่วไปเรื่องการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่  ซึ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงดิจิทัลฯยังสนับสนุนภารกิจโดยจัดทำแอปพลิเคชัน “หมอชนะ”  “ไทยชนะ”  “AOT Airport Card2U” “อาสาสมัครดิจิทัล” และกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ เปิดให้ยื่นข้อเสนอโครงการสนับสนุน เยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 วงเงิน 1 พันล้านบาท ซึ่งได้อนุมัติจำนวน 42 โครงการ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจัลของประเทศ ต้องส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูลได้อย่างเหมาะสมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farmer) การค้าออนไลน์ สุขภาพ การศึกษา การท่องเที่ยว คมนาคม โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล ยึดความต้องการของประชาชนเป็นเป้าหมายในการทำงานด้วย

Advertising

นายกฯยืนยันในที่ประชุมสภาฯ ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์-ไม่เคยอนุมัติโครงการใดเป็นพิเศษ

People Unity News : นายกรัฐมนตรียืนยันในที่ประชุมสภาฯ ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ แผนงาน/โครงการต้องผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการทุกระดับ ไม่เคยอนุมัติโครงการใดเป็นพิเศษ

วันนี้ (3 ก.ค. 63) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุมสุริยัน สัปปายะสภาสถาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564  ยืนยันไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ การอนุมัติจัดงบประมาณผ่านกลั่นกรองของคณะกรรมการทุกระดับ ไม่เคยอนุมัติโครงการใดเป็นพิเศษ ขณะที่การลงทุน PPP เน้นความโปร่งใส ลดภาระด้านงบประมาณ

นายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงแผนงานคมนาคมว่า มีการศึกษาพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือทำ โดยภาครัฐเน้นการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน หรือ PPP เพราะหากรัฐลงทุนเองจะใช้งบประมาณจำนวนมาก ดังนั้นการลงทุน PPP จะช่วยลดภาระด้านงบประมาณด้านการลงทุนของภาครัฐไปได้ โดยการประมูลและลงนามสัญญาต้องโปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย หลายโครงการก็ประสบความสำเร็จแล้ว หน้าที่ของรัฐบาลต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั้งลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ยืนหยัดได้เพราะไม่เคยเรียกผลประโยชน์จากใคร การอนุมัติดำเนินการเป็นไปตามการเสนอแผนงานโครงการ ผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการทุกระดับ มีสัดส่วนงบประมาณชัดเจนถูกต้องและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน

นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการจัดสรรงบประมาณนั้น เน้นความถูกต้องโปร่งใส คำนึงถึงภาระและความเหมาะสม งบประมาณแบ่งออกเป็นหลายส่วน ทั้งงบกลางของส่วนราชการ งบบูรณาการ ขออย่านำงบประมาณฟื้นฟูมาปะปนกับงบประมาณรายจ่ายในงบประมาณปี 64  สำหรับการจัดซื้อเรือดำน้ำ ยืนยันว่า ยึดหลักเหตุผลความจำเป็น ดำเนินการด้วยความโปร่งใส  รวมทั้งพัฒนาเส้นทางคมนาคม ทั้งเพิ่มถนนสายใหม่และแก้ไขถนนเส้นเก่าที่มีปัญหา ก็ทยอยดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพราะไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี ขอยืนยันว่างบประมาณที่อนุมัติยึดตามพันธกิจของหน่วยงานเป็นสำคัญ

Advertising

“ประยุทธ์” แจงสภางบปี 64 ใช้อย่างรอบคอบ โครงการ-แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์

People Unity News : นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ โครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์

วันนี้ (1 ก.ค. 63)  เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อสภาผู้แทนราษฎร  ย้ำรัฐบาลตระหนักถึงการใช้งบประมาณที่ยังมีอยู่อย่างรอบคอบ ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบประมาณจาก พ.ร.บ. โอนงบประมาณฯ และงบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ที่จะต้องดำเนินตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ

นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อรัฐสภาว่า งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ราว 4 แสนล้านบาทที่จะทยอยนำมาใช้ในการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ อยู่ในช่วงของการพิจารณาโครงการที่จะต้องผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการ รวมถึงต้องผ่านการคัดกรองจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดแผนงานที่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณ  หากแผนงานโครงการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ แต่วงเงินยังคงอยู่

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพื่อให้ภาคธุรกิจ SMEs ขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถดำเนินต่อไปได้  เนื่องจากทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ รัฐบาลจึงต้องร่วมมือกับภาคธุรกิจในการฟื้นฟูเยียวยาประชาชน ส่งเสริมให้มีการจ้างงานต่อไป รวมถึงคำนึงถึงธุรกิจฐานราก ประชาชนที่มีรายได้น้อย ไม่มีหลักประกัน ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนผ่านการกู้ยืม จึงได้จัดทำมาตรการ Soft Loan พร้อมระมัดระวังหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้  (NPL) หนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเงินทุกบาทของกองทุนหรือธนาคาร เป็นเงินที่ประชาชนนำมาฝาก จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง

นายกรัฐมนตรียังย้ำต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชน  ปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ ถนน  ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การสนับสนุนเกษตรกร ทำการเกษตรเพื่อเป็นแหล่งอาหารโลก เน้นลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน ขยายตลาดในการขายสินค้า ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องเตรียมเปิดรับการลงทุนของชาวต่างชาติ และการเปิดรับแรงงาน ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และไม่กระทบต่อทรัพยากรของคนไทย

พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เตรียมจัดหางบประมาณ การจัดเก็บภาษี ด้วยระบบระบบดิจิทัลเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงอาจมีการปรับ/เพิ่ม หน่วยงานที่มีความจำเป็นและมีประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลได้เตรียมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Model) ประกอบไปด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมประเทศด้วย

Advertising

ทส.ทุ่มงบ 445 ล้าน จ้างงานประชาชน 16,488 อัตรา อัตราละ 9,000 บาท นาน 3 เดือน

People Unity News : ทส.ทุ่ม 445 ล้าน จ้างงานประชาชน 16,488 อัตรา อัตราละ 9,000 บาท ช่วยคนตกงานจากโควิด-19

25 มิ.ย.2563 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานแถลงข่าว “โครงการจ้างงานให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19” ทุ่มงบประมาณ 445,176,000 บาท จ้างงาน 16,488 อัตรา อัตราละ 9,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาการจ้าง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2563 เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกงาน และเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่นั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดศักยภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า สำหรับการจ้างงานทั้งหมด แบ่งเป็น 4 หน่วยงาน คือ  1.สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการ 1 คน 1 ตำบล ร่วมใจฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 7,225 อัตรา 2.กรมป่าไม้ ทำหน้าที่ลูกจ้างผู้ช่วยงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการปฏิบัติงานตามนโยบาย คทช. ในการสำรวจการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และโครงการจ้างงานประชาชนเพื่อฟื้นฟูป่าหลังถูกไฟไหม้ “สร้างป่า สร้างงาน สร้างรายได้” จำนวน 5,058 อัตรา 3.กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำหน้าที่ลูกจ้างผู้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหารของสัตว์ป่า จำนวน 3,500 อัตรา 4.กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในโครงการจ้างสำรวจพื้นที่ใช้ประโยชน์ในเขตป่าชายเลน จำนวน 675 อัตรา

นอกจากนี้ ยังได้แถลงข่าวในประเด็นการเปิดอุทยานแห่งชาติ โดยบริหารการท่องเที่ยวแบบ New normal ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติที่เปิดทุกแหล่งท่องเที่ยว จำนวน 64 แห่ง และอุทยานแห่งชาติที่เปิดให้เที่ยวบางส่วน 63 แห่ง และต้องจองล่วงหน้าผ่านแอพพลิเคชั่น QueQ ก่อนการท่องเที่ยว

สำหรับประเด็นการรื้อถอนอาคาร บอมเบย์เบอร์มา รมว.ทส. ได้กล่าวขอโทษพี่น้องชาวจังหวัดแพร่ และจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก รวมถึงขอยืนยันว่าไม้สักจากการรื้อถอน ยังอยู่ครบถ้วน มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ได้ถูกนำไปขายตามที่มีการกล่าวหาในโลกโซเชียลแต่อย่างใด ทั้งนี้ ได้ประสานกับกรมอุทยานฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชาวจังหวัดแพร่ในการหารือร่วมกันฟื้นฟูอาคารหลังนี้กลับมาขึ้นใหม่ มั่นใจจะฟื้นฟูอาคารแห่งนี้กลับมาได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และฝากให้ทุกหน่วยงานในสังกัด สำรวจอาคารเก่าที่มีคุณค่า ว่าหากต้องซ่อมแซมจะมีแนวทางการซ่อมแซมอย่างไร ต้องหารือหน่วยงานใดบ้าง ซึ่งจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ประกอบด้วย

Advertising

รัฐบาลเปิดวอร์รูม เฝ้าระวังการใช้จ่ายเงิน พ.ร.ก.กู้เงินฯ

People Unity News : รัฐบาลเปิดวอร์รูม เฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส รับร้องเรียน พร้อมตรวจสอบ

22 มิ.ย.2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ที่ประชุมรับทราบมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.63 ในโอกาสนี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จึงได้รายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงินฯ 400,000 ล้านบาท โดยศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) พร้อมเสนอกลไก 4 ด้านในการดำเนินงาน ประกอบไปด้วย การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส การป้องกันและลดโอกาสการทุจริต การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการดำเนินมาตรการทางปกครอง วินัย อาญา ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสร้องเรียน รวมถึงตรวจสอบโครงการการใช้จ่าย พ.ร.ก.กู้เงินฯ ได้ทาง www.pacc.go.th หรือสายด่วน 1206 เพื่อสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ โดยเพิ่มปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ คณะอนุกรรมการสนับสนุนและติดตามการดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และ คณะอนุกรรมการเสริมสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม เพื่อเน้นการส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานใช้จ่ายงบประมาณแก่ประชาชน ลดการทุจริต สนับสนุนการทำงานร่วมกันของภาครัฐและภาคประชาสังคม

Advertising

มท.1 ให้นโยบายผ่อนคลายระยะที่ 4 “ต้องช่วยกันทำเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”

People Unity News : มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ำ “ต้องช่วยกันทำเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”

16 มิ.ย.2563 เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) เพื่อซักซ้อมแนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ผู้แทนศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ผู้แทนกรมควบคุมโรค ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในจังหวัด นายอำเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามข้อกำหนดผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19 ระยะที่ 4 ซึ่งในขณะนี้ สถานการณ์การควบคุมแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ไม่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเวลา 22 วันแล้ว ด้วยความร่วมมือกันของทุกฝ่ายทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค รวมทั้งประชาชนคนไทยทุกคน ทำให้เราสามารถควบคุมได้สำเร็จในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ได้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในด้านเศรษฐกิจสูงมาก หลายคนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ยังไม่มีรายได้ ซึ่งระยะต่อจากนี้ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่ต้องเตรียมการเพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน คือ การท่องเที่ยว และเพื่อให้การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเตรียมการและเร่งสร้างการรับรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ประชาชนดำเนินชีวิตด้านเศรษฐกิจและรักษาสุขอนามัยเป็นพื้นฐานสำคัญใน 3 เรื่อง คือ 1) ต้องรักษาสุขอนามัยสูงสุด “อย่าการ์ดตก” สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รักษาระยะห่างทางสังคม ให้เป็นมาตรการพื้นฐานอย่างเข้มแข็ง 2) การกักกันโรค (Quarantine) ต้องเข้มแข็ง และ 3) รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการ ให้เป็นชีวิตปกติแนวใหม่ เพื่อประโยชน์ในการตามสืบสวนโรคได้อย่างรวดเร็วทุกคนต้องช่วยกันทำเพื่อชาติ “เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”

นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า ในขณะนี้เริ่มมีการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและชายหาดซึ่งพบว่าบางพื้นที่ยังมีการคัดกรองไม่เข้มงวด จึงขอให้ในแต่ละพื้นที่ได้พิจารณาการจัดตั้งจุดคัดกรองเพิ่มเติม โดยเฉพาะชายหาดที่มีประชาชนนิยมไปพักผ่อนจำนวนมาก และขอให้ทุกจังหวัดส่งเสริมให้ประชาชนได้ทำเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้ประชาชนทำการเกษตรที่สามารถจะเพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ในครัวเรือนอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้

จากนั้น ผู้แทน ศบค. ผู้แทนกระทรวง DES ผู้แทนกรมควบคุมโรค และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติและมาตรการการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรอบแนวคิดการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร แนวทางปฏิบัติการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายที่กำหนด มาตรการควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ำ/อากาศ การเตรียมความพร้อมเปิดสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น และผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเพชรบุรี ได้รายงานการดำเนินการจัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวชายหาดและการสร้างการรับรู้กับประชาชน และผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและจังหวัดตาก รายงานการดำเนินงานพื้นที่ชายแดนและการจัดการศึกษา

นอกจากนี้ ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงบประมาณ ได้ชี้แจงแนวทางการจัดทำโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และกรอบระยะเวลาดำเนินการโดยทุกจังหวัดต้องส่งรายละเอียดโครงการตามแบบฟอร์มที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมายังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 เพื่อคณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดโครงการ และคณะกรรมการพิจารณาผลการกลั่นกรองโครงการของคณะอนุกรรมการ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโอกาสอย่างยิ่งที่ต้องใช้ในการแก้สถานการณ์เศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบด้านอื่นๆ จึงขอฝากให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) พิจารณาให้ดีว่าโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ในเรื่องการบริหารโครงการต้องเกิดความโปร่งใส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะใช้เงินงบประมาณนี้ทำให้ประชาชนมีหนทางใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในการทำมาหากิน ประกอบอาชีพ สร้างสรรค์สิ่งที่ดี สร้างโอกาสที่ดีต่อไป

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า งบประมาณที่ได้รับตามโครงการฯ เป็นงบประมาณที่รัฐบาลได้จัดสรรผ่านช่องทางคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) โดยส่วนราชการในสังกัดทุกกระทรวงมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทุกระดับ และองค์กรภาคประชาชนและประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน โดยทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่

Advertising

4 องค์กรชาวไร่อ้อยตบเท้าพบ “สุริยะ” ขอบคุณนายกฯ ภายหลัง ครม. อัดงบฯหมื่นล้านช่วย

People Unity News : 4 องค์กรชาวไร่อ้อย ตบเท้าเข้าขอบคุณนายกฯ ภายหลัง ครม. อัดงบฯหมื่นล้านช่วยเหลือฤดูการผลิตปี 2562/2563 สุริยะ ตั้งเป้าเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังจากให้ผู้บริหาร 4 องค์กรชาวไร่อ้อย ประกอบด้วย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตฤดูการผลิตปี 2562/2563 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ

นายสุริยะ กล่าวว่า สืบเนื่องจากปีนี้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเป็นอย่างมาก ทำให้ผลผลิตลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านตัน แต่ในความเป็นจริงมีปริมาณอ้อยเข้าหีบเพียง 74.89 ล้านตันเท่านั้น นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตในการทำไร่อ้อยก็สูงขึ้นจากเดิมที่ประมาณการไว้ว่าจะอยู่ที่ 1,110 บาท/ตัน เป็น 1,419 บาท/ตัน กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการประกอบอาชีพของเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ จึงได้ผลักดันโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยเฉพาะชาวไร่อ้อยรายเล็ก ให้สามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่จำเป็น และสามารถนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพต่อไป ทั้งนี้ ได้กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เร่งประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมความพร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือฯภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งกำกับดูแลการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยคู่สัญญาที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือตามโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต อย่างโปร่งใส ถูกต้องครบถ้วนตามข้อเท็จจริง

นายปารเมศ โพธารากุล ประธานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย กล่าวปิดท้ายว่า เกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศต่างรู้สึกซาบซึ้งในการปฏิบัติงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมในการผลักดันโครงการเงินช่วยเหลือฯ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ ซึ่งเกษตรกรชาวไร่อ้อยเองก็มีความยินดีพร้อมปฏิบัติตามมาตรการต่างๆที่รัฐบาลขอความร่วมมืออย่างเต็มที่

Advertising

Verified by ExactMetrics