วันที่ 19 กันยายน 2024

เผย ครม.รับทราบรายงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มีผลกระทบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กรกฎาคม 2567 ครม.รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มีผลกระทบ ในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566

วันนี้ (2 กรกฎาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2556  ดังนี้

1)สถิติเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ได้ดำเนินการสถิติเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ได้ดำเนินการและตรวจพบมากที่สุดได้แก่ 1. การโจมตีด้วยการแฮ็กเว็บไซต์การพนันออนไลน์ การโจมตีเว็บไซต์เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลเผยแพร่หน้าเว็บไซต์ การปลอมแปลงหน้าเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเอาข้อมูล การฝังมัลแวร์อันตรายบนหน้าเว็บไซต์หน่วยงานที่อาจหลอกให้ผู้เข้าดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ จำนวน 1,056 เหตุการณ์ 2. เว็บไซต์ปลอมจำนวน เว็บไซต์ปลอมจำนวน 310 เหตุการณ์  3. หลอกลวงการเงิน จำนวน  101 เหตุการณ์ 4. ข้อมูลรั่วไหลจำนวน  103 เหตุการณ์  5. จุดอ่อนช่องโหว่จำนวน  84 เหตุการณ์ 6. การละเมิดข้อมูล จำนวน 50 เหตุการณ์  7. การโจมตี จำนวน 33 เหตุการณ์ 8.มัลแวร์เรียกค่าไถ่ จำนวน 30 เหตุการณ์ และ 9. อื่นๆ จำนวน 31 เหตุการณ์ รวมทั้งหมด จำนวน 1,808 เหตุการณ์

2)ประเภทหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยแบ่งตามภารกิจหรือบริการของหน่วยงานสรุปได้ดังนี้ 1.หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ จำนวน 202 เหตุการณ์2.หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแลจำนวน 50 เหตุการณ์ 3.หน่วยงานของรัฐจำนวน 1,309 เหตุการณ์4.หน่วยงานเอกชน จำนวน 247 เหตุการณ์

3)ผลการปฏิบัติงานเพื่อสนับสนุนหน่วยงานในการช่วย แก้ไขปัญหาและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยเป็นการปฏิบัติตามมาตรการเชิงรุก เชิงรับ และบริหารจัดการคุณภาพ สรุปได้ดังนี้ 1.การแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ จำนวน 71 รายงาน 2.การเผยแพร่ข้อมูลภัยคุกคามทางไซเบอร์และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จำนวน 557 รายงาน3.การทดสอบความปลอดภัยของระบบเครื่องแม่ข่ายและเว็บไซต์เพื่อหาจุดอ่อนช่องโหว่ จำนวน 115 หน่วยงาน 4.การแจ้งเตือนเหตุการณ์และให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาจำนวน 1,808 หน่วยงาน 5.การตอบสนองและรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ จำนวน 45 เหตุการณ์ 6.การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่กระทบต่อหน่วยงานและประชาชน โดยการขอปิดกั้นการเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ที่ปลอมแปลงเป็นหน่วยงานสำคัญจำนวน 426 เว็บไซต์ 7.การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ จำนวน 38 ครั้ง มีจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 5,874 คนและ 8.การทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จำนวน 5 หน่วยงาน

“แนวโน้มสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปี พ.ศ. 2567 มีแนวโน้มว่าการโจมตีแบบ Hacked Website ยังคงเป็นภัยคุกคามที่มีโอกาสพบเป็นจำนวนมาก กลุ่มที่เป็นภัยคุกคามจะทำการฝั่งเนื้อหาเว็บไซต์การพนันออนไลน์เปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์เพื่อทำเว็บไซต์ฟิชชิ่งและฝังมัลแวร์สำหรับกรณีการโจมตีแบบ Fake Website ซึ่งผู้ไม่หวังดีจะทำการปลอมหน้าเว็บไซต์ให้มีความคล้ายกับเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่เป็น Android Remote Acces Trojan ซึ่งหากมีผู้หลงเชื่อทำการดาวน์โหลดแอพพลิเคชันและติดตั้งโปรแกรมที่เป็นอันตรายดังกล่าวลงในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ Android ก็จะถูกขโมยข้อมูลที่มีความ Sensitive ออกไปได้ และรูปแบบการโจมตีประเภท Ransomware มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการโจมตีเป็นรูปแบบบริการในลักษณะ Ransomware โดยนักพัฒนาจะปรับแต่ง  Ransomware ตามความต้องการของผู้โจมตีที่จะนำไป  เพื่อบล็อกผู้ใช้งานไม่ให้เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของตนเพื่อแลกกับค่าไถ่ และจะมีการสร้างคำขู่เพื่อแลกค่าไถ่เกี่ยวกับการชำระเงินทางการเงินเพื่อแลกกับการถอดรหัส ส่วนใหญ่กลุ่มที่เป็นเป้าหมายจะเน้นที่องค์กรภาครัฐมากกว่าบุคคล ดังนั้น ผู้ดูแลระบบควรทำการรหัสส่วนใหญ่กลุ่มที่เป็นเป้าหมายจะเน้นที่องค์กรภาครัฐมากกว่าบุคคลดังนั้นผู้ดูแลระบบควรทำการสำรองข้อมูลเป็นประจำและเพื่อป้องกันข้อมูลที่ Backup ถูกเข้ารหัสไปด้วย ผู้ใช้งานควรสำรองข้อมูลลงอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลภายนอกเครือข่าย อัพเดทซอฟต์แวร์ในเครื่องอย่างสม่ำเสมอซึ่งการอัพเดทระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์จะช่วยป้องกันการโจมตีที่ต้องอาศัยช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ได้และควรติดตามข่าวสารช่องโหว่หรือภัยคุกคามต่าง ๆ รวมถึงศึกษาวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีและเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้งานเอง” นายคารม ย้ำ

Advertisement

“ประยุทธ์” บินเบลเยียม วอนอยู่กันดีๆ ลดขัดแย้ง

People Unity News : 12 ธันวาคม 2565 “พล.อ.ประยุทธ์” เผยไปราชการต่างประเทศ ขอสื่อลดเสนอข่าวสร้างความขัดแย้ง ไม่สนผลโพลความนิยมนายกฯ ร่วงไปอันดับ 6 ไม่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ชี้ไม่รู้ใครทำ-ใครตอบ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป (ASEAN – EU Commemorative Summit) ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ระหว่างวันที่ 12 – 15 ธันวาคม 2565

โดยก่อนเดินทางไปประชุม พลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า ตนเองไปฏิบัติภารกิจหลายวันขอให้อยู่กันดีๆ ส่วนเรื่องงานได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ทำงานกันอยู่ทุกวัน เพราะนายกฯได้สั่งการแต่ละนโยบายไปหมดแล้ว กรรมการแต่ละระดับก็ทำงานกันไป ผลสำเร็จก็จะตามมา แต่เรื่องเดียวที่นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงคือความขัดแย้งก็ขอให้ลดลงบ้าง ในการนำเสนอข่าวให้เบาๆ กันหน่อย รู้ว่าเป็นสิทธิที่พูดได้แต่ต้องพูดให้อยู่ในขอบเขตไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อการทำงาน เพราะในเวลานี้หลายอย่างต้องดำเนินต่อไปตามขั้นตอน ถ้าพูดกันแล้วก็จะขัดแย้งกันไปทุกเรื่องจะไปได้อย่างไร

พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า เวลาทำงานของรัฐบาลมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทุกอย่างก็ว่าไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลที่ความนิยมของ พลเอกประยุทธ์ ลดลงอยู่อันดับ 6 นั้น พลเอกประยุทธ์ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า “โพลของใครทำอยู่ก็ไม่รู้กัน ใครตอบก็ไม่รู้เหมือนกัน” ยืนยันว่าผลสำรวจที่ออกมานั้นไม่ได้กระทบกับความรู้สึก โดยระหว่างตอบคำถาม พลเอกประยุทธ์ ได้ทำท่าแบมือทั้งสองข้างพร้อมยักไหล่ ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าหลังจากเสร็จภารกิจต่างประเทศจะตัดสินใจเปิดตัวทางการเมืองหรือไม่นั้น พลเอกประยุทธ์ ตอบสั้นๆ ว่า “รอกลับมาก่อน”

Advertisement

“ประยุทธ์” ส่งเสริม 16 เทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ

People Unity News : 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งส่งเสริมฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สร้างรายได้แก่ประชาชน ผ่านการคัดเลือกเทศกาลประเพณีทั่วประเทศที่โดดเด่น เพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีไทย (Festival) ไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล ขับเคลื่อน Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพ 5F (Food, Fight, Film, Fashion, Festival) โดยแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 16 ประเภท ซึ่งทั้ง 16 เทศกาลประเพณีที่ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ แสดงออกถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด ส่งเสริมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเผยแพร่ประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จัก ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศชาติ

สำหรับเทศกาลที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 16 ประเภท ได้แก่ 1) ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ปัตตานี 2) เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง จ.อุดรธานี 3) ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง จ.น่าน 4) ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก “มาฆบูชา อารยธรรมอีสาน” จ.ยโสธร 5) ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 6) เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art จ.นครราชสีมา 7) เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ปราสาทศิลา “สด๊กก๊อกธม” จ.สระแก้ว 8) เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ จ.สกลนคร 9) เทศกาลอาหารอร่อย เมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร จ.ภูเก็ต 10) ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส จ.ชลบุรี 11) เทศกาล “นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี” จ.แม่ฮ่องสอน 12) ประเพณีตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา จ.สระบุรี 13) ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร จ.นครพนม 14) เทศกาลไทลื้อ “โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ” จ.พะเยา 15) เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ จ.เพชรบุรี และ 16) เทศกาลโคมแสนดวงที่เมืองลำพูน จ.ลำพูน

“นายกรัฐมนตรีทราบถึงแผนการดำเนินงานการคัดเลือกเทศกาลประเพณีที่มีความโดดเด่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก เป็นการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย และสร้างมูลค่าให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนและยกระดับ Soft Power ของไทยด้านอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ และมีความโดดเด่น เพื่อสืบสาน ยกระดับประเพณีอันดีงามของไทย รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อความยั่งยืน ตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

“เศรษฐา” แจงความเห็นที่แตกต่างกันกับ “วิษณุ” เป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2567 นายกฯ มั่นใจทำงานร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ ความไม่เห็นด้วย เป็นแค่บางประเด็น เป็นเรื่องของความไม่ใช่เรื่องของคนสามารถทำงานร่วมกันได้

วันนี้ (29 พฤษภาคม 2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากเดินทางกลับจากการเข้าร่วมงาน UBS AIC 2024 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามเกี่ยวกับความเห็นกฤษฎีกา กรณีการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ข้าราชการตำรวจ (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.) ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ โดยขอใช้คำว่ายังไม่สมบูรณ์ เชื่อว่าหากเป็นการทักท้วงมาต้องรับฟัง และให้ดำเนินการต่อไป อย่างรอบคอบ ดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง ทั้งนี้ นายกกล่าวว่ากังวลใจต่อทุกเรื่อง เนื่องจากต้องการทำให้ถูกต้อง และแต่ละเรื่องมีรายละเอียดปลีกย่อย มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็นให้ครบถ้วน และมีลำดับขั้นตอนก่อนหลัง

ส่วนกรณีการแต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะส่วนตัวมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง และมีความชื่นชมในตัวของนายวิษณุหลายเรื่อง  ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วยบางเรื่องเหมือนกับการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ในครอบครัว สิ่งที่มีความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องของความ ไม่ใช่เรื่องของคน  และถือว่าเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย นายวิษณุเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเชื่อว่าสามารถสื่อสารกันได้ ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติได้

ทั้งนี้ ในส่วนหน้าที่ของนายวิษณุขอดูที่ตัวเอกสารอีกครั้งโดยเป็นการแต่งตั้งเพื่อให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมีงานในอำนาจหน้าที่หลากหลายเรื่อง ไม่ได้เป็นการแต่งตั้งเพื่อนำมาช่วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

กรณี ดำเนินคดีนายทักษิณฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าให้ความเคารพต่อศาลยุติธรรมในเรื่องของรายละเอียด ขอให้เคารพระบบตุลาการ ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกัน ยังไม่เคยมีการพูดคุยว่าจะลงพื้นที่พร้อมกัน และไม่ทราบว่ามีความประสงค์ว่าจะลงพื้นที่หรือไม่ ไม่เคยมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ และได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการกระทบภาพลักษณ์หรือไม่อย่างไร นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่าในส่วนของรัฐบาลมีการแยกแยะการทำงานอย่างชัดเจน

Advertisment

นายกฯ เลือกอีก 4 มูลนิธิ ส่งต่อเงินเดือน-เงินประจำตำแหน่งให้

People Unity News : 17 พฤศจิกายน 2566 ทำเนียบ – โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ คัดเลือกมูลนิธิเพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ส่งต่อเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ต่อยอดโอกาส เพื่อกลุ่มเปราะบาง

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า สืบเนื่องจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศส่งต่อเงินเดือน และเบี้ยประชุมของทุกเดือน ให้มูลนิธิต่างๆ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง นั้น สำหรับเงินเดือนประจำตำแหน่ง และเบี้ยประชุมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้คัดเลือกมูลนิธิเพิ่มเติมอีกจำนวน 4 แห่ง โดยมูลนิธิที่นายกรัฐมนตรีส่งต่อ คือ

1.มูลนิธิคนพิการไทย จำนวน 50,000 บาท เพื่อสมทบทุนในโครงการ “เป็นแขน-ขาให้ตากะยาย” โดยผลิตวีลแชร์ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กพิการ คนพิการ และผู้สูงอายุทั่วประเทศ

2.มูลนิธิอิสรชน จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินกิจกรรมกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในประเทศไทย เพื่อดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือ การแบ่งปันอาหาร หรือมอบถุงปันสุขให้แก่คนด้อยโอกาส และผู้ยากไร้ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

3.มูลนิธิสายธารสุขใจ จำนวน 50,000 บาท เพื่อสมทบทุนในการซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง และจัดหาสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้กับผู้ชรา และคนยากไร้

4.มูลนิธิบ้านพระพร จำนวน 50,000 บาท เพื่อให้การช่วยเหลือ และเป็นทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนผู้พ้นโทษ และเด็กที่พ่อแม่อยู่ในเรือนจำ เพื่อให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“นอกจากการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง นายกรัฐมนตรีและคณะของรัฐบาล ยังมีการลงพื้นที่เพิ่มเติมในหลายๆ พื้นที่ เช่น จังหวัดยโสธร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น โดยเข้าไปพบปะ พูดคุยกับประชาชนและองค์กรต่าง ๆ รับฟังปัญหาและความต้องการ เพื่อจะหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

“แพทองธาร” ทำสารคดีเส้นทางการเมือง ชูมีทีมงาน ‘พ่อ’ และ ‘อา’ ช่วย

People Unity News : 6 พฤษภาคม 2566 “แพทองธาร” ปล่อยสารคดี ‘The Candidate Paetongtarn’ การเดินทางบนเส้นทางการเมืองสู้ศึกเลือกตั้ง 2566

6 พฤษภาคม 2566 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์คลิปสารคดี ‘The Candidate Paetongtarn’ เล่าการเดินทางบนเส้นทางการเมืองตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ในยูทูบแชนแนลส่วนตัว (https://www.youtube.com/@ingshinawatra)

โดยเนื้อหานั้น ผู้ร่วมเล่าเรื่องราวคือทีมที่ปรึกษาที่เคยทำงานร่วมกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลไทยรักไทย คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทีมที่เคยทำงานกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรัฐบาลเพื่อไทย ที่ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าทีมงานทั้ง ‘พ่อ’ และ ‘อา’ กลับมาร่วมงานการเมืองกับนางสาวแพทองธารทั้งสิ้น ผนึกกำลังสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้

โดยเนื้อหาสารคดีกล่าวถึงนางสาวแพทองธารในฐานะลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ว่านางสาวแพทองธารไม่ได้เพิ่งเดินบนเส้นทางการเมืองในช่วงเกือบ 2 ปีนี้เท่านั้น แต่อยู่บนเส้นทางการเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยไทยรักไทย ผ่านทั้งวันคืนที่ดีและร้าย

และในตอนสุดท้ายเป็นคำถามสำคัญที่ว่า ‘ถ้าประเทศไทยมีแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร’ นางสาวแพทองธารตอบพร้อมรอยยิ้มว่าประเทศไทยจะมีสีสัน ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรี ที่จริงใจ รักประชาชน และมีทีมที่ดี เพราะแพทองธารทำคนเดียวไม่ได้ แต่แพทองธารมีทีมมาช่วยทำงานเพื่อประเทศไทย

โดยหลังสารคดีจบ นางสาวแพทองธารได้ไลฟ์พูดคุยสดๆ กับพี่น้องประชาชนผ่านทางไลฟ์อินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก

ติดตามสารคดีพร้อมกันได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=S-zj0yUs3bE

Advertisement

ยื่นศาล รธน.ชะลอโหวตนายกฯ 27 ก.ค.นี้

People Unity News : 24 กรกฎาคม 2566 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน- ที่ประชุมด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติให้ส่งศาล รธน. ออกคำสั่งชะลอการโหวตนายกฯ 27 ก.ค.นี้ หลังเกิดปมใช้ข้อบังคับ 41 ห้ามเสนอชื่อซ้ำในการลงมติเลือกนายกฯ เตรียมส่งคำร้อง 1-2 วันนี้

พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกรัฐสภาและประชาชน จำนวน 17 คำร้องเรียน โดยผู้ร้องเรียนขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 25610 มาตรา 213 จากกรณีที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็น “ญัตติ” ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่า “ญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน” เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

“ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนว่าเข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 หรือไม่ โดยเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็นหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญ และการกระทำของ “รัฐสภา” ในการลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็น “ญัตติ” ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 นั้น เป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้ว มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 การกระทำของรัฐสภาดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำของรัฐสภาที่ลงมติวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนโดยตรง” เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

พ.ต.ท.กีรป กล่าวว่า ผู้ร้องเรียนเป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ตามหมวด 3 ว่า สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หากการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ และมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวยังคงมีอยู่และมิได้รับการวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติ ย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้การใช้อำนาจของรัฐโดยรัฐสภา ผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไปจึงได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คำร้องเรียนส่วนหนึ่งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัย ซึ่งเป็นคำขอเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย

“ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัย ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2560 ประกอบ มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยจะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน1-2 วันนี้ เพื่อให้ทันศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 ก.ค.นี้” เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

Advertisement

หนุนสร้างสะพานไปเกาะสมุย

People Unity News : 14 สิงหาคม 65 รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เผยถึงเวลาสร้างสะพานข้ามเกาะสมุยแล้ว เพื่อเพิ่มรายได้และโอกาสทางการท่องเที่ยวให้ไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมประชุมหารือกับส่วนราชการ เอกชน จ.สุราษฎร์ธานี และเกาะสมุย เพื่อหารือถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวบนเกาะสมุย รวมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ การสร้างสะพานข้ามมายังเกาะสมุย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว อันจะช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า วันนี้ได้มารับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเกาะสมุย ซึ่งมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เกาะสมุยจะพัฒนาให้เป็น Wellness Destination หรือเป็น Green Destination ซึ่งตนเองจะส่งเรื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่มาเก็บข้อมูล นำไปพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย

ส่วนการพัฒนาการท่องเที่ยวของเกาะสมุยจะไปถึงการสร้างสะพานข้ามไปยังเกาะสมุย ไม่ว่าจะเป็นจากอำเภอดอนสัก หรืออำเภอขนอม เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม เบื้องต้นได้มีการศึกษาเรื่องนี้แล้ว และพบว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งในอดีตอาจไม่คุ้มค่า แต่ปัจจุบันจากการศึกษาพบว่ามีความคุ้มค่า เพราะสมุยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว จนสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักของชาวเกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า หากมีสะพานข้ามเกาะสมุยก็จะส่งผลดีถึงบนฝั่งแผ่นดินใหญ่ด้วย

อนึ่ง ท่าเรือฝั่งเกาะสมุยห่างจากท่าเรือฝั่งดอนสักประมาณ 30 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง

Advertisement

นายกฯ จ่อลงพื้นที่ถนนพระราม 2 ด้วยตัวเอง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ จ่อลงพื้นที่ถนนพระราม 2 ด้วยตัวเอง หลังโซเชียลทำคลิปล้อเลียนสร้างไม่เสร็จสักที

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ก็เป็นตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แถลงไป แต่ส่วนตัวคิดว่า ขอให้ดูการกระทำดีกว่า เข้าใจว่ามีปัญหา แต่มันก็มีหลายสัญญาด้วย ก็ต้องลงพื้นที่ไปดูอย่างจริงจัง โดยจะลงพื้นที่ด้วยตัวเอง แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นวันไหน โดยวันพรุ่งนี้ (1 มี.ค.) มีแถลงข่าว “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” วันเสาร์นี้ (2 มี.ค.) ก็ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดร้อยเอ็ด วันอาทิตย์ มีประชุมคณะรัฐมนตรี จากนั้นวันจันทร์ตอนเช้าก็เดินทางไปออสเตรีย

Advertisement

ตื้นตัน ขรก.บอกรักพร้อมมอบกุหลาบแดง

People Unity News : 13 กรกฎาคม 2566 นายกฯ ตื้นตัน ข้าราชการสำนักงบประมาณมอบดอกกุหลาบแดง พร้อมสวมกอด บอกรักลุงตู่ที่สุด จะอยู่เคียงข้าง เผยยังไม่มีแผนไปพักผ่อนที่ไหน ไม่อยู่เบื้องหลังใคร วางมือแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเป็นประธานในพิธีทำบุญและเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้เวลาร่วมรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยกับอดีตผู้บริหารและผู้บริหารสำนักงบประมาณ จนถึงเวลา 13.10 น. จากนั้นได้ลงมาบริเวณโถงชั้นล่าง สำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ ซึ่งมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่พร้อมใจยืนรอส่ง มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจ บอกรักลุงตู่ จะอยู่เคียงข้าง รักที่สุด พร้อมขอกอด ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคน ตื้นตัน ๆ ที่ผ่านมาทำงานเต็มความสามารถให้กับพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังประกาศวางมือทางการเมืองได้วางแผนไว้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ประกาศไปแล้ว ไม่มีอะไร ตามนั้น ไม่มีแผน

เมื่อถามว่า พักผ่อนที่ไหน นายกรัฐมนตรี หัวเราะพร้อมย้อนถามว่า จะพักผ่อนที่ไหนอีก แล้วค่อยบอกอีกทีว่าจะไปพักผ่อนที่ไหน

เมื่อถามย้ำว่า ที่ประกาศวางมือทางการเมือง วางมือจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตามนั้น เมื่อถามว่า นายกฯ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังต่อใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยอยู่เบื้องหลังใครทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า มีความเป็นห่วงการชุมนุมหน้าสภาฯ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนสั่งการไปแล้ว เจ้าหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว เมื่อถามย้ำว่า มีรายงานสถานการณ์อะไรเข้ามาให้รับทราบแล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องของทางสภาฯ อย่าเอาเราไปยุ่งเลย

ส่วนคิดว่าวันนี้จะเลือกนายกฯ ได้หรือไม่ หรือว่าต้องรอ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราไม่เกี่ยวแล้ว ลาออกแล้ว ส่วนจะเปิดแถลงอย่างเป็นทางการอีกหรือไม่เรื่องการประกาศวางมือทางการเมือง สื่อมวลชนอยากซักถามและพูดคุยในหลายประเด็น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี ไม่ต้องคุยแล้ว

Advertisement

Verified by ExactMetrics