People Unity : “อนุทิน”มั่นใจโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินไปลิ่ว ไร้อุปสรรค เผย สธ.ไม่ยุ่งเรื่องสารทดแทนแต่หากพบมีอันตรายก็ต้องแบน โชว์ความคืบหน้า 3 เดือน นโยบายกัญชาย้ำพอใจ หลาย รพ.ใช้รักษาโรค ยันไม่ทิ้งนโยบาย 6 ต้น เผยกฎหมายถึงสภาฯแล้ว ลั่นภูมิใจไทยพร้อมผลักดันสุดกำลัง

วันที่ 25 ต.ค.2562 จากการลงนามสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. มูลค่าโครงการ 224,544.36 ล้านบาท ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะ กล่าวว่า เป็นนิมิตหมายอันดี ที่แสดงให้เห็นว่าโครงการ EEC ไม่ใช่การขายฝัน แต่เรากำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ และมีความพร้อมในการรับการลงทุนจากทั่วโลก ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน มีความสำคัญ เพราะเป็นตัวจุดประกายความสำเร็จให้กับโครงการ EEC หลังจากการเซ็นสัญญาจะมีการจ้างงาน จะเกิดการใช้จ่ายมหาศาล เศรษฐกิจจะขยายตัว มีเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ และจะเกิดโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามมา

“การเจรจาจบแล้ว ถึงได้มีการลงนาม การลงนามที่มีนายกฯ เป็นประธาน มันต้องเอาจริง ต้องทำให้เสร็จ จะมาเล่นๆไม่ได้ โครงการไปได้แน่นอน และคิดว่าน่าจะเปิดใช้งานได้ตามกำหนดเวลา อย่างที่ผมเคยบอก อะไรที่ช่วยกันได้ ไม่ผิดกฎหมาย ก็ให้ช่วยเหลือกัน การตีความกฎหมาย อย่าไปตีหาอุปสรรค แต่ให้หาทางออก เพราะยิ่งทำได้เร็ว ยิ่งเกิดประโยชน์กับคนไทย”

รองนายกฯ กล่าวอีกว่า การสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โครงการกรุงเทพฯขึ้นเชียงใหม่ และกรุงเทพ ลงไปสุราษฎร์ธานีล้วนอยู่ในแผนการพัฒนา แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม อย่างไรก็ตามตอนนี้ ต้องจัดการเรื่องท่าเรือ และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อผลักดันโครงการ EEC ก่อน

เผย สธ.ไม่ยุ่งเรื่องสารทดแทนแต่หากพบมีอันตรายก็ต้องแบน

นายอนุทิน กล่าวถึงข้อสงสัยเรื่องสารทดแทน ที่จะให้ใช้แทน 3 สารที่ถูกแบน หรือ พาราควอต ไกรโฟเซต คลอร์ไพริฟอส โดยคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่า หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หาทางรับมือไว้แล้ว แต่ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้มีหน้าที่ตรงนี้ ต้องเรียนให้เข้าใจก่อน เราต้องดูแลสุขภาพของประชาชน ซึ่งถ้าสารทดแทน มีอันตรายต่อชีวิตประชาชน ก็ปล่อยให้ใช้ไม่ได้

ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขร่วมแรงร่วมใจในการแบนสารพิษ แสดงพลังขึ้นป้ายต่อต้านการใช้ โดยไม่ได้นัดหมาย คิดว่าบุคลากรทางการแพทย์ น่าจะเคยเห็น เคยรักษาผู้ที่ป่วยจากสารพิษ ซึ่งบางคนเนื้อเน่า ไปถึงเป็นมะเร็ง และตระหนักว่าจะปล่อยให้ใช้ต่อไปไม่ได้ นี่เป็นหลักการ ดังนั้น สารที่มาใช้แทน ถ้าเกิดมีผลกระทบกับสุขภาพคนไทย เราเดินหน้าลุยแน่ มันเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำ

เมื่อถามถึงความกังวลเรื่องกลุ่มต้านการแบนสารพิษ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติออกมาแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ยกเว้นศาลจะมีคำสั่งเป็นอื่น พร้อมยอมรับ ส่วนกระทรวงสาธารณสุข หน้าที่ของเรายังไม่จบ ต้องดูแลคนไทยต่อไป ให้ประชาชนได้รับการบริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุด

ลั่นไม่ชี้แจงสถานทูตสหรัฐฯขอไทยทบทวนมติแบนสารพิษ

นายอนุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่กรณีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยเพื่อขอให้ทบทวนการแบนสารเคมีอันตราย โดยเฉพาะสารไกลโฟเซต โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า จริงๆ แล้วสภาหอการค้าสหรัฐอเมริกา ลงนามตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 2562 แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีการประชุมพิจารณาแบนสารเคมีเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำไมมีการออกหนังสือล่วงหน้ามาถึง 11 วัน เช่นนี้แสดงว่า เป็นการกดดันหรือไม่ จะมาบอกว่าจะมีปัญหาเรื่องการนำเข้า ตนคงไปว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาห่วงเรื่องกระเป๋าของเขา ไม่ได้ห่วงสุขภาพของคนไทย เพราะฉะนั้นเราต้องมีมาตรการ ถ้ากังวลว่าจะมีสารตกค้างก็ต้องมาพิสูจน์ว่าจะนำเข้ามาโดยไม่มีสารตกค้าง แต่นี่กลัวขายของไม่ได้เลยมาบอกให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามสารพิษเพื่อให้ใช้ได้ แล้วเราจะยอมหรือไม่

นายอนุทิน กล่าวว่า คณะกรรมการวัตถุอันตรายประชุมภายใต้กฎหมายของประเทศไทยใช่หรือไม่ หรือประชุมภายใต้กฎหมายต่างชาติ เพราะฉะนั้นกฎหมายไทยให้อำนาจคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาการใช้หรือห้ามใช้ ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายจำนวน 29 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมีความรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาเรียกประชุมในวันเดียว แต่มีการเตรียมมาเป็นปี และมีมติการห้ามใช้สารเคมีเหล่านี้ ไม่ได้มีการกดดันใดๆ ทางการเมืองแม้แต่น้อย มติที่ออกมาให้มีการยกเลิกการใช้สารเคมีเหล่านี้ก็เป็นไปตามสำนึกความห่วงใยต่อพี่น้องและสุขภาพประชาชน

เมื่อถามว่า สถานทูตสหรัฐฯ ส่งหนังสือโดยแนบท้ายหนังสือของสภาหอการค้าสหรัฐฯ ขอให้ไทยมีการทบทวนมติแบนสารเคมี โดยเฉพาะไกลโฟเซต ไทยจะยืนยันตามมติเดิมหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนของกระทรวงสาธารณสุขยืนยันตามมติเดิม ส่วนกระทรวงอื่นก็ต้องแล้วแต่เจ้ากระทรวง เราก้าวก่ายกันไม่ได้ จริงๆ ก็ไม่ควรก้าวก่ายกัน กฎหมายใครกฎหมายมัน เมื่อถามต่อว่าจะต้องชี้แจงปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็แล้วแต่ เพราะไม่ได้ส่งหนังสือมาถึงตน และตนก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปชี้แจง แต่หน้าที่ของ สธ.คือรับผิดชอบสุขภาพประชาชน อะไรก็ตามที่บริโภคเข้าไปแล้วเป้นอันตรายต่อร่างกาย สัมผัสแล้วเกิดแผลพุพอง สูญเสียอวัยวะ ตรงนี้เป็นคนละเรื่องกับการค้า ซึ่ง สธ.เกี่ยวข้องกับสุขภาพชีวิตคน เรื่องการค้าไม่ใช่เรื่องที่ สธ.จะให้ความเห็นอะไรได้ หรือจะมาเปลี่ยนแปลงจุดยืนของ สธ.ได้

โชว์ความคืบหน้า 3 เดือนนโยบายกัญชายันไม่ทิ้งนโยบาย 6 ต้น

นายอนุทิน กล่าวถึงนโยบายกัญชา ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า ได้ผลักดันนโยบายนี้มาเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ซึ่งผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ จากที่กัญชาต้องอยู่ใต้ดิน ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นมาบนดิน วันนี้จะเห็นว่าหลายโรงพยาบาลมีคลีนิคกัญชา ให้บริการใช้กัญชารักษาโรค องค์การเภสัชกรรม มีสารสกัดจากกัญชา ส่งไปยังหลายโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อใช้รักษาประชาชน

สำหรับโรงพยาบาลเอกชน สามารถประสานขอใช้ได้เช่นกัน โดยแพทย์ที่จ่ายยา ต้องผ่านการอบรมอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น หมอพื้นบ้าน มีโอกาสนำสูตรยากัญชามาขึ้นทะเบียน ระหว่างการใช้รักษา ได้มีการจดบันทึกผลการรักษาอยู่ตลอด นี่คือรูปธรรมที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามเปลี่ยนกัญชาจากผู้ร้ายให้เป็นพระเอก ส่วนกัญชง ได้ออกประกาศ ให้ขึ้นมาอยู่บนดินแล้ว เราพยายามทำอย่างเต็มที่

นายอนุทิน กล่าวต่อว่าเรื่อง 6 ต้นที่เคยหาเสียงไว้ จำเป็นต้องมีการแก้กฎหมาย เพราะมันไม่เหมือนเรื่องการใช้ทางการแพทย์ ที่สามารถใช้อำนาจของรัฐมนตรีแก้ไขได้เลย แต่นโยบาย 6 ต้น เกี่ยวพันกับหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องแก้กฎหมาย ผ่านสภา ซึ่งได้นำกฎหมายเข้าไปแล้ว 2 ฉบับ นายชวน หลักภัย ประธานสภา มารับเรื่องด้วยตนเอง เท่ากับนับ 1 แล้ว จากนี้ กระบวนการจะเป็นไปตามขั้นตอน เราเดินหน้าอย่าวรัดกุม รอบคอบ มันมีเรื่องต้องพิจารณามากมาย เราลุยแน่ ขอให้ใจเย็น

“สมมุติ ถ้าทำนโยบายกัญชาแบบไม่รอบคอบ ปล่อยให้ประชาชนพกสารสกัดกัญชาไปไหนมาไหน แล้วพกไปต่างประเทศแบบไม่มีความรู้ เผลอนำเข้าไปในประเทศที่ยังให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ หากถูกจับได้ แม้จะอธิบายว่าไม่ตั้งใจ แต่ก็ต้องโดนโทษหนักมาก ถ้าเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้ มันต้องทำนโยบาย และวางมาตรการอย่างรอบคอบที่สุด แต่ขำย้ำว่า ถึงมันจะยาก แต่พรรคภูมิใจไทยต้องพยายาม”

นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้ายว่า นโยบายกัญชา หลักใหญ่คือต้องเป็นไปเพื่อการรักษาโรค เมื่อทำสำเร็จ กัญชากลายเป็นพระเอก การดำเนินนโยบายต่อไปจะง่ายทันที ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นโยบายนี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมืองขยับ แต่ข้าราชการก็ทำงานเต็มที่ ไม่มีเกียร์ว่าง เพราะรัฐมนตรีมาด้วยความวางใจของประชาชน ต้องตอบแทนประชาชน ต้องทำงาน ให้เกิดผลจับต้องได้ โดยอาศัยการขับเคลื่อนของข้าราชการอีกต่อหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่มีข้าราชการที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามแน่นอน