วันที่ 26 พฤศจิกายน 2024

เลขาฯ กกต. มั่นใจระบบนับคะแนน ECT Report โปร่งใสแม่นยำ

People Unity News : 24 กุมภาพันธ์ 2566 เลขาฯ กกต. ยืนยันระบบนับคะแนนเลือกตั้ง ECT Report โปร่งใสแม่นยำ ตรวจสอบได้ คาดรู้ผลไม่เป็นทางการคืนวันเลือกตั้ง รอศาล รธน.วินิจฉัยราษฎรแบ่งเขต เชื่อไม่กระทบไทม์ไลน์

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการรายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบเรียลไทม์ หรือ ECT Report ว่า ยังทำเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนคนกรอกข้อมูล เพราะงานของ กกต. ความถูกต้องต้องมาก่อน เพราะเป็นหน่วยงานราชการ ผิดไปคะแนนเดียวก็ไม่ได้ นี่คือเป้าหมาย ถ้าให้กรรมการประจำหน่วย (กปน.) ซึ่งเป็นชาวบ้านกรอกก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะไม่ถูกต้อง เมื่อตรวจสอบเอกสารรายงานผลคะแนนหน้าหน่วย (แบบ ส.ส. 5/18) ถูกต้องแล้วติดหน้าหน่วย จากนั้นคะแนนจะไหลเข้าไปในระบบ จะทยอยเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วให้สื่อมาเชื่อมต่อกับเรา

“เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ก็จะมาตกลงกับสื่อมวลชนว่าจะนำเสนอข้อมูลอย่างไร จะไม่นำเสนอกับประชาชนเอง ส่วนรูปแบบการนำเสนอก็อยู่ที่สื่อจะนำเสนอ ข้อมูลที่สื่อจะได้รับก็ตั้งแต่คะแนนแรกที่ กกต.กลางได้รับข้อมูล ผมไม่สามารถระบุเวลาได้ เมื่อแต่ละหน่วยตรวจสอบความถูกต้องแล้ว แล้วกรอกข้อมูลในเอกสาร 5/18 แล้วนำไปติดหน้าหน่วย แล้วนำสำเนาของ 5/18 ในระบบ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบว่าตรงกันหรือไม่ คนที่บวกคะแนนไม่สำคัญเท่ากับเอกสาร 5/18 ที่ติดหน้าหน่วยกับเอกสาร 5/18 ในระบบที่ตรงกัน ซึ่งในเอกสาร 5/18 มี กปน.ลงชื่อทั้งหมด 9 คน ยืนยันไม่มีใครแก้คะแนน” เลขาธิการ กกต. กล่าว

เมื่อถามว่า จะรายงานผลเลือกตั้งเป็นระยะหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสื่อที่จะนำข้อมูลไปเผยแพร่ แต่การคำนวณสัดส่วนประชากรต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง อาจเกิดการผิดพลาดทางเทคนิคแล้วระบบล่มได้ จึงเป็นเรื่องทางเทคนิค

ส่วนกรณีการนับคะแนนเลือกตั้งที่มาจากต่างประเทศครั้งที่ผ่านมาเกิดข้อผิดพลาดที่นับคะแนนไม่ทัน ครั้งนี้วางแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้คะแนนตกน้ำหรือไม่ เลขาธิการ กกต. กล่าว กกต.เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว เพราะมีบทเรียนและจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยจะติดตามถุงส่งบัตรลงคะแนนไม่ให้คลาดสายตา เพื่อจะให้มาถึงก่อนวันเลือกตั้งแล้วนำส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิ ยืนยันว่ามีแนวทางป้องกันคะแนนสูญเปล่าไว้แล้ว ประชาชนสามารถเข้าถึงการรายงานผลตามระบบ ECT Report ได้ โดยติดตามได้ที่หน่วยเลือกตั้ง และเข้าเว็บไซต์ของ กกต.แต่ละจังหวัด

“ขณะนี้ ECT report กำลังพัฒนาใกล้จะเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนกับระบบเดิม เพราะ กกต.เป็นผู้ดำเนินการเอง การรายงานผลคะแนนครั้งนี้น่าจะได้รับความสนใจและเร็วที่สุด ภายในคืนวันเลือกตั้งน่าจะรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ทั้งนี้ หากซักซ้อมให้ดี อำนวยความสะดวกทั้งเรื่องการนับคะแนน และการให้ประชาชนลงคะแนน ภายในคืนนั้นก็น่าจะทราบผลทั้ง 77 จังหวัด กกต.ตั้งเป้าหมายการรายงานผลถูกต้องทั้งคะแนน และทุกอย่างถูกต้อง 100% โดยนำบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วพิจารณาว่าทำอย่างไรให้มีเงื่อนไขให้น้อยที่สุด ในส่วนของ กกต. ยังไม่มีเงื่อนไขอะไร และอยากทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อยและถูกต้องที่สุด” นายแสวง กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการคำนวณสัดส่วนราษฎรต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว ขอให้สบายใจได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด ส่วนไทม์ไลน์การแบ่งเขตอาจจะขยับบ้าง แต่ไม่เกินตามที่วางไว้ ซึ่งพยายามเร่งเวลาการทำงาน เพราะ กกต.ต้องให้เวลากับพรรคการเมืองในการทำไพรมารี ซึ่งการดำเนินการยึดตามอายุครบของสภาฯ คือเวลาที่นานที่สุดแล้ว แต่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่พรรคการเมืองจะทำไพรมารี ซึ่ง กกต.ให้เวลาพรรคการเมืองทำไพรมารี 10 วัน

นายแสวง กล่าวว่า ช่วงเลือกตั้งยังสามารถทำโพลสำรวจได้ แต่อย่าชี้นำหรือจูงใจ และอย่าเปิดเผยก่อน 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง แต่ให้ไปเปิดเผยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถามกรณีนายแสวง ระบุว่า ในช่วงการเลือกตั้ง 18 ชั่วโมง หากไม่ทำให้เรียบร้อยจะอยู่ไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า การบริหารจัดการของสำนักงาน กกต. ต้องมีประสิทธิภาพ ซึ่งตนพูดกับพนักงานของตนเสมอว่า เราทำงานเหนื่อยขนาดนี้ ยังมีคนไม่เข้าใจ อย่างเรื่องบัตรหรือเรื่องอื่น ๆ ที่พนักงาน กกต.ไม่ได้ทำ แต่ กปน.ทำ โดย กกต.เป็นคนออกแบบให้ กปน.ทำงาน ซึ่งต้องไม่มีความผิดพลาดในหน่วยเลือกตั้ง อย่าให้ประชาขนเคลือบแคลงใจในการทำงาน

เมื่อถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าโปร่งใส นายแสวง กล่าวว่า คำว่าโปร่งใส บางอย่างเห็นได้ หากผลในเอกสาร 5/18 ผิด ระบบก็จะแจ้งขึ้นมาทันที เราออกแบบเพื่อให้โปร่งใสที่สามารถดูได้ทุกครั้ง ดูได้ทุกอย่าง แต่บางอย่างถ้าเกิดความสงสัย ก็สามารถตรวจสอบได้ จึงออกระบบมาเช่นนี้ การนับคะแนนเหมือนเดิม เพียงแค่เปลี่ยนคนกรอก ระบบก็จะเปลี่ยน เพราะคนกรอกแสนแผ่นก็กรอกไม่ไหว จึงต้องเปลี่ยนระบบให้โปร่งใสและดีขึ้น

Advertisement

“ประยุทธ์” ส่งเสริม 16 เทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ

People Unity News : 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งส่งเสริมฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สร้างรายได้แก่ประชาชน ผ่านการคัดเลือกเทศกาลประเพณีทั่วประเทศที่โดดเด่น เพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีไทย (Festival) ไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล ขับเคลื่อน Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพ 5F (Food, Fight, Film, Fashion, Festival) โดยแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 16 ประเภท ซึ่งทั้ง 16 เทศกาลประเพณีที่ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ แสดงออกถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด ส่งเสริมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเผยแพร่ประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จัก ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศชาติ

สำหรับเทศกาลที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 16 ประเภท ได้แก่ 1) ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ปัตตานี 2) เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง จ.อุดรธานี 3) ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง จ.น่าน 4) ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก “มาฆบูชา อารยธรรมอีสาน” จ.ยโสธร 5) ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 6) เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art จ.นครราชสีมา 7) เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ปราสาทศิลา “สด๊กก๊อกธม” จ.สระแก้ว 8) เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ จ.สกลนคร 9) เทศกาลอาหารอร่อย เมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร จ.ภูเก็ต 10) ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส จ.ชลบุรี 11) เทศกาล “นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี” จ.แม่ฮ่องสอน 12) ประเพณีตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา จ.สระบุรี 13) ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร จ.นครพนม 14) เทศกาลไทลื้อ “โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ” จ.พะเยา 15) เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ จ.เพชรบุรี และ 16) เทศกาลโคมแสนดวงที่เมืองลำพูน จ.ลำพูน

“นายกรัฐมนตรีทราบถึงแผนการดำเนินงานการคัดเลือกเทศกาลประเพณีที่มีความโดดเด่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก เป็นการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย และสร้างมูลค่าให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนและยกระดับ Soft Power ของไทยด้านอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ และมีความโดดเด่น เพื่อสืบสาน ยกระดับประเพณีอันดีงามของไทย รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อความยั่งยืน ตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

ตั้ง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” เป็น ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ

People Unity News : 18 กุมภาพันธ์ 2566 รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เผย ก.ทรัพยากรธรรมชาติฯ มีคำสั่งแต่งตั้งให้ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” เป็น ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ย้ำให้จัดระเบียบการเก็บเงินรายได้ของอุทยานแห่งชาติโปร่งใส พร้อมขยายผลการใช้ E-Ticket ตลอดจนพัฒนาอุทยานแห่งชาติ รองรับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีคำสั่งแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) เป็น ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ โดยมีผลทันที

นายอรรถพลกล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้นายชัยวัฒน์เร่งจัดระเบียบการจัดเก็บเงินรายได้ของอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอย่างโปร่งใส พร้อมทั้งให้เร่งขยายระบบการจัดเก็บเงินค่าบริการและระบบการจองล่วงหน้าด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศหรือระบบออนไลน์ (E-Ticket) ซึ่งระบบนี้ จะให้ชำระเงินผ่านบัตรเครติตและเดบิตหรือชำระเงินผ่าน Thai OR Payment โดยเงินเข้าบัญชีของกรมเท่านั้น ลดการจัดเก็บและรักษาเงินของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและลดปัญหาการทุจริตจากการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการของอุทยานแห่งชาติต่างๆ

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้พัฒนาอุทยานแห่งชาติรองรับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เนื่องจากที่ผ่านมาอุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีปัญหาการบุกรุกพื้นที่เพื่อสร้างรีสอร์ต แล้วส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเพื่อรองรับการท่องเที่ยวจะคำนึงเฉพาะด้านเศรษฐกิจไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญต่อการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย

สำหรับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นผู้เข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ถึงพฤติกรรมเรียกรับสินบนของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อแลกกับการแต่งตั้งโยกย้าย จนนำมาสู่การจับกุมในห้องทำงาน พบหลักฐานเป็นเงินสดเกือบ 5 ล้านบาท ขณะนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการไต่สวนความผิดแล้ว ต่อมาปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง เบื้องต้นพบมูลความผิด จึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างกระบวนการกล่าวโทษ

Advertisement

นายกฯ แจงสภา บอกขอตอบเรื่องที่เป็นสาระ

People Unity News : 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ แจงสภา ขอตอบอะไรที่เป็นสาระ เหน็บย้อนดูตัวเองบ้างบอกตำรวจ-ทหารแย่ รัฐบาลไม่มีผลงาน “ผมน้อยใจเหมือนกัน” ฉุนฝ่ายค้านบอกกล่าวลอยๆ ไม่ได้ว่าใคร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ในช่วงเย็น ว่า ข้อเสนอของฝ่ายค้านเป็นข้อเสนอที่รัฐบาลได้ทำมาอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของโรงไฟฟ้า ขอให้ไปดูในรายละเอียดอีกครั้งว่ากติกาว่าอย่างไร ทำไมตนจะไม่สนับสนุน ถ้ามันทำได้ ทำไมจะไม่อยากให้มันเกิด ถ้ามันเกิดได้ มันดีอยู่แล้ว ตนขอตอบในเรื่องที่เป็นสาระ เพราะท่านพูดหลายเรื่อง ทั้งเรื่องปลูกต้นไม้ ไม่ได้ยินที่พูดหรือว่าให้ปลูกอย่างไร สิ่งที่ท่านพูด ตนทำหมดแล้ว แต่ท่านไม่เห็นเอง ทั้งนี้ ในเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ยังมีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน รับส่วย อบายมุข ยาเสพติด การแต่งตั้ง พนันออนไลน์ ได้มีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการบริหารราชการบุคคลเกี่ยวกับการแต่งตั้งตำรวจ พ.ศ. 2565

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดว่ายังมีคดีโน้นคดีนี้ เป็นเรื่องของส่วนบุคคล และผู้บังคับบัญชาจะต้องกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด คนเรามีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่ใช่ว่ามันเลวทั้งหมด ว่าตำรวจ ทหารก็แย่ ก็ลองกลับมาย้อนดูตัวเองบ้างแล้วกัน ก็ขอให้เห็นใจบ้างแล้วกัน ตำรวจมีกำลังพล 2 แสนนาย ตำรวจดีๆ ยังมีอีกมาก ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ตำรวจคนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันก็แจ้งมาด้วยแล้วกัน ถ้ารายใดยังไม่ชัดเจน ตนเรียกมาสอบทุกราย หากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษก็ดำเนินคดีอาญาไปทุกราย

“ผมจำเป็นต้องรักษาศักดิ์ศรีของตำรวจที่ดี ไม่ใช่ว่าไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ดี ไม่ใช่แล้วผิดไปทั้งหมด ติมันง่าย ให้กำลังใจเขาบ้างเป็นไหม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมฝนแล้งตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แก้ปัญหาเรื่องขาดน้ำและน้ำแล้ง ไปย้อนดู 8 ปีที่ผ่านมา ทำอะไรไปบ้าง ท่านบอกน้ำยังท่วมอยู่ มันก็ต้องท่วม ฝนมันตก ถ้าฝนไม่ตก น้ำก็ไม่ท่วม โดยมาถึงจุดนี้มี ส.ส.ในสภาฯ ส่งเสียงหัวเราะ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “หัวเราะอะไร” และกล่าวต่อว่า สมัยก่อนท่านทำน้ำท่วมเท่าไหร่ และตนทำให้น้ำลดเท่าไหร่ รู้เรื่องหรือไม่ รายละเอียดติว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหา ตนว่าไม่เป็นธรรม ต้องพูดด้วยข้อเท็จจริง อย่าพูดด้วยความรู้สึกอย่างเดียว

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีบัญชีม้า ได้มีการเห็นชอบร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญ โลกมันเปลี่ยน เราก็ต้องปรับ กฎหมายก็ต้องแก้ ฉะนั้นกฎหมายที่เราจำเป็นต้องออกเป็นพระราชกำหนด เพื่อต้องการให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะต้องขออำนาจศาลในการปิด ฉะนั้นวันนี้เราจะต้องแก้ไขตรงนี้ และ 1 ปีที่ผ่านมา เราได้รับแจ้งความทั้งหมด 92,031 คดี และมีการติดตามบัญชี 65,872 บัญชี หากพระราชกำหนดออกมาก็จะปิดได้ทันที ส่วนเรื่องคิงส์เกต ตนชี้แจงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็อภิปรายซ้ำซากเหมือนเดิม

“ที่พูดมาอยากจะเรียนให้ทราบ ไม่ได้โอ้อวดหรือโม้อะไรให้ทุกคนเขาหมั่นไส้ มันไม่ดีตรงไหน หาที่ดีๆ ดูบ้าง จะได้ชื่นตา ชื่นใจ ไม่ดีก็แก้กันไป ท่านบอกว่า ทำไมประเทศไทยด้อยกว่าประเทศนั้นประเทศนี้ แต่จะต้องจำไว้ก่อนว่า เขาปกครองด้วยระบอบอะไร เขามีอำนาจมากแค่ไหน ผมพยายามใช้อำนาจที่อยู่ในกรอบ แต่เขาทำได้หมด ทุกอย่างเขาไม่ได้มีหลายพรรคการเมืองมานั่งแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังชี้แจงการทำงาน 8 ปีที่ผ่านมา ก็น้อยใจเหมือนกัน มีการเสนอโครงการเยอะไปหมด จะไปเลือกตั้งอะไรก็เชิญ แต่ตามกำหนดเวลาตามกฎหมาย วิเคราะห์มาแล้วไม่ขอเอ่ยชื่อ การเพิ่มอัตราเงินเดือน 25,000 บาท อบรมทักษะวิชาชีพ สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง จะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น 516,522 ล้านบาท อีกนโยบายเรื่องการจ่ายบำนาญอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 3,000 บาท/เดือน และผู้ป่วยติดเตียง 9,000 บาท เด็กและเยาวชนอายุ 7-22 ปี คนละ 800 บาท เป็นต้น ทำให้ภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นใหม่ 791,340 ล้านบาท จะออกนโยบายอะไรจะต้องดูเม็ดเงินว่ามาจากไหน

“ผมใช้เวลาไปเยอะพอสมควร เพราะทำเยอะเมื่อยพูด แต่จะให้โฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงทางโซเชียลมีเดีย ให้ท่านเถียงมาแล้วกัน ท่านจะเสนอแต่ข้างหน้าว่าจะทำโน่นทำนี่ แต่ทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้ แล้วท่านก็มาเคลม ผมอยู่ตรงนี้ ย้ำว่าผมไม่ได้กล่าวถึงใคร กล่าวลอยๆ พูดเฉยๆ ก็ดูเอาแล้วกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

Advertisement

กำหนดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 150-300 บาท/คน/ครั้ง

People Unity News : 14 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.อนุมัติร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ กำหนดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย 150-300 บาท/คน/ครั้ง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พ.ศ…. ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) เสนอ

ทั้งนี้ ร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยกำหนดค่าธรรมเนียม 300 บาทต่อคนต่อครั้ง สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางอากาศ และ 150 บาทต่อคนต่อครั้ง  สำหรับผู้เดินทางเข้าช่องทางบกและช่องทางน้ำ โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับผู้หนังสือเดินทางเพื่อการทูต กงสุล หรือการปฏิบัติราชการ (Diplomatic or Official Passport) ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพในประเทศไทย (Work Permit) หรือหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ   ตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ผู้โดยสารผ่าน (Transit Passenger) ทารกและเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี  และบุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการ ท.ท.ช. กำหนด

พร้อมกันนี้ ครม. ได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการตรวจลงตรา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมือง และให้ สตม. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมืองต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  การออกประกาศ ท.ท.ช. ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2562  ซึ่งให้ ท.ท.ช. สามารถเสนอต่อ ครม. ให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งใช้ในการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในระหว่างเที่ยวภายในประเทศไทย

นอกจากนี้ พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวฯ ยังบัญญัติให้จัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการพัฒนาการท่องเที่ยว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะด้านการการบริหาร การตลาด หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยวในชุมชน ดูแลรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ในท้องถิ่น รวมถึงการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจัดกตั้งกองทุนฯ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการศึกษาเชิงเปรียบเทียบแล้วพบว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศทั่วโลกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่เก็บค่าธรรมเนียมแล้วมีสวัสดิการคืนแก่นักท่องเที่ยวผ่านประกันอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และการส่งศพกลับประเทศ เพื่อดูแล ช่วยเหลือ เยียวยานักท่องเที่่ยว ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวนี้จะช่วยลดภาระงบประมาณในการดูแล เยียวยานักท่องเที่ยว และด้านสาธารณสุข จากการเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลไม่เต็มจำนวนมีความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินปีละประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี รวมถึงงบประมาณสำหรับการดูแลแหล่งท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว รวมทั้งงบประมาณสำหรับการดูแลพัฒนาสาธารณูปโภคที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ปลอดภัย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  สาระสำคัญของร่างประกาศฯ นอกจากจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมข้างต้นแล้ว ยังได้กำหนดกรอบเวลาของการบังคับใช้ซึ่งจะมีผลบังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา, การกำหนดบทนิยามต่างๆ ให้ชัดเจน, กำหนดวิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยทางอากาศยานให้จัดเก็บผ่านค่าโดยสารเครื่องบิน ส่วนทางบกและทางน้ำเก็บผ่านเว็บไซต์ โมบายแอปพลิเคชั่นและตู้ให้บริการชำระค่าธรรมเนียม (Kiosk)

โดยกำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยานและผู้ดำเนินการมีหน้าที่ลงทะเบียนกับกองทุนฯ เพื่อพัฒนาระบบของตนเองในการเชื่อมต่อเข้า นำส่ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้โดยสาร ข้อมูลชำระค่าธรรมเนียมกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมก่อนทำการบินเข้าประเทศไทย โดยผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการจะได้รับค่าตอบแทนในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากกองทุนฯ ตามที่ได้ตกลงกัน เป็นต้น

Advertisement

นายกฯ สั่งใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการผิดวินัยร้ายแรงอย่างเด็ดขาด

People Unity News : 12 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เอาจริง กำชับผู้บริหารกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหาร แก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเคร่งครัด ย้ำหากพบกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า สืบเนื่องจากข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยและจริยธรรมของข้าราชการ หากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ให้ใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง พร้อมกำชับสร้างความเป็นธรรมในการสอบสวนและให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดนั้น ล่าสุด เลขาธิการ ก.พ. ได้ลงนามหนังสือเวียนที่ นร 1011/ ว 4 เรื่อง การกำชับแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการ ที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งแนบแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงระบุ 3 แนวทางดำเนินการ ให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย และให้ผู้บังคับบัญชานำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

นายอนุชากล่าวว่า สาระสำคัญของหนังสือเวียนฯ ระบุว่า ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว 2169 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 แจ้งเวียนให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ที่ได้เห็นชอบตามมติ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ที่เห็นว่า กรณีที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของข้าราชการในเรื่องชู้สาว การล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศ รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำดังกล่าว ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยและจริยธรรมอย่างร้ายแรง ถือเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยเร็วด้วยการนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการโดยกำชับให้ผู้บังคับบัญชาเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาละเลยไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย

บัดนี้ได้ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนหลายกรณีว่ามีข้าราชการที่มีพฤติการณ์ในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น การเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง การอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนเรียกรับผลประโยชน์ที่มิควรได้ ดังนั้น เพื่อให้ธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ ตลอดจนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการดำเนินการของส่วนราชการ จึงเห็นควรกำชับให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากปรากฏว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายบ้านเมืองด้วย ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินคดีทางอาญาโดยเร็วต่อไป

นายอนุชากล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 4 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 มีสาระสำคัญกำชับให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย และให้ผู้บังคับบัญชานำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น การเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง การอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนเรียกรับผลประโยชน์ที่มิควรได้ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของทางสาธารณชน หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทางราชการ ทั้งนี้ สามารถใช้มาตรการทางการบริหารมาดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังต่อไปนี้

กรณีที่ข้าราชการผู้นั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลทุโทษ ให้รีบดำเนินการ ดังนี้

(1) กรณีมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดตามข้อ 78 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาสั่งให้ผู้นั้นพักราชการโดยเร็ว

(2) กรณีที่มีเหตุที่อาจถูกสั่งพักราชการตาม (1) และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาเห็นว่าการสอบสวนหรือพิจารณา หรือการดำเนินคดีนั้น จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้พิจารณาสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนตามข้อ 83 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 โดยเร็ว

กรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นตามข้อ 2 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2554 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นประจำกระทรวง ประจำกรม หรือประจำจังหวัด แล้วแต่กรณีเป็นการชั่วคราว โดยให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เดิมโดยเร็ว

กรณีที่ไม่มีเหตุที่จะสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 หรือสั่งให้ประจำส่วนราชการตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2554 ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินโดยเร็ว เช่น การสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน การย้ายไปปฏิบัติหน้าที่อื่น

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยและจริยธรรมของข้าราชการ กำชับให้ใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดหากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ตลอดจนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการดำเนินการของส่วนราชการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำให้ผู้บริหารทุกกระทรวง กรม และจังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเคร่งครัด เพื่อให้ธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

สภาเชิญชวนส่งเรื่องสั้น-บทกวีประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า

People Unity News : 8 กุมภาพันธ์ 2566 สภาเชิญชวนส่งเรื่องสั้น-บทกวีเข้าประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า เน้นการมีส่วนร่วมส่งเสริมประชาธิปไตย

น.ส.โสมอุษา บูรณะเหตุ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรองประธานกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2566 พร้อมด้วย รศ.ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย และนางชมัยภร บางคมบาง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2557 ในฐานะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2566 นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาและกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ร่วมเชิญชวนประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2566

รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2566 ได้จัดประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งในเรื่องสิทธิ หน้าที่ ความเสมอภาค และความรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย ผ่านวรรณกรรมไทยที่ทรงคุณค่าให้พัฒนาไปพร้อมกับสำนึกความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 22 แล้ว โดยแบ่งการประกวดออกเป็น 2 ประเภท คือ เรื่องสั้นและบทกวี

จึงขอเชิญชวนนักเขียนและประชาชนที่สนใจ ส่งผลงานเข้าประกวด ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 9 เม.ย. 66 โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานเผยแพร่ประชาธิปไตยและกิจกรรมสภาผู้แทนราษฎร สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โทรศัพท์ 0 2242 5900 ต่อ 5492 – 4 และติดตามข่าวสารการจัดประกวด และการตัดสินได้ที่ เฟซบุ๊ก “รางวัลพานแว่นฟ้า”

สำหรับผู้ที่ชนะการประกวดรางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศ ของทั้ง 2 ประเภท จะได้รับโล่รางวัลพานแว่นฟ้าของประธานรัฐสภา และเกียรติบัตร รางวัลชนะเลิศ ได้เงินรางวัล จำนวน 60,000 บาท และรองชนะเลิศ ประเภทละ 2 รางวัล ได้เงินรางวัล ๆ ละ จำนวน 40,000 บาท ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลชมเชย ซึ่งมีประเภทละ 10 รางวัล จะได้รับเกียรติบัตรของประธานรัฐสภา และเงินรางวัล ๆ ละ 20,000 บาท โดยผลงานที่ผ่านการพิจารณารอบกลั่นกรอง ทั้งประเภทเรื่องสั้นและบทกวีที่ไม่ได้รับรางวัลทุกผลงานจะได้รับเกียรติบัตรของประธานรัฐสภาด้วย

รศ.ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง กล่าวว่าวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น ต้นฉบับผลงานต้องเป็นภาษาไทย พิมพ์ลงในกระดาษ เอ 4 จำนวนไม่เกิน 8 หน้า พิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวพิมพ์ (16 พอยท์) ในกรณีที่ผู้ส่งผลงานเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ หรือทัณฑสถาน อนุโลมให้เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงได้ (ไม่เกิน 10 หน้า) สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกและการตัดสินนั้น ผลงานจะต้องมีเนื้อหาส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย มีชื่อเรื่องของผลงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีกลวิธีนำเสนอที่น่าสนใจ มีอรรถรสชวนอ่าน และมีคุณค่าในเชิงวรรณศิลป์ มีสำนวนและภาษาถูกต้องเหมาะสม และมีองค์รวมของความเป็นวรรณกรรม ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดต้องตรวจสอบต้นฉบับให้สมบูรณ์ หากส่งผลงานเข้าประกวดแล้วจะไม่สามารถขอแก้ไขหรือยกเลิกผลงานเดิมเพื่อส่งผลงานใหม่ได้ แม้ยังไม่หมดเวลารับผลงานก็ตาม

Advertisement

นายกฯ ร่วมงาน Amazing Muaythai Festival 2023 ณ อุทยานราชภักดิ์

People Unity News : 6 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีท่องเที่ยว ร่วมงาน Amazing Muaythai Festival 2023 ณ พื้นที่อุทยานราชภักดิ์

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาถึงอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้เดินทักทายผู้ที่มาต้อนรับ โดยสวมเสื้อสีเหลืองคัสตาร์ด มาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พลตรี ทวีศักดิ์ จันทราสินธุ์ รองนายสนามมวยลุมพินี และพลเอก ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก มารอต้อนรับ โดยพลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวทักทาย นาย Mauricio Sulaiman WBC ประธานสภามวยโลก โดยประธานสภามวยโลกกล่าวกับนายกฯ ว่า จะพยายามทำงานร่วมกัน เพื่อให้มวยไทยเป็นของแท้ดั้งเดิมตรงกับที่สภามวยโลกทำอยู่

ทั้งนี้ การร่วมงาน Amazing Muaythai Festival 2023 เพื่อส่งเสริมศิลปะการป้องกันตัวหรือ “แม่ไม้มวยไทย” เป็นหนึ่งใน Soft Power ราชอาณาจักรไทย ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยกิจกรรมในวันนี้ คือ การรำมวยไทยโบราณสืบสานสู่สากล, การแสดงมวยไทยโบราณผสานทหารไทย, รวมพลังแปรขบวนธงชาติไทยน้อมรำลึกเทิดไท้พระเจ้าเสือ และการแสดงศิลปะไหว้ครูมวยไทยของกำลังพลกองทัพบก จำนวน 3,650 นาย ร่วมแสดงและถ่ายทอดความภาคภูมิใจในศิลปะของชาติ เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ และทำการบันทึกสถิติโลก (Guinness world records) ด้วย

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” สั่งสแกนหาคนจนเพิ่ม เพื่อเข้าถึงสิทธิบัตรสวัสดิการฯครบถ้วน ทั่วถึง

People Unity News : 3 กุมภาพันธ์ 2566 “พล.อ.ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะถกแก้ปัญหาความยากจน อนุมัติแผนปี 66 ผ่านระบบ TPMAP เน้นช่วยกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน-เปราะบาง ให้ได้สิทธิบัตรสวัสดิการฯ ทั่วถึง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2566 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานในภาพรวม ทั้ง 76 จังหวัด จากเป้าหมายครัวเรือนยากจนในระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ปี 2565 พบว่า ศูนย์อำนวยการฯ จังหวัด และศูนย์อำนวยการฯ อำเภอ พร้อมทีมปฏิบัติการฯ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมบูรณาการให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาครัวเรือนเป้าหมาย จำนวน 653,524 ครัวเรือน คิดเป็น 100%

พบปัญหาในแต่ละมิติ ดังนี้ 1. มิติสุขภาพ ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคนอายุ 6 ปีขึ้นไป ไม่ออกกำลังกาย เนื่องจากไม่เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพดี 2. มิติความเป็นอยู่ ส่วนใหญ่ประสบปัญหาครัวเรือนไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและบ้านมีสภาพไม่คงทนถาวร 3. มิติการศึกษา ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคนอายุ 15-59 ปี อ่านเขียนภาษาไทยและคิดเลขอย่างง่ายไม่ได้ รวมทั้งเด็กอายุ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ หรือออกจากการเรียนกลางคัน เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจ และ 4. มิติรายได้ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ประสบปัญหาการปลูกพืชได้เพียงปีละครั้ง ไม่มีปัจจัยการผลิต ขาดเงินทุน และขาดความรู้ด้านทักษะอาชีพ 5. มิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และผู้พิการ ไม่ได้รับการบริการจากภาครัฐ เนื่องจากเข้าไม่ถึง หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ

จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ในปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย 4 แนวทางที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางที่ 1 การเติมเต็มข้อมูลในระบบ TPMAP แนวทางที่ 2 ร่วมแก้ไขปัญหาในระดับบุคคล/ครอบครัว แนวทางที่ 3 ร่วมแก้ไขและพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และแนวทางที่ 4 ร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล

พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขกลุ่มคนเป้าหมายเร่งด่วน และมอบให้ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนฯ ทุกระดับและทีมปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ดำเนินการช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ข้อมูลจากระบบ TPMAP เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงาน เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มที่ต้องดูแลใกล้ชิด เพื่อได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครบถ้วน ทั่วถึง ต่อไป

Advertisement

“หมอสุภัทร” ร้อง โดนสั่งโยกย้ายไม่เป็นธรรม

People Unity News : 2 กุมภาพันธ์ 2566 “หมอสุภัทร” ร้อง กมธ.ป.ป.ช. โดนสั่งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ด้าน “เสรีพิศุทธ์” ชี้ โจรย่อมทิ้งร่องรอย

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) รับหนังสือจาก นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบทและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เรื่องการโยกย้ายตนเองที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม ไม่มีธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข

นพ.สุภัทร กล่าวว่า กรณีดังกล่าวพบข้อพิรุธชัดเจน คือ มีการสั่งย้ายผู้ตรวจราชการ ทั้งที่แต่งตั้งได้เพียงเดือนเดียว เนื่องจากผู้ตรวจราชการคนดังกล่าวไม่ลงนามสั่งย้ายตนเอง อีกทั้งการโยกย้ายของกระทรวงสาธารณสุขโดยปกตินั้น เป็นอำนาจของปลัด แต่ครั้งนี้ ปลัดไม่ลงนาม แต่ทำหนังสือระเบียบการย้ายขึ้นมาใหม่ และให้อำนาจผู้ตรวจราชการย้ายผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนได้ ชัดเจนว่าการโยกย้ายครั้งนี้ส่อถึงความไม่มีธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข

นพ.สุภัทร ตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากนี้ ยังมีป้ายนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มีรูปของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเด่นชัด จึงมองว่าอาจมีการหาเสียงแอบแฝงหรือไม่ จึงนำเรื่องนี้มาให้กรรมาธิการ ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วยว่าผิดกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่

ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า โจรย่อมทิ้งร่องรอย และสิ่งที่ยื่นหลักฐานมา ถือเป็นข้อผิดสังเกตในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ จึงจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาในชั้น กมธ.ป.ป.ช.ต่อไป

Advertisement

Verified by ExactMetrics