วันที่ 19 กันยายน 2024

บิ๊กล็อต! ครม.แต่งตั้งโยกย้าย”บิ๊กขรก.”หลายกระทรวง

People Unity : บิ๊กล็อต! ครม.แต่งตั้งโยกย้าย”บิ๊กขรก.”หลายกระทรวง ส่วน ศธ. “ดิศกุล”นั่ง กศน. “อรรถพล” สช.

.วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนระดับสูงหลายกระทรวง ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 6 ราย ได้แก่ 1.นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดน 2.นายณัฐวัฒน์ กฤษณามระ อธิบดีกรมพิธีการทูต ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ 3.นายจิตติพัฒน์ ทองประเสริฐ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพิธีการทูต 4.น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรเลีย 5.นายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสารนิเทศ และ 6.นายเอกพล พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมยุโรป ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ กรุงดิลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ – เลสเต ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนผู้ที่เกษียณอายุราชการ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1.นายรัตนะ สวามีชัย รองเลขาสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ 2.นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิดีกรมปสุสัตว์ ดำรตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการฯ 3.นายประยูร อินสกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการฯ 4.นางดาราเรศร์ กิตติโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการฯ และ 5.นายอรุณชัย พุทธเจริญ รองอธิบดีกรมประมง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป

กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1.นายพงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข 2.น.ส.วิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการฯ และ 3.นางอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจฯ

กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 8 ราย ได้แก่ 1.นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 2.นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจฯ 3.นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจฯ 4.นางปัทมา วีระวานิช ผู้ตรวจฯ ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 5.นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ ศึกษาธิการภาค 2 ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงฯ 6.นายธีรพงษ์ สารแสน ศึกษาธิการภาค 10 ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงฯ 7.นายพีระ รัตนวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจฯ และ 8.นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจฯ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายนิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ รองอธิบดีกรมพลศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

นอกจากนี้ ครม.ยังได้อนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ นายปริญญา พัฒนภักดี เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) นายพชร อนันตศิลป์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารออมสิน และ นายสุพันธ์ุ มงคลสุธี เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)

“พิชัย”ชี้”บิ๊กตู่”ออก”ชิมช้อปใช้”เฟส 3 เบี่ยงเศรษฐกิจทรุด

People Unity News : “พิชัย”ชี้”บิ๊กตู่”ออก”ชิมช้อปใช้”เฟส 3 เพื่อเบี่ยงประเด็นเศรษฐกิจทรุด ห่วงไทยล้าหลังเร็ว ประชาชนจะยิ่งลำบาก แนะ ต้องรู้ตัวถูกหลอกมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจต้องรีบเปลี่ยนหาคนเก่งแทน

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้รับ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 จะยังคงขยายตัวได้ในระดับต่ำมาก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวกว่า 3% และ ไม่มีทางเป็นไปตามที่นายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง เคยยืนยันไว้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและชิมช้อปใช้จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะชิมช้อปใช้ ประสพความล้มเหลว ไม่เกิดประโยชน์เหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ทั้งๆที่ไอเอ็มเอฟได้เตือนแล้วว่า รัฐบาลไม่ควรแจกเงินสะเปะสะปะ เพราะไม่ได้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่รัฐบาลก็ยังคงทำต่อไม่หยุด โดยคาดว่าอาจจะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของคนให้มาวิจารณ์ชิมช้อปใช้ ที่น่าจะมีคนชอบอยู่บ้างเพราะได้เงินฟรี แต่จะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศเลย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ทุกคนหันไปรุมด่าฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวมากว่า 5 ปีแล้ว จนเศรษฐกิจปัจจุบันย่ำแย่สุดๆ และยังมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปอีก

ทั้งนี้ ทั้งสภาพัฒน์ฯ และรวมถึงนักวิชาการจำนวนมาก ต่างพากังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะล้าหลังเร็วมาก และไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกนาน ซึ่งจะทำให้ไทยปรับตัวแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ลำบาก ซึ่งหากจำกันได้ ตนได้เตือนมาตลอดว่าประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ไทยตกยุคเร็วมาก แล้วก็เริ่มเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ และ ถ้าหากไทยยังไม่เร่งแก้ไขปรับปรุงประเทศไทยจะยิ่งล้าหลังเร็วขึ้นไปอีก ประชาชนจะยิ่งลำบาก คนรุ่นใหม่จะไม่มีงานทำ และจะไม่สามารถหารายได้เพียงพอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ถ้าเปรียบเทียบตามทฤษฏีกบต้ม ก็น่าจะเป็นช่วงที่น้ำยังเพิ่งจะเริ่มร้อน แต่ได้มีโรงงานปิดตัวและเลิกจ้างงานกันเป็นจำนวนมากแล้ว หากสถานการณ์แย่ลงอีก ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำในหม้อเริ่มเดือด ประชาชนจะยิ่งลำบากกันเพิ่มขึ้นอีกมาก

ดังนั้น จึงอยากขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม และยังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้พิจารณาตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอจะบริหารเศรษฐกิจในภาวะเช่นนี้หรือไม่ ถ้าหากคิดเพียงจะใช้กูเกิ้ลบริหาร คิดจะเป็นแค่มดจากเดิมที่เคยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย หรือ คิดได้แค่ให้นำวัวไปรีดนมในโรงเรียนให้นักเรียนดื่มเพื่อป้องกันนมบูด พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องสำนึกตัวได้หรือยังว่าถูกหลอกให้มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังจะหักหัวลง เศรษฐกิจไม่ได้กำลังฟื้นตัวเหมือนที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พยายามจะขายฝัน ซึ่งได้ขายฝันมา 5 ปีแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่เคยดีขึ้นแถมยังแย่ลงไปอีก

นอกจากนี้ นายสมคิดยังได้ปัดความรับผิดชอบเรื่องจีดีพีที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีว่า นายสมคิดไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว เท่ากับโยนความผิดให้พลเอกประยุทธ์รับไปเต็มๆ อีกทั้ง ยังโยนเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกลดไปที่แบงค์ชาติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เก่ง แค่เป็นผู้ติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจก็ต้องรู้แล้วว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ย่ำแย่แน่ การโดดเข้าไปรับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจโดยไม่ได้ศึกษาหรืออาจจะไม่มีความรู้ ได้กลายเป็นความล้มเหลวที่นายสมคิดโยนมาให้พลเอกประยุทธ์รับไปทั้งหมด แถมยังพูดปัดความรับผิดชอบยิ่งเป็นการตอกย้ำ และน่าจะทำให้พลเอกประยุทธ์สำนักได้หรือยังว่าน่าจะถูกหลอกให้มาเป็น และควรจะต้องรีบลาออกจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้แล้ว โดยควรต้องหาคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ทันให้เข้ามาช่วยบริหารเศรษฐกิจแทน พวกที่บริหารมา 5 ปีแล้วยังล้มเหลวควรต้องปรับออกไปทั้งหมด เพื่อทำให้ไทยสามารถกลับมาแข่งขันได้

ความล้าหลังของเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นเร็วมาก และ จะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก หากรัฐบาลไม่รีบแก้ไขปรับตัว อีกไม่นานไทยจะตกยุคแบบกู่ไม่กลับ ตอนนี้ยังไม่สายไปนักหากไทยจะรีบปรับตัว แต่หากปล่อยไปเรื่อยๆ อีกไม่นานไทยจะยิ่งเสียหายจนยากจะฟื้นหรืออาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาก้าวทันโลกได้

ครม. อนุมัติเงินอุดหนุนคันละ 1.8 หมื่น – 1.5 แสนบาทหนุนใช้ยานยนต์ EV

People Unity News : 23 สิงหาคม 2565 ที่ประชุม ครม. (23 ส.ค. 65) อนุมัติวงเงิน 2,923.397 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศกรมสรรพสามิตเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 65 ดังนี้

รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสาร มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท

มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง เงินอุดหนุน 70,000 บาท/คัน

มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน

รถยนต์กระบะประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศและมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน

รถจักรยานยนต์ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท เงินอุดหนุน 18,000 บาท/คัน

โดยผู้ “มีสิทธิ” ขอรับเงินอุดหนุนตามมาตรการจะต้องเป็นบุคคลตามประกาศกรมสรรพสามิตกำหนด เช่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นต้น และต้องทำข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิต เพื่อรับทราบและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตลอดจนรับบทลงโทษหากไม่สามารถดำเนินการได้

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้ราคาของรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการลงทุน และส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้มีการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นในอนาคต

Advertisement

รองโฆษกพรรคเพื่อไทยจี้รัฐเร่งแก้วิกฤตว่างงาน

People Unity News : รองโฆษกพรรคเพื่อไทยจี้รัฐเร่งแก้วิกฤตว่างงาน แนะกระทรวงศึกษาปรับหลักสูตร ให้สอดคล้องกับการทำงาน เชื่อสนแต่ อาวุธยุทโธปกรณ์ ระวังไทยจะรั้งท้ายอาเซียน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 นางสาวธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่ายอดคาดการณ์นักศึกษาจบใหม่ปี 2563 จะมีสูงถึง 5.24 แสนคน และอาจต้องประสบปัญหาภาวะว่างงานสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังถูกเลิกจ้าง สูงกว่า 5 แสนคน เนื่องจากหลายๆ บริษัทและโรงงานปิดตัวลงกว่าพันแห่งเพราะผลจากพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ โดยแรงงานไทยมีอยู่ประมาณ 37.6 ล้านคน คิดเป็น 56.5% ของประชากรทั้งหมด แต่แรงงานเหล่านี้กำลังจะลดลงหากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญ คาดว่าในทุกๆ ครัวเรือนอาจมีคนตกงานอย่างน้อยครอบครัวละ 1 คน

และทราบมาว่ากรมการจัดหางานเตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 70,000 อัตรา แต่หากเทียบสัดส่วนกับเด็กจบใหม่และผู้ที่ถูกเลิกจ้างงานแล้วมีจำนวนรวมกันกว่าล้านคน ในจำนวนที่เตรียมไว้นี้ เรียกได้ว่าไม่เพียงพอ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมผลักดันให้เป็นวาระเร่งด่วน

รองโฆษกพรรคเพื่อไทยยังแนะให้กระทรวงศึกษาธิการ แก้ไขหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย และสอดคล้องกับการทำงาน ไม่ใช่เรียนตามที่กระทรวงศึกษากำหนดแล้วออกมาทำงานไม่เป็น เพราะไม่ตรงสายงาน การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขหลักสูตรเพื่อให้พร้อมต่อการทำงานจะทำให้แรงงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นักศึกษาจบใหม่เป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น และเมื่ออัตราการจ้างงานสูงขึ้นจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ กระตุ้นให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นตามลำดับ

“ดิฉันขอขอบคุณคุณท่านนายกฯ ที่ขอให้คนไทยเชื่อมั่นในศรัทธาและพร้อมสู้ไปกับท่าน แต่เรื่องนี้ไม่สามารถพึ่งพาแต่ศรัทธาได้ ผู้นำควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพราะหากมัวแต่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ โดยไม่สนใจเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานของประชาชน ไม่ฟังเสียงประชาชนแล้ว ประเทศก็จะถอยหลัง จากเสือตัวที่ 5 ของอาเซียน จนตอนนี้อยู่รั้งท้าย” นางสาวธิดารัตน์กล่าว

“ชวลิต” ชี้ 10 ประยุทธ์ 10 สมคิด ก็แก้ปัญหา ศก.ไม่ได้ ถ้าไม่ปรับโครงสร้าง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งปรับปรุงการทำงานของ ครม.เศรษฐกิจ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า จะปรับอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องไปถามนายกรัฐมนตรี นั้น

นายชวลิต กล่าวว่า ตนเคยให้ความเห็นไว้หลายครั้งว่า รัฐบาลที่ผ่านมา จนถึงรัฐบาลนี้ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และปัญหาจะจมลึกไปเรื่อย ๆ จนถึงกับเคยอภิปรายในสภา ฯ เปรียบเปรยว่า ต่อให้ 10 ประยุทธ์ 10 สมคิด ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ตราบใดที่ยังไม่ปรับโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ ด้วยการแก้ไขรธน.ให้เป็นประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ขอเรียนว่า จากการลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอได้สัมผัสกับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเหล่านั้นทุกข์ยากในการดำรงชีพมากว่า 5 ปีแล้ว คนไทยจำนวนหนึ่งที่มีฐานะดี ไม่รู้หรอกว่า ความยากจน คืออะไร การมีหนี้สินครัวเรือนมากมาย นั้น ทุกข์ ยากขนาดไหนเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่มีค่าเทอมลูก ให้ลูกไปศึกษาเล่าเรียน คนเป็นพ่อ เป็นแม่ เจ็บปวดอย่างไร ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะให้เศรษฐกิจไทยพ้นวิกฤติ ท่านต้องให้อำนาจแก่ประชาชนผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน โปรดอย่าบอกว่า รธน.60 ผ่านประชามติ เพราะไม่มีประชามติที่ไหนในโลกที่กระทำท่ามกลางการใช้ ม.44 และกฎอัยการศึก หันหน้าเข้าหากัน ร่วมมือกันเถิดครับ แก้วิกฤติประเทศต้องใจกว้าง เสียสละ เพื่อให้บ้านเมือง และประชาชน อยู่รอด ปลอดภัย

เพื่อไทยพลัส เตรียมจัดกิจกรรม “เพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม”

พรรคเพื่อไทย โดยกลุ่มเพื่อไทยพลัส ออกคลิปวีดีโอรายการสั้น รายการ เพื่อไทยพลัส : เพื่อไทยยุคใหม่แข็งแกร่งกว่าเดิม” รายการที่จะพาทุกคนลงพื้นที่เจาะลึกถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยมีส.ส. หรือสมาชิกเพื่อไทยพลัส ร่วมรับฟังปัญหา และนำไปสะท้อนเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา

พร้อมเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” ในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทั้งนี้ภายในงานจะมีการปาฐกถาในหัวข้อ “เพื่อไทยยุคใหม่ ประชาชนคิด เพื่อไทยทำ” โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและจะมีการจัดกิจกรรมสำรวจความคิดเห็นแบบกลุ่ม หรือ โฟกัสกรุ๊ปในหัวข้อ “พรรคการเมือง และนักการเมืองที่คุณอยากเห็นเป็นอย่างไร” พร้อมทั้งกิจกรรมที่เปิดกว้างให้นักศึกษาและผู้ที่สนใจได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่สอดแทรกความรู้ด้านการเมือง ซึ่งจะมีตัวแทนดาวสภา ส.ส.และสมาชิกเพื่อไทยพลัส เข้าร่วมเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย เช่น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, นายสุรชาติ เทียนทอง, นางสาวขัตติยา สวัสดิผล, และ นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบพรรคการเมืองในแบบของคนรุ่นใหม่ผ่านแนวคิดของเพื่อไทยพลัส ร่วมกับนักการเมืองที่มีประสบการณ์ถือเป็นการรวมพลังเตรียมความพร้อมประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ (21 พ.ย. 62) ได้ โดยสมัครผ่านทาง bit.ly/ptplus01 หรือ สถานที่จัดงานได้ตั้งแต่เวลา 13.30 – 17.30 น.

กำหนดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 150-300 บาท/คน/ครั้ง

People Unity News : 14 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.อนุมัติร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ กำหนดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย 150-300 บาท/คน/ครั้ง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พ.ศ…. ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) เสนอ

ทั้งนี้ ร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยกำหนดค่าธรรมเนียม 300 บาทต่อคนต่อครั้ง สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางอากาศ และ 150 บาทต่อคนต่อครั้ง  สำหรับผู้เดินทางเข้าช่องทางบกและช่องทางน้ำ โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับผู้หนังสือเดินทางเพื่อการทูต กงสุล หรือการปฏิบัติราชการ (Diplomatic or Official Passport) ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพในประเทศไทย (Work Permit) หรือหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ   ตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ผู้โดยสารผ่าน (Transit Passenger) ทารกและเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี  และบุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการ ท.ท.ช. กำหนด

พร้อมกันนี้ ครม. ได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการตรวจลงตรา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมือง และให้ สตม. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมืองต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  การออกประกาศ ท.ท.ช. ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2562  ซึ่งให้ ท.ท.ช. สามารถเสนอต่อ ครม. ให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งใช้ในการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในระหว่างเที่ยวภายในประเทศไทย

นอกจากนี้ พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวฯ ยังบัญญัติให้จัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการพัฒนาการท่องเที่ยว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะด้านการการบริหาร การตลาด หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยวในชุมชน ดูแลรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ในท้องถิ่น รวมถึงการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจัดกตั้งกองทุนฯ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการศึกษาเชิงเปรียบเทียบแล้วพบว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศทั่วโลกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่เก็บค่าธรรมเนียมแล้วมีสวัสดิการคืนแก่นักท่องเที่ยวผ่านประกันอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และการส่งศพกลับประเทศ เพื่อดูแล ช่วยเหลือ เยียวยานักท่องเที่่ยว ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวนี้จะช่วยลดภาระงบประมาณในการดูแล เยียวยานักท่องเที่ยว และด้านสาธารณสุข จากการเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลไม่เต็มจำนวนมีความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินปีละประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี รวมถึงงบประมาณสำหรับการดูแลแหล่งท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว รวมทั้งงบประมาณสำหรับการดูแลพัฒนาสาธารณูปโภคที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ปลอดภัย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  สาระสำคัญของร่างประกาศฯ นอกจากจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมข้างต้นแล้ว ยังได้กำหนดกรอบเวลาของการบังคับใช้ซึ่งจะมีผลบังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา, การกำหนดบทนิยามต่างๆ ให้ชัดเจน, กำหนดวิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยทางอากาศยานให้จัดเก็บผ่านค่าโดยสารเครื่องบิน ส่วนทางบกและทางน้ำเก็บผ่านเว็บไซต์ โมบายแอปพลิเคชั่นและตู้ให้บริการชำระค่าธรรมเนียม (Kiosk)

โดยกำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยานและผู้ดำเนินการมีหน้าที่ลงทะเบียนกับกองทุนฯ เพื่อพัฒนาระบบของตนเองในการเชื่อมต่อเข้า นำส่ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้โดยสาร ข้อมูลชำระค่าธรรมเนียมกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมก่อนทำการบินเข้าประเทศไทย โดยผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการจะได้รับค่าตอบแทนในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากกองทุนฯ ตามที่ได้ตกลงกัน เป็นต้น

Advertisement

ไม่พลาด! “พิชัย”ห่วงสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ทำส่งออกไทยยิ่งทรุด

People Unity : ไม่พลาด! “พิชัย”ห่วงสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ทำส่งออกไทยยิ่งทรุด ติงรัฐบาลอย่านำเรื่องน่าอายมาเป็นผลงาน

วันที่ 27 ต.ค.2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงอย่างมากในกรณีที่สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (จีเอสพี) จากไทย มีผลกระทบกับสินค้ากว่า 573 รายการ มูลค่ากว่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผล 6 เดือนหลังประกาศเมื่อ 25 ตุลาคม โดยอ้างเหตุเรื่องสิทธิแรงงาน ทั้งนี้เพราะจากประสบการณ์ที่เคยค้าขายกับสหรัฐอเมริกา ทราบดีว่าสิทธิจีเอสพี ทำให้ราคาสินค้าของไทยสามารถแข่งขันราคากับสินค้าจากประเทศคู่แข่งได้ หากสินค้าไทยถูกตัดสิทธิจีเอสพี สินค้าจากไทยก็จะต้องเสียภาษีเต็มตามอัตราที่กำหนดซึ่งจะทำให้แข่งขันกับราคาสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่ได้รับสิทธิจีเอสพีได้ยาก

อีกทั้งยังต้องเจอกับค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากและยังจะแข็งค่าขึ้นอีกด้วย มิเช่นนั้นผู้ผลิตและผู้ส่งออกก็จะต้องเฉือนเนื้อตัดจากกำไรเพื่อนำไปจ่ายภาษีศุลกากร และหากเป็นสินค้าที่มาร์จิ้นต่ำ เช่น สินค้าเกษตร อาหารทะเล ก็จะไม่สามารถเฉือนกำไรเพื่อจ่ายภาษีให้เพียงพอได้ โดยเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยที่ทรุดต่ำอยู่แล้วให้ทรุดต่ำลงไปอีก นอกจากนี้ การถูกตัดสิทธิจีเอสพี จะทำให้การลงทุนในสินค้าหมวดหมู่ดังกล่าวลดลง หรือ จะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย เพื่อไปลงทุนในประเทศที่ยังคงได้รับสิทธิจีเอสพีอยู่ ซึ่งจะทำให้การลงทุนของไทยที่ลดต่ำอยู่แล้วลดต่ำลงไปอีก แถมอาจจะมีการโยกย้ายฐานการผลิตและการส่งออกซ้ำเติมด้วย

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ผลของการที่ไทยถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพี ก็เหมือนกับผลของการที่ไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป (อียู) ในช่วงที่มีรัฐบาลจากการปฏิวัติได้ ซึ่งการเจรจาการค้ากับอียูก็ยังไม่มีความคืบหน้า

ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้เร่งแก้ไขปัญหา และ เร่งเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งในอดีตประเทศไทยก็เคยโดนสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ในบางรายการมาก่อน แต่สุดท้ายก็สามารถเจรจาแก้ไขได้ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถและมีทักษะในการเจรจาเพียงพอ รัฐบาลควรจะต้องใส่ใจเรื่องการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าหลักอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาการส่งออกทรุดและการลงทุนที่หายไป มากกว่าจะนำเรื่องที่น่าอับอายแต่กลับนำมาหาเสียง อย่างเช่น เรื่องอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยที่พึ่งฟื้นกลับมาได้อันดับที่ 21 หลังจาก 6 ปีของการปฏิวัติ โดยก่อนการปฏิวัติ ไทยเคยอยู่อันดับที่ 18 และ ตั้งแต่มีการจัดอันดับมาประเทศไทยไม่เคยได้อันดับต่ำกว่าอันดับที่ 19 เลย จนมาเกิดการปฏิวัติทำให้อันดับความสะดวกทำธุรกิจของไทยทรุดลงไปต่ำสุดที่อันดับ 49 ในปี 2558 และ อันดับ 46 ในปี 2559 และพึ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็ยังกลับไม่ถึงที่เก่าที่อันดับ 18 ก่อนการปฏิวัติ ควรจะเป็นความน่าละอายที่ 6 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำให้อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยทรุดต่ำและยังไม่กลับมาที่เดิมมากกว่า

อีกทั้งอันดับที่ดีขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการลงทุนที่มากขึ้น เพราะประเทศเวียดนามที่อยู่อันดับที่ 70 แต่การลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนามมีมากกว่าไทยหลายเท่า โดยประเทศเวียดนามได้เซ็นข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศคู่ค้าหลักตัดหน้าไทยที่ไทยยังไม่สามารถเซ็นได้และก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถเซ็นได้เมื่อไหร่ จึงทำให้การส่งออกของเวียดนามได้แซงหน้าการส่งออกของไทยครั้งแรกในปีนี้และน่าจะแซงแล้วแซงเลย เพราะการลงทุนในเวียดนามมีมากกว่าการลงทุนในไทยมาตลอดหลายปีนี้

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่ง ถ้าหากใครได้ฟังสุนทรพจน์ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่พูดที่ฮ่องกง นอกจากจะให้กำลังใจแก่ นางแคร๋รี่ แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงแล้ว นายสมคิดในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ของไทยยังได้แสดงจุดยืนเข้าข้างประเทศจีนอย่างเต็มที่ ซึ่งในภาวะสงครามการค้าและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน การถือข้างใดข้างหนึ่งจนออกนอกหน้ามากเกินไป ก็อาจจะทำให้อีกประเทศหนึ่งไม่พอใจ ถึงกับตัดสิทธิจีเอสพีก็เป็นได้ จึงอยากให้ประเทศไทยวางตัวให้เหมาะสม ถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจให้ดี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย ในภาวะความผันผวนของโลก ประเทศไทยต้องการผู้นำที่มีความรู้ความสามารถและความรอบรู้เพียงพอที่จะเข้าใจพลวัตรของโลก หากผู้นำไม่สามารถก้าวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทัน ประเทศไทยจะเสียหายและเสียโอกาสอย่างมาก เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

Verified by ExactMetrics