วันที่ 19 กันยายน 2024

ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2

People Unity News : 25 กรกฎาคม 2566 ครม. พร้อมผลักดันแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชนสากล

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี รับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แผนปฏิบัติการฉบับนี้ จัดทำขึ้นตามแนวทางตามคู่มือว่าด้วยแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ การคุ้มครอง การเคารพ และการเยียวยา รวมทั้งเป็นหนึ่งในข้อเสนอแนะสำคัญที่ประเทศไทยรับมาปฏิบัติตามกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน

สำหรับสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ประกอบด้วย 4 แผน ได้แก่ แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน แผนปฏิบัติการด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม//แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และแผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ กลไกการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับนี้ จะดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน //กระทรวงยุติธรรม จะเป็นผู้รวบรวมและจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ 2 ระยะ คือ ระยะครึ่งรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 – 2568) และระยะเต็มรอบ (ระหว่าง พ.ศ.2566 -2570) เสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและเผยแพร่ต่อไป

Advertisement

“ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล ทำจริงจังต่อเนื่อง เห็นผลงานแน่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติ – “ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาใหญ่ ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ เร่งปราบยาเสพติดเด็ดขาด-สกัดอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติครบวงจร มุ่งสร้างรายได้ใหม่ ลดค่าครองชีพ พุ่งเป้าช่วยกลุ่มเปราะบาง แนะ วาง KPI ให้ชัด ทำจริงจังต่อเนื่อง เชื่อเห็นผลงานแน่

นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ได้เห็นคำแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ที่เตรียมจะแถลงต่อสภาฯ ในวันที่ 12-13ก.ย.นี้ โดยทั้ง 10 นโยบายที่จะดำเนินการในวาระรัฐบาลชุดนี้ถือว่าเป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยเรื่องแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้สินทั้งระบบ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน จำเป็นต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ หนี้ภาคครัวเรือน ที่ประเทศไทยยังคงมีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูง กว่า 90 % การแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ จึงต้องแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนได้ ดำเนินการเป็นรูปธรรมมาแล้ว ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ การเก็บภาษี ดูแลสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เป็นเอสเอ็มอีขึ้นมา การออกสินเชื่อไปพร้อมกับการแก้หนี้ รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับเกษตรกรไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพพื้นฐานให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตนคิดว่า หากรัฐบาลทำพร้อมกันไปทั้งองคาพยพ และทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง มั่นใจว่าเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศจะเห็นการขยับตัวขึ้นแน่นอน

นอกจากนี้ นโยบายรัฐบาลที่ระบุไว้ยังให้ความสำคัญ เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ จำเป็นต้องแก้อย่างเด็ดขาด เร่งด่วนและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการการสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด และยังมีปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ มิจฉาชีพทางออนไลน์ พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกมิจฉาชีพหลอกอย่างทันท่วงที

“การแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กับการพัฒนาไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ สิ่งที่เป็นพื้นฐานคือการดูแลคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย ต้องทำไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการขนาดเล็กขึ้นไปถึงขนาดใหญ่ การสร้างรายได้ใหม่ สร้างเศรษฐกิจใหม่ ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้สินและปัญหาสังคม ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากรัฐบาลมีตัวชี้วัด หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานให้ชัดเจน ดำเนินการจริงจังและทำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน“ นายธนกรกล่าว

Advertisement

กำชับทุกจังหวัดเข้มใช้ กม.แก้ฝุ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 กุมภาพันธ์ 2567 กระทรวงมหาดไทย  – โฆษก มท. เผย “อนุทิน” สั่งตามความคืบหน้าแก้ฝุ่นทั่วประเทศ กำชับทุกจังหวัดใช้กฎหมายเคร่งครัด ย้ำโทษถึงคุก

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเชิงรุก หยุดการเผา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ล่าสุดผู้นำชุมชนใช้วิธีทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ทำให้การเผาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำว่า นอกจากทำงานเชิงรุกแล้ว ยังต้องมีช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการเผา และหากพบการเผาให้ใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด  ทั้งนี้ พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ.2535 การเผาทำให้เกิดเหตุรำคาญ เข้าข่ายประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท และความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท

“นายอนุทินเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และกำลังใช้ทุกองคาพยพในการแก้ปัญหาอย่างสุดความสามารถ เพราะคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสิ่งที่หน่วยงานให้ความสำคัญและใส่ใจ ตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

เปิดตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 66 พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

People Unity News : 10 พฤษภาคม 2566 สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2566 แยกเจเนอเรชัน พบเจน X มากสุด 20 ล้านคน

วันนี้ (10 พ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยแยกตามช่วงอายุ (Generation) จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวม 52,241,808 คน ดังนี้ 1. กลุ่ม Before Baby Boommer เกิดก่อน พ.ศ. 2491 จำนวน 2,956,182 ราย 2. กลุ่ม Generation Baby Boommer เกิดระหว่าง พ.ศ. 2491-2505 จำนวน 9,326,314 ราย 3. กลุ่ม Generation X เกิดระหว่าง พ.ศ. 2506-2526 จำนวน 20,882,235 ราย 4. กลุ่ม Generation Y เกิดระหว่าง พ.ศ. 2527-2546 จำนวน 17,983,355 ราย และ 5. กลุ่ม Generation Z เกิดระหว่าง พ.ศ. 2547 จนถึงก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 จำนวน 1,093,722 ราย

ทั้งนี้ เมื่อแยกรายละเอียดเป็นรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลุ่ม Generation X มากสุด คือ 1,777,588 ราย รองลงมาคือ กลุ่ม Generation Y จำนวน 1,455,337 ราย กลุ่ม Generation Baby Boommer จำนวน 869,461 ราย กลุ่ม Before Baby Boommer จำนวน 295,302 ราย และกลุ่ม Generation Z จำนวน 81,467 ราย ตามลำดับ

Advertisement

นายกฯ แนะนักกีฬาซีเกมส์ ใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

People Unity News : 6 กรกฎาคม 2566 นายกฯ มอบเงินรางวัลแก่ทัพนักกีฬาซีเกมส์ ชื่นชมตัวแทนประเทศไทยพร้อมทีงานทุกคนร่วมกันคว้าชัยชนะกลับสู่ประเทศได้สำเร็จ เป็นอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ แนะให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาศักยภาพต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ นางสาวสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น

นายกรัฐมนตรีมอบเงินรางวัลและของที่ระลึกให้แก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัล และเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ดังนี้ 1) มอบของที่ระลึกให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2) มอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย 3) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จำนวน 39 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 239,190,000 บาท 4) มอบเงินรางวัลและของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอนและสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลและเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 จำนวน 4 สมาคมกีฬา รวมเงินทั้งสิ้น 99,365,000 บาท ทั้งนี้ มีนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวม 43 สมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 338,555,000 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่นักกีฬาไทยได้แสดงความสามารถทางกีฬาให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และเป็นโอกาสดีที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขัน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ทุกคนได้รับมานั้นล้วนเกิดจากความ “มานะ บากบั่น และสู้สุดใจ” ของของทุกคน จึงทำให้ทุกคนมาอยู่ตรงจุดนี้ ซึ่งคำเหล่านี้ขอให้ทุกคนประทับไว้อยู่ในหัวใจและนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านกีฬาและด้านอื่น ๆ ของชีวิตต่อไป

“ขอชื่นชมสมาคมกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการนำทัพนักกีฬาไปคว้าชัยชนะกลับมาสู่ประเทศชาติได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างดีของทุกคน และแสดงความสามารถ ศักยภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รางวัลเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้จะเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทุกคน เป็นเกียรติประวัติแก่ประเทศชาติ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยทุกคน รวมทั้งตนเองและครอบครัว ขอให้ทุกคนพัฒนาความสามารถของตนเองให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน เพื่อทำให้การกีฬาไทยมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรียังแสดงความเชื่อมั่นว่าทุกคนทำหน้าที่ตัวแทนของคนไทยและประเทศไทยอย่างดีที่สุดแล้ว และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ขอให้ตั้งใจพัฒนาทักษะและหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และนำเอาประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ไปพัฒนาตนเอง ซึ่งจะทำให้นักกีฬาทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในโอกาสครั้งต่อ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน พร้อมขอขอบคุณบุคคลและหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนพัฒนาการกีฬาของชาติให้ก้าวหน้าตลอดมา สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ระลึกไว้ว่าผลงานด้านกีฬาที่สร้างไว้นั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศตลอดไป

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 5 – 17 พ.ค. 2566 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3 – 9 มิ.ย. 2566 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 สามารถคว้ารวมมาได้ 108 เหรียญทอง 95 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง ในอันดับที่ 2 ในตารางรวมเหรียญรางวัล จาก 11 ประเทศ ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 12 สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ 126 เหรียญทอง 109 เหรียญเงิน และ 94 เหรียญทองแดง จบอันดับที่ 2 จาก 11 ประเทศ ในตารางรวมเหรียญรางวัลเช่นกันใช้ประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองต่อไป

Advertisement

“ศิริกัญญา” ชี้ ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กันยายน 2567 รัฐสภา – “ศิริกัญญา” มองโฉมหน้า ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว มีเพียง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” เหมาะนั่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ดูกฎหมาย แต่พร้อมให้โอกาสทำงาน รอดูตรงตามเป้าหรือไม่ ย้ำติดตามการใช้งบฯ ในทุกนโยบาย ป้องกันทุจริต

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงแนวทางการโหวตของพรรคประชาชน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระ 2 และ 3 ว่า สำหรับพรรคประชาชนยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมที่ได้ลงมติไปในวาระที่ 1 ว่าจะไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 68 ในวาระ 2 และ 3 แม้ในขณะนั้นที่ยังเป็นพรรคก้าวไกลได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในชั้นกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมธิการอย่างเข้มข้น แต่ยังคงไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยน ปรับลดงบประมาณได้อย่างที่สมควรจะเป็น และยังรู้สึกว่าเป็นงบประมาณที่ไม่น่าพึงพอใจ จึงยืนยันจุดยืนเดิม ที่โหวตไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้

ส่วนหลังจากนี้ที่มีการบังคับใช้งบประมาณไปแล้วในฐานะพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างไรบ้าง เพราะมีการอภิปรายการใช้งบประมาณที่ส่อไปในทางทุจริต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของสส.ที่จะต้องติดตามการใช้งบประมาณ ซึ่งไม่ได้จบเพียงแค่เฉพาะตอนทำร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ ยังต้องติดตามต่อ ซึ่งได้มีการอภิปรายไปในหลายๆ โครงการ ที่มีความสุ่มเสี่ยงในการทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ตั้งแต่งบประมาณ ปี 67 และตั้งงบประมาณแบบเดิมไม่มีการแก้ไขทีโออาร์ อาจจะส่งผลให้เกิดเหตุซ้ำรอย เพราะฉะนั้นจะต้องติดตามการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะไม่นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ในโครงการระดับกระทรวงต่างๆ

ส่วนในฐานะฝ่ายค้านมองโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการแต่งตั้งตัวบุคคลเป็นอย่างไรบ้าง นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เรายังคงเห็นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว มาเป็นจุดในการคัดเลือกตัวคณะรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคณะรัฐมนตรีเห็นเพียงนายชูศักดิ์ ศิรินิล มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของกฎหมายพอที่จะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องกฎหมาย แต่ของท่านอื่นยังเป็นนักการเมืองที่ยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ ที่จะสามารถบริหารงานที่มีความเฉพาะเจาะจงของแต่ละกระทรวงอย่างไร แต่ทั้งนี้ ก็ต้องให้โอกาส กับรัฐมนตรีเหล่านั้น ได้เริ่มทำงานก่อน เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบการทำงานว่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่

ส่วนภายหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา พรรคประชาชนจะจับตารัฐบาลเรื่องใดเป็นพิเศษนอกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เรากำลังเตรียมงานกันอยู่ เพราะมีการเลื่อนแถลงนโยบายให้เร็วขึ้นในสัปดาห์หน้าแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ตเพียงอย่างเดียวที่เราจะจับตา แต่ต้องดูโครงการเรือธงทั้งหมด ทั้งที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงที่ผ่านมาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเราก็พยายามเก็งข้อสอบว่านโยบาย และวิสัยทัศน์เหล่านั้น จะแปลงมาเป็นนโยบายของรัฐบาลแพทองธารได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นตัวแถลงนโยบาย แต่ได้เก็งข้อสอบไปล่วงหน้าก่อน

Advertisement

Verified by ExactMetrics