วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

นายกฯ บอก ปรับ ครม. เป็นข่าวลือ ระบุทำให้ รมต.มีชื่อถูกปรับออกกังวล เสียโฟกัสการทำงาน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 เมษายน 2567 ทำเนียบ – นายกฯ ยันปรับ ครม. เป็นข่าวลือ หวั่น รมต. มีชื่อตามข่าวกังวล ย้ำ 314 เสียง แข็งแกร่งพอ หลังมีข่าวดึง ปชป. ร่วม บอกเกณฑ์ใครขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องพิจารณา

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวลือเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า “ข่าวลือ ก็พูดถูกว่าข่าวลือ ข่าวลือ มันก็จบที่ข่าวลือ”

ส่วนกรณีกระแสข่าวว่าจะมีการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยมีการพูดคุย อย่างที่ตนเคยบอกว่า 314 เสียงก็แข็งแกร่งพอแล้วตรงนี้ เรามีความสมัครสมานสามัคคีกันดี พูดจากันรู้เรื่องอยู่แล้ว ร่วมกันทำงานอยู่แล้ว งบประมาณยังไม่ออก วันนี้พูดถึงเรื่องของงบประมาณเรื่องการขับเคลื่อนประเทศโดยการใช้งบประมาณ ซึ่งวันนี้ได้สั่งการไปแล้วว่าเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาสภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  2567 ก็ต้องมีการทำงานกันอย่างจริงจังในตอนนี้

ทั้งนี้ สมมุติว่าโควตาของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เหลืออีกหนึ่งตำแหน่ง จะขยับเขยื้อนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้อนคำถามสื่อว่า “สมมุติ ท่านบอกว่าสมมุติ เราอยู่กับความเป็นจริงดีกว่าวันนี้”

เมื่อถามย้ำว่า ยังคงโควตารัฐมนตรีของพรรคร่วมใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใช่ เป็นข้อตกลงที่ชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ยังเหลือ โควตา 1 ตำแหน่งให้กับนายไผ่ ลิกค์ นั้น ก็เป็นโควตาที่เหลือมานานแล้ว และพรรคเพื่อไทยก็ยังเหลืออีกหนึ่งโควตาเช่นเดียวกัน

ส่วนนายกรัฐมนตรี ตั้งใจหลังงบประมาณ ปี 67 ผ่าน จะให้รัฐมนตรีชุดเดิมแต่ละกระทรวงได้ใช้งบประมาณขับเคลื่อนงานก่อนใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า วันนี้เราเน้นย้ำและโฟกัสเรื่องการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดูแลประชาชนให้ดีที่สุด

สำหรับเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) ช่วงสาย ที่ได้เชิญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ขึ้นไปพูดคุยบนตึกไทยคู่ฟ้า ได้หารือวาระใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรี นิ่งคิด ก่อนจะระบุว่า เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) มีหลายหมาย หลังจากนั้นทีมงานของนายกรัฐมนตรี จึงได้กระซิบบอกว่ามีการพูดคุยถึงเรื่อง FTA  ซึ่งได้เชิญนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายปานปรีย์ พหิทธานุกรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดคุยเรื่องของ FTA และ IUU

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำอีกว่า ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องโควตาของพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ เพราะมีการออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ให้รอความชัดเจนในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าไม่มีการพูดกันเรื่องนี้ ยืนยันไม่มีเฉี่ยวมาเลย

ส่วนที่มีกระแสปรับ ครม.ออกมาในช่วงนี้นั้นมองอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ได้ให้ความสำคัญ

“อยากให้รัฐมนตรีทุกท่านตั้งใจทำงาน ดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องใจเขาใจเรา เมื่อมีกระแสข่าวออกไป เมื่อท่านรู้ว่าจะถูกปรับออกไป ก็อาจจะมีความกังวล จุดโฟกัสก็จะเปลี่ยนไป ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ที่เราทำอยู่ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เราควรจะทำงานให้เต็มที่” นายเศรษฐา กล่าว

ส่วนเกณฑ์การปรับคณะรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างไรนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า หากทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องพิจารณา ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า แปลว่าตอนนี้ยังได้อยู่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ยังทำกันอยู่

Advertisement

นายกฯขอข้าราชการซื่อสัตย์ ยึดประโยชน์ ปชช.-ปท.เป็นที่ตั้ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 เมษายน 2567 นายกฯ โพสต์ X วันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน ให้กำลังใจ ขรก. พร้อมแนะพัฒนาตัวเองให้ทันความก้าวหน้าของโลก ซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม ยึดประโยชน์ประเทศ-ประชาชนเป็นที่ตั้ง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน ระบุว่า ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องข้าราชการพลเรือนทุกกรม ทุกกระทรวง ข้าราชการยุคใหม่ พัฒนาประเทศไทย ใส่ใจประชาชน ข้าราชการต้องมีความรู้และทักษะที่เท่าทันเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก มีความเข้าใจในบริบทของสังคม และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการทุกท่าน พัฒนาตัวเองให้ทันกับความท้าทาย และความก้าวหน้าของโลก ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรมและจริยธรรม โดยมีผลประโยชน์ของประเทศชาติและความสุขของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง” นายกรัฐมนตรี ระบุ

Advertisement

“แพทองธาร” คิกออฟ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มีนาคม 2567 นครราชสีมา – คิกออฟ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เฟส 2 วันนี้ พร้อมกัน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ด้าน “แพทองธาร” ประกาศเดินหน้าระบบสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง มีคุณภาพ ต่อยอด 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข , น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเปิดงานนโยบาย “ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ระยะที่ 2 ณ ชาติชายฮอลล์ และลิปตพัลลภ ฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

ขณะเดียวกันก็มีการจัดกิจกรรมคิกออฟโครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระยะที่ 2 ในจังหวัดอื่นๆ พร้อมกันทั่วประเทศด้วย ซึ่งการเดินหน้ายกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระยะที่ 2 นี้ มีขึ้นใน 8 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และพังงา ส่วนในระยะที่ 3 จะเดินหน้าในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะครอบคลุมทั่วทั้งประเทศภายในปีนี้

น.ส.แพทองธาร ระบุว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 “โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค” หรือ “โครงการบัตรทอง” ได้ถูกพัฒนาสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยจนถึงรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ประชาชน มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุม ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขไทยอีกครั้ง ด้วยนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาพัฒนาระบบ ปรับกระบวนการดูแลสุขภาพให้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รองรับการให้บริการสุขภาพรูปแบบใหม่ด้วยระบบดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว

โดยนับตั้งแต่เริ่มให้บริการสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล มีประชาชนเข้ารับบริการในรูปแบบออนไลน์ในทุกระบบ แล้วกว่า 37,000 ครั้ง และในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัลไปแล้วมากกว่า 70,000 ใบ ทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนกว่าร้อยละ 90 พึงพอใจต่อการบริการในภาพรวมเป็นอย่างมาก

น.ส.แพทองธาร ย้ำว่า ภายใต้รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาตินี้ ประชาชนจะได้รับการบริการทางสุขภาพ อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ลดเหลื่อมล้ำ ลดการรอคอย ด้วยมาตรฐานที่มีคุณภาพ และจะมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้ประชาชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการ “ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”

Advertisement

สภาฯ ไฟเขียวเสนอรายงานเปิดกาสิโน แก้ปัญหาการพนันผิด กม. ให้รัฐบาล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 มีนาคม 2567 รัฐสภา – สภาฯ เอกฉันท์ 253 เสียง ไฟเขียวเสนอรายงานเปิดกาสิโน พลิกพนันผิด กม. สร้างรายได้ให้ ปท.ถึงรัฐบาล ชงเก็บภาษี 17% คาดได้ค่าธรรมเนียมแสนล้าน/ปี สส. ยังเสียงแตก หวั่นรัฐรับมือผีพนันไม่ไหว คนไทยอ่อนภาษายังตกงาน สุดท้ายซ้ำรอยสีหนุวิลล์

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ” ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมาธิการฯ พิจารณาแล้วเสร็จ โดยเห็นว่า หากจะมีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศ รัฐควรลงทุนร่วมกับเอกชน หรือให้สัมปทาน หรือใบอนุญาตแก่เอกชน และควรมีกระบวนการสร้างความเชื่อมั่น เปิดเวทีประชาคมในพื้นที่ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และยกระดับกีฬาวัฒนธรรมไทยขึ้นมาเป็นการพนันถูกกฎหมาย เช่น มวยไทย ไก่ชน ปลากัด ม้าแข่ง เป็นต้น

สำหรับผลการศึกษาของกรรมาธิการฯ พบว่า การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศนั้น ในผลกระทบเชิงบวก กรรมาธิการฯ พบว่า จะช่วยลดอัตราการว่างงานของคนในพื้นที่ลดลง และจะเกิดการจ้างงานมากขึ้น ประชาชนหันไปพึ่งการพนันผิดกฎหมายลดลง ทำให้ปัญหาการเกิดอาชญากรรม และการฆ่าตัวตายลดลง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ก็อาจจะเกิดผลกระทบเชิงลบ เช่น การติดพนันของบุคคล และเยาวชน จนเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา เกิดปัญหาครอบครัว ยาเสพติดภายในสถานบันเทิง-นักท่องเที่ยว และหนี้สิน รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ ที่กระทบต่อความมั่นคงประเทศ

ขณะที่ ผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้น เกิดการจ้างงาน กระตุ้นการไหลเวียนของเงินในระบบไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น เกิดการค้าขาย การจัดเก็บภาษีซึ่งอัตราสูงกว่าปกติ หรือ ภาษีกาสิโน ร้อยละ 17 รวมถึงรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจากธุรกิจปีละหลายแสนล้านบาท สามารถนำงบประมาณมาพัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้ เพราะที่ผ่านมาการห้ามกาสิโนในประเทศไทย ทำให้ประชาชนออกไปเล่นในต่างประเทศ ลดภาระการปราบบ่อนเถื่อน ลดปัญหาผู้มีอิทธิพล แต่ก็มีผลกระทบเชิงลบ ที่อาจทำให้ประชาชนติดพนันจนเป็นนิสัย ไม่สนใจประกอบอาชีพสุจริต ทำให้เงินไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต เกิดปัญหาศีลธรรม ลักทรัพย์ ฉ้อโกง หรืออาจเป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมาย

นอกจากนั้น กรรมาธิการฯ ยังพบว่า การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร อาจขัดต่อจริยธรรมทางศาสนา เช่น ในศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ที่การพนันถือเป็นอบายมุข และห้ามการเล่นการพนันอย่างเข้มงวด

ขณะเดียวกัน กรรมาธิการฯ ยังได้ยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรโดยเฉพาะ เพื่อกำหนดมาตรการต่าง ๆ ในการกำกับดูแลการดำเนินกิจการของการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรในภาพรวม

ขณะที่ การอภิปรายของ สส.ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ต่างให้การสนับสนุนรายงานฉบับนี้ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดกฎหมาย มาทำให้ถูกกฎหมาย และเกิดรายได้แก่ประเทศ พร้อมเสนอให้รัฐบาล หากจะเปิดกาสิโน ควรเปิดที่เมืองรอง และมีการคมนาคมสะดวก เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในจังหวัด และยังแนะนำว่า รัฐบาลควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจว่า สถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex นั้น ไม่ได้มีเพียงกาสิโนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศูนย์การประชุม สวนน้ำ หรือยอร์ช-ครูซซิ่งคลับ พื้นที่ส่งเสริมสินค้าวัฒนธรรมไทยและ OTOP

ขณะเดียวกัน ก็ยังมี สส.อีกส่วนหนึ่ง ยังกังวลกับรายงานของกรรมาธิการฉบับนี้ เนื่องจากเห็นว่า การเปิดคาสิโน ไม่สามารถแก้การพนันผิดกฎหมายได้ เพราะต้องมีผู้ที่เข้าไม่ถึงกาสิโน แอบไปเล่นบ่อนผิดกฎหมาย จนอาจจะซ้ำรอย ถูกปล่อยร้างอย่างสีหนุวิลล์อย่างกัมพูชา และยังไม่มั่นใจว่า รัฐบาลจะรับมือกับคนไทยติดการพนัน หรือปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ไหวหรือไม่ และกังวลว่า จะไม่เกิดอัตราการจ้างงานจริง เนื่องจากคนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

ทั้งนี้ ในการลงมติเพื่อให้ความเห็นชอบรายงานฉบับนี้ เป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากตามธรรมเนียมการปฏิบัติที่ผ่านมา หากเป็นรายงานที่ สส. อภิปรายไปในทิศทางเดียวกันและไม่มีใครเห็นแย้ง ก็จะถือว่าที่ประชุมให้ความเห็นชอบ และส่งรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 88 และตามข้อตกลงของวิปฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล แต่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล เห็นว่าในการอภิปรายของ สส. ครั้งนี้ ยังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงยังมีประชาชนมายื่นหนังสือคัดค้านที่รัฐสภา ดังนั้น จึงขอตรวจสอบความมุ่งมั่นของรัฐบาล ด้วยการนับองค์ประชุมแบบกดบัตรแสดงตน จึงทำให้เกิดการโต้เถียงกันในที่ประชุม ระหว่างพรรคก้าวไกล ที่กล่าวหาตำหนิพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทย ไม่รักษาข้อตกลงวิป จนทำให้นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ขู่ฝ่ายค้าน ถึงการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะขอนับองค์ประชุม จนสุดท้าย นายอรรถกร ศิริลัทยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอให้ที่ประชุมนับองค์ประชุมแบบขานชื่อรายบุคคล เพื่อตรวจสอบองค์ประชุมของฝ่ายค้านด้วย แต่ที่ประชุมก็ไม่สามารถตกลงกันได้ ว่าจะใช้วิธีการขานชื่อ หรือกดบัตรแสดงตน จนทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ใช้อำนาจวินิจฉัย ให้ใช้วิธีการขานชื่อรายบุคคล โดยผลปรากฏว่า ฝ่ายค้าน แม้จะอยู่ในที่ประชุมแต่ไม่ขานชื่อแสดงตน โดยมี สส.รัฐบาล เข้าร่วมประชุม 258 คน ก่อนที่ที่ประชุมจะลงมติให้ความเห็นชอบรายงานดังกล่าว ด้วยมติเอกฉันท์ 253 เสียง โดยที่ฝ่ายค้าน แม้จะไม่เห็นชอบ แต่ก็ไม่ได้ลงมติ ซึ่งภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ความเห็นชอบรายงานดังกล่าวแล้ว ก็จะส่งต่อไปยังรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

Advertisement

ครม.ไฟเขียวส่ง “ชุดไทย-มวยไทย” เป็นมรดกวัฒนธรรมต่อยูเนสโก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มีนาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – ที่ประชุม ครม.เห็นชอบเสนอ “ชุดไทย-มวยไทย” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก

น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการเสนอรายการ “ชุดไทย : ความรู้ งานช่างฝีมือ และแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดไทยประจำชาติ” (Chud Thai : The Knowledge, Craftsmanship and Practices of The Thai National Costume) และ “มวยไทย” (Muay Thai : Thai Traditional Boxing) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ พร้อมเห็นชอบให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารนำเสนอรายการชุดไทยและมวยไทย เสนอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก

“เนื่องจากทั้งชุดไทยและมวยไทยมีคุณค่าและความสำคัญในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริมเพื่อต่อยอด รวมทั้งสามารถสะท้อนอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทยได้อย่างชัดเจน โดยชุดไทยถือเป็นมรดกวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยที่แสดงถึงคุณค่าของงานช่างฝีมือ ลวดลายบนผืนผ้า เทคนิคการทอ การออกแบบ และการตัดเย็บเครื่องประดับที่งดงาม” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.เกณิกา กล่าวว่า ส่วนมวยไทยถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับสืบทอดมาไม่ต่ำกว่า 300 ปี ที่สามารถฝึกฝนและปฏิบัติได้จริงทั้งในแง่ของศิลปะการป้องกันตัวและการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง การเสนอชุดไทยและมวยไทยเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกจะช่วยสร้างความระหนักรับรู้และภาคภูมิใจของคนไทยให้เห็นคุณค่าความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมที่มีร่วมกันในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนและผู้ประกอบอาชีพนำวัตถุดิบทางวัฒนธรรมของไทยที่มีอยู่แล้วไปต่อยอด เพิ่มมูลค่าให้เกิดการกระจายรายได้สู่ทุกภาคส่วนของสังคม ควบคู่ไปกับอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

“ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยเสนอรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติแล้ว 7 รายการ ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 4 รายการ ได้แก่ โขน นวดไทย โนรา และสงกรานต์ในประเทศไทย ส่วนอีก 3 รายการ ได้แก่ ต้มยำกุ้ง ผ้าขาวม้า และเคบายา (kebaya) อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของยูเนสโก” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

นายกฯกำชับดูแลความปลอดภัย ปชช.เดินทางช่วงสงกรานต์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 มีนาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – “เศรษฐา” ขอบคุณ รมต.ร่วมชี้แจง สว.วานนี้ เผย ครม.อนุมัติงบอุดหนุนค่าอาหารกลางวัน ม.1 – ม.3 งบจ้างภารโรงดูแลความปลอดภัย กำชับคมนาคมดูความปลอดภัยประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้ขอบคุณรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 รวมทั้งชี้แจงและอธิบายประเด็นต่าง ๆ ต่อสมาชิกวุฒิสภา วานนี้ (25 มี.ค.) และในวันนี้ (26 มี.ค.) ให้ผู้แทนการค้าไทยและเลขาธิการคณะทำงานส่งเสริมการลงทุนบีโอไอมาชี้แจงให้ที่ประชุมทราบว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง แต่ขอไม่ลงรายละเอียด เพราะจะแถลงข่าวอีกครั้งภายหลัง เชื่อว่ามีแต่เรื่องดี ๆ จากที่ทีมงานที่ทำงานมาอย่างหนัก

“ผมกำชับกระทรวงคมนาคมเรื่องความปลอดภัยของการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงดูแลเรื่องความเป็นอยู่และความปลอดภัย รวมทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬาจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งตนได้เตรียมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบก่อนเทศกาลสงกรานต์” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณอุดหนุน ค่าอาหารกลางวันของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องไปพิจารณาต่อไป รวมทั้งอนุมัติงบประมาณสำหรับการจ้างเหมา บริการนักการภารโรงตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอเฉพาะในช่วงของปี 2568 โดยให้กระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณการจ้างภารโรงอย่างคุ้มค่า โปร่งใส นอกจากนี้ยังให้นำเทคโนโลยีอย่างกล้องวงจรปิดมาช่วยดูแลความปลอดภัยทดแทนกำลังคน จากการยกเลิกครูเวรเมื่อสองเดือนก่อน

“ที่ประชุมมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศตามกระทรวงแรงงานเสนอผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาเดินทางกลับประเทศเนื่องในโอกาสประเพณีสงกรานต์ในปีนี้ และให้คณะกรรมการส่งเสริมและคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตรวจสอบการประกาศโดยเร่งด่วน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

นายกฯ ระดมเงินอัดฉีดนักเตะไทย แต้มละ 3 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 มีนาคม 2567 “นายกฯ” ชวนเชียร์ช้างศึกทีมชาติไทย ฟาดแข้ง ทีมชาติเกาหลีใต้ 26 มี.ค.นี้ หนุนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยระดมเงินอัดฉีดนักเตะไทย แต้มละ 3 ล้านบาท

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุถึง การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกระหว่างทีมชาติไทย และทีมชาติเกาหลีใต้ วันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 19.30 น. ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน เป็นนัดที่มีความสำคัญมาก ๆ กับทีมชาติไทยเราครับ ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยไปชมและเชียร์ทีมชาติไทยร่วมกันที่สนามราชมังคลาฯ หรือเชียร์ผ่านทางการถ่ายทอดสดทางไทยรัฐ ทีวีครับ

ผมขอสนับสนุนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในการระดมเงินจากแหล่งต่างๆ มาช่วยอัดฉีดนักเตะไทย แต้มละ 3 ล้านบาทครับ สู้ ๆ ครับทีมชาติไทย

Advertisement

ไทยเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพ “วิสาขบูชาโลก” 19-20 พ.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 มีนาคม 2567 “พวงเพ็ชร” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และพระพรหมบัณฑิต เตรียมความพร้อมไทยเป็นเจ้าภาพ “วิสาขบูชาโลก” 19-20 พ.ค.นี้ ตั้งเป้าเชิญผู้นำทางศาสนา และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมงาน 73 ประเทศ หวังเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก (ICDV) และประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU) และหารือการเตรียมจัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

พระพรหมบัณฑิต เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ในวันนี้ได้ร่วมกันสรุปกำหนดการการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก และการจัดประชุมวิสาขบูชาโลกนานาชาติ “ในหัวข้อเอกภาพของการทำงานร่วมกัน” ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติในการให้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ (2567) โดยมีกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคมนี้ และมีการหารือกันเนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีกำหนดเชิญผู้นำทางศาสนา และพุทธศาสนิกชนจากนานาประเทศมาเข้าร่วมงานถึง 73 ประเทศ โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ การเจริญพระพุทธมนต์ และกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐบาล ในการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ รวมถึงงบประมาณสนับสนุน

ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในนามของรัฐบาล น้อมรับการทำงานให้พระพุทธศาสนาและรับใช้มหาเถรสมาคมอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ตนกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาเเห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ จะประสานการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จ และสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานวิสาขบูชาโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ออกสู่สายตาคนทั้งโลกอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับปีนี้เป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมงานวิสาขบูชาโลก และเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ร่วมสืบสานและน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

Advertisement

รมว.พาณิชย์ ยันข้าว 2 สตอกใน จ.สุรินทร์ 10 ปี “ไม่เน่า-กินได้-ขายได้”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มีนาคม 2567 “ภูมิธรรม” รมว.พาณิชย์ ยันข้าว 2 สตอกใน จ.สุรินทร์ 10  ปี “ไม่เน่า-กินได้-ขายได้” เร่งตรวจสตอกอื่น เพื่อนำออกขาย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่จ.พะเยา ถึงการลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ตรวจสอบข้าวในสต็อกที่เก็บรักษาไว้ในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเวลา 10 ปี   ที่ถูกร้องเรียนว่าเป็นข้าวเน่า ว่า ได้ไปตรวจสอบโกดังที่เก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าว 2 แห่ง คือ บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4   อ. เมือง  และคลังกิตติชัยหลัง 2   อ.ปราสาท  ตามที่มีการร้องเรียนว่ามีข้าวรวมกันประมาณ 1.2 แสนกระสอบ แต่โกดังดังกล่าวถูกปิดล็อก  ทำให้คนงานไม่สามารถเข้าไปทำงานได้   และจากการที่ไปตรวจสอบข้าวในแต่ละกระสอบพบว่า  ยังมีปลายจมูกข้าว ส่วนเม็ดข้าวมีสีเหลืองบ้างเล็กน้อย   โดยได้นำข้าวดังกล่าวไปทดลองหุง ยังมีกลิ่นหอม   ข้าวยังมียางเป็นข้าวชั้นดีสามารถนำมารับประทานได้  ดังนั้นการตรวจสอบทั้งหมดไม่ตรงกับที่มีการร้องเรียน

โดยในระหว่างการตรวจสอบได้มีการบันทึกภาพในการตรวจสอบไว้ทุกขั้นตอนให้เห็นถึงความโปร่งใส   หากรีบนำมาออกขายก็ยังได้ราคา   เพราะราคาในท้องตลาดกำลังมีราคาดี    โดยจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้งก่อนนำมาขาย  และจะมีเงินนำมาคืนเจ้าของโรงสีและโกดัง  รวมถึงชำระค่าเช่าโกดังที่ยังค้างไว้   โดยเงินที่เหลือก็ยังนำคืนให้กับรัฐบาลได้   เพราะข้าวที่อยู่ในโกดังถือว่าเป็นของรัฐบาล แต่หากปล่อยทิ้งไว้ในโกดังก็จะเกิดปัญหา ทั้งนี้ตนจะไปตรวจสอบในโกดังอื่นที่มีการเก็บข้าวในสต็อกโครงการรับจำนำ เพื่อพิจารณาก่อนนำมาออกขาย

Advertisement

“ทักษิณ” ขอความเห็นใจคนแก่วัย 75 บอกใครไม่ชอบให้ต่างคนต่างอยู่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 มีนาคม 2567 เชียงใหม่ – “ทักษิณ” บอกอบอุ่น ได้กลับบ้านเกิดเชียงใหม่ในรอบ 17 ปี ขอความเห็นใจคนแก่วัย 75 บอกใครไม่ชอบให้ต่างคนต่างอยู่ พร้อมให้กำลังใจ นายกฯ เศรษฐา ฝ่าวิกฤติปัจจุบันที่หนักกว่ายุคต้มยำกุ้ง เชื่อเศรษฐกิจดีทุกอย่างดีตาม เปรียบกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ชี้ห่วงปัญหาฝุ่น PM 2.5 เร่งแก้และสร้างพื้นที่สีเขียว

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการเดินทางกลับมาจังหวัดเชียงใหม่ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ว่า รู้สึกอบอุ่นดีใจ 17 ปีที่หายไปกลับมาก็คิดถึงบ้านเกิด เมืองนอน คิดถึงอาหาร วัฒนธรรม คนเก่าๆ ว่าเป็นธรรมชาติที่ทำให้เรากระชุ่มกระชวยขึ้น

ส่วนช่วงสงกรานต์จะปีนี้ มีความตั้งใจว่าจะกลับมาจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง เพราะรักในวัฒนธรรม จึงอยากกลับมา ร่วมประเพณีรดน้ำดำหัวด้วย

นายทักษิณ กล่าวว่าการกลับมาเชียงใหม่ครั้งนี้สิ่งที่อยากพัฒนาแก้ไข คือเรื่องฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาหนักที่สุด เป็นห่วงอยู่ และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ทราบปัญหาและได้รีบแก้ไขแล้ว ทั้งนี้ยังมองว่าปัญหาส่วนหนึ่งคือความแห้งแล้ง อยากให้ฟื้นโดยการไม่ต้องใช้น้ำมาก จะทำให้สภาพแวดล้อมชุ่มชื้นเขียวได้ ซึ่งจะทำให้อากาศกลับมาสภาพดี ซึ่งตนเป็นห่วงเพียงเท่านี้ อย่างไรก็ตามเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องดีด้วย ซึ่งตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรี ได้วางแผนที่จะฟื้นเศรษฐกิจอยู่ เพราะถ้าเศรษฐกิจดีทุกอย่างก็จะดีตาม เปรียบกับกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าท้องไม่อิ่มก็ลำบาก

เมื่อถามว่าให้กำลังใจนายกเศรษฐาเรื่องอะไรบ้าง นายทักษิณกล่าวว่า ให้กำลังใจทุกเรื่อง เพราะงานวันนี้มันยากกว่าสมัยช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง มีความซับซ้อนมากกว่า ส่วนจะให้ข้อคิดนายเศรษฐาอย่างไรในฐานะที่เคยแก้วิกฤติต้มยำกุ้งมามาก่อน นายทักษิณบอกว่าบางอย่างก็ใช้ได้บางอย่างก็ต้องเปลี่ยนเพราะโลกมันเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม นักการเมืองก็ต้องร่วมมือกับข้าราชการฝ่ายประจำ ต้องให้กำลังใจกัน

เมื่อถาม ถึงกระแสดราม่าที่เกิดขึ้น ว่า ดราม่าก็คือดราม่า นั่นหมายความว่าเป็นเรื่องไม่จริง ส่วนกระแสป่วยจริงหรือไม่จริงในการลงพื้นที่นั้น นายทักษิณกล่าวว่าภาวะจิตใจคนเป็นเรื่องที่สำคัญ หากภาวะจิตใจแย่มันก็แย่ ทำให้บางอย่างมันรวนได้ ตอนนี้กำลังใจดีมีลูกสาว อยู่ใกล้หลาน 7 คน เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของคนแก่วัย 75 ยังไงก็ขอให้โปรดเข้าใจคนแก่ในวัยนี้ ที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานด้วย ใครไม่ชอบหน้าตนก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ตอนนี้ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้วก็กำลังใจดีขึ้น แต่ถามว่าอาการป่วยทุกวันนี้ก็ยังมีอาการกดกระดูกประสาทของคอและหลัง และมีอาการต่อเนื่องจากตอนที่ตนเป็นโควิด อาการหนักมากตอนนั้นเข้าไอซียูถึง 9 วัน ข้างในร่างกายก็มีผลบ้าง ทำให้ตอนนี้ปอดยังมีอาการอยู่หลายจุด จากนั้นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว และหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้พูดเสริมระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่าคุณพ่อไม่ชอบยอมรับว่าป่วย จนกระทั่งได้เข้าไอซียูออกมาถึงจะรับ เมื่อถามว่าใครดื้อกว่ากัน นางสาวแพทองธาร จึงได้ชี้ไปที่นายทักษิณ และบอกว่าพ่อเป็นต้นตำรับ นายทักษิณจึงบอกว่า ยอมรับตัวเลข 75ได้ แต่ไม่อยากยอมรับว่าแก่ ทั้งที่มันคือธรรมชาติ ฝืนมันไม่อยากแก่

จากนั้น นายทักษิณ และครอบครัว ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินส่วนตัวทันที

Advertisement

Verified by ExactMetrics