วันที่ 17 กันยายน 2024

โฆษกรัฐบาล ขอบคุณประชาชนเชื่อมั่นโครงการ Digital Wallet

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 สิงหาคม 2567 โฆษกรัฐบาล ขอบคุณความเชื่อมั่นประชาชนจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่กว่า 80% จะลงทะเบียนรับเงิน Digital Wallet และที่ประชุมวุฒิสภาผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย 1.22 แสนล้านบาท ย้ำความเชื่อมั่นนี้ เป็นกำลังใจให้รัฐบาลยืนหยัดต่อ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า 6 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมวุฒิสภา ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 พ.ศ. … วงเงิน 1.22 แสนล้านบาทเพื่อใช้ในโครงการเติมเงิน Digital Wallet ซึ่งรัฐบาลยืนยันเสมอมาที่จะใช้งบประมาณนี้ตามวัตถุประสงค์โปร่งใสตรวจสอบได้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อประชาชน และการกระตุ้นพัฒนาเศรษฐกิจ

ในโอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุถึง ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งได้สอบถาม เกี่ยวกับการใช้เงิน Digital Wallet ซึ่งพบว่าประชาชนที่ผ่านเงื่อนไขรับ Digital Wallet ส่วนใหญ่ลงทะเบียน มีจำนวนถึง 82.6% ไม่ลงทะเบียน 17.4%

โดยประชาชนกลุ่มตัวอย่างมีลักษณะการใช้เงิน 10,000 บาท ภายในครั้งเดียวที่ 64.1% แบ่งใช้หลายครั้ง 14.7% ไม่แน่ใจ 21.2% และสำหรับประเภทของสินค้าที่จะใช้ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เสื้อผ้า 32.7% สินค้าเพื่อการศึกษา 17.7% เครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอล์) ของใช้ส่วนตัว 16.9% สินค้าวัตถุดิบเพื่อการเกษตร 11.5% ยารักษาโรค 8.4% ธูปเทียนและเครื่องสักการะ ชุดถวายสังฆทาน 6.5% สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน 6.2%

“โฆษกรัฐบาลเปิดเผยว่า ทั้งยอดการลงทะเบียน และความคิดเห็นของประชาชน ทำให้รัฐบาลมีกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อสู้ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet รัฐบาลรู้ดีว่าเงินเหล่านี้มีความหมายกับประชาชนที่เฝ้ารอ และเป็นไปตามความตั้งใจของรัฐบาลตั้งแต่ต้น ที่จะดำเนินนโยบายอย่างถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ทั้งนี้ รัฐบาลขอบคุณทุกเสียงสนับสนุน และขอให้มั่นใจว่า จากยอดลงทะเบียนที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นแรงกระตุกฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย“ นายชัย กล่าว

Advertisement

นายกฯตอบเอง “หม่อมอุ๋ย” หน.ทีมเศรษฐกิจ พปชร.??

People Unity News : 21 ตุลาคม 65 ตามที่มีกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเตรียมผลักดัน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐนั้น

ในวันนี้ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเสร็จ ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่ล่าสุดมีชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ โดยนายกรัฐมนตรีส่ายหน้าและตอบว่า ไม่มี

Advertisement

รัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ

People Unity News : 15 กรกฎาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลยกระดับจริยธรรมภาครัฐ หนุนเกณฑ์กำหนดแนวทางและมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมยกระดับจริยธรรมภาครัฐ โดยที่ผ่านมาได้ผลักดันกฎหมายสำคัญให้มีผลบังคับใช้คือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคลากรรัฐและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องดำเนินการออกประมวลจริยธรรม วางแนวปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่อย่างเป็นรูปธรรม

โดยองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่ได้ดำเนินการออกประมวลจริยธรรมไปแล้ว ได้แก่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมือง, สภากลาโหมจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนกลาโหม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน(กพม.) จัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรมฯ เป็นไปอย่างครบถ้วน ล่าสุดคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) ได้อนุมัติแนวทางการจัดทำและการกำหนดมาตรการที่ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรมของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ก.ม.จ. ได้เวียนหนังสือแจ้งให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐดำเนินการกำหนดมาตรการตามแนวทางที่ ก.ม.จ.กำหนดแล้ว พร้อมกับได้แจ้งการดำเนินการให้ ครม. ทราบเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

แนวทางฯ ที่ ก.ม.จ. กำหนดนั้น ได้ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่ ต้องกำหนดกระบวนการพิจารณาและดำเนินการเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม หรือหากเดิมได้กำหนดกระบวนการพิจารณาอยู่แล้วก็ให้ปรับให้ให้สอดคล้องกับแนวทางล่าสุดของ ก.ม.จ.

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนพิจารณาเรื่องร้องเรียนนั้นจะต้องประกอบด้วยการดำเนินการอย่างน้อย ดังนี้

1) พิจารณาเรื่องร้องเรียนซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเบื้องต้นที่เพียงพอ กำหนดการให้ความคุ้มครองบุคคลที่ให้ข้อมูลไว้เป็นพยาน

2) มีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ

3) กำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน

ส่วนขั้นตอนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน มีดังนี้

1) ให้ส่วนงาน คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายพิจารณาเรื่องร้องเรียนและรายงานต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับเรื่อง หากเป็นกรณีหัวหน้าหน่วยงานรัฐถูกกล่าวหาให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากหัวหน้าหน่วยงาน

2)ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป พิจารณาข้อเท็จจริงสั่งการเพื่อดำเนินการ (รวมทั้งสั่งลงโทษหากมีการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน และแจ้งให้ผู้ร้องทราบโดยเร็ว

3) ดำเนินการบันทึกพฤติกรรมการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น

4) หน่วยงานรัฐรายงานการดำเนินการต่อองค์กรกลางบริหารงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม

5) องค์กรกลางบริงานงานบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรม รายงานต่อ ก.ม.จ.

6) ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยรายงานการดำเนินงานต่อสาธารณะด้วย

Advertisement

นายกฯ เผยวันนี้ลงนามโผ ครม. บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด เฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กันยายน 2567 “แพทองธาร” นายกฯ เผยเคาะ ครม. แพทองธาร 1 เรียบร้อย ไม่มีเซอร์ไพรส์ เตรียมลงนามวันนี้ก่อนส่งรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามขั้นตอน ลั่น “นายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ” ยันรัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด ส่วนเฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

เมื่อเวลา 09.35 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามายังอาคารชินวัตร 3 โดยประชาชนบางส่วนเข้ามารอขอถ่ายรูปด้วย

จากนั้นสื่อมวลชนได้สอบถาม น.ส.แพทองธาร ว่า เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) ได้กำชับในที่ประชุม สส.ของพรรคให้เร่งทำงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายได้ชัดเจน ซึ่งสิ่งที่สั่งให้เร่งผลงานนั้น มีอะไรที่ต้องเร่งทำให้เห็นผลในรัฐบาลนี้หรือไม่ ว่า ปกติการประชุม สส.จะพูดคุยเรื่องสภา และการประชุมต่างๆ ซึ่งในนโยบายก็มีแต่ที่เน้นกับ สส. จะเป็นเรื่องของพื้นที่มากกว่า เพราะนโยบายกรอบใหญ่คลุมไว้หมดแล้ว แต่จะมีปัญหาเล็กๆของชาวบ้าน ที่คิดว่าเอามาแก้ได้ และมาเร่งในกระบวนการ ก็อยากให้ทำและใส่ใจในรายละเอียด ซึ่ง สส.ก็ทำอยู่แล้ว แต่ก็ย้ำเตือนว่า ทำให้เต็มที่จะได้แก้ปัญหากันไป โดยตอนนี้ได้พูดคุยกันในทีมและวางไทม์ไลน์ ว่า เมื่อแถลงนโยบายเสร็จแล้ว เข้าไปจะทำอะไรก่อนหลังบ้าง ให้เอามาขึงกันเลยว่าอันไหนต้องเข้าก่อน อาจมีหลายเรื่องให้ทำก็กลัวลืมและกลัวว่าไม่ได้ติดตามงานไหนบ้าง

ส่วนรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีเวลาฮันนีมูนและต้องทำงานทันทีใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ได้แล้วค่ะ ไม่ได้แล้วเพราะเข้ามา ต่อจากคุณเศรษฐา งานก็ดำเนินอยู่แล้ว ก็ต้องทำต่อ”

เมื่อถามถึงนโยบายกัญชาของพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เดี๋ยวรอแถลงนโยบายเลยทีเดียว รอไฟนอลออกมา เราก็ต้องคุยกับพรรคร่วมอยู่แล้ว

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประชาชนคาดหวัง ยังเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า แน่นอน ตนก็คาดหวังเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา เรื่องนี้ยังเป็นนโยบายหลักอยู่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใน คอนเซ็ปต์ ยังมีอยู่แน่นอน แต่จะมีการปรับรูปแบบตอนแรกจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เรามีการวางแผนว่าจะมีการจ่ายเป็นเงินสดด้วย ก็ต้องรอดูว่า อะไรที่ต้องแก้ในรายละเอียด และแน่นอนว่าต้องแก้

เมื่อถามว่า ที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสแรกจะเป็นเงินสด ส่วนเฟสที่สอง จะปรับรูปแบบเหมือนกับเฟสแรกที่จะเป็นเงินสด และอาจจะมีการแบ่งจ่ายตามงบประมาณ ใช่หรือไม่

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ใช่ แบบนั้นเลย แต่ขอให้รายละเอียดชัดเจนก่อน เพราะกลัวพูดไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด เดี๋ยวจะโดนหาว่าพูดไม่ตรง เราต้องทำการบ้านกันก่อน“

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงการเคาะตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ว่า เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แต่คาดการณ์ว่าในวันนี้ (3 ก.ย.) จะเริ่มให้ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ส่งรายชื่อเข้าไปเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ พร้อมกับยอมรับว่า วันนี้จะสามารถลงนามรายชื่อคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งตนวางแผนไว้เป็นเช่นนั้น ส่วนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้เมื่อไหร่จะต้องมีการประสานกันอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่ายึดหลักการอะไรในการฟอร์ม ครม.ครั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า คิดว่าอยากเห็นอะไรมากกว่า จากคนที่เลือกมาจะได้ทำต่อ ซึ่งจากคนที่ถูกเลือกมาใหม่และคนที่อยู่คงเดิมเห็นถึงศักยภาพอยู่แล้วว่าใครพร้อมจะทำงาน ซึ่งจากที่อยู่ในพรรคมากกว่า 3 ปี จะเห็นว่าใครประมาณไหนอย่างไร พร้อมกับระบุว่า “จริงๆ แล้วอยากชนะอย่างที่คุณพ่อชนะเนาะ 377 เราจะได้ให้ทุกคนมีทุกตำแหน่ง แต่มันก็ได้แค่ปริมาณหนึ่ง ก็ให้ช่วยกันค่ะของพรรคอื่นก็มีด้วยก็ได้ให้ทุกคนได้แสดงความสามารถด้วย”

ส่วนอยากบอกอะไรให้ประชาชนนั้นมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ระบุว่านายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธการตอบคำถามถึงคุณสมบัติของ 11 รัฐมนตรีที่ก่อนหน้านี้ ที่ยังมีคำร้องอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และศาล รวมไปถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เตรียมร้อง น.ส.แพทองธาร กรณีการโอนหุ้นและการครอบครองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอารักขาของ น.ส.แพทองธาร ใช้รูปแบบเต็มระบบผู้นำประเทศ โดยมีรถนำขบวนจำนวน 1 คัน และมีรถทีมรักษาความปลอดภัยตามขบวนอีก 2 คัน

Advertisement

ขึ้นค่าแรง 400 บาท ต้องรอ “คกก.ไตรภาคี” เคาะ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กันยายน 2567 รัฐสภา วานนี้ (13 ก.ย.) – “พิพัฒน์” ชี้ขึ้นค่าแรง 400 บาท ต้องรอผลประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ยันรัฐมนตรีไม่มีแทรกแซง ส่วนปม ปชน. เสนอลาคลอด 180 วัน ภท. ขอเจอคนละครึ่งทางที่ 120 วัน

การประชุมร่วมรัฐสภา เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุกขึ้นชี้แจงเป็นรายประเด็น โดยประเด็นแรก คือ เรื่องของการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ต้องทำใน 2 มิติ คือ มิติของผู้ใช้แรงงาน และมิติของผู้ประกอบการ ต้องหาความสมดุลให้ได้ดีที่สุด หากเอียงหรือหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้พิจารณาหารือในหลายๆ มิติว่า การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาท เริ่มได้เมื่อไหร่ ซึ่งตนเองก็ได้ให้สัมภาษณ์อยู่หลายครั้งว่า เราจะประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพร้อมกันทั้งประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพราะต้องรอคณะกรรมการไตรภาคี ที่จะประชุมในวันที่ 17 และ 24 กันยายนนี้ เมื่อเราได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการไตรภาคี ก็จะประกาศขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคมได้

ส่วนแรงงานภาคใดที่ยังไม่ได้รับการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในวันที่ 1 ตุลาคม ก็จะพิจารณาและประกาศอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 1 มกราคม 2568

ส่วนเรื่องสิทธิวันลาคลอด ในอดีตเราให้ 90 วัน แต่ปัจจุบันขยายให้ถึง 98 วัน โดยนายจ้างรับผิดชอบ 49 วัน ประกันสังคมรับผิดชอบ 49 วัน ซึ่งตนเองจะนำเสนอในรัฐบาลชุดนี้ แต่ได้ทราบว่า พรรคประชาชน ก็จะนำเข้าเสนอ 180 วัน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีข้อเสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเจอกันคนละครึ่งทางที่ 120 วัน ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่ขอให้สภาได้ตัดสิน ทางกระทรวงแรงงานพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ในกรณีที่สภาได้มีการลงมติร่วมกัน

ส่วนกรณีการพัฒนาประสิทธิภาพของกองทุนประกันสังคม สำหรับเงินสมทบที่รัฐบาลปัจจุบัน ที่สมาชิกรัฐสภาได้ทวงเงินจากรัฐบาลให้กับกองทุนประกันสังคมนั้น คาดว่าภายใน 7 ปี จะใช้หนี้ให้กับกองทุนประกันสังคมได้หมด

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ทุ่ม 100 ล้านเร่งแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง

People Unity News : 1 กันยายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” ยันน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 54 ย้ำมีคณะกรรมการดูแลใกล้ชิด ไม่แล้ง 3 ปีแล้ว เตรียมทุ่ม 100 ล้านแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง ระบุ ขรก.ต้องตอบสนอง ปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยประชุมและมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังการบริหารจัดการน้ำ ภาพรวมและในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำบางปะกง รวมถึงสถานการณ์น้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปา เพื่อการอุปโภคบริโภคของพื้นที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สัปดาห์หน้ารัฐจะอนุมัติงบ 100 ล้านบาทสร้างประตูน้ำแก้ปัญหาน้ำเค็มลุกลาม ซึ่งขณะนี้จะรอระบบนิเวศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะน้ำเค็มรุกไปถึง อ. บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี หากไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำได้ประชาชนก็จะด่ารัฐบาล ตอนนี้ประชาชนกำลังห่วงเรื่องฝน รับรองว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมอย่างปี 54 แน่นอน เพราะที่ผ่านมามีคณะกรรมการทั้งระดับจังหวัดและลุ่มน้ำดูแล จนไม่เกิดภัยแล้งมา 3 ปี และร่วมมือกันการกระจายน้ำตลอดเวลาจากฝนตกทางเหนือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้การประปาต้องมีแหล่งน้ำสำรอง จะรอแต่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติลุ่มน้ำต่างๆอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก็บน้ำดิบ มีแหล่งน้ำสำรองตลอดเวลา

“การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ถ้ามีน้ำสมบูรณ์ทุกฤดูจะทำให้การปลูกพืชต่างๆได้ พัฒนาการทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่จะเกิดขึ้น ขอฝากข้าราชการและประชาชนต้องทำงานร่วมกัน โดยข้าราชการจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประชาชน เพราะเงินเดือนมาจากภาษีของประชาชนจึงต้องจำไว้ว่าจะต้องประสานกับประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน โดยจะต้องบูรณาการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าร่วมส่วนร่วมในการแก้ปัญหาน้ำด้วย ขณะที่ประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ต้องบอกข้าราชการ และข้าราชการก็จะต้องสนองความต้องการของประชาชน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ เข้าทำเนียบฯ เพจ PMOC โพสต์ “My Hero”

People Unity News : 12 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าทำเนียบฯ ทำงานตามปกติ หลังประกาศวางมือทางการเมือง ด้าน ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพ “บิ๊กตู่” ขึ้นข้อความ “My Hero”

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.22 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ตามปกติ หลังเมื่อวานนี้(11 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นการประกาศผ่านทางเพจเฟสบุ๊กพรรครวมไทยสร้างชาติ

ทั้งนี้ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง เพจเฟซบุ๊กศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC ซึ่งเป็น เพจการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความ “ขอบพระคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ 11 ก.ค.2566” พร้อมโพสต์รูปภาพ พล.อ.ประยุทธ์ เดินขึ้นบันไดบนตึกไทยคู่ฟ้า ชูมือสัญญลักษณ์ไอเลิฟยู และระบุข้อความ “มายฮีโรบนภาพ”

Advertisement

 

“ประยุทธ์” ให้กำลังใจ “ประวิตร” ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ

People Unity News : 26 สิงหาคม 65 โฆษกรัฐบาล เผย “พล.อ.ประยุทธ์” ให้กำลังใจ “พล.อ.ประวิตร” ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ขอเชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาล ยืนยันมีเสถียรภาพ มุ่งมั่นทำงานเข้มแข็ง เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ยืนยันว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนตามปกติ โดยในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าทำงานที่กระทรวงกลาโหม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวให้กำลังใจการทำงานกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาชนและประเทศไทยต่อไป

“ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนี้ ยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนและพรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่และมีเสถียรภาพ มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ดูแลประชาชนทุกด้านให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่ต้องรีบดำเนินการขณะนี้ ทั้งการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน การควบคุมราคาพลังงาน ควบคู่กับการดูแลประชาชนด้านสาธารณสุข รัฐบาลจะยืนหยัดทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไป เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

 

นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาทการเมือง

People Unity News : 4 ตุลาคม 2565 นายกฯ เผยยังไม่คิดวางทายาททางการเมือง ปัดตอบกระแสข่าว “พล.ต.อ.จักรทิพย์” เป็นทายาท 3 ป. บอกเป็นเรื่องของ พปชร.หาแคนดิเดตนายกฯใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางการวางทายาททางการเมืองในอนาคตว่า ขณะนี้ยังไม่ได้คิด

เมื่อถามย้ำว่า จะวางแนวทางการเมืองหลังจากนี้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ตนยังไม่ได้คิด ตอนนี้ทำเรื่องน้ำท่วมก่อน

ส่วนกระแสข่าวที่มีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมาเป็นทายาท 3 ป. หลังครบกำหนดเว้นวรรคการเมือง 2 ปี หลังพ้นตำแหน่ง ส.ว.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

ส่วนกระแสข่าวที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ เป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐ

Advertisement

“สุดารัตน์” วางมาตรการเชิงรุก “แก้หนี้ประเทศ ด้วยการสร้างรายได้”

People Unity News : 1 มีนาคม 2566 “สุดารัตน์” ชี้ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายโลก 5 เรื่องใหญ่ที่ผู้นำประเทศต้องเข้าใจ และวางมาตรการเชิงรุก ”พลิกวิกฤติโลกให้เป็นโอกาสหาเงินเข้าประเทศ” ระบุไทยสร้างไทยจะมุ่ง “แก้หนี้ประเทศ ด้วยการสร้างรายได้” ให้คนไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญและรับมือกับ 5 ความท้าทายของโลก หากรับมือได้ทันก็รอด แต่หากรับมือไม่ทันก็ร่วง ถ้าผู้นำมีวิสัยทัศน์ วางยุทธศาสตร์ประเทศให้ดี ก็จะสามารถพลิกวิกฤติโลกให้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยได้ และสำหรับ 5 วิกฤติและความท้าทายที่กล่าวถึงคือ

1.ความท้าทายของโรคระบาด ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ (Emerging Diseases) อย่างโควิด-19 ที่เป็นปัญหากระทบทั่วโลก ทั้งด้านชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจ ต่อเนื่องเข้าปีที่ 3 มีการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ กระทบซัพพลายเชน และรายได้การท่องเที่ยวทั้งโลก ดังนั้น ในวิกฤติโรคระบาด ไทยเราสามารถพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้ เพราะเรามีระบบสาธารณสุขที่ดีมาก เราต้องทำให้ไทยเป็นหลุมหลบภัยจากโรคระบาดให้คนทั้งโลก มา Work from Thailand เราต้องเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล และการส่งเสริมสุขภาพครบวงจรของโลก โดยเฉพาะการชูสมุนไพรไทย ที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ

2.ความท้าทายการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Change) ที่จะส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับการรับมือกับสภาวะโลกร้อน ไทยต้องปรับตัวให้เกิดการผลิตพลังงานทดแทนอย่างเร่งด่วน สามารถทำได้ไม่ยากเพียงแต่รัฐต้องเลิกเอื้อประโยชน์ให้โรงงานไฟฟ้ารายใหญ่ แล้วหันมาสนับสนุนให้ภาคครัวเรือน, เอกชน และท้องถิ่น สามารถผลิตไฟฟ้าของตนเองได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการนำของเหลือจากภาคเกษตรมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และ Bio Plastic ได้อย่างมากมาย ลดการเผาที่ทำให้โลกร้อนและเกิด PM 2.5 ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างเร่งด่วนเพราะทั้งสหรัฐและยุโรป ได้ผ่านกฎหมายที่จะเก็บภาษีเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบในการส่งออกของธุรกิจ SMEs อย่างมหาศาล

3.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรโลก (Population Ageing) ซึ่งไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลก ที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงวัยมากที่สุด อีกทั้งคนไทย “แก่ก่อนรวย” และสุขภาพไม่ดี ดังนั้น นอกจากคนวัยทำงานจะน้อยลง ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย ปีละเป็นแสนล้าน เราจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้ อย่างโครงการ ”บำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท” ที่ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งต้องเข้าโปรแกรมการสร้างสุขภาพให้แข็งแรง พร้อมทั้งการให้ความรู้ด้านอาชีพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงกลับไปทำงานได้ และเงินของผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ฟื้นตัว ซึ่งจะยกระดับให้เศรษฐกิจทั้งประเทศดีขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ไทยจะสามารถเป็นศูนย์กลางธุรกิจสุขภาพผู้สูงอายุ “Thai Hospitality” และทำเป็นที่พำนักระยะยาว สำหรับผู้สูงอายุจากทั่วโลกได้อีกด้วย

4.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็ว (Technology Destruction) ซึ่งเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสของโลกยุคใหม่ เพราะปัจจุบันโลกเรากำลังอยู่ในยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI Big Data, Internet of Things, Robots และ Quantum Computing ได้เข้ามามีบทบาทต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งไทยต้องเร่งส่งเสริมปรับหลักสูตรการศึกษา ให้เด็กไทยได้เข้าถึงโอกาสเหล่านี้ พร้อมทั้งต้องแก้กฎหมายให้ทันสมัย ให้รองรับการสร้างธุรกิจจากเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ Startup ได้ระเบิดศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

5.ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่ส่งผลกระทบทั่วโลกในหลายๆ ด้าน ทั้งในด้านดุลอำนาจของ 2 ขั้วอำนาจระหว่างชาติตะวันตก กับตะวันออก, สงครามรัสเซีย-ยูเครน, สงครามการค้า ซึ่งเราต้องใช้โอกาสนี้ที่เราเป็นประเทศที่เป็นมิตรที่แน่นแฟ้นกับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา รวมถึงรัสเซีย วางตำแหน่ง ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศให้ถูก และควรจะยืนอยู่กลางความถูกต้อง ค้าขายกับประเทศใดก็ได้ ใครอยากจะมาลงทุนก็ยินดีรับหมด เพื่อดึงดูดการย้ายฐานการผลิต และใช้ทำเลที่ตั้งที่เราอยู่ใจกลางภูมิภาค มาเป็นโอกาสในการทำให้ไทยศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องย้ายฐานการผลิต อย่างรถ EV และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

Advertisement

Verified by ExactMetrics