People Unity News : “เจ้าคุณประสาร”แจงคณะอนุกมธ.พุทธและศาสนาอื่นยันไม่เกี่ยวข้องธรรมกาย เผยที่ประชุมมีมติรับศึกษาร่างพรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ธนาคารพระพุทธศาสนา และแม่ชีไทย ตามที่เสนอ วอนฝ่ายกล่าวหาอย่ากล่าวโจมตีให้ร้ายเหตุมีอคติเข้าครอบงำ
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่ห้องประชุม 405 อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เริ่มประชุมที่ประชุมได้เสนอเชื่อและลงมติในการพิจารณาอนุกรรมาธิการเพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รองประธาน เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ
จากนั้นได้ศึกษาทำความเข้าใจในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ของอนุกรรมาธิการเพื่อให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายและอื่นๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในวาระพิจารณานั้นส่วนของอาตมาได้ขอให้คณะอนุกรรมาธิการขออำนาจจากกรรมาธิการชุดใหญ่เพื่อศึกษาและเสนอต่อกรรมาธิการใน 3 เรื่องคือ 1. ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2.ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนา และ 3.ร่างพระราชบัญญัติแม่ชีไทย ที่ประชุมมีมติรับไปดำเนินการทั้ง 3 เรื่องแต่ขอพิจารณาคราวละเรื่องเพื่อจะได้สำเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
ก่อนหน้าเข้าสู่ระเบียบวาระ อาตมาได้ปรารภกับที่ประชุมว่า ก่อนมาประชุมมีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าวว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้กล่าวในทำนองว่าทำไมคณะอนุกรรมาธิการชุดนี้จึงแต่งตั้งบุคคลที่เป็นเครือข่ายวัดใหญ่วัดหนึ่งเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการด้วยโดยสื่อท่านนั้นก็พูดแสดงความเห็นทำนองว่ารวมเอาอาตมาเข้าไปในเครือข่ายนั้นด้วย รวมทั้งพูดว่าอาตมานั้นเคยลุกขึ้นถือดาบ รำดาบปกป้องอดีตเจ้าอาวาสวัดนั้นด้วย
อาตมาจึงยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า(เคยยืนยันกับสื่อมาแล้วหลายครั้ง) 1.ในชีวิตนี้ไม่เคยเข้าไปที่วัดดังกล่าว ไม่เคยเป็นมือปืนรับจ้าง ไม่เคยรับงานใครมาทำ ยืนยันชัดเจน ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นได้ทำงานเพื่อคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวมตลอดมา 2. บุคคลที่อดีตเลขาธิการพรรคการเมืองและสื่อคนนั้นเจาะจงพูดถึงซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการอยู่ด้วยนั้นอาตมาได้ยืนยันต่อคณะอนุกรรมาธิการว่าไม่คยรู้จักกัน ไม่เคยติดต่อกัน เคยพบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 นอกจากนั้นในการประชุมนัดแรกนี้ยังตั้งป้ายให้อาตมานั่งติดกันอีก คงจะเป็นประเด็นได้อีกแน่นอน นี่คือคำปรารภของอาตมาในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการนัดแรก เมื่อเลิกประชุมก็รับการถวายข้าวกล่องขึ้นไปฉันบนรถเพื่อกลับไปปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ
ภายหลังระหว่างเดินทางกลับได้รับการติดต่อจากหลายคน หลายฝ่ายว่า มีอดีตเลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่งท้วง (หรือจะเรียกอะไรก็ตาม) ว่าการแต่งตั้งให้อาตมาเป็นอนุกรรมาธิการฯนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำได้ พระสงฆ์เป็นอนุกรรมาธิการไม่ได้ ตอนนี้ฝ่ายที่รับผิดชอบก็เลยกำลังศึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร จะออกมาในรูปแบบใหน อย่างไร
พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอาตมานั้น ก่อนรับปากว่าจะไปนั่งทำหนัาที่ตรงนั้น ได้ศึกษารายละเอียดมาพอสมควร ทำการบ้านมาบ้างแล้ว และไปฟังจากนักกฎหมายหลายท่านในการประชุมวันแรก อาตมาขอสรุปประเด็นที่กำลังถูกบางท่าน บางคนตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1.ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ผิดกฎหมายอื่นใดไหม
3. ผิดกฎหมายสงฆ์และกฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ข้อบังคับและอื่นๆของมหาเถรสมาคมหรือไม่
4.เป็นการนำพาพระหรือพระกระโจนลงไปเล่นการเมืองใหม
5.เหมาะสม สมควรหรือไม่
6. ผิดพระธรรมวินัยไหม
ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้
1. ไม่ปรากฎในรัฐธรรมนูญว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลตัองห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว
2. ไม่ปรากฎว่ามีกฎหมายฉบับใดๆของไทยในการห้ามพระสงฆ์เข้าไปดำรงตำแหน่งในอนุกรรมาธิการโดยเฉพาะในอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
3.ไม่ปรากฎในกฎหมายสงฆ์และอื่นๆในการต้องห้ามในกรณีนี้
4. กรณีนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ นี่เองที่อาตมาปรารภว่าได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว เราจะต้องแยกแยะเรื่องบ้านเมืองกับเรื่องการเมืองให้ออก บ้านเมืองคือส่วนรวมของประเทศชาติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมรวมทั้งพระสงฆ์ก็ไม่เว้น ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจ การหาเสียง และผลประโยชน์อื่นใดนั้น จะรวมทั้งการชี้นำทางการเมืองด้วยแล้ว แน่นอนพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ไม่ควรเกี่ยวข้อง
สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติไว้ชัดเจนในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของอนุกรรมาธิการ เพราะที่ผ่านมานั้นการตั้งคณะอนุฯมาหลายคณะ หลายชุดแล้วกลับกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น เรียกบุคคล องค์กร มาสอบ มาถาม มีการชี้ผิดชี้ถูกให้คุณให้โทษได้ เป็นต้น
รัฐธรรมนูญจึงกำหนดบทบาทของคณะอนุฯใหม่ไม่ให้มีอำนาจกระทำการแบบนั้นได้ เป็นเสมือนที่ปรึกษาทางวิชาการของกรรมาธิการชุดนั้นๆเท่านั้น ขอย้ำ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านวิชาการแก่คณะกรรมาธิการชุดใหญ่เท่านั้น ไม่มีอำนาจ หน้าที่อะไรมากไปกว่านี้
ในคำสั่งแต่งตั้งนั้น ชัดเจนให้คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้
1. พิจารณาศึกษาประเด็นปัญหาตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย ในเรื่องเกี่ยวกับการอุปถัมภ์ทำนุบำรุงและคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆที่ทางราชการให้การรับรอง รวมทั้งสร้างศาสนสัมพันธ์เพื่อความสามัคคีและศาสนิกชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข
2. ให้คณะอนุกรรมาธิการรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อคณะกรรมาธิการทราบเป็นระยะ และจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อคณะกรรมาธิการภายในระยะเวลาที่กำหนด
เหตุผลที่อาตมาได้อธิบายมาและยิ่งมาดูหน้าที่และอำนาจตามกรอบที่ได้รับมอบหมายแล้วก็จะมีแค่อย่างละข้อเท่านั้นเองสำหรับหน้าที่และอำนาจ และโดยเฉพาะข้อที่หนึ่งนั้นชัดเจนมาก ชัดเจนในภารกิจที่จะต้องทำ คือจะต้องปฎิบัติในสิ่งที่เป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ให้เข้าใจเหมือนกันทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายที่กำลังร้องอยู่ในขณะนี้ด้วย จึงอยากถามว่า นี่หรือการเมือง นี่ใช่ใหมพระเล่นการเมือง นี่ใช่ใหมพระทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง นี่ใช่ใหมพระทำตัวไม่เหมาะสม และถ้าหน้าที่และอำนาจที่ระบุไว้ในอนุกรรมาธิการชัดเจนขนาดนี้แล้วถ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นศากยบุตรยังไม่เหมาะในการไปทำหน้าที่ดังกล่าว ไม่ควรเป็นผู้แทนไปแสดงบทบาทนี้ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร แล้วใครละที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะไปทำหน้าที่ ช่วยตอบทีการกล่าวอ้างการเมืองโดยไม่ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนถ่องแท้มันง่ายดีและโดยเฉพาะเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกับสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็โยนเป็นการเมืองไปหมด แบบนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากการกล่าวโจมตีโดยการจับมัดรวมว่าเป็นเครือข่ายวัดโน้นวัดนี้ คนของคนโน้นคนนี้ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรมแล้วก็สนุกปากดี
5. เหมาะสมหรือไม่ ตอบรวมแล้วในข้อที่ 4
6. พระพุทธองค์มีปณิธานส่วนพระองค์ว่า จะยังไม่ปรินิพพาน ถ้าสาวกของพระองค์ยังไม่ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฎิบัติแล้วนำไปสู่ปฎิเวธ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา
“กรณีนี้เข้าข่ายพุทธปณิธานทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์ พิทักษ์ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา วันนี้อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ยึดติด ไม่กังวล พร้อมจะลุกออกไป ไม่มีปัญหา อาตมาขอร้องเพียงว่า อย่ากล่าวโจมตี ให้ร้าย มุ่งทำลายเพราะมีอคติเข้าครอบงำ บ้านเมืองของเราต้องการความสามัคคี เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่การกินดีอยู่ดีของคนทั้งประเทศ ท่านทั้งหลายจะมีสติและพอกันได้หรือยังกับการเล่นการเมืองเพื่อมุ่งทำลายล้างคนที่เราไม่ชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
พอได้แล้วโยม” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุ