วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024

“ประยุทธ์” มั่นใจพรรคร่วมรัฐบาลมีความเข้มแข็งในการทำงานด้วยกันหลังที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจ

People Unity News : “ประยุทธ์” มั่นใจพรรคร่วมรัฐบาลมีความเข้มแข็งในการทำงานด้วยกัน รับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19

วันนี้ (4 กันยายน 64) เวลา 10.30 น. ณ อาคารรัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายธนกร  วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียงโหวตไว้วางใจจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนที่สนับสนุนลงคะแนนโหวตให้และบางคนที่ไม่สนับสนุน การอภิปรายทั่วไปเป็นไปอย่างเรียบร้อย ถือเป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลได้มีโอกาสชี้แจงและอธิบายหลายประเด็นในที่ประชุม  พร้อมมั่นใจพรรคร่วมรัฐบาลมีความเข้มแข็งในการทำงานด้วยกันรับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะหน้าที่หลักของรัฐบาลในขณะนี้คือการดูแลสาธารณสุขของประชาชนและการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

สำหรับผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สรุปได้ดังนี้

(1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ลงมติ 475 เห็นด้วย 208 ไม่เห็นด้วย 264  และงดออกเสียง 3

(2) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ลงมติ 476 เห็นด้วย 196  ไม่เห็นด้วย 269 และงดออกเสียง 11

(3) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรววแรงงาน ผู้ลงมติ 475  เห็นด้วย 201 ไม่เห็นด้วย 263 งดออกเสียง 10

(4) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ลงมติ 475 เห็นด้วย 195 ไม่เห็นด้วย 269 และงดออกเสียง 10

(5) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ลงมติ 478 เห็นด้วย 199 ไม่เห็นด้วย 270 และงดออกเสียง 8

(6) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ลงมติ 478 เห็นด้วย 202 ไม่เห็นด้วย 267 และงดออกเสียง 9

ทั้งนี้ ที่ประชุมสภา ฯ มีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี

Advertising

“ประยุทธ์” บอก ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ แม้จะไม่มีใครบอกได้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อใด

People Unity News : นายกรัฐมนตรีชี้แจงสรุปปิดท้ายการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไม่ย่อท้อ

วันนี้ (3 กันยายน 64) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันสุดท้าย หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายของฝ่ายค้านในช่วงเย็นที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงสรุปย้ำถึงการเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 และการฟื้นฟูสถานการณ์หลังจากนี้ รวมทั้งย้ำถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เศรษฐกิจ เน้นแก้ปัญหาการว่างงาน สร้างโอกาสลดความเหลื่อมล้ำขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการอย่างทั่วถึง เพื่อการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยรัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ เพื่อความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ  ด้านเทคโนโลยี ด้านการเกษตรและด้านสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งเดินหน้าปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการศึกษาและระบบราชการ ที่จะเดินหน้าต่อไป

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีให้สัญญาว่า รัฐบาลจะร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างดีที่สุดเพื่อนำพาประเทศไทยของเราเข้าไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ โดยคนไทยเชื่อกันว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ แม้จะไม่มีใครบอกได้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อใด แต่ความหวังความศรัทธาจะเป็นพลังสำคัญให้เราก้าวข้ามความยากลำบากวันนี้ไปให้ได้  พร้อมกับความรักความสามัคคีกับคนในชาติเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของบ้านเมือง ของเราไปสู่จุดหมายร่วมกันโดยสวัสดิภาพ

Advertising

โฆษกรัฐบาลแจง รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหา หลังฝ่ายค้านโวข้อมูลแน่น

People Unity News : โฆษกรัฐบาลแจง รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหา หลังฝ่ายค้านโวข้อมูลแน่น พร้อมล้มรัฐบาล ดักคอถ้าหลักฐานฟังไม่ขึ้น ทุกข้อกล่าวหาต้องแสดงความรับผิดชอบ ย้ำนายกฯไม่ปล่อยให้เกิดทุจริตในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน

31 สิงหาคม 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้รับข้อมูลจากหลายฝ่าย อาจส่งผลให้รัฐมนตรีหลายคนหลุดจากตำแหน่งได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล หากมีข้อมูล ข้อเท็จจริงใดๆ ก็สามารถนำมาแสดงต่อที่ประชุมสภาฯได้ รัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจงอยู่แล้ว เพราะไม่มีการทุจริตใดๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข แต่หากข้อมูลที่นำมาอภิปรายไร้น้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังไม่ขึ้น เป็นเพียงแค่ข้อกล่าวหาลอยๆนั้น ฝ่ายค้านก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย ยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยใช้กลไกของรัฐในการปกปิดความผิดหรือลอยตัวเหนือปัญหา

นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า มีภาคเอกชนเอ่ยปากว่า ทุกโครงการของรัฐนั้นต้องหักร้อยละ 35 เก็บไปให้ใคร ผู้มีอำนาจคนไหนรับผลประโยชน์จากโครงการรัฐนั้น ขอให้ฝ่ายค้านนำหลักฐานมาแสดงได้เลย อย่าพูดลอยๆ จนสร้างความสับสนให้กับประชาชน และผู้ที่ถูกกล่าวหาจะได้ชี้แจงและทำความเข้าใจ โดยรัฐบาลจะใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบด้วย

Advertising

ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

People Unity News : ที่ประชุมวุฒิสภาวันนี้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 3,100,000 ล้านบาท

การประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว วันนี้ (30 ส.ค.64) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดวงเงิน 3,100,000 ล้านบาท โดยมีหลักการและแนวทางที่สำคัญเพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ  แผนการปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการจัดสรร โดยคำนึงถึงความจำเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนและอยู่บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ให้ความสำคัญกับสวัสดิการประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งให้มีการกระจายงบประมาณอย่างเป็นธรรม คุ้มค่าไม่ซ้ำซ้อนและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

สมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยสมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายถึงการจัดสรรงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนกว่า 700,000 ล้านบาท โดยขอให้รัฐบาลเน้นเรื่องการกระจายอำนาจด้วยการเพิ่มวงเงินงบประมาณให้มากขึ้น เพื่อให้ท้องถิ่นนำไปดำเนินการดูแลประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานอย่างแท้จริง หลังการอภิปรายที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 193 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี และงดออกเสียง 3 เสียง พร้อมกับเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

Advertising

โฆษกรัฐบาลลั่นนายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภา วอนพรรคเพื่อไทยอย่าเล่นเกมส์นอกสภา

People Unity News : โฆษกรัฐบาลลั่น นายกฯพร้อมชี้แจงศึกซักฟอกในสภาฯ วอนพรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภาฯ แล้วไม่ควรเล่นเกมส์นอกสภาฯอีก ดักคอแคมเปญชวนคนไทยไล่รัฐบาลมีช่องว่าง ชี้ไม่มีระบบยืนยันตัวตน อาจเปิดช่องให้มีการปั่นยอดให้สูงได้ เผยมีประชาชนขอผุดแคมเปญหนุนนายกฯทำงานต่อ

วันที่ 29 ส.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยผุดแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้นไม่ควรกระทำและไม่เหมาะสม เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯ เพื่อกดดันรัฐบาลต่อ และการลงชื่อทางไลน์นั้นสามารถปั่นตัวเลขให้สูงได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เพียงพอ โดยในสมัยที่ตนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำโครงการชิมช็อปใช้นั้น ก็ยังพบว่ามีรายชื่อผีโผล่มา ซึ่งจะต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนจากหลายหน่วยงาน ดังนั้น สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะนำตัวเลขสูงๆมาโจมตีรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร น่าจะใช้สภาฯในการตรวจสอบจะดีกว่า

นายธนกร กล่าวอีกว่า มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตน โดยระบุว่าอยากจะขอเปิดแคมเปญสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่ยาว ทำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป แต่ตนได้ขอร้องไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน โดยรัฐบาลพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน คาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์จะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาฯ หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง ที่สำคัญ รัฐบาลจะใช้เวทีสภาฯ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนอีกด้วย

Advertising

นายกฯกำชับ ศธ.เงินเยียวยานักเรียนต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมเด็ดขาด

People Unity News : นายกฯ กำชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด

วันที่ 28 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจ่ายเงินให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายช่องทางว่าโรงเรียนบางแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนแจ้งกับผู้ปกครองว่า จะหักเงินเยียวยาดังกล่าวกับผู้ปกครองที่ค้างค่าเทอมสำหรับภาคเรียนที่ 1 ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี จึงกำชับกระทรวงศึกษาธิการให้ติดตาม ตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยโรงเรียนมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ปกครองเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด โดยเบื้องต้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง เป็นช่องทางให้ผู้ปกครองแจ้งเรื่องมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครอง จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ เมื่อสำนักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะส่งต่อให้กรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเยียวยาทั้งหมดมาให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะใช้เวลาไม่เกิน 7 วันในการโอนเงินไปยังสถานศึกษาในระบบ เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้ปกครองทั้งการผ่านบัญชีธนาคารและการจ่ายเป็นเงินสดในกรณีที่ไม่สามารถโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารได้

“นายกรัฐมนตรี มั่นใจในกระบวนการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ว่ามีความรอบคอบรัดกุม โดยผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส โดยกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ห้ามปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์ถึงมือผู้ปกครองอย่างแท้จริง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertising

ครม.แต่งตั้ง ธนกร วังบุญคงชนะ เป็นโฆษกรัฐบาลคนใหม่

People Unity News : 24 ส.ค. 64 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเปลี่ยนตัว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากนายอนุชา บูรพชัยศรี มาเป็นนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และย้ายนายอนุชา บูรพชัยศรี ไปเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง

นายอนุชา กล่าวอำลา จากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ขอขอบคุณพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ไว้วางใจให้ได้ทำหน้าที่โฆษกฯมาตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบโอกาสให้ทำงานทางด้านบริหารเพิ่มเติมและเกี่ยวข้องกับนโยบายมากขึ้นในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือนำเสนอข่าวไปสู่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์

นายอนุชา กล่าวด้วยว่า ขอบคุณเลขาธิการนายกฯ ที่ดูแลกำกับการทำงานสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงเจ้าหน้าที่และหน่วยงานทุกองค์กรที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสื่อสารให้กับประชาชนได้ทันเหตุการณ์ ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ฟังเสียงและคำเสนอแนะของประชาชนและเพื่อนำมาประกอบการทำงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าพลเอก ประยุทธ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนตลอด ในช่วงที่ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ 1 ปีในฐานะโฆษกรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้ให้คำแนะนำมาตลอดว่าไม่ใช่เป็นการสื่อสารในทางเดียว แต่จะต้องสื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำมาปฏิบัติและปรับปรุงให้รัฐบาลสามารถทำงานให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ด้านนายธนกร กล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความไว้วางใจและให้โอกาสทำหน้าที่ในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันจะตั้งไจทำงานอย่างสุดความสามารถ ในการที่จะสื่อสารให้กับประชาชนให้เข้าใจการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายต่างๆ นอกจากนั้นจะต้องสื่อสาร 2 ทางให้ประชาชนเข้าใจ โดยต้องรับฟังปัญหาของประชาชนที่สะท้อนมายังรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไข นอกจากนั้นจะต้องทำงานในเชิงรุกในเรื่องของระบบดิจิทัลต่างๆ ที่จะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เนื่องจากทุกวันนี้สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ รัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ฉะนั้นการสื่อสารกับประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอชื่นชมนายอนุชาและทีมงานที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี

Advertising

ปลดกระท่อมออกจากยาเสพติด มีผล 24 ส.ค.นี้ ปล่อยตัวผู้กระทำผิดพืชกระท่อมทันที 1,038 คน

People Unity News : โฆษกรัฐบาลเผย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษมีผล 24 สิงหาคมนี้ ผู้กระทำผิดกรณีพืชกระท่อมได้ปล่อยตัวทันที 1,038 คน

22 สิงหาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีผลวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นการปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้ประชาชนสามารถปลูกและขายได้ รวมทั้งมีการปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายพืชกระท่อมในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 จำนวน 1,038  ราย โดยถือว่าไม่เคยกระทำความผิด สำหรับผู้ถูกจับกุมหรือจำเลยในชั้นต่างๆ จะได้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดและผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อมต่อไป

เบื้องต้นภาครัฐจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการปลดกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ สามารถลดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐและผู้ต้องหาหรือจำเลย  1,691,287,000 บาท  โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลเท่ากับ 76,612 บาท ซึ่งคดีข้อหาพืชกระท่อมที่ขึ้นสู่ศาลตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 – 30 มิถุนายน 2564 มีอยู่ถึง  22,076 คดี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายว่า ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน รวมทั้งยังซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากมีการนำไปผสมยาเสพติดอื่นๆ  เช่น  4 × 100 เป็นความผิดตามกฎหมาย  สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกไปต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรมนั้น ต้องขออนุญาตก่อน

“พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังย้ำถึงการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระสำคัญเร่งด่วน  โดยเน้นจับกุม ยึดทรัพย์ ลงโทษทางอาญา เครือข่ายผู้ค้า ควบคู่ไปกับบำบัดโดยนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ต้องรณรงค์สร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานนอกระบบด้วย” นายอนุชากล่าว

Advertising

โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. นำไปทำ “ถุงกำลังใจ” แจกให้ “กลุ่มเปราะบาง”

People Unity News : โฆษกเผยเงินเดือนนายกฯ และ ครม. ส่วนหนึ่ง นำไปจัดทำ “ถุงกำลังใจ” ส่งมอบให้ “กลุ่มเปราะบาง” กว่า 6,800 ราย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งจะได้นำเงินไปช่วยเหลือด้านอื่นต่อไป

21 ส.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงการส่งมอบ “ถุงกำลังใจ” แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้จัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 นอกเหนือจากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ร่วมบริจาค รวมถึงทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำเงินเดือนที่บริจาคเข้าบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” มาดำเนินการจัดทำ “ถุงกำลังใจ” เพื่อส่งมอบให้แก่กลุ่มเปราะบางดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนและประชาชนได้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อแสดงน้ำใจร่วมกับภาครัฐและนายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวิกฤตโควิด-19 ด้วย

“ถุงกำลังใจ” บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง แอลกอฮอล์เจล หน้ากากอนามัย และยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร มอบให้แก่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้ดำเนินการแจกจ่ายแล้วใน 50 เขตพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 4 – 19 สิงหาคม 2564 รวมเป็นจำนวน 5,000 ราย แบ่งเป็นการส่งมอบจากการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปลัดกระทรวง พม. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และอาสาสมัคร ใน 26 เขต จำนวน 2,800 ราย และส่งผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทยไปยัง 24 เขต จำนวน 2,200 ราย และจะแจกจ่ายเพิ่มเติมอีก 1,800 ราย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งหมดประมาณ 6,800 ราย ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และจะพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือด้านอื่นๆต่อไป

ปัจจุบัน บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” บริหารโดยคณะกรรมการฯ พิจารณาจัดสรรเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเปราะบาง และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ

“การช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยและต้องการส่งกำลังใจให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในช่วงเวลาวิกฤตขณะนี้” นายอนุชากล่าว

Advertising

ศบค.แจงจัดหาซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดสเพื่อฉีดไขว้กับแอสตร้า หลังพบภูมิต้านทานเพิ่มสูง

People Unity News : ศบค.แจงจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม 12 ล้านโดส เพื่อฉีดไขว้ชนิดกับแอสตร้าเซเนก้า หลังผลการศึกษาพบภูมิต้านทานเพิ่มสูง รวมถึงทดแทนวัคซีนที่จัดส่งไม่ได้ตามแผน

แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ชี้แจงถึงสาเหตุการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดส ว่า ศบค.พิจารณาจากข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงาน ประกอบกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาและวิจัยในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงข้อมูลศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ที่ระดมฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์แบบไขว้ คือซิโนแวคเข็ม 1 และแอสตร้าเซเนก้าเข็ม 2 โดยห่างกัน 3 สัปดาห์ พบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อและลดการเจ็บป่วยหนักและลดอัตราการชีวิตได้ อีกทั้งจะทำให้การระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามแผนการกระจายวัคซีนที่ครอบคลุม

นอกจากนี้ตามแผนเดิมกำหนดไว้ว่าจะมีวัคซีนจอนห์สัน&จอนห์สัน และแอสตร้าเซเนก้า รวมกันประมาณ 10 ล้านโดส แต่เนื่องจากจอนห์สัน&จอนห์สัน ไม่สามารถจัดส่งให้ได้ในไตรมาส 4 ตามที่ตกลงกันไว้ ทำให้ต้องปรับแผน เช่นเดียวกับแอสตร้าเซเนก้า ที่กำลังการผลิตและการจัดสรรที่คาดไว้จำนวน 10 ล้านโดส ลดลงเหลือประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน จึงเป็นเหตุผลที่ต้องจัดหาวัคซีนซิโนแวคมาเพิ่มเติม เพื่อเสริมในส่วนที่ขาดหายไป

Advertising

Verified by ExactMetrics