People Unity News : บอร์ด สสว. เดินหน้า SME คนละครึ่ง สร้างทางเลือกให้เอสเอ็มอีพัฒนาธุรกิจตนเอง ให้ตรงตามความต้องการมากขึ้น นายกฯย้ำเพิ่มประสิทธิภาพเอสเอ็มอี หาแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าสู่ระบบ

วันนี้ (5 ก.ค.64) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ณ ห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้

นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายต่อที่ประชุมว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องการให้ สสว. ปรับรูปแบบการทำงานให้ดีขึ้นให้มากที่สุด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และให้มีผลสัมฤทธิ์ตามห้วงระยะเวลา โดยวันนี้ต้องพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย พร้อมกับจะต้องปรับปรุงระบบ ระเบียบราชการต่างๆตามยุทธศาสตร์ชาติ บทบาทหน้าที่ของ สสว. ต้องมีงานบูรณาการเปิดช่องทางต่างๆให้คนเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ให้สอดประสานการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทั้งนี้ ระดับของ SME ในวันนี้มี 4 ระดับที่แตกต่างกัน คือ 1. SME ที่ดีที่สามารถส่งเสริมไปต่างประเทศ 2. SME ระดับปานกลาง ที่ต้องส่งเสริมให้ดีขึ้น 3. SME ส่วนที่กำลังจะล้ม ที่หากมีศักยภาพต้องพิจารณาให้ความช่วยเหลือ 4. SME ที่ล้มเหลว ซึ่งต้องรวบรวมข้อมูลของ SME ในส่วนนี้จากสภาหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อนำมาพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป

นายกฯ ย้ำว่า เศรษฐกิจของประเทศไทย ส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนได้ก็เพราะจาก SME จึงขอให้เน้นช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ถึงแม้ว่าจะมีคนที่อยู่ในระบบภาษีจำนวนน้อยก็ตาม แต่ผู้มีรายได้น้อย แรงงาน คนตัวเล็กทั้งหมดที่อยู่ในระบบนี้ จะต้องได้รับการดูแล มีอาชีพและมีรายได้ประจำวัน  ดังนั้น จะต้องหาแนวทางช่วยเหลือ SME ให้เข้าสู่ระบบ โดยหาเป้าหมายให้เจอว่า SME ที่จะช่วยเหลือนั้นอยู่ในกลุ่มใดบ้าง  ต้องหาช่องทางการได้ข้อมูลของ SME ในแต่ละกลุ่ม ต้องนำข้อมูล SME ของแต่ละกระทรวงมาพิจารณา เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนงานในแต่ละกระทรวง เพื่อเตรียมความพร้อมของ SME ในระดับปฏิบัติให้มีความพร้อม เพิ่มประสิทธิภาพของ SME และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาต่อไปในอนาคต  หากทำได้ดีและเข้มแข็ง SME จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยที่สุด

สำหรับการประชุมในวันนี้ สสว. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงการดำเนินที่สำคัญของ สสว. ดังนี้

สสว. เสนอแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยจะดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีผ่านระบบผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการพัฒนาธุรกิจ (Business Development Service : BDS) หรือการจ่ายคนละครึ่งภาคเอสเอ็มอี เพื่อสร้างทางเลือกให้กับเอสเอ็มอีในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ตรงตามความต้องการมากขึ้น โดย สสว. จะให้การเงินสนับสนุนแบบร่วมจ่าย (co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50-80

สำหรับค่าใช้จ่ายที่สามารถขอรับการสนับสนุน 5 ด้าน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพธุรกิจ ด้านการพัฒนาและบริหารจัดการธุรกิจ ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการ ด้านการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการตลาด ด้านการพัฒนาตลาดต่างประเทศ โดยคุณสมบัติของเอสเอ็มอีต้องเป็นธุรกิจที่มีการยื่นชำระภาษีและขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว. ซึ่งคาดว่า จะเริ่มใช้ได้ในต้นปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ สสว. ยังได้ดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการผู้ประกอบการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (SME Access) ซึ่ง SME Access จะเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากจะเป็นการบูรณาการและอำนวยความสะดวกให้เอสเอ็มอีในการเข้าถึงงานบริการของ สสว. และหน่วยงานภาคีทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไว้ในที่เดียว เข้าถึงได้ทุกเวลา จากทุกสถานที่ ผ่านเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด โดยในปี 2564 สสว. เริ่มบูรณาการเชื่อมต่อระบบการให้บริการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการเอสเอ็มอีที่ดีขึ้น รวมถึงการพัฒนาเว็บไซต์ ASEAN Access ซึ่งจะเป็นเว็บไซต์กลางของอาเซียน เพื่อส่งเสริมให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการรูปแบบต่างๆ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากข้อมูลการค้าการลงทุน เทรนด์ของอุตสาหกรรม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมผู้บริโภค เป็น “รายประเทศ” การขยายช่องทางการค้าการลงทุนผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคอาเซียน รวมถึง การดำเนินโครงการนำร่อง ONE ID และพัฒนาระบบ Single Sign On ฐานข้อมูลสมาชิกของ สสว. เพื่อขอรับบริการจากภาครัฐ (One Identification One SME – Phase I) โดย สสว. ได้หารือร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ในประเด็นรหัสของเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมา สสว. ได้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการบนฐานข้อมูลสมาชิก สสว. โดยปัจจุบันมีจำนวนข้อมูลประมาณ 1.2 ล้านรายที่ได้ลงทะเบียนในระบบฐานข้อมูลสมาชิกของ สสว. แล้ว โดยเป้าหมายของโครงการนำร่อง ONE ID และพัฒนาระบบ Single Sign On จะมุ่งเน้นการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐและเอกชนในทุกภาคส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

Advertising