วันที่ 21 พฤศจิกายน 2024

“ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล ทำจริงจังต่อเนื่อง เห็นผลงานแน่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติ – “ธนกร” มอง 10 นโยบายรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาใหญ่ ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ เร่งปราบยาเสพติดเด็ดขาด-สกัดอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติครบวงจร มุ่งสร้างรายได้ใหม่ ลดค่าครองชีพ พุ่งเป้าช่วยกลุ่มเปราะบาง แนะ วาง KPI ให้ชัด ทำจริงจังต่อเนื่อง เชื่อเห็นผลงานแน่

นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ได้เห็นคำแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ที่เตรียมจะแถลงต่อสภาฯ ในวันที่ 12-13ก.ย.นี้ โดยทั้ง 10 นโยบายที่จะดำเนินการในวาระรัฐบาลชุดนี้ถือว่าเป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยเรื่องแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้สินทั้งระบบ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน จำเป็นต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ หนี้ภาคครัวเรือน ที่ประเทศไทยยังคงมีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูง กว่า 90 % การแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ จึงต้องแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนได้ ดำเนินการเป็นรูปธรรมมาแล้ว ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ การเก็บภาษี ดูแลสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เป็นเอสเอ็มอีขึ้นมา การออกสินเชื่อไปพร้อมกับการแก้หนี้ รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับเกษตรกรไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพพื้นฐานให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตนคิดว่า หากรัฐบาลทำพร้อมกันไปทั้งองคาพยพ และทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง มั่นใจว่าเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศจะเห็นการขยับตัวขึ้นแน่นอน

นอกจากนี้ นโยบายรัฐบาลที่ระบุไว้ยังให้ความสำคัญ เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ จำเป็นต้องแก้อย่างเด็ดขาด เร่งด่วนและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการการสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด และยังมีปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ มิจฉาชีพทางออนไลน์ พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกมิจฉาชีพหลอกอย่างทันท่วงที

“การแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กับการพัฒนาไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ สิ่งที่เป็นพื้นฐานคือการดูแลคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย ต้องทำไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการขนาดเล็กขึ้นไปถึงขนาดใหญ่ การสร้างรายได้ใหม่ สร้างเศรษฐกิจใหม่ ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้สินและปัญหาสังคม ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากรัฐบาลมีตัวชี้วัด หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานให้ชัดเจน ดำเนินการจริงจังและทำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน“ นายธนกรกล่าว

Advertisement

เปิดคำแถลง 10 นโยบายเร่งด่วน “รัฐบาลแพทองธาร”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กันยายน 2567 เปิดคำแถลง “นโยบายรัฐบาลแพทองธาร” กับ 10 นโยบายเร่งด่วน เดินหน้าผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ให้ความสำคัญกลุ่มเปราะบางลำดับแรก-การพักหนี้ SME เร่งออกมาตรการลดราคาพลังงาน เจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ดันเศรษฐกิจใต้ดินไว้บนดิน ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์” กำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร รองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567 มีทั้งหมด 75 หน้า ประกอบด้วย ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลางและระยะยาว ภาคผนวก

โดยคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร เริ่มแรกได้ยกความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่หลายประการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมและการเมือง

“ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วนเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นความหวังโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างศักยภาพสร้างโอกาสให้ประชาชน ทั้งบทบาทและสิทธิเพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหาที่รุมเร้า และทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง”

โดยคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที มีสาระสำคัญดังนี้

นโยบายแรก รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์

นโยบายที่สอง รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นโยบายที่สาม รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve : SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับช้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย “ค่าโดยสารราคาเดียว” ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นโยบายที่สี่ รัฐบาลจะสร้างรายใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นโยบายที่ห้า รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

นโยบายที่หก รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรระบบดั่งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agi-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และพื้นนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลก ด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร

นโยบายที่เจ็ด รัฐบาลจะเร่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nornad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลก มาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว

นโยบายที่แปด รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม

นโยบายที่เก้า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

นโยบายที่สิบ รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อให้ตามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ

Advertisement

งบฯ 68 ผ่านฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กันยายน 2567 งบฯ 68 ฉลุย สภาฯ เทคะแนนเสียง ส่งต่อวุฒิสภาพิจารณา 9-10 ก.ย. ด้านรัฐบาลขอบคุณสมาชิกเห็นชอบร่างงบประมาณฯ ปี 68 ย้ำจะใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ใช้เวลา 3 วัน รวม 38 ชั่วโมง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ครบทั้ง 40 มาตรา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 68 ด้วยคะแนน 309 ไม่เห็นชอบ 155 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯ 68 ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นจะส่งไปยังวุฒิสภา พิจารณาต่อไป ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันที่ 9-10 ก.ย.

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ขอขอบคุณท่านประธานและสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน ที่ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ของชาติ และแผนพัฒนาต่างๆ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีความสุข สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ

นายสุริยะ กล่าวว่า สำหรับข้อคิดเห็น คำแนะนำ ข้อเสนอ รวมทั้ง 3 วัน ความห่วงใยที่ท่านสมาชิกได้เสนอแนะไว้ตลอดระยะเวลาการประชุม รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณ และจะนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จากงบประมาณซึ่งมาจากภาษีอากรของพี่น้องประชาชน และจะใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้น ขอขอบคุณท่านกรรมาธิการวิสามัญทุกท่านที่ได้ให้ความสำคัญเสียสละเวลาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้อย่างเต็มที่ จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยข้อสังเกตของคณะกรรมการวิสามัญ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ รัฐบาลจะนำไปประกอบการปรับปรุงการดำเนินงาน เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามหลักการวิเคราะห์ความคุ้มค่า รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจว่า งบประมาณที่อนุมัติ จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ตามแผนงานที่กำหนด โดยรัฐบาลจะกำกับดูแลติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความโปร่งใส และบรรลุผลสำเร็จตามนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความมุ่งหวังของรัฐบาลและสมาชิกทุกท่านต่อไป

จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม สั่งปิดประชุมในเวลา 21.57 น.

Advertisement

“ศิริกัญญา” ชี้ ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กันยายน 2567 รัฐสภา – “ศิริกัญญา” มองโฉมหน้า ครม.ใหม่ ไม่ได้เลือกจากความสามารถเฉพาะตัว มีเพียง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” เหมาะนั่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ดูกฎหมาย แต่พร้อมให้โอกาสทำงาน รอดูตรงตามเป้าหรือไม่ ย้ำติดตามการใช้งบฯ ในทุกนโยบาย ป้องกันทุจริต

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงแนวทางการโหวตของพรรคประชาชน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระ 2 และ 3 ว่า สำหรับพรรคประชาชนยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมที่ได้ลงมติไปในวาระที่ 1 ว่าจะไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 68 ในวาระ 2 และ 3 แม้ในขณะนั้นที่ยังเป็นพรรคก้าวไกลได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในชั้นกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมธิการอย่างเข้มข้น แต่ยังคงไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยน ปรับลดงบประมาณได้อย่างที่สมควรจะเป็น และยังรู้สึกว่าเป็นงบประมาณที่ไม่น่าพึงพอใจ จึงยืนยันจุดยืนเดิม ที่โหวตไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้

ส่วนหลังจากนี้ที่มีการบังคับใช้งบประมาณไปแล้วในฐานะพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบอย่างไรบ้าง เพราะมีการอภิปรายการใช้งบประมาณที่ส่อไปในทางทุจริต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของสส.ที่จะต้องติดตามการใช้งบประมาณ ซึ่งไม่ได้จบเพียงแค่เฉพาะตอนทำร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ ยังต้องติดตามต่อ ซึ่งได้มีการอภิปรายไปในหลายๆ โครงการ ที่มีความสุ่มเสี่ยงในการทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ตั้งแต่งบประมาณ ปี 67 และตั้งงบประมาณแบบเดิมไม่มีการแก้ไขทีโออาร์ อาจจะส่งผลให้เกิดเหตุซ้ำรอย เพราะฉะนั้นจะต้องติดตามการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะไม่นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ในโครงการระดับกระทรวงต่างๆ

ส่วนในฐานะฝ่ายค้านมองโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการแต่งตั้งตัวบุคคลเป็นอย่างไรบ้าง นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เรายังคงเห็นการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว มาเป็นจุดในการคัดเลือกตัวคณะรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคณะรัฐมนตรีเห็นเพียงนายชูศักดิ์ ศิรินิล มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของกฎหมายพอที่จะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องกฎหมาย แต่ของท่านอื่นยังเป็นนักการเมืองที่ยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ ที่จะสามารถบริหารงานที่มีความเฉพาะเจาะจงของแต่ละกระทรวงอย่างไร แต่ทั้งนี้ ก็ต้องให้โอกาส กับรัฐมนตรีเหล่านั้น ได้เริ่มทำงานก่อน เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบการทำงานว่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่

ส่วนภายหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา พรรคประชาชนจะจับตารัฐบาลเรื่องใดเป็นพิเศษนอกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เรากำลังเตรียมงานกันอยู่ เพราะมีการเลื่อนแถลงนโยบายให้เร็วขึ้นในสัปดาห์หน้าแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ตเพียงอย่างเดียวที่เราจะจับตา แต่ต้องดูโครงการเรือธงทั้งหมด ทั้งที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงที่ผ่านมาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเราก็พยายามเก็งข้อสอบว่านโยบาย และวิสัยทัศน์เหล่านั้น จะแปลงมาเป็นนโยบายของรัฐบาลแพทองธารได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นตัวแถลงนโยบาย แต่ได้เก็งข้อสอบไปล่วงหน้าก่อน

Advertisement

สว. เห็นชอบ “ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ” นั่ง ปธ.ศาลปกครองสูงสุด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กันยายน 2567 รัฐสภา วานนี้ (3 ก.ย.) – วุฒิสภามีมติเห็นชอบให้ “ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ” รองประธานศาลปกครองสูงสุด ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 9 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ได้มีมติเห็นชอบให้นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งขั้นตอนต่อไปนายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ทั้งนี้ตามมาตรา 15/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2560

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ครั้งที่ 323-5/2567 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติโดยเสียงข้างมากคัดเลือก นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป เนื่องจาก นายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ประธานศาลปกครองสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ และจะต้องพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 31 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542

นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (บริหารรัฐกิจ) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิต จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และได้รับประกาศนียบัตรการอบรมหลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นธป.) รุ่นที่ 2 จากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

Advertisement

นายกฯ เผยวันนี้ลงนามโผ ครม. บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด เฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กันยายน 2567 “แพทองธาร” นายกฯ เผยเคาะ ครม. แพทองธาร 1 เรียบร้อย ไม่มีเซอร์ไพรส์ เตรียมลงนามวันนี้ก่อนส่งรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามขั้นตอน ลั่น “นายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ” ยันรัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน บอกดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรกเงินสด ส่วนเฟส 2 ขอพิจารณาให้ชัด

เมื่อเวลา 09.35 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามายังอาคารชินวัตร 3 โดยประชาชนบางส่วนเข้ามารอขอถ่ายรูปด้วย

จากนั้นสื่อมวลชนได้สอบถาม น.ส.แพทองธาร ว่า เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) ได้กำชับในที่ประชุม สส.ของพรรคให้เร่งทำงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายได้ชัดเจน ซึ่งสิ่งที่สั่งให้เร่งผลงานนั้น มีอะไรที่ต้องเร่งทำให้เห็นผลในรัฐบาลนี้หรือไม่ ว่า ปกติการประชุม สส.จะพูดคุยเรื่องสภา และการประชุมต่างๆ ซึ่งในนโยบายก็มีแต่ที่เน้นกับ สส. จะเป็นเรื่องของพื้นที่มากกว่า เพราะนโยบายกรอบใหญ่คลุมไว้หมดแล้ว แต่จะมีปัญหาเล็กๆของชาวบ้าน ที่คิดว่าเอามาแก้ได้ และมาเร่งในกระบวนการ ก็อยากให้ทำและใส่ใจในรายละเอียด ซึ่ง สส.ก็ทำอยู่แล้ว แต่ก็ย้ำเตือนว่า ทำให้เต็มที่จะได้แก้ปัญหากันไป โดยตอนนี้ได้พูดคุยกันในทีมและวางไทม์ไลน์ ว่า เมื่อแถลงนโยบายเสร็จแล้ว เข้าไปจะทำอะไรก่อนหลังบ้าง ให้เอามาขึงกันเลยว่าอันไหนต้องเข้าก่อน อาจมีหลายเรื่องให้ทำก็กลัวลืมและกลัวว่าไม่ได้ติดตามงานไหนบ้าง

ส่วนรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีเวลาฮันนีมูนและต้องทำงานทันทีใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ได้แล้วค่ะ ไม่ได้แล้วเพราะเข้ามา ต่อจากคุณเศรษฐา งานก็ดำเนินอยู่แล้ว ก็ต้องทำต่อ”

เมื่อถามถึงนโยบายกัญชาของพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เดี๋ยวรอแถลงนโยบายเลยทีเดียว รอไฟนอลออกมา เราก็ต้องคุยกับพรรคร่วมอยู่แล้ว

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ประชาชนคาดหวัง ยังเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบทันทีว่า แน่นอน ตนก็คาดหวังเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา เรื่องนี้ยังเป็นนโยบายหลักอยู่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใน คอนเซ็ปต์ ยังมีอยู่แน่นอน แต่จะมีการปรับรูปแบบตอนแรกจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เรามีการวางแผนว่าจะมีการจ่ายเป็นเงินสดด้วย ก็ต้องรอดูว่า อะไรที่ต้องแก้ในรายละเอียด และแน่นอนว่าต้องแก้

เมื่อถามว่า ที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสแรกจะเป็นเงินสด ส่วนเฟสที่สอง จะปรับรูปแบบเหมือนกับเฟสแรกที่จะเป็นเงินสด และอาจจะมีการแบ่งจ่ายตามงบประมาณ ใช่หรือไม่

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ใช่ แบบนั้นเลย แต่ขอให้รายละเอียดชัดเจนก่อน เพราะกลัวพูดไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด เดี๋ยวจะโดนหาว่าพูดไม่ตรง เราต้องทำการบ้านกันก่อน“

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงการเคาะตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ว่า เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แต่คาดการณ์ว่าในวันนี้ (3 ก.ย.) จะเริ่มให้ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ส่งรายชื่อเข้าไปเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ พร้อมกับยอมรับว่า วันนี้จะสามารถลงนามรายชื่อคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งตนวางแผนไว้เป็นเช่นนั้น ส่วนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้เมื่อไหร่จะต้องมีการประสานกันอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่ายึดหลักการอะไรในการฟอร์ม ครม.ครั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า คิดว่าอยากเห็นอะไรมากกว่า จากคนที่เลือกมาจะได้ทำต่อ ซึ่งจากคนที่ถูกเลือกมาใหม่และคนที่อยู่คงเดิมเห็นถึงศักยภาพอยู่แล้วว่าใครพร้อมจะทำงาน ซึ่งจากที่อยู่ในพรรคมากกว่า 3 ปี จะเห็นว่าใครประมาณไหนอย่างไร พร้อมกับระบุว่า “จริงๆ แล้วอยากชนะอย่างที่คุณพ่อชนะเนาะ 377 เราจะได้ให้ทุกคนมีทุกตำแหน่ง แต่มันก็ได้แค่ปริมาณหนึ่ง ก็ให้ช่วยกันค่ะของพรรคอื่นก็มีด้วยก็ได้ให้ทุกคนได้แสดงความสามารถด้วย”

ส่วนอยากบอกอะไรให้ประชาชนนั้นมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ระบุว่านายกรัฐมนตรีคนนี้มีทีมที่ดีมากๆ

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธการตอบคำถามถึงคุณสมบัติของ 11 รัฐมนตรีที่ก่อนหน้านี้ ที่ยังมีคำร้องอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และศาล รวมไปถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เตรียมร้อง น.ส.แพทองธาร กรณีการโอนหุ้นและการครอบครองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอารักขาของ น.ส.แพทองธาร ใช้รูปแบบเต็มระบบผู้นำประเทศ โดยมีรถนำขบวนจำนวน 1 คัน และมีรถทีมรักษาความปลอดภัยตามขบวนอีก 2 คัน

Advertisement

นายกฯ เผยโผ ครม.นิ่งแล้ว ยันเคาะเองใครนั่งตรงไหน คาดทูลเกล้าฯ ได้ในสัปดาห์นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 กันยายน 2567 “แพทองธาร” นายกฯ เผยโผ ครม.นิ่งแล้ว วันนี้เคาะเองใครนั่งตรงไหน คาดทูลเกล้าฯ ได้ในสัปดาห์นี้ บอกไม่ซีคนจ้องร้อง

ความเคลื่อนไหวที่อาคารชินวัตร 3 เมื่อเวลา 11.20 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 แต่ได้เลี่ยงที่จะเข้าจากประตูด้านหน้าอาคาร และไปเข้าทางชั้นใต้ดิน เนื่องจากสื่อมวลชนรอเกาะติดบรรยากาศอยู่ด้านล่างอาคาร

จากนั้นเวลา 11.40 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายสื่อมวลชนอย่างอารมณ์ดี

โดยผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร เปิดเผยว่า เรียบร้อยแล้ว

ส่วนจะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เมื่อไหร่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ขอไปคุยกับนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนเพื่อดูขั้นตอนความเรียบร้อย เพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่โผทุกอย่างนิ่งแล้ว

เมื่อถามย้ำว่าจะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯได้เมื่อไหร่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า พยายามจะให้เร็วที่สุด

ส่วนจะเป็นภายในสัปดาห์นี้ได้หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า คิดว่าน่าจะได้

ส่วนรายชื่อที่มีปัญหาตอนนี้เคลียร์หมดแล้วใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ตรวจสอบแล้วตามระบบทั้งหมด

เมื่อถามว่าเรียบร้อยแล้ว วันนี้นายกฯ จะลงตำแหน่งแต่ละคนว่าจะนั่งเก้าอี้ไหนใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวย้ำถึงสองครั้งว่า “ใช่ค่ะ”

ส่วนจะไม่มีแรงกระเพื่อมตามมาใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ไม่น่าหรอกค่ะ

เมื่อถามต่อว่ากังวเรื่องของคุณสมบัติจะมีการร้องเรียนตามมาภายหลังหรือไม่ นายกรัฐมนตรี โบกมือพร้อมกับบอกว่าไม่ซี (ไม่ซีเรียส)

Advertisement

“ภูมิธรรม” คาด​จัดตั้งรัฐบาล​ “แพทองธาร​ 1” แล้วเสร็จใน 15 ก.ย.​

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 สิงหาคม 2567 “ภูมิธรรม” ​เผยกระบวนการได้มาซึ่งรัฐบาล​ “แพทองธาร​ 1” คาด​แล้วเสร็จภายใน 15 ก.ย.​นี้ บวกลบไม่เกิน​ 3 วัน​ ไม่หวั่นกองเชียร์​แดง-ฟ้า ​ทำภาพลักษณ์​รัฐบาลเสีย​ เหตุ​ประชาชนอยากให้เร่งเดินหน้าทำงาน

นายภูมิ​ธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พา​ณิชย์​ ในฐานะปฏิบัติ​ราชการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนการลงพื้นที่อุทกภัยภาคเหนือ​ ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่รัฐมนตรี ครม.แพทองธาร 1 หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่าได้ส่งเอกสารให้เลขาธิการ​คณะรัฐมนตรี ​ถึงรายชื่อที่มีความสุ่มเสี่ยง​ ว่า​ พูดยากว่าสุ่มเสี่ยงหรือไม่สุ่มเสี่ยง เพราะเราไม่ได้เห็นรายละเอียด เป็นเรื่องของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะได้ตรวจสอบหลังการรับเรื่องทั้งหมด ซึ่งต้องรอดูว่าผลจะเป็นอย่างไร ตนคิดว่าน่าจะเรียบร้อยได้โดยเร็วที่สุด

ส่วน ป.ป.ช.จะส่งเอกสารเพียงว่าที่รัฐมนตรีมีคดี แต่ไม่ใช่การชี้ว่าถูกผิดใช่หรือไม่​ นายภูมิธรรม​ กล่าวว่า​ เ​อกสารที่ทุกหน่วยส่งมาให้​จะบอกว่ามีคดีอะไร​ และเกี่ยวกับอะไรบ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของกฤษฎีกาและเลขาฯ ครม. ​ที่จะต้องไปตรวจสอบว่าใช่หรือไม่​ เช่นเดียวกับ ป.ป.ช.ก็จะส่งกลับมาในลักษณะ​นี้

ทั้งนี้ นายภูมิธรรม​ ระบุว่า​ ไม่สามารถบอกได้ว่า ว่าที่รัฐมนตรีคนใดมีคดีบ้าง เนื่องจากยังไม่เห็นรายละเอียด เป็นเรื่องที่แต่ละหน่วยงานจะส่งข้อมูลมา ซึ่งเข้าใจว่าแต่ละหน่วยงานน่าจะส่งมาครบหมดแล้ว​ และคงจะอยู่ในดุลยพินิจ ไม่เช่นนั้นเราก็จะล่าช้า จึงเร่งให้มีการส่งเอกสารตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งเมื่อทยอยส่งมาก็จะทยอยส่งไปตรวจสอบ

นาย​ภูมิธรรม​ ยังคาดการณ์​ว่า จะให้แล้วเสร็จขั้นตอนกระบวนการทั้งหมดภายในวันที่ 15 ก.ย. บวกลบไม่เกิน 3 วัน หากเป็นไปได้ ซึ่งอยู่ที่การโปรดเกล้าฯ เราไม่สามารถไปก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระองค์ท่านได้ และหากโปรดเกล้าฯ ลงมาเร็ว ขั้นตอนอื่นก็จะเร็วตาม

เมื่อถามย้ำว่า ในช่วงสัปดาห์หน้าจะสามารถนำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่​ นายภูมิธรรม​ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการตรวจสอบแล้วเสร็จหรือไม่ ซึ่งอยากทำให้เร็วที่สุด

ส่วนกระแสต่อต้านจากทั้งฝั่งพรรคประชา​ธิ​ปัตย์​และเพื่อไทย​ จะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่หรือไม่​ นายภู​มิธรรม​ กล่าวว่า ขอให้ถามว่าความเชื่อมั่น​หรือภาพลักษณ์​ของรัฐบาลใหม่นั้นอยู่ที่อะไร​ วันนี้เท่าที่ตนสำรวจและจากผลสำรวจต่างๆ​ สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดในขณะนี้​ ให้รีบเข้ามาดำเนินการทันที​ ขอให้รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นอย่างไรจับมือร่วมกันและเป็นเอกภาพ​สูงสุด​ จึงควรให้โอกาสรัฐบาลเริ่ม​ดำเนินการ​ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าเข้ามาบริหารประเทศ​ในช่วงวิกฤติ​ ดังนั้นจึงมีการเตรียมการที่จะทำงานร่วมกันให้ดีและเร็วที่สุด

ส่วนพรรคประชา​ธิ​ปัตย์​จะต้องมีรายชื่อสำรองด้วยหรือไม่​ นายภูมิธรรม​ กล่าวว่า​ เราขอให้แต่ละพรรค​ อยากเสนอก็เสนอมา​ ขึ้นอยู่กับแต่ละพรรค ซึ่งที่เสนอมามีทั้งที่มีรายชื่อสำรองและไม่มี​ เป็นสิทธิของแต่ละพรรคในการตัดสินใจ​

และเมื่อผู้สื่อข่าว​ถามย้ำว่า ​หากนายเฉลิมชัย​ ศรีอ่อน​ และนายเดชอิศม์​ ขาวทอง​ คุณสมบัติ​มีปัญหา​ ควรจะต้องมีรายชื่อที่สำรองไว้ใช่หรือไม่​ นายภูมิธรรม​ กล่าวว่า​ ตนไม่ทราบว่าประชาธิปัต​ย์​ส่งชื่อใคร​ แต่หากเขามั่นใจว่าส่งใครแล้วไม่มีปัญหา​ เขาก็ส่งชื่อมา​ ถ้าเขารู้สึกว่าจัดการภายในแล้วยังมีอีกหลายคนที่ตัดสินใจยังไม่รู้ว่าได้กระทรวงไหน​ เขาก็ส่งได้​ มันมีหลายเหตุผล​

Advertisement

รัฐบาลอนุมัติงบกลาง 344 ล้านบาท ส่งเสริมถ่ายหนังต่างประเทศในไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 สิงหาคม 2567 ทำเนียบ – ครม.อนุมัติงบกลาง 344 ล้านบาท ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 344,652,887.84 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สำหรับจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศ จำนวน 7 เรื่อง โดยที่ภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่อง ได้ยื่นเอกสารขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการฯ ก่อนที่กรมการท่องเที่ยวจะออกประกาศกรมการท่องเที่ยว เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับการขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ซึ่งประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566

Advertisement

โพลไม่เชื่อ “แพทองธาร” บริหารประเทศโดยปราศจาก “ทักษิณ”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 25 สิงหาคม 2567 นิด้าโพล เผยคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ “แพทองธาร” บริหารประเทศโดยปราศจาก “ทักษิณ” ชี้ไม่ควรดำรงตำแหน่งใด แค่ให้คำปรึกษาในฐานะพ่อ-ลูก

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่ น.ส.แพทองธาร จะบริหารประเทศโดยปราศจากนายทักษิณ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนบทบาทที่นายทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่น.ส. แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้น.ส. แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่น.ส.แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อถามถึงบทบาทของนายทักษิณ ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลน.ส.แพทองธาร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่ น.ส.แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้น.ส.แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศน.ส. แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

Advertisement

Verified by ExactMetrics