วันที่ 4 ธันวาคม 2024

รมว.ดีอีเอสแจงเล็งปรับปรุงกฎหมายยึดทรัพย์มิจฉาชีพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กันยายน 2567 รัฐสภา – “ประเสริฐ” แจง เตรียมปรับปรุงกฎหมายยึดทรัพย์มิจฉาชีพ หลังใช้มา 5 ปี เผย 3 ต.ค.เริ่มระบบ ผู้ขายของออนไลน์จะได้รับเงินต่อเมื่อผู้ซื้อได้ดูสินค้าแล้ว พร้อมชะลอการจ่ายเงินเป็นระยะเวลา 5 วัน เตรียมหารือธนาคารควบคุมลิ้งก์ดูดเงิน

การประชุมวุฒิสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถาม นายกรัฐมนตรี เรื่องการฉ้อโกงออนไลน์ ของนาวาตรีวุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว. ถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งในโลกออนไลน์และปกติมีการหลอกขายของล่าสุดมีการขายทองออนไลน์ เมื่อเอาไปขายร้านทองก็ไม่รับ ถือเป็นการฉ้อโกงในรูปแบบหลอกให้เชื่อหรือหลอกขายของ มูลค่าการซื้อขายของออนไลน์แต่ละปีเป็นจำนวนนับแสนล้านบาท เมื่อเกิดเหตุการณ์หลอกขายของเกิดขึ้นจะทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องฉ้อโกงออนไลน์หมีเห็นทั่วไปเพราะมีการหลอกลวงกันเป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้ถ้าใครไม่ได้รับโทรศัพท์จากแก๊งก์คอลเซ็นเตอร์ถือว่าไม่รับโทรศัพท์เลยหรือไม่ทำทุรกรรมใดๆ บางคนทำธุรกรรมกับธนาคารไม่ถึงชั่วโมงก็มีคนโทรไปแล้ว ซึ่งตนยังโดนเลย และคิดว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์อันเจ็บปวดกับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ หลายคนถูกล่อหลวงให้กดลิ้งก์ เมื่อเร็วๆเร็วๆนี้เป็นของกรมบัญชีกลาง ซึ่งเมื่อช่วงเช้านี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ดูแลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล บุกจับเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง ที่เอาข้อมูลไปขาย

“ทุกวันนี้มีการแอบอ้างทั่วไปหมด แต่ที่แย่คือการจับกุมผู้ที่ดำเนินการไปล่อลวงคนอื่นไม่ค่อยมีข่าว ยิ่งทำให้คนที่บางครั้งเป็นคนดี ก็อยากมาเป็นคนไม่ดีเหมือนกันเพราะไม่เคยเห็นคนไม่ดีโดนลงโทษ รัฐมนตรีอาจจะบอกว่าคนที่เป็นมิจฉาชีพอยู่ต่างประเทศ มีการต่อสายสัญญาณไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทย บางทีเขาอาจจะทำในประเทศไทยด้วยซ้ำไป ซึ่งคดีเหล่านี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการพิจารณา หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ คดีก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจะทำอย่างไรเพื่อให้การดำเนินคดีเร็วขึ้น จึงอยากให้ทีมงานของกระทรวง ดีอีเอส ปรับกระบวนการแก้ปัญหาให้รวดเร็วขึ้น ทันต่อความต้องการของประชาชนและทันต่อยุคสมัย ยิ่งใกล้การเกษียณอายุอาจทำให้ผู้ที่เกษียณอายุถูกหลอกมากยิ่งขึ้น” นาวาตรีวุฒิพงศ์ กล่าว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงแทนนายกฯ ว่า ผลของการดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมาคดีต่างๆของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มาในรูปแบบต่างๆ ประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หลักๆ มีประมาณ 5-6 เรื่อง คือ 1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการคิดเป็น 29.73% คือการซื้อสินค้าไม่ตรงปก ซึ่งขณะนี้กระทรวงดีอีเอส ทำงานร่วมกับ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค และได้ออกมาตรการ COD ขึ้นมา นับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 67 เรื่องการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ผู้ขายจะได้รับเงินต่อเมื่อผู้ซื้อได้ดูสินค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีการชะลอการจ่ายเงินเป็นระยะเวลา 5 วัน เพราะฉะนั้น ว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการหลอกลวงได้ในระดับที่มีนัยยะ เนื่องจากคดีนี้สูงสุด แต่มีความเสียหายไม่มากนัก 2.การหลอกลวงหารายได้พิเศษคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.44% 3. การหลอกลวงการลงทุนทางระบบคอมพิวเตอร์ คิดเป็น 16% แต่มูลค่าความเสียหายจำนวนมาก รวมถึงการหลอกลวงที่เรียกว่าโรแมนซ์สแกม คือหลอกให้หลงรักก่อนแล้วชวนให้ลงทุนต่อ 4. การหลอกลวงโอนเงินเพื่อให้รับรางวัล 7% 5.หลอกให้กู้เงิน 7 % และ 6.คดีอื่นๆ 14%

“ยอมรับว่าคดีมีอยู่ 5 แสนกว่าเรื่อง ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) รับดำเนินคดีได้ประมาณ 6 หมื่นเรื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยผมจะรับข้อเสนอนี้ไปทำการปรับปรุงการดำเนินการเพื่อที่จะทำอย่างไรให้คดีมีความคืบหน้าและประชาชนสามารถติดตามสถานะของบัญชีได้ว่าขณะนี้เรื่องที่ร้องไป สตช. สถานะคดีเป็นอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ทางกระทรวงฯ ได้จัดตั้งศูนย์เอโอซี 1441 เป็นศูนย์ที่บริการพี่น้องประชาชนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันพี่น้องประชาชนที่รับความเดือดร้อนเรื่องการถูกหลอกลวงสามารถติดตามสถานะของท่านได้ที่ 1141 เราก็จะติดตามให้” นายประเสริฐ กล่าว

ส่วนเรื่องการต่อสายสัญญาณไปประเทศเพื่อนบ้านนั้น นายประเสริฐกล่าวว่า จริงๆเราได้ทำการปราบปรามอย่างหนักพอสมควรขณะนี้ตนได้ออกตรวจตามพื้นที่ในเขตชายแดนหลายแห่งและกำจัด แต่มิจฉาชีพก็มีความพยายาม ต่อสัญญาณเข้าไปเรื่อยๆเรื่องนี้ได้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม กสทช. สตช. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มิจฉาชีพเริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะการใช้สัญญาณดาวเทียมที่เกิดจากดาวเทียมโคจรในระยะต่ำ ที่มีจานรับสัญญาณโดยตรงซึ่งผิดกฎหมายในประเทศไทยในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กสทช.จะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป

นายประเสริฐกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการปรับปรุงกฎหมายขณะนี้มีกฎหมายหลายฉบับที่มีอายุครบ 5 ปีและมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรฐานความปลอดภัยด้านไซเบอร์และโทษต่างๆ ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปรับปรุง ซึ่งได้มีการพูดคุย กับปปง.ในเรื่องการเพิ่มมูลฐานความผิด การกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต่อไปจะเป็นมูลฐานความผิดหนึ่ง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหมายถึงการนำไปสู่การที่เราสามารถที่จะยึดทรัพย์กลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ ได้

“ส่วนกรณีลิ้งก์ที่มากับเอสเอ็มเอสนั้น เมื่อวันที่ 20 ก.ย. มาหลังจากที่นายกฯ ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า ในส่วนที่ประชาชนเกิดความเสียหาย ให้บริษัทโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์ในอนาคตต้องมีความร่วมมือในการรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ตนได้สั่งการให้ที่ประชุมศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ร่างข้อกำหนด และระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเชิญธนาคารโอเปอเรเตอร์มาซึ่งสิ่งที่แนบมากับเอสเอ็มเอสนั้น ต่อไปจะต้องมีการควบคุมเพราะแอปดูดเงินหรือลิ้งก์ต่างๆ ที่มากับเอสเอ็มเอสนั้นมีเป็นจำนวนมากและเป็นเรื่องที่ทางกระทรวงดีอีเอสจะต้องทำงานร่วมกับโอเปอเรเตอร์ และธนาคารแห่งประเทศไทยในการปราบปรามต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

Advertisement

นายกฯสั่งเน้นย้ำ เร่งกำจัดดินโคลน ระบุความทุกข์​ประชาชนต้องสั้นลง​ เผยเงินเยียวยาก้อนแรกเริ่มจ่ายแล้ว​

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 กันยายน 2567 นายกฯ “แพทองธาร” ส่งมอบสิ่งของอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือประชาชน จ.เชียงราย เน้นย้ำเร่งกำจัดดินโคลนระบุความทุกข์​ประชาชนต้องสั้นลง​ เผยเงินเยียวยาก้อนแรกเริ่มจ่ายแล้ว​

วันนี้ (22 กันยายน 2567) เวลา 09.30 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่งมอบสิ่งของอุปโภค-บริโภค และอุปกรณ์นำความสะอาดที่ได้รับจากเอกชน และหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการ “ประสานพลัง ประสานใจ” เพื่อส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ประสบภัยในจังหวัดเชียงราย โดยเครื่องบินกองทัพอากาศ (C130) โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมนำส่งสิ่งของอุปโภค-บริโภค และอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่ได้รับจากภาคเอกชน และหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการ “ประสานพลัง ประสานใจ” เพื่อส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยในจังหวัดเชียงราย ซึ่งวันนี้จะขนส่งใส่เครื่องบินกองทัพอากาศ C130​ ลำเลียงไปยังพื้นที่​  โดย​​ นายกฯ​ ได้นำสิ่งของส่วนตัวมาสมทบ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ประสบอุทกภัยด้วย ซึ่งมีทั้ง ไม้กวาด​ ถังน้ำ​ จอบ​ พลั่วแปรงขัดพื้น​ รวมไปถึงเสื้อผ้าเด็กอ่อน​ ของน้องธิธาร สุขสวัสดิ์ และ​น้องพฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์​ มาให้ด้วย​

นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์​สื่อมวลชน​ ถึงการนำเสื้อผ้าเด็กอ่อนมาร่วมบริจาคในครั้งนี้ ว่า ช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา​ให้ลูก ๆ ได้ช่วยกันเลือกว่า เสื้อผ้าชุดไหนที่เล็กแล้ว เพราะครั้งเมื่อไปจังหวัดเชียงราย ได้เห็นคนท้อง และมีเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่เต็มเลย จึงคิดว่าเสื้อผ้าเด็กเป็นอะไรที่ขาดแคลนนอกจากนี้ยังมีของใช้จำเป็น​ เช่น ไม้กวาด พลั่ว

ส่วนความคืบหน้าในการนำดินโคลนออกจากบ้านเรือนของประชาชน นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พลเอกธีระยุทธ จินหิรัญ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เป็นผู้ตอบแทน ว่า สถานการณ์ในการกำจัดโคลนเราเริ่มจากเส้นทางหลักก่อน จากนั้นจะเริ่มนำรถเข้าไปในพื้นที่ เพื่อที่จะเข้าตามบ้านเรือนแต่ละหลัง เพราะตอนนี้สภาพโคลนในบ้านแต่ละหลัง ท่วมสูงประมาณ 1-2 เมตร และที่จำเป็นต้องเคลียร์เส้นทางก่อนเพื่อที่จะสามารถขนดินบ้านเรือนของประชาชนออกได้

ขณะที่​ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเสริมว่า  ในส่วนของท่อระบายน้ำหลัก เราพยายามทำให้เคลียร์ก่อน เพราะถ้าดินโคลนที่เข้าไปแข็งตัวจะยิ่งปิดกั้นทุกอย่างและทำความสะอาดไม่ได้ ขณะที่บ้านเรือนต่างๆ ก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้ต้องแบ่งงานทุกภาคส่วนเพื่อจะได้รู้ใครทำอะไรบ้าง เพื่อกระจายความช่วยเหลือให้ทั่วถึง

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้วางกรอบหรือไม่กับการขนย้ายดินทั้งหมดออกจากบ้านเรือนของประชาชนจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ แล้วอยากให้เร็วที่สุด และต้องดูหน้างานด้วยไม่อยากสัญญาว่าเท่าไหร่ แต่จะทำให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้เพราะมันคือความเดือดร้อนจริงๆ พร้อมย้ำว่าเรื่องโคลนต้องเร็ว เพราะถ้ารอคือแห้งแข็งเอาออกยากกว่าเดิม แต่ในพื้นที่ต่างๆ ที่เกิดน้ำท่วมเรายังไม่มีการถอนกำลัง เผื่อมีพายุเข้ามาซ้ำจะได้มีกำลังช่วยเหลือ ทั้งพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่ภาคอีสาน นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง เช่น ศปช. ที่ตั้งขึ้นมา​ ก็มีการประชุมทุกวันในเวลา 09:00 น. ซึ่งตนจะเข้าร่วมประชุมด้วยในสัปดาห์หน้า

นายกรัฐมนตรี​ ยังกล่าวต่อว่า ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รับพระราชทานเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จำนวน 100 ตัว ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ดีมากๆ มาร่วมช่วยผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย

ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวเสริมว่า การขนดินจะแบ่งเป็นโซน ใครรับผิดชอบส่วนไหนทำเลย ตอนนี้เรามีกำลังของกรมทางหลวง กรมทหารพัฒนา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และยังมีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงอาสาสมัครต่างๆ เข้ามาช่วยด้วย ขณะที่ส่วนกลางก็เติมอุปกรณ์การช่วยเหลือ นอกจากนี้ในเรื่องของการกำจัดขยะ ทางกองทัพที่จังหวัดเชียงราย ได้มีการไปขุดที่ดิน 1-2 ไร่ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีก 20 ไร่ เพื่อนำขยะและดินโคลนไปฝังกลบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงเส้นทางที่ถูกตัดขาดบนภูเขา ขณะนี้ได้ดำเนินการแก้ไขแล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้จัดส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการแล้ว

ส่วนเรื่องการเยียวยาจะมีการปรับหลักเกณฑ์เพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากผู้ประสบอุทกภัย บางหลังคาเรือนได้รับความเสียหายถึงหลักล้านบาท นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องการเยียวยาก่อนหน้านี้ เราเคยมีการเยียวยาไปถึง 200,000 กว่าบาท เราก็ต้องมาพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง แต่เบื้องต้นต้องได้รับเงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์แรกก่อน จากนั้นจึงจะมาพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่อีกครั้ง เพราะไม่อยากให้รอพร้อมกันทีเดียว จะทำให้ชาวบ้านไม่ได้เงินไปซ่อมแซมบ้าน

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การเยียวยาหลักเกณฑ์แรกมีการทยอยจ่ายไปแล้วหรือไม่ นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า​ ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว รายละเอียดกลับมาโดยขณะนี้บางส่วนยังรอการสำรวจรายละเอียดกลับมา หากมีการยืนยันก็สามารถจ่ายได้เลย

ด้านนายภูมิธรรม กล่าวเสริมว่า ตอนนี้ได้มีการประเมินขั้นต้นว่ามีความเสียหายอย่างไรบ้างแล้ว ซึ่งใช้หลักเกณฑ์เดิมในการจ่ายไปก่อน ส่วนหลักเกณฑ์ใหม่ขณะนี้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) กำลังพูดคุยกัน เพื่อจะปรับหลักเกณฑ์และเพิ่มเงินเยียวยาใหม่ และในวันอังคารนี้จะมีการประชุมกับผู้ว่าฯทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าใจกฎเกณฑ์ในการจ่ายเงินเยียวยา

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า หลักเกณฑ์แรกได้มีการสำรวจความเสียหายไปแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจะแบ่งจ่ายเงินเป็นสองก้อน ก้อนแรกคือหลักเกณฑ์เดิม ซึ่งจะทยอยจ่ายถึงมือชาวบ้านได้ ส่วนก้อนที่สองจะเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ ที่ ศปช. กำลังพิจารณาอยู่ เพราะหากต้องรอกรอบใหม่ เงินก็จะยังไม่ถึงมือชาวบ้าน ตอนนี้สิ่งที่เน้นย้ำคือความรวดเร็ว เพราะความทุกข์ นับเป็นวันๆ เป็นชั่วโมง จึงอยากดันทุกมาตรการออกมาให้เร็วที่สุด รวมถึงการช่วยเหลือด้านอื่นๆ เพื่อบรรเทาความทุกข์ ให้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากรอบใหม่จะได้ความชัดเจนเมื่อไหร่  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ใกล้มีความชัดเจนก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ได้คุยกับคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวันจันทร์นี้ก็จะมีการประชุมเรื่องนี้แล้ว

ส่วนหลังจากนี้ จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้างโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัย นายกรัฐมนตรีระบุว่า ก่อนที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเบื้องต้นก็ได้มีการพูดคุยกับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขอให้ตรึงราคาสินค้า เพราะไม่ใช่ว่ามีวิกฤตแล้วราคาสินค้าก็ขึ้นทันที ชาวบ้านก็ไม่ไหว ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้มีแผน รวมถึงเรื่องของการท่องเที่ยว และมีอีกหลายแผน ที่ได้พูดคุยไว้แต่ตอนนี้ ขอเรื่องความช่วยเหลือและเยียวยาให้สำเร็จก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้เริ่มมีการ ฉวยโอกาสขึ้นราคาค่าขนดิน ของเอกชนบางเจ้า จะมีการกำชับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราไม่ได้ไปพูดคุยกับเอกชน ในเรื่องธุรกิจของเขา แต่เราได้นำเอกชนของเราเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เรื่องนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในความดูแลของรัฐบาล และเรื่องนี้ก็ต้องมีการพูดคุยแยกกัน แต่อยากจะขอประชาสัมพันธ์ ว่าใครที่อยากจะช่วยพี่น้องชาวเชียงราย ในเรื่องของการขุดดิน เรื่องน้ำและการทำความสะอาด และใครที่มีจิตอาสาก็สามารถมาร่วมกันได้ เพราะขณะนี้เรามีอุปกรณ์และเครื่องมือจำนวนมาก ส่วนเรื่องธุรกิจของใครเราขอไม่เข้าไปก้าวก่าย เพราะถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน แต่ถ้าใครจะมาเป็นอาสาสมัครเรายินดีและพร้อมเปิดรับ

ด้านนายภูมิธรรมกล่าวว่าเราได้จัดหน่วยราชการและเอกชน ที่มีความพร้อม เพื่อดำเนินการเรื่องดินโคลน ที่ต้องเร่งแก้ปัญหาก่อน

“วันนี้เราได้มีการส่งต่ออาหารแห้ง แต่ในพื้นที่ก็ยังมีโรงครัวเพื่อประกอบอาหาร ซึ่งสำหรับอาหารแห้ง ก็ยังเก็บไว้ต่อได้ ซึ่งก็จะเป็นต้นทุนในการฟื้นตัวหลังจากนี้  ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจังหวัดเชียงราย ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชื่นชมกองทัพทำงาน-ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยต่อเนื่อง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 กันยายน 2567 ทำเนียบ – นายกรัฐมนตรีชื่นชมกองทัพทำงาน-ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ยืนยันทุกภาคส่วนพร้อมช่วยเหลือประชาชนเต็มที่

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชื่นชมกองทัพลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง เต็มกำลังความสามารถในทุกพื้นที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานกองทัพได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยได้ทำการช่วยเหลือประชาชน ดังนี้ 1. จุดซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า โดย รร.ชท.สปท. บริเวณหน้าด่านสะพานแม่สาย 1 2. ชุมชนบ้านเหมืองแดง โดย สนภ.3 นทพ. และ นพค.34ฯ 3. ถนนเกาะทรายริมน้ำ โดย นพค.35ฯ ร่วมกับ ปภ. และ 4. ชุมชนบ้านเกาะทราย โดย นพค.31ฯ นพค.32ฯ และ นพค.33ฯ

“ขอบคุณกองทัพและเป็นกำลังใจให้กำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน บรรเทาความเดือดร้อน อยู่เคียงข้างประชาชน เร่งทำงานฟื้นฟูให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยืนยันรัฐบาลและทุกภาคส่วนพร้อมช่วยเหลือประชาชนเต็มที่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

Advertisement

ครม.อนุมัติงบกลาง เยียวยาน้ำท่วม 3,045 ล้านบาท สั่งลดขั้นตอนทางเอกสาร เร่งช่วยประชาชนให้เร็วที่สุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กันยายน 2567 ทำเนียบ – นายกฯ เผย ครม.อนุมัติงบกลาง เยียวยาน้ำท่วม 3,045 ล้านบาท กำชับลดขั้นตอนทางเอกสาร เร่งช่วยประชาชนให้เร็วที่สุด ชี้พรุ่งนี้ชัดเจนจ่ายเงินเยียวยา หลัง ศปช.ประชุมนัดแรก บอกมีแผนเตรียมพูดคุยกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หาทางออกระบายน้ำร่วมกัน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอในหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 และขออนุมัติงบกลางฯรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2567 วงเงิน 3,045 ล้านบาท โดยขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบให้เหมาะสมกับสถานการณ์และลดขั้นตอนเอกสารที่จะต้องยื่น เพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว

พร้อมสั่งการให้ทุกส่วนราชการ พิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเพิ่มเติม จากกรณีปกติที่ดำเนินการอยู่แล้ว หากมีเรื่องใดที่มีความจำเป็นที่จะต้องเสนอ ครม. ก็ให้เร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนกรอบระยะเวลาที่จะจ่ายเงินเยียวยาได้เร็วที่สุดจะเป็นเมื่อไหร่ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวาน (16 ก.ย.) รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ซึ่งจะมีการเรียกประชุมในวันพรุ่งนี้ (18 ก.ย.67) คาดว่าจะมีรายงานออกมาจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธาน ศปช.

เมื่อถามถึงการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นต้นทางน้ำ เพื่อหารือถึงมาตรการการระบายน้ำร่วมกันหรือไม่ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ กำลังจะมีการพูดคุยกับประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง เช่น ประเทศเมียนมา เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นปัญหาที่ไทยพบเจอเป็นระยะเวลายาวนาน และมีแผนในใจอยู่แล้วว่าอยากจะทำเรื่องนี้ให้จริงจัง เพราะเป็นความเดือนร้อนของประชาชนมายาวนาน และการจัดการน้ำก็เป็นแผนภาพใหญ่ซึ่งน้ำมาจากหลายทิศทาง ทั้งนี้ประเทศไทยก็เป็นประธานในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงด้วย คิดว่าไทม์ไลน์ก็สามารถเริ่มพูดคุยได้ทันที

Advertisement

นายกฯ พร้อมคู่สมรส เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 กันยายน 2567 วัดราชบพิธฯ – “แพทองธาร” นายกฯ พร้อม คู่สมรส เข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ก่อนเข้าปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลวันแรก นัดประชุมแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำ เตรียมตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เวลา 14.00 น. วันนี้

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส เดินทางมายังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ณ พระตำหนักสมเด็จพระสังฆราช และอาคารสัมฤทธิ์ ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

โดยนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงในเวลา 09.05 น. จากนั้นได้วางพวงมาลัยถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านข้างพระอุโบสถ ก่อนเดินเข้าสู่พระตำหนักอรุณ ถือเป็นการเข้าเฝ้าฯหลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ในการนี้สมเด็จพระสังฆราช ได้มอบพระพุทธวรายุวัฒนศาสดา ฉลองพระชนมายุ 8 รอบ 26 มิถุนายน 2566 และหนังสือ ประมวลพระโอวาท พระคติธรรม และพระสัมโมทนียกถา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นหนังสือที่ระลึกการจัดงาน ฉลองพระชนม์มายุ 8 รอบ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566

จากนั้นนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นการเข้าปฏิบัติงานวันแรกของนางสาวแพทองธาร หลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยในเวลา 14.00 น. วันนี้ (16 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) คณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม และจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

Advertisement

พรุ่งนี้ (16 ก.ย.) นายกฯ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับมือเหตุน้ำท่วม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กันยายน 2567 พรุ่งนี้ (16 ก.ย.) นายกฯ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับมือเหตุน้ำท่วม จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย

วันนี้ (15 กันยายน 2567) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ ( 16 กันยายน 2567) จะเรียกประชุมทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับมือเหตุน้ำท่วม ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) , คณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม และจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ เพื่อให้ทุกภาคส่วนบูรณาการเข้ามาบริหารจัดการวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้อย่างคล่องตัวรวดเร็วมากขึ้น และเพื่อให้การเตรียมการรับมือและเผชิญเหตุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำแนวทางการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในห้วงต่อไป เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง และลดผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด

“จังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ขอให้เร่งเข้าความช่วยเหลือประชาชนที่ยังติดค้างอยู่ในที่อยู่อาศัย โดยจัดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับผู้ประสบภัยให้เพียงพอ ตลอดจนให้ดูแลด้านการดำรงชีพเบื้องต้นให้เพียงพอ เหมาะสม และให้พิจารณาความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะผู้ประสบภัยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก และผู้ป่วย รวมถึงจัดทีมแพทย์เข้าดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจผู้ประสบภัย พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบภัย และเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าและน้ำประปาที่ได้รับความเสียหาย ต้องกลับมาให้บริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว” นายกรัฐมนตรี กำชับ

Advertisement

ขึ้นค่าแรง 400 บาท ต้องรอ “คกก.ไตรภาคี” เคาะ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กันยายน 2567 รัฐสภา วานนี้ (13 ก.ย.) – “พิพัฒน์” ชี้ขึ้นค่าแรง 400 บาท ต้องรอผลประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ยันรัฐมนตรีไม่มีแทรกแซง ส่วนปม ปชน. เสนอลาคลอด 180 วัน ภท. ขอเจอคนละครึ่งทางที่ 120 วัน

การประชุมร่วมรัฐสภา เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุกขึ้นชี้แจงเป็นรายประเด็น โดยประเด็นแรก คือ เรื่องของการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ต้องทำใน 2 มิติ คือ มิติของผู้ใช้แรงงาน และมิติของผู้ประกอบการ ต้องหาความสมดุลให้ได้ดีที่สุด หากเอียงหรือหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้พิจารณาหารือในหลายๆ มิติว่า การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาท เริ่มได้เมื่อไหร่ ซึ่งตนเองก็ได้ให้สัมภาษณ์อยู่หลายครั้งว่า เราจะประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพร้อมกันทั้งประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพราะต้องรอคณะกรรมการไตรภาคี ที่จะประชุมในวันที่ 17 และ 24 กันยายนนี้ เมื่อเราได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการไตรภาคี ก็จะประกาศขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคมได้

ส่วนแรงงานภาคใดที่ยังไม่ได้รับการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในวันที่ 1 ตุลาคม ก็จะพิจารณาและประกาศอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 1 มกราคม 2568

ส่วนเรื่องสิทธิวันลาคลอด ในอดีตเราให้ 90 วัน แต่ปัจจุบันขยายให้ถึง 98 วัน โดยนายจ้างรับผิดชอบ 49 วัน ประกันสังคมรับผิดชอบ 49 วัน ซึ่งตนเองจะนำเสนอในรัฐบาลชุดนี้ แต่ได้ทราบว่า พรรคประชาชน ก็จะนำเข้าเสนอ 180 วัน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีข้อเสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเจอกันคนละครึ่งทางที่ 120 วัน ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่ขอให้สภาได้ตัดสิน ทางกระทรวงแรงงานพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ในกรณีที่สภาได้มีการลงมติร่วมกัน

ส่วนกรณีการพัฒนาประสิทธิภาพของกองทุนประกันสังคม สำหรับเงินสมทบที่รัฐบาลปัจจุบัน ที่สมาชิกรัฐสภาได้ทวงเงินจากรัฐบาลให้กับกองทุนประกันสังคมนั้น คาดว่าภายใน 7 ปี จะใช้หนี้ให้กับกองทุนประกันสังคมได้หมด

Advertisement

นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มั่นใจเป็นรัฐบาลแห่ง “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” เดินหน้าพลิกฟื้นประเทศ ผลักดันประโยชน์วันนี้ เพื่ออนาคตของประชาชนทุกคน

วันนี้ (12 กันยายน 2567)  เวลา 10.15 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยืนยันเจตนารมณ์และนโยบายรัฐบาลสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการพัฒนา และสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชาชนทุกคน

ช่วงแรกของการแถลงนโยบายรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ระบุถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญทั้ง 9 ประการ  ได้แก่ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและความเหลื่อมล้ำของประชาชน  ความท้าทายจากสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ความมั่นคงของสังคมถูกท้าทายจากการแพร่ระบาดยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์   การประสบปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการ SMEs  ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและการแข่งขันทางการค้าจากต่างประเทศ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองยาวนานอันเป็นผลจากการรัฐประหาร ระบบราชการไม่สามารถตอบสนองประชาชนได้อย่างเต็มที่ และการเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

จากนั้น นายกรัฐมนตรีแถลงกล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำทันที เพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด ได้แก่ 1. ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ 2. สนับสนุนผู้ประกอบการไทย SMEs 3. ลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค  4. การนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี 5. กระตุ้นเศรษฐกิจโครงการดิจิทัลวอลเล็ต  6. เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรและราคาพืชผลเกษตร ยกระดับรายได้เกษตรกร 7. ส่งเสริมการท่องเที่ยว 8. แก้ปัญหายาเสพติด 9. เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม  10. ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคม

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายระยะกลางและระยะยาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน วางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ประกอบด้วย 1. การสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม 1.1 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนตืสันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (HEVs PHEVs BEVs และ FCEVs) 1.2 ส่งเสริม ยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ 2. ส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต  2.1 ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) 2.2 ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 2.3 มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) 2.4 มุ่งสู่เป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub) 3. พัฒนาโครงสร้างเพื่อขยายโอกาส 3.1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยและนวัตกรรม 3.2 เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ (Mega Projects) 3.3 เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ 3.4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 3.5 เปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ 3.6 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม 2. ยกระดับทักษะและปลดล็อกศักยภาพของคนไทยเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ 3. ยกระดับระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งกว่าเดิม ต่อยอดจากรัฐบาลที่แล้วจากพื้นฐานความสำเร็จหลายสิบปีของนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” มาเป็น “30 บาทรักษาทุกที่” 4. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ส่วนของการสร้างความยั่งยืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะดำเนินการควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย 1. ให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ 2. ยกระดับการบริหารจัดการน้ำ  3. สานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  ขณะที่การพัฒนาการเมือง รัฐบาลจะต้องพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างชาติ ในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมีเสถียรภาพมีนิติธรรมและความโปร่งใส ประกอบด้วย 1. เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น 2. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law) และความโปร่งใส (Transparency)  3. ปฏิรูประบบราชการและกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 4. ยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น ท้ายนี้ รัฐบาลจะแปลงความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอํานาจ ไปสู่ยุทธศาสตร์ที่จะเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยและเกื้อกูลผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ประกอบด้วย 1. รักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความยัดแย้งระหว่างประเทศไทย (Non-Conflict) 2. เดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้าง Soft Power

ในตอนท้ายของการแถลงนโยบายฯ นายกรัฐมนตรีย้ำเจตนารมณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไก ในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้ กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วย

Advertisement

นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด-อาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพ-สันติสุขชายแดนใต้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นสร้างความปลอดภัยของ ปชช. และความมั่นคงของชาติ

วันนี้ (12 กันยายน 2567) เวลา 09.39 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์แบบไร้รอยต่อ เสริมสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี แถลงถึงปัญหาที่กระทบต่อสังคมและสร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล คือ ปัญหายาเสพติดและ ปัญหาอาชญากรรมและอาชญากรรมออนไลน์ว่า “..รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู้กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม..”

รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อป้องกันผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านและสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

ในการแถลงต่อรัฐสภา นายกรัฐมนตรียังระบุถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า รัฐบาลมุ่งเน้นจะเร่งรัดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยการยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตย สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รวมถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนด้วย

ทั้งนี้ ในคำแถลงนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุถึงความมั่นคงความปลอดภัยของสังคมถูกคุมคามจากการแพร่ระบาดของยาเสพติด ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 พบว่ามีคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 และมีจำนวนผู้ติดยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 1.9 ล้านคน นอกจากนี้อาชญากรรมออนไลน์และการพนันออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง โดยมีสถิติการรับแจ้งความกว่า 5 แสนเรื่อง มีมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่า 6 หมื่นล้านบาทด้วย

Advertisement

“จุลพันธ์” ชง ครม. 17 ก.ย. โอนเงินสวัสดิการ 1 หมื่นบาท 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มแรก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กันยายน 2567 “จุลพันธ์” รมช.คลัง เผยชง ครม. 17 ก.ย.นี้ พิจารณาโอนเงินสวัสดิการ 1 หมื่นบาท 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มแรก

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ย.) กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟสแรก ในการโอนเงินสวัสดิการคนละ 10,000 บาท จำนวน 14.5 ล้านคน ในเดือนกันยายนนี้ เป็นกลุ่มแรก

จากนั้น เฟส 2 กำหนดให้เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยนำรายชื่อกลุ่มผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ขณะนี้มีจำนวน 32 ล้านคน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 กันยายน 67 มาผลักดันโครงการ พร้อมกับกลุ่มที่ 3 ผู้ไม่มีมือถือ จะเริ่มนัดให้ลงทะเบียนผ่านแบงค์รัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ บริการลงทะเบียนให้กับประชาชน ระหว่าง 16 ก.ย.-15 ต.ค.67

ทั้งนี้ ยอมรับว่าประชาชนกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 3 จะมีบางรายชื่อซ้ำซ้อนกัน ทำให้กลุ่ม 3 จำนวนลดลง รัฐบาลยังมุ่งใช้ประโยชน์จากแอปทางรัฐ เพื่อให้บริการประชาชนในหลายด้าน เพื่อดูแลสวัสดิการให้ครบวงจร

Advertisement

Verified by ExactMetrics