วันที่ 26 พฤศจิกายน 2024

กกต.เห็นชอบกำหนด ส.ส. 400 เขต ภาคอีสานมี ส.ส. 132 คน ภาคกลาง มี ส.ส. 122 คน

People Unity News : 30 มกราคม 66 กกต. เห็นชอบประกาศกำหนด ส.ส. 400 เขต-กฎหมายแบ่งเขตเลือกตั้ง เสนอรัฐบาลประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว

วันนี้ (30 ม.ค.) สำนักงาน กกต. แจ้งว่าที่ประชุม กกต. มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน กกต. เสนอให้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและจำนวนเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด โดยพิจารณาจากจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งมีจำนวน 66,090,475 คน จึงมีจำนวนราษฎรโดยเฉลี่ยประมาณ 165,226 คนต่อจำนวน ส.ส. 1 คน และร่างประกาศ กกต.ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. … และแนวทางการแบ่งเขตเลือกตั้ง

นอกจากนี้สำนักงาน กกต. จะได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว

สำหรับ ส.ส.แบ่งเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต ประกอบด้วย จังหวัดที่มี ส.ส. 1 คน 4 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสงคราม ระนอง ตราด สิงห์บุรี, จังหวัดที่มี ส.ส. 2 คน 10 จังหวัด ประกอบด้วย สตูล พังงา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ชัยนาท อุทัยธานี อ่างทอง นครนายก อำนาจเจริญ มุกดาหาร

จังหวัดที่มี ส.ส. 3 คน 19 จังหวัด ประกอบด้วย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ยะลา กระบี่ ภูเก็ต พัทลุง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิจิตร ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ยโสธร หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ

จังหวัดที่มี ส.ส. 4 คน 12 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสาคร ปัตตานี ตรัง ลำปาง สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร ลพบุรี สระบุรี ฉะเชิงเทรา เลย นครพนม

จังหวัดที่มี ส.ส. 5 คน 7 จังหวัด ประกอบด้วย นราธิวาส พิษณุโลก สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี พระนครศรีอยุธยา ระยอง

จังหวัดที่มี ส.ส. 6 คน 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครปฐม นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ มหาสารคาม กาฬสินธุ์

จังหวัดที่มี ส.ส. 7 คน 4 จังหวัด ประกอบด้วย ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี ชัยภูมิ สกลนคร

จังหวัดที่มี ส.ส. 8 คน 5 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรปราการ นนทบุรี เชียงราย ร้อยเอ็ด สุรินทร์

จังหวัดที่มี ส.ส. 9 คน 4 จังหวัด ประกอบด้วย นครศรีธรรมราช สงขลา ศรีสะเกษ อุดรธานี

จังหวัดที่มี ส.ส. 10 คน 2 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี บุรีรัมย์

จังหวัดที่มี ส.ส. 11 คน 3 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ อุบลราชธานี ขอนแก่น

จังหวัดที่มี ส.ส. 16 คน 1 จังหวัด คือ นครราชสีมา

และจังหวัดที่มี ส.ส. 33 คน 1 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากจำนวน ส.ส.ดังกล่าว ส่งผลให้ภาคกลาง มี ส.ส. รวม 122 คน ภาคเหนือ มี ส.ส. 39 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ส.ส. 132 คน ภาคตะวันออก มี ส.ส. 29 คน ภาคตะวันตก มี ส.ส. 20 คน และภาคใต้ มี ส.ส. 58 คน

ทั้งนี้ หลัง กกต. ประกาศจำนวน ส.ส.แต่ละจังหวัดแล้ว ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะมีการนำข้อมูลจำนวนประชากรแต่ละจังหวัดไปพิจารณาและปรับปรุงรูปแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 3 รูปแบบที่มีการดำเนินการไว้ล่วงหน้าก่อนหน้านี้ให้มีความสมบูรณ์ ก่อนที่จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ และรวบรวมข้อมูลเสนอให้ กกต. พิจารณาตัดสิน

Advertisement

สื่อตามหา “ส.ว.อุปกิต” หลังมีชื่อเอี่ยวยาเสพติด-พนันออนไลน์

People Unity News : 26 มกราคม 66 “ส.ว.อุปกิต” เงียบหาย หลัง “อัจฉริยะ” เปิดเส้นทางเงินเอี่ยวขบวนการยาเสพติด-พนันออนไลน์ เชื่อมโยง “นอท กองสลากพลัส”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหลักฐานเส้นทางการเงินของ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ตรวจสอบโดยอ้างพบข้อมูลเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด พนันออนไลน์ ของ นายเอ็ดดี้ พันณรงค์ ขุนพิทักษ์ นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลคดีสมคบกันฟอกเงิน อีกทั้ง นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยว่า นายเอ็ดดี้ ได้นำเงินที่นายอุปกิตฝากไว้ ไปฟอกกับ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท กองสลากพลัส

โดยผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ไปยังเบอร์โทรศัพท์ของนายอุปกิต แต่ปรากฎว่า มีผู้ชายคนหนึ่งรับสาย แล้วได้บอกกับผู้สื่อข่าวที่ถามถึงนายอุปกิตว่า “ไม่อยู่นะครับ ท่านประชุมอยู่ครับ หากประชุมเสร็จแล้ว จะให้นายอุปกิตติดต่อกลับไป”

ผู้สื่อข่าวจึงพยายามถามอีกว่า ขณะนี้ นายอุปกิตประชุมอยู่ที่รัฐสภาหรือไม่ ผู้ชายคนดังกล่าวตอบกลับมาว่า ไม่ได้อยู่ที่สภา และเมื่อพยายามสอบถามว่า ประชุมอยู่ที่ไหน ปลายสายก็ได้ตัดสายทิ้ง ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า เสียงผู้ชายคนดังกล่าวที่รับสาย คล้ายกับเสียงของนายอุปกิต จึงนำเสียงที่นายอุปกิตเคยให้สัมภาษณ์มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งพบว่า คล้ายคลึงกันมาก จากนั้น ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก พยายามที่จะโทรติดต่อนายอุปกิต เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีการรับสาย ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวยังได้ติดต่อนายอุปกิตทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ก็ไม่มีการตอบกลับเช่นเดียวกัน

Advertisement

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหนี้ครู

People Unity News : 26 มกราคม 66 นายกฯ เร่งแก้ปัญหาหนี้ครู ชู ศธ. ขับเคลื่อนแก้หนี้เป็นรูปธรรม บูรณาการ 13 หน่วยงาน มุ่งแก้เหลื่อมล้ำ-ความยากจนทุกมิติ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นวาระสำคัญ และพอใจกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้เร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุดนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับหน่วยงานและสถาบันการเงิน 12 แห่ง เพื่อต่อยอด “โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู สร้างโอกาสใหม่ให้ครูไทย” และ “มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย” ที่มีการช่วยเหลือและปรับโครงสร้างหนี้ให้ครูที่เข้าร่วมโครงการไปแล้วกว่า 10,300 ล้านบาท รวมไปถึงการเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ความร่วมมือของ 13 หน่วยงานในครั้งนี้ เป็นการดึงจุดแข็งของแต่ละหน่วยงานเข้าช่วยเหลือจัดการแก้ไขหนี้และการอบรมความรู้ปลูกฝังวินัยการเงิน พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับการชำระหนี้ การกู้ยืม การออม และการลงทุน เพื่อช่วยเหลือให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยปัจจุบันครูทั่วประเทศ เป็นหนี้อยู่ในทุกสถาบันการเงินจำนวนกว่า 900,000 ราย วงเงินรวม 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมามีครูลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 40,000 ราย วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยในปีนี้กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าปรับโครงสร้างหนี้ให้ครูที่เข้าร่วมโครงการอีกกว่าร้อยละ 90

“รัฐบาลขอเชิญชวนครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมโครงการ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ที่เหมาะสม โดยเมื่อปัญหาหนี้สินครูได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และทั่วถึง จะลดความกังวลเรื่องความเป็นอยู่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของครูให้ดีขึ้นและมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพทางการศึกษา โดยการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนกลุ่มอื่นๆ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนในทุกมิติ” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

นายกฯ ย้ำ ตร.ดีต้องให้กำลังใจ คนไม่ดีต้องออกไป

People Unity News : 25 มกราคม 66 นายกฯ ประชุม ก.ตร. ย้ำผู้บังคับบัญชาดูแลการทำงานผู้ใต้บังคับบัญชาใกล้ชิด ย้ำคนดีต้องให้กำลังใจ คนไม่ดีเอาออกไป บอกสื่อไร้สาระ ถามคดีตู้ห่าวเกี่ยวข้องคนชอบนาฬิกา รู้อยู่แล้วว่าดิสเครดิต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ว่า ที่ประชุมพูดคุยกันหลายเรื่องเพื่อให้สอดรับกับการใช้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ให้ถูกต้อง และพิจารณาเรื่องการอุทธรณ์ลงโทษต่างๆ ซึ่งมีสถิติการลงโทษจำนวนมากพอสมควร ในฐานะเป็นประธาน ก.ตร. สั่งย้ำให้ตำรวจทุกนายประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบวินัยอันดีงาม ปฏิบัติตามกฏหมาย ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะตำรวจถือกฎหมายอยู่หลายฉบับ ขณะที่ผู้บังคับบัญชาต้องเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดในการทำงาน คนดีต้องให้กำลังใจ คนไม่ดีให้เอาออกไป ซึ่งเป็นกติกาในระเบียบการปกครอง ของทุกหน่วยงานอยู่แล้ว ทหารกับตำรวจมีประมวลวินัย

เมื่อถามถึงความคืบหน้าคดีตู้ห่าว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตำรวจแถลงไปแล้ว ขอให้ฟังตำรวจ คดีนี้มีหลายหน่วยงานที่ทำคดีนี้ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) เพราะมีการฟอกเงินต่างๆ ขอให้สื่อฟังเวลาที่แถลงรวมทุกหน่วยงานด้วย การทำงานต้องบูรณาการกับภาคส่วน แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้

“แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา ในการต่อสู้คดีเช่นเดียวกับคดีอื่นในทุกคดี การทำคดีต้องรอบคอบ เพื่อให้เวลาทำสำนวนให้อัยการส่งฟ้องจะได้ไม่มีปัญหา ซึ่งกระบวนการยุติธรรมมีขั้นตอน หลายอย่างอาจไม่ทันใจ ต้องเห็นใจ การทำงานต้องมีหลักฐานประกอบ ผมย้ำเตือนว่าใครเกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษ ถ้าตรวจสอบแล้วมีความผิดจริง ไม่มีละเว้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนที่โยงว่ามีนักการเมืองเกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บอกแล้วไง ถ้าสอบแล้วเจอเกี่ยวข้องมีความผิดจริง ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุหรือหลักฐานอื่น ๆ ทั้งหมด ก็ต้องถูกสอบสวน

เมื่อถามย้ำว่ามีคนที่ชอบนาฬิกาเกี่ยวข้องด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไร้สาระ และว่า “ถามคำถามไร้สาระแบบนี้ ธรรมดาที่ผมต้องหงุดหงิดบ้างล่ะ ไร้สาระ คดีนี้ก็คดีนี้ จะไปยึดโยงอะไรกับใคร”

เมื่อถามว่าเป็นการดิสเครดิต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “คุณรู้อยู่แล้วว่า เป็นการดิสเครดิตทางการเมือง แล้วคุณจะพูดทำไม การเมืองก็เรื่องของการเมือง”

Advertisement

“ตรีนุช” ยกเลิกระเบียบทรงผม นร. สั้น-ยาวก็ได้ ให้โรงเรียนกำหนด

People Unity News : 24 มกราคม 66 รมว.ศึกษาฯ สั่งยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน ไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ และให้สถานศึกษาอาจกำหนดลักษณะทรงผมได้ โดยจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนประกาศใช้

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 มาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการลงโทษเรื่องทรงผมได้ส่งผลถึงร่างกายและจิตใจของนักเรียน ศธ.จึงมีหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้ให้ความเห็นว่า รมว.ศึกษาฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดอาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 ประกอบกับมาตรา 39 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำไปปฏิบัติได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ได้ลงนามในระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 และเสนอสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วออกเป็นหนังสือสั่งการหรือหนังสือเวียน กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนหรือนักศึกษาไว้อย่างกว้างๆ เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดที่เป็นผู้กำกับดูแลสถานศึกษา กำหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวไปกำหนดเป็นระเบียบหรือข้อบังคับของสถานศึกษาแต่ละแห่งเอง ดังนี้

1.การไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. และสถานศึกษาในกำกับดูแลของ ศธ. จะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ โดยสถานศึกษาอาจกำหนดลักษณะทรงผมได้ตามพันธกิจ บริบท และความเหมาะสมของแต่ละสถานศึกษา และ 2.สถานศึกษาในสังกัด ศธ.และสถานศึกษาในกำกับดูแลของ ศธ.อาจดำเนินการกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับไว้ทรงผมของนักเรียนได้ โดยการวางระเบียบหรือข้อบังคับของสถานศึกษาและควรระบุบทอาศัยอำนาจของกฎหมายเฉพาะมาตรา 39 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546, จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามหลักการมีส่วนร่วม เช่น นักเรียน คณะกรรมการสภานักเรียน คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง หรือผู้แทนผู้ปกครอง ชุมชนท้องถิ่น บุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่นใดที่หัวหน้าสถานศึกษาเห็นสมควร เป็นต้น และเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา หรือ คณะกรรมการบริหารโรงเรียนแล้วแต่กรณี ก่อนการประกาศใช้ และควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนไว้ในระบบสารสนเทศ หรือบริเวณของสถานศึกษา และดำเนินการแจ้งให้นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสถานศึกษาทราบเป็นการทั่วไป เพื่อให้การปฏิบัติตนของนักเรียนมีความถูกต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดความชัดเจนในการดำเนินการของสถานศึกษา

ทั้งนี้ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีข้อต้องปฏิบัติตนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมว่า นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาว ไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย และมีข้อต้องห้ามปฏิบัติตน ดังนี้ ดัดผม ย้อมสีผมให้ผิดไปจากเดิม ไว้หนวดหรือเครา การกระทำอื่นใดซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน เช่น การตัดแต่งทรงผมเป็นรูปทรงสัญลักษณ์หรือเป็นลวดลาย แต่ต่อไปหลังจากมีการประกาศยกเลิกในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เรื่องการไว้ทรงผมของนักเรียนทั้งหมดจะอยู่ที่สถานศึกษา ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร”เผย ไปเยาวราช ไหว้พระขอพรให้…

People Unity News : 23 มกราคม 66 “พล.อ.ประวิตร” เผย ไปเยาวราชไหว้พระ ขอพรให้สุขภาพแข็งแรง ไม่มีอะไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนศรีสมาน อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

โดยก่อนการประชุม พล.อ. ประวิตร พูดถึงการลงพื้นที่เยาวราชเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ว่า ไปคนเดียว ไปไหว้พระ ไม่มีอะไรหรอก

เมื่อถามว่า ได้ขอพรอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “โอ๊ย จะขอพรอะไรล่ะ ก็ขอให้เราสุขภาพแข็งแรง”

เมื่อถามว่า ได้เสียงตอบรับ มีกำลังใจขึ้นหรือไม่ พล.อ. ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด

Advertisement

นายกฯสั่งทุกหน่วยงานเร่งปราบอาชญากรรมออนไลน์เด็ดขาด จริงจัง

People Unity News : 20 มกราคม 66 ทำเนียบรัฐบาล – โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วง ปชช.ถูกหลอกในโลกออนไลน์ สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการงานเร่งปราบเด็ดขาด จริงจัง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยความห่วงใยพี่น้องประชาชนซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมรูปแบบดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือเพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจัง เด็ดขาด

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการดำเนินงาน เดินหน้าปราบปรามการลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตข้ามประเทศผิดกฎหมาย แก้ปัญหาซิมผี และบัญชีม้า โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เดินหน้าปราบปราม โดยมีความคืบหน้า ดังนี้ 1. การแก้ปัญหาการลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตข้ามประเทศผิดกฎหมาย กสทช. ได้กำชับผู้ให้บริการโทรคมนาคมเข้าตรวจสอบการใช้บริการอินเทอร์เน็ตข้ามประเทศ และได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบหาบริเวณที่มีการกระทำความผิด รวมถึงตัวผู้กระทำผิด” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า 2. การแก้ปัญหาซิมผี กสทช.ให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมแจ้งเจ้าของซิมโทรศัพท์มายืนยันตัวตนให้ถูกต้องตามแผนงาน ดังนี้ กรณีผู้มี 100 ซิมขึ้นไป ประมาณ 8,000 รายให้ยืนยันตัวตนภายในเดือนมกราคม 2566 กรณีผู้มี 30 ซิมขึ้นไป ประมาณ 22,000 ราย ให้ยืนยันตัวตนภายในเดือนมีนาคม 2566 และกรณีผู้มี 5 ซิม ขึ้นไป ประมาณ 380,000 ราย ให้ยืนยันตัวตนภายในเดือนมิถุนายน 2566 3. การแก้ปัญหาบัญชีม้าและบัญชีต้องสงสัยนำไปใช้กระทำผิดกฎหมาย สำนักงาน ปปง.ประกาศหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดหรือทบทวนรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดตามกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. 2563 และได้แจ้งรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย ให้สถาบันการเงินดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ดีอีเอสอยู่ระหว่างเสนอ (ร่าง) พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. …. ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ให้เป็นรูปธรรม

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่ต้องการให้ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงและหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ สอบสวนให้ถึงต้นตอการกระทำผิด ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ที่ถูกต้อง และแจ้งเตือนประชาชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

“นฤมล” เผยบัตรประชารัฐเป็นนโยบาย พปชร.

⇒ “นฤมล” เผยบัตรประชารัฐเป็นนโยบาย พปชร.

People Unity News : 19 มกราคม 66 “นฤมล” ย้ำ บัตรประชารัฐ เป็นนโยบาย พปชร.ตั้งแต่ปี 61 เพิ่มวงเงิน 700 มีแหล่งที่มางบ แย้มเตรียมประกาศนโยบาย ”ที่ดินประชารัฐ” เร็วๆนี้

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงนโยบายการเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน ของพรรคพลังประชารัฐว่า ในปี 2566 จะมีประชาชนได้รับสิทธิประมาณ 18 ล้านคน คนละ 700 บาทต่อเดือน จะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวมีการคำนวนแหล่งที่มาของงบประมาณมาจากที่ใดแล้ว ในส่วนของบัตรประชารัฐที่เราได้ทำมาตั้งแต่ปี 61 ไม่ใช่มีแค่เงินรายเดือน 200 หรือ 300 บาทเท่านั้น แต่ยังมีสวัสดิการอื่น ๆ อีก อย่างเช่น ค่าแก๊สหุงต้ม ค่าเดินทาง เราพยายามจัดการสิ่งเหล่านี้ให้สอดคล้อง กับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่

นางนฤมล กล่าวว่า เมื่อปี 2561 ตนก็เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลรับผิดชอบสวัสดิการแห่งรัฐ ในช่วงนั้น เราอยากจะให้พี่น้องประชาชน ผู้ที่มีรายได้น้อย สามารถที่จะมีเงินประทังชีวิตต่อเดือน สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เขาสามารถไปซื้อ ข้าวสาร น้ำปลา อาหารแห้ง ได้ ในต่างจังหวัดอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ปัจจุบันสภาวะทางเศษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ ไม่ต่างกับประเทศไทย สินค้ามีราคาที่สูงขึ้นมาก ดังนั้นเงิน 200-300 บาทต่อเดือน ก็ไม่เพียงพอ เสียงสะท้อนก็ออกมาจากผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ที่ลงพื้นที่ไปพบปะกับประชาชนต่างก็บอกเงินไม่พอแล้ว

“พรรคพลังประชารัฐให้ความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ต้องปรับให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและปัจจุบัน ให้สู้กับสภาวะเงินเฟ้อได้ และจริงๆในนโยบาย ทั้งหมดไม่ใช่มีแค่ 700 บาท เรายังคงมุ่งหน้าทำการแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน หมายความว่าต้องมีการฝึกอบรมให้ 700 บาทไม่เป็นการให้ปลาไปเฉยๆ จะต้องมีการให้เบ็ดเขาด้วย แล้วก็สอนวิธีตกปลา” นางนฤมล กล่าว

นางนฤมล กล่าวด้วยว่า จากนี้พรรคพลังประชารัฐจะแถลงนโยบายออกมาเรื่อย ๆ คาดว่า นโยบายต่อไปที่น่าจะประกาศก็คือ นโยบายที่ดินประชารัฐ

Advertisement

“สมศักดิ์” ลงนามเด้งฟ้าผ่า “ไตรยฤทธิ์” พ้นอธิบดีดีเอสไอ

People Unity News : 18 มกราคม 66 “สมศักดิ์” ลงนามเด้งฟ้าผ่า “ไตรยฤทธิ์” พ้นเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ สลับ “สุริยา” นั่งรักษาการแทน คาดปมค้นบ้านกงสุลใหญ่นาอูรู ด้านเลขาฯ รมว.ยธ. ระบุเป็นมาตรการเชิงรุกเพื่อให้การบริหารงานราบรื่น สร้างความสบายใจให้กับสังคม ส่วนเหตุผลโดยละเอียดให้รอฟัง รมว.ยธ. แถลงพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงยุติธรรม ว่า วันนี้ (18 ม.ค.66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงนามในคำสั่งมอบหมายให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ราชการและรักษาราชการแทน โดยให้นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และรักษาราชการแทน ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และให้ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และให้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่เหมาะสมกับภารกิจในความรับผิดชอบของส่วนราชการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของทางราชการ อาศัยอำนาจตามมาตรา 20 และมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

การลงนามคำสั่งย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษครั้งนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากข้อครหาที่เจ้าหน้าที่กรมฯ ซึ่งมีรายงานว่า บุคคลซึ่งเป็น ผอ.กองคดีฯ และเป็นหน้าห้อง-มือขวาของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ประสานขอความร่วมมือไปยังรองผู้การ 191 เพื่อประสานต่อไปยังรอง ผบช.น. ขอศาลอนุมัติหมายค้นบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู จากนั้นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ รวม 5 คน และตำรวจ 191 ร่วมกันเข้าตรวจค้นบ้านพักอดีตกงสุลใหญ่นาอูรู ก่อนปรากฏข่าวเรียกรับผลประโยชน์จีนเทา รวมเกือบ 10 ล้านบาท พร้อมปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด จนหลบหนีออกนอกประเทศไปได้ ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เรียกบุคคลซึ่งเป็น ผอ.กองคดีฯ และเป็นหน้าห้อง-มือขวาของอธิบดีดีเอสไอ สอบปากคำ แต่เบื้องต้นยังคงไม่ให้การใดๆ

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุโดยละเอียดของการมีคำสั่งโยกย้ายครั้งนี้ ขอให้รอฟังการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจาก รมว.ยุติธรรม อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (19 ม.ค.) เบื้องต้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงนี้มีหลายประเด็นเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจให้กับสังคม เช่น คดี Forex 3D และกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู และเรียกรับสินบนทุนจีนเทา รวมเกือบ 10 ล้านบาท รมว.ยุติธรรม จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกในการแก้ปัญหา ใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเข้ามาปรับการทำงาน เพื่อให้เกิดความสบายใจกับสังคม รวมถึงกระบวนการทำงานจะได้มีความโปร่งใสชัดเจน ไม่เกิดความเคลือบแคลง อย่างไรก็ตาม อธิบดีที่ถูกโยกย้ายไปก็ไม่ได้มีความผิด หรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเหตุการณ์หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนคำสั่งโยกย้ายที่ออกมา ก็เพื่อปรับการบริหารงานให้เป็นไปด้วยความราบรื่นเท่านั้น

Advertisement

นายกฯ ฮัมเพลง “รักชาติ” บอกไม่โมเดิร์น แต่มีความหมาย

People Unity News : 14 มกราคม 66 ทำเนียบรัฐบาล – นายกรัฐมนตรี ฮัมเพลง “รักชาติ” ของหลวงวิจิตรวาทการ บอกแม้ไม่โมเดิร์น ไม่คุ้นหูคนรุ่นใหม่ ขอให้ลองฟังมีความหมาย พร้อมพูดติดตลก แก่แล้ว หลังลืมคำว่า เสรีภาพ ต่อจากสิทธิ หน้าที่ ขณะกล่าวเปิดงานวันเด็ก

ก่อนการเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ฮัมเพลงรักชาติฯ ที่ประพันธ์โดยหลวงวิจิตรวาทการ ระหว่างที่นักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์มหาวิทยาลัยมหิดล ขับร้องบนเวที จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานกล่าวเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ และกล่าวให้โอวาทแก่เด็กและเยาวชน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดีใจที่ได้เจอทุกคนวันนี้ ภูมิใจที่ได้เห็นอนาคตของชาติ นำความรู้ความสามารถมาแสดงให้ชมวันนี้

ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณคณะดุริยางคศิลป์มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ขับร้องบทเพลงรักชาติ แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ เพลงนี้คนรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นหู แต่อยากให้ลองฟังดู อาจจะไม่โมเดิร์น แต่มีความหมาย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดถึงคำขวัญวันเด็ก 2566 “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี” ว่าเป็นคำสั้นๆ แต่ลึกซึ้ง มีความหมาย อย่างท่อนที่ว่า ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน ยังไม่ยั่งยืน เหมือนบทเพลงรักชาติ ที่ได้ฟังข้างต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้พูดถึงคำสามคำ ที่เด็กไทยพึงมี คือ สิทธิ หน้าที่ และสิ่งที่ 3 นายกรัฐมนตรีกลับลืม ก่อนจะพูดติดตลก ว่า นึกไม่ออก แก่แล้ว ซึ่งตอนหลังจำได้ว่า คือ สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ ทุกอย่างต้องปฏิบัติพร้อมกัน ไม่สร้างผลกระทบให้คนอื่น เราต้องจงรักใน 3 สถาบัน คือสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

Advertisement

Verified by ExactMetrics