วันที่ 17 กันยายน 2024

โพลไม่เชื่อ “แพทองธาร” บริหารประเทศโดยปราศจาก “ทักษิณ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 25 สิงหาคม 2567 นิด้าโพล เผยคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ “แพทองธาร” บริหารประเทศโดยปราศจาก “ทักษิณ” ชี้ไม่ควรดำรงตำแหน่งใด แค่ให้คำปรึกษาในฐานะพ่อ-ลูก

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่ น.ส.แพทองธาร จะบริหารประเทศโดยปราศจากนายทักษิณ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนบทบาทที่นายทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่น.ส. แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้น.ส. แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่น.ส.แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อถามถึงบทบาทของนายทักษิณ ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลน.ส.แพทองธาร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่ น.ส.แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้น.ส.แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศน.ส. แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

Advertisement

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-อนุทิน” ทยอยเก็บของในทำเนียบฯ

People Unity News : 14 กรกฎาคม 2566 “บิ๊กตู่” เก็บของในทำเนียบฯ เหลือของจำเป็นใช้ทำงาน ส่วนห้องคณะทำงาน “บิ๊กป้อม” ทยอยเก็บของจากตึกบัญชาการเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง ล่าสุด ได้เก็บของใช้ส่วนตัว บนห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เหลือเพียงของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน และช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บหนังสือต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชอบอ่าน ใส่ลังเตรียมขนกลับประมาณ 4-5 ลัง

ขณะที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งเจ้าหน้าที่เก็บของ ซึ่งมีไม่มาก เช่น หนังสือ ของตกแต่ง ส่วนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีเพียงห้องของคณะทำงาน 2 ห้อง ที่ทยอยเก็บของ เพราะมีเอกสาร หนังสือ และของใช้ส่วนตัว ออกบ้างแล้ว

Advertisement

“พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง

People Unity News : 11 กรกฎาคม 2566 “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

ผู้สื่อขาวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้หัวหน้าพรรค -​กก.บห. -​ สมาชิก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้อง รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลประชาชนชาวไทยต่อไป

ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก​พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Advertisement

รัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันรถไฟฟ้าเปิดบริการแล้ว 8 เส้นทาง

People Unity News : 9 กรกฎาคม 2566 “ไตรศุลี” เผยรัฐบาลยุค “พล.อ.ประยุทธ์” ผลักดันโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เปิดให้บริการแล้ว 8 เส้นทาง ส่งโครงการระหว่างก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าในเมือง 5 เส้นทาง ไฮสปีด และทางคู่ให้รัฐบาลหน้าสานต่อ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอำนวยความสะดวกกับประชาชน เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ เฉพาะรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการที่ได้รับการผลักดันการก่อสร้างและเปิดให้บริการในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งหมด 8 เส้นทาง ระยะทางรวม 142.54 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน ระยะทาง 23 กม. เปิดให้บริการ 6 ส.ค. 59

2) สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.70 กม. ทยอยเปิดบริการรวม 4 ช่วง ในปี 62-63

3) สายสีน้ำเงิน ช่วง หัวลำโพง-บางแค(หลักสอง) ระยะทาง 14 กม. เปิดบริการ 29 ก.ย. 62

4) สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. เปิดให้บริการ 30 มี.ค. 63

5) สายสีทอง กรุงธนุบรี-คลองสาน ระยะทาง 1.88 กม. เปิดให้บริการ ธ.ค. 63

6) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(เหนือ) บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.30 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

7) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง(ตะวันตก) บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.26 กม. เปิดให้บริการ 29 พ.ย. 64

8) สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.40 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งฟรี 3 มิ.ย. 66 และเริ่มเก็บค่าโดยสารเมื่อ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 56 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล็งเห็นความสำคัญและผลักดันการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 64 เปิดให้บริการในปี 65 และให้บริการเต็มรูปแบบเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร รองรับทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองและรถไฟทางไกลสายเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางให้ประชาชนตั้งแต่ต้นปี 66 เป็นต้นมา

สำหรับโครการรถไฟฟ้าที่ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปผลักดันจนเปิดให้บริการแก่ประชาชนในอนาคตประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 โครงการ ระยะทางรวม 101.4 กม. ประกอบด้วย

1) สายสีชมพูเส้นทางแคลาย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเริ่มทดสอบการเดินรถในวันที่ 10 ก.ค. นี้

2) สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม.

3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. 4)สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม.

4) แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม.

นอกจากนี้ มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -หนองคาย ระยะที่1 ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกหลายเส้นทาง

Advertisement

ภาคประชาชนยื่นร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง

People Unity News : 21 กรกฎาคม 2566 “ปดิพัทธ์”  รับร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จากภาคประชาชน หวัง ใช้ประโยชน์สูงสุดทางการแพทย์ สร้างฐานรายได้ ให้เกษตรกรอยู่ดี กินดี สังคมสงบสุข สร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจระดับชาติให้สูงขึ้น

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง รับยื่นร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง แห่งชาติ พ.ศ. จากนายวิเชียร ศรีสุด นายกสมาคมสร้างสรรค์เกษตรกรไทย ในฐานะประธานร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชงแห่งชาติ  พ.ศ.  และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน  60 คน ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวประกอบด้วย 13 หมวด 99 มาตรา มีหลักการว่า ด้วยประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 บัญญัติให้กัญชา กัญชง  ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป แต่ยังขาดพระราชบัญญัติว่าด้วยกัญชา กัญชงเพื่อควบคุม จัดระบบระเบียบการปลูก การนําไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ   ทั้งเป็นการบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมป้องกันการใช้กัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ในทางที่ผิด    จึงมีการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น   โดยมีมาตรการส่งเสริม สนับสนุน ให้นำกัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ทางด้านการแพทย์ การพาณิชย์ อุตสาหกรรม แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเภสัชกรรม สัตวแพทย์ การเลี้ยงสัตว์ แพทย์พื้นบ้าน การท่องเที่ยว สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  และการใช้ประโยชน์ในครัวเรือนวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรม แปรรูปผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ บูรณาการร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งส่งเสริมสนับสนุน ควบคุม การนำเข้า ส่งออก สกัด จำหน่าย แปรรูป และมีมาตรการทางกฎหมาย ควบคุมการนำกัญชา กัญชง และสารสกัดไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และบุคคลอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งควบคุม ดูแลคุ้มครองสถานที่ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย ต่อบุคคลอื่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว หน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน สร้างองค์ความรู้ ฝึกอบรม เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม สร้างเศรษฐกิจการเกษตรในวงกว้าง สร้างความสมดุล ทางระบบนิเวศน์ มีความยั่งยืนแบบครบวงจร สร้างฐานรายได้ ให้เกษตรกรอยู่ดี กินดี สังคมสงบสุข ทั้งเป็นการสร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจระดับชาติให้สูงขึ้น ด้านรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง   กล่าวภายหลังการรับยื่นหนังสือว่า ประธานรัฐสภามอบหมายให้ตนเป็นผู้รับร่าง  พ.ร.บ. ดังกล่าว เมื่อรับเรื่องดังกล่าวแล้ว จะทำตามขั้นตอนของทางราชการ และจะรีบนำเรียนประธานรัฐสภาต่อไป รวมทั้ง จะเป็นผู้แทนนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอต่อพรรคการเมืองต่างๆ  สำหรับการเข้าชื่อเสนอกฏหมายของภาคประชาชนนั้น ต่อไปสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดให้ยื่นออนไลน์เพื่อความสะดวกของประชาชน

Advertisement

รัฐบาลตั้งเป้าดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGDI) ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 40 ของโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 กรกฎาคม 2567 นายกฯ หนุนรัฐบาลผลักดันหน่วยงานภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและบริการประชาชน พร้อมตั้งเป้าดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGDI) ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 40 ของโลก

วันนี้ (16 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าผลจากการผลักดันการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ต่อยอดสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งผลักดันการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างครอบคลุม ซึ่งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2567-2570) เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ นำไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน พร้อมกำหนดค่าเป้าหมายดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 40 ของโลก ควบคู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (IMD Competitiveness Ranking) ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Effectiveness) ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 20 ของโลก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญที่ระบุให้ ประเทศไทยเป็น รัฐที่ล้ำหน้า (Digital & Innovative Government) และรัฐที่เปิดกว้าง (Open Government) โดยมุ่งพัฒนาภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลที่มีความทันสมัย สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาการทำงานและการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่น ซึ่งล่าสุดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำหนดนโยบายให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พัฒนาและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่

1) Paper Less ลดการใช้กระดาษให้เหลือน้อยที่สุด และใช้ระบบการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบ Cloud ซึ่งมีความปลอดภัย บริหารข้อมูลได้รวดเร็ว

2) ประยุกต์การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านหน่วยงานรัฐด้วยระบบ Digital ID เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ระหว่างโรงพยาบาล ร้านขายยา และสถานพยาบาลทั่วประเทศ โดยจะประสานงานร่วมกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

3) สร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมด้านดิจิทัล ผลักดันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ ภายใต้ “โครงการอินเทอร์เน็ตสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต” พร้อมจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชน และพัฒนาอาสาสมัครดิจิทัล ให้ความรู้ด้านดิจิทัล สร้างโครงข่ายเชื่อมโยงการสื่อสารทั่วประเทศ โดยบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งพัฒนาทักษะของคนรุ่นใหม่ สร้าง Start up โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนธุรกิจด้านดิจิทัล ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

4) สร้างความมั่นคงปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการใช้งานดิจิทัล เร่งปราบปรามและจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้บริการตลอด 24 ชม. รับเรื่องร้องเรียนภัยออนไลน์ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน GCC 1111 ให้บริการสอบถามข้อมูลและรับเรื่องร้องเรียนภาครัฐ แจ้งเบาะแสข่าวปลอม อาชญากรรมออนไลน์

ทั้งนี้ ภายใต้ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการฯ กำหนดค่าเป้าหมายให้ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGDI) ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 40 ของโลก และมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 0.82 (คะแนนเต็ม 1) ซึ่งจากการประเมินครั้งล่าสุดโดยองค์การสหประชาชาติ ปี 2565 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 55 (คะแนน 0.766 คะแนน) ของดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 193 ประเทศ (https://publicadministration.un.org/egovkb/en-us/Data/Country-Information/id/169-Thailand) ขณะที่ด้านอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (IMD Competitiveness Ranking) กำหนดค่าเป้าหมายให้ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ ไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 20 ซึ่งปัจจุบันสถาบัน IMD จัดประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 24 คะแนน 55.1 ของปี 2567 (https://www.imd.org/entity-profile/thailand-wcr/#_yearbook_Government%20Efficiency)

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการผลักดันความพร้อมของภาครัฐในการมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศ เท่าทันสังคมเทคโนโลยีและนวัตกรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานระหว่างหน่วยงาน พร้อมกับการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน อำนวยความสะดวกให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการสาธารณะ และประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศที่ทันสมัย ก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาค” นายชัย กล่าว

Advertisement

รัฐบาลอนุมัติงบกลาง 344 ล้านบาท ส่งเสริมถ่ายหนังต่างประเทศในไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 สิงหาคม 2567 ทำเนียบ – ครม.อนุมัติงบกลาง 344 ล้านบาท ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 344,652,887.84 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สำหรับจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศ จำนวน 7 เรื่อง โดยที่ภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่อง ได้ยื่นเอกสารขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการฯ ก่อนที่กรมการท่องเที่ยวจะออกประกาศกรมการท่องเที่ยว เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับการขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ซึ่งประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566

Advertisement

“บิ๊กตู่” ขอให้บ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว

People Unity News : 24 กรกฎาคม 2566 ทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เข้าทำเนียบฯ ตามปกติ ฝากรองโฆษกรัฐบาลมาบอกสื่อ ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป ขอทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ขอให้อย่ากันอย่างสงบ เศรษฐกิจกำลังฟื้น นักท่องเที่ยวกำลังมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่ทำเนียบรัฐบาล โดยวันนี้พล.อ.ประยุทธ์สวมชุดสูทปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้สวมชุดข้าราชการการเมืองสีกากี 2 สัปดาห์แล้วหลังประกาศวางมือทางการเมือง ซึ่งโดยปกติจะสวมทุกวันจันทร์

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับฝากบอกสื่อมวลชนด้วยว่า “ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลกันไป เราก็ดูแลบ้านเมือง ทำหน้าที่ของเราไป แต่อยากให้อยู่ในความสงบ เพราะทุกอย่างกำลังจะดี เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกำลังมา”

Advertisement

 

งบฯ 68 ผ่านฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กันยายน 2567 งบฯ 68 ฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง ส่งต่อวุฒิสภาพิจารณา 9-10 ก.ย. ด้านรัฐบาลขอบคุณสมาชิกเห็นชอบร่างงบประมาณฯ ปี 68 ย้ำจะใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลา 3 วัน รวม 38 ชั่วโมง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ครบทั้ง 40 มาตรา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 68 ด้วยคะแนน 309 ไม่เห็นชอบ 155 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯ 68 ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นจะส่งไปยังวุฒิสภา พิจารณาต่อไป ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันที่ 9-10 ก.ย.

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ขอขอบคุณท่านประธานและสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน ที่ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ของชาติ และแผนพัฒนาต่างๆ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ

นายสุริยะ กล่าวว่า สำหรับข้อคิดเห็น คำแนะนำ ข้อเสนอ รวมทั้ง 3 วัน ความห่วงใยที่ท่านสมาชิกได้เสนอแนะไว้ตลอดระยะเวลาการประชุม รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณ และจะนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จากงบประมาณซึ่งมาจากภาษีอากรของพี่น้องประชาชน และจะใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้น ขอขอบคุณท่านกรรมาธิการวิสามัญทุกท่านที่ได้ให้ความสำคัญเสียสละเวลาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้อย่างเต็มที่ จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยข้อสังเกตของคณะกรรมการวิสามัญ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ รัฐบาลจะนำไปประกอบการปรับปรุงการดำเนินงาน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามหลักการวิเคราะห์ความคุ้มค่า รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่า งบประมาณที่อนุมัติ จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ตามแผนงานที่กำหนด โดยรัฐบาลจะกำกับดูแลติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความโปร่งใส และบรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความมุ่งหวังของรัฐบาลและสมาชิกทุกท่านต่อไป

จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม สั่งปิดประชุมในเวลา 21.57 น.

Advertisement

“ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล ทำจริงจังต่อเนื่อง เห็นผลงานแน่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติ – “ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาใหญ่ ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ เร่งปราบยาเสพติดเด็ดขาด-สกัดอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติครบวงจร มุ่งสร้างรายได้ใหม่ ลดค่าครองชีพ พุ่งเป้าช่วยกลุ่มเปราะบาง แนะ วาง KPI ให้ชัด ทำจริงจังต่อเนื่อง เชื่อเห็นผลงานแน่

นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ได้เห็นคำแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ที่เตรียมจะแถลงต่อสภาฯ ในวันที่ 12-13ก.ย.นี้ โดยทั้ง 10 นโยบายที่จะดำเนินการในวาระรัฐบาลชุดนี้ถือว่าเป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยเรื่องแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้สินทั้งระบบ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน จำเป็นต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ หนี้ภาคครัวเรือน ที่ประเทศไทยยังคงมีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูง กว่า 90 % การแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ จึงต้องแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนได้ ดำเนินการเป็นรูปธรรมมาแล้ว ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ การเก็บภาษี ดูแลสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เป็นเอสเอ็มอีขึ้นมา การออกสินเชื่อไปพร้อมกับการแก้หนี้ รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับเกษตรกรไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพพื้นฐานให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตนคิดว่า หากรัฐบาลทำพร้อมกันไปทั้งองคาพยพ และทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง มั่นใจว่าเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศจะเห็นการขยับตัวขึ้นแน่นอน

นอกจากนี้ นโยบายรัฐบาลที่ระบุไว้ยังให้ความสำคัญ เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ จำเป็นต้องแก้อย่างเด็ดขาด เร่งด่วนและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการการสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด และยังมีปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ มิจฉาชีพทางออนไลน์ พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกมิจฉาชีพหลอกอย่างทันท่วงที

“การแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กับการพัฒนาไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ สิ่งที่เป็นพื้นฐานคือการดูแลคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย ต้องทำไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการขนาดเล็กขึ้นไปถึงขนาดใหญ่ การสร้างรายได้ใหม่ สร้างเศรษฐกิจใหม่ ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้สินและปัญหาสังคม ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากรัฐบาลมีตัวชี้วัด หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานให้ชัดเจน ดำเนินการจริงจังและทำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน“ นายธนกรกล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics