วันที่ 28 พฤศจิกายน 2024

“ประยุทธ์” กำชับติดตาม บอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย

People Unity News : นายกรัฐมนตรีกำชับติดตาม บอส อยู่วิทยา กลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีในไทย พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

22 กันยายน 2563 เวลา 13.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะประสานกับตำรวจสากลออกประกาศหมายแดง เพื่อติดตามตัวกลับมาสู่กระบวนการพิจาณาคดีทางกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและขอให้ติดตามความคืบหน้าจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งตนได้กำชับเจ้าหน้าให้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนและเสียสละ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม ยืนยันว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมขอให้ทุกฝ่ายใช้หลักการและเหตุผลในการพูดคุยเจรจา สร้างการเรียนรู้ให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวต่อไปได้

Advertising

กรมบัญชีกลางชี้แจงกรณีจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า

People Unity News : กรมบัญชีกลางชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า

ตามที่ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย.2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563

นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่นายชัชวาลย์ วงศ์สวรรค์ ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เปิดเผยผ่านเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย. 2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย.2563 ว่า หากกรมบัญชีกลางไม่มีความพร้อมในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวก็ไม่ควรโยนความผิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเสนอให้โอนหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการกลับมาที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกรมบัญชีกลางไม่โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการให้ผู้มีสิทธิ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กรมบัญชีกลางเคยระบุว่าหากงบประมาณไม่เพียงพอ จะนำเงินทดรองราชการที่มีวงเงิน 1,500 ล้านบาท มาสำรองจ่ายเบี้ยยังชีพทั้ง 2 ส่วนได้ทันที จากนั้นจึงไปเรียกเก็บคืนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้มีคำถามว่าเงินทดรองราชการ 1,500 ล้านบาท หายไปไหน นั้น

“กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า กรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้กำหนดปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันในแต่ละเดือน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิตามวันที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการโอนเงินให้ผู้มีสิทธิแต่ละเดือนนั้น จะจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล จำนวน 7,774 แห่ง (ไม่รวม อบจ.) ตามจำนวนที่ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิครบทุกแห่ง ในการเบิกเงินแต่ละครั้ง ตามปฏิทินการทำงานข้างต้น ซึ่งตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย และเมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนกันยายน 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของ สถ. ต้องดำเนินการตามกระบวนการบริหารงบประมาณ ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินการทำงาน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว

อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีวงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้มีการใช้ เนื่องจาก สถ.ได้ดำเนินกระบวนการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพียงพอเเล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทดรองราชการ สำหรับแนวทางการแก้ไขกรณีดังกล่าว ขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้มีความครอบคลุม เพื่อจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ อย่างถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้”

Advertising

 

โฆษกรัฐบาลยืนยันจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมกับพัฒนาระบบ E-Payment

People Unity News : โฆษกรัฐบาลยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง

14 ก.ย. 63 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ยืนยันว่า ทั้งกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้มีการปรับปรุงตัวเลขจากเดิมที่ตั้งเบิกจ่ายไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 พบว่า จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 184,538 ราย จำนวนผู้พิการเพิ่มขึ้น 265,608 ราย ประกอบกับการพัฒนาการโอนตรงด้วยระบบ E-Payment เพื่อเป็นการจ่ายเบี้ยสู่บัญชีธนาคารของคนพิการและผู้สูงอายุโดยตรง ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือร้อยละ 20 ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำหน้าที่จ่ายเบี้ยเป็นเงินสด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า หลังจากการปรับปรุงระบบจากนี้ไปการชำระเงินให้กับผู้มีสิทธิจะมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้ขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปทันทีโดยไม่ต้องรอการประกาศสิทธิ์เหมือนในอดีต สำหรับงวดเดือนกันยายนนี้  ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้อนุมัติงบเหลือจ่าย เพื่อนำไปจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที จำนวน 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยคนพิการ 700 ล้านบาทและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,700 ล้านบาทที่มีการแบ่งจ่ายแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ.2564 ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจมีความล่าช้าไม่เกิน 1 อาทิตย์ และสำนักงบประมาณจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เนื่องจากต้องมีการใช้งบประมาณประจำปี 2563 ไปพลางก่อน

ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงผลการวิจัยว่าจะมีจำนวนผู้ตกงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการทำวิจัยตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดและเป็นเพียงการนำตัวเลขจากสถิติมาคาดคะเนสถานการณ์เศรษฐกิจ หากนำมาอ้างอิงอาจคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบิน มาตรการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. กว่า 260,000 ตำแหน่ง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการจ่ายเงินเดือนร้อยละ 50 รวมถึง ศบศ.จะมีการพิจารณามาตรการต่างๆในอนาคต อาทิ สนับสนุน Soft Loan หรือกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าปลีกขนาดย่อย เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

Advertising

นายกฯแจงสภางบกลาง 5-6 แสนล้านเอาไปใช้อะไรบ้าง?

People Unity News : นายกรัฐมนตรีแจงปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญไม่ใช่เฉพาะไทย ย้ำการใช้จ่ายงบกลาง มีแผนงานโครงการชัดเจน ผ่านการตรวจสอบและมติคณะรัฐมนตรี

8 ก.ย.63 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาญัตติเปิดอภิปราย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ว่า การเชิญมหาเศรษฐีในประเทศไทยให้มาร่วมช่วยเหลือประเทศไทย โดยเฉพาะช่วยลูกจ้างและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยืนยันว่าไม่มีการร้องขอผลประโยชน์ระหว่างกันทั้งสิ้น

นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงหมวดค่าใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 หรืองบกลาง จำนวนประมาณ 5 – 6 แสนล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 1) เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก 2) ค่าใช้จ่ายเงินชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 3) ค่าใช้จ่ายโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 4) ค่าใช้ในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนังงานของรัฐ  5) เงินชดเชยค่างานก่อสร้าง 6) เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ 7) เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ 8) เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ 9) เงินสมทบของลูกจ้างประจำ 10) เงินสำรองเงินสมทบและเงินชดเชยของข้าราชการ 11) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินที่จำเป็น มีวงเงินเพียง 96,000 ล้านบาทเท่านั้น และในวงเงินดังกล่าวทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบและเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน และต้องมีแผนงานโครงการที่ชัดเจน

นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ขออย่านำเงินทุกอย่างมาปนกัน โดยเงินที่กู้มาทั้งหมดจริงๆ คือ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน ทุกอย่าง ส่วนเงิน 9 แสนล้านบาทเป็นเงินในประเทศที่สมาคมธนาคารร่วมมือกันเพื่อนำเงินดังกล่าวมาบริหารตรงนี้ โดยเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นำไปใช้จ่ายตามกรอบที่วางไว้ ได้แก่ 1) เงิน 45,000 ล้านบาทใช้เรื่องด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาโควิด-19 การเตรียมการรับมือการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 2 งบวิจัยและพัฒนาที่จำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศเรื่องวัคซีนซึ่งได้ร่วมมือกับต่างประเทศในหลายมิติ โดยระยะแรกไทยต้องการวัคซีน 20 ล้านโดส รวมถึงบางส่วนก็นำไปดูแลอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย ขณะนี้ได้ใช้จ่ายเงินดังกล่าวไปน้อยมาก

2) เงิน 550,000 ล้านบาท ซึ่งสมาชิกฯระบุระว่าทำไมไม่จ่ายเงินคนละ 5,000 บาท 12 เดือน จากคนทั้งหมดประมาณ 33 ล้านคน นายกรัฐมนตรีแจงว่าหากทำเช่นนั้นจะได้ต้องใช้เงินถึง 1,980,000 ล้านบาท แต่ระยะเวลา 3 เดือนรัฐบาลใช้เงินดังกล่าวอยู่ในกรอบไปเพียง 550,000 ล้านบาทเท่านั้น และเหลืออีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องจ่ายให้กับคนที่ยังไม่ได้ซึ่งก็จะทยอยดำเนินการต่อไป และ3) งบประมาณใช้จ่ายในการฟื้นฟู จำนวน 400,000 ล้านบาท ซึ่งอีกหลายอย่างที่จะต้องแก้ไข ทั้งเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผู้ประกอบการรายน้อย ผู้ประการที่ไม่ได้ทำธุรกรรมผ่านธนาคาร รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการอยู่ ทุกอย่างมีการคิดอย่างรอบคอบ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้ให้เห็นตัวเลขของประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จีนขยายตัวร้อยละ 3.2 จากตัวเลขประมาณ 10.2 ลดลงมาจากก่อนหน้า -6.8 เวียดนามขยายตัวเหลือร้อยละ 0.36 สหราชอาณาจักรหดตัวที่ร้อยละ -21.7 มาเลเซียหดตัวร้อยละ 17.1 สิงคโปร์หดตัวร้อยละ 13.2 อินโดนีเซียหดตัวร้อยละ 5.3  ยูโรโซนลดลงติดลบถึง 15% สหรัฐอเมริกาหดตัว 9.5 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ญี่ปุ่นไตรมาสที่ 2 ปี 63 หดตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนของปีที่แล้วซึ่งหดตัวเพียงแค่ -1.8 สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญหน้ากันทั่วโลก ขณะที่ไทยมีศักยภาพโดยเฉพาะเรื่องพืชเกษตรและพันธุ์ข้าว ซึ่งรัฐบาลกำลังสนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันรัฐบาลพยายามประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่เพื่อให้ฟื้นฟู และให้มีการจ้างงาน ป้องกันการเลิกจ้างงาน ยืนยันว่าใช้เงินงบประมาณเป็นไปตามหลักการที่กำหนด รัฐบาลมีที่ปรึกษาและคณะทำงานที่มีความรู้ความสามารถที่จะทำงานไปสู่การปฏิบัติ

Advertising

รัฐบาลไทยชี้แจง Amnesty ที่เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุม

People Unity News : รัฐบาลไทยชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่ กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563

กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงดังนี้

1.รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี

2.รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง

3.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆที่ประเทศไทยเป็นภาคี

Advertising

“ประยุทธ์” บอกตนคุมนโยบายและทีมเศรษฐกิจ อย่าห่วงเรื่อง รมต.ลาออก

People Unity News : นายกรัฐมนตรีคุมนโยบายและทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าใช้งบฟื้นฟูฯ ดูแลเศรษฐกิจรายเล็ก เร่งการจ้างงาน กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

2 กันยายน 2563 เวลา 11.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมระหว่างตึกภักดีบดินทร์กับตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบศ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ว่า ช่วงที่ผ่านมาได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่ กำชับให้ติดตาม ดูแล เยียวยาประชาชนและหามาตรการเตรียมแผนการฟื้นฟูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งวันนี้จะเข้าไปดูพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดสุโขทัย และเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเก็บกักน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และการระบายน้ำในพื้นที่สุโขทัยที่เป็นปัญหาน้ำท่วมทุกปี ทุกอย่างต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งในที่ประชุม ศบศ. ในวันนี้ได้พูดถึงการใช้งบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 วงเงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งระยะแรกใช้ไป 1 แสนล้านบาท และในระยะต่อไปจะใช้ในการฟื้นฟูเรื่องของภาคธุรกิจ SMEs ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมทั้งการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่และที่ตกงานอยู่เดิมในปี 62-63 ในระยะแรก ซึ่งนอกจากกระทรวงแรงงานแล้ว ยังมีงบจ้างงานอื่นๆของหน่วยงานต่างๆด้วย รัฐบาลต้องการให้เพิ่มการจ้างงานให้มากยิ่งขึ้นๆ  ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจรัฐบาลจะใช้เงินอย่างระมัดระวังภายใต้มาตรการที่เหมาะสม

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการท่องเที่ยวที่เน้นการท่องเที่ยวในประเทศว่า วันนี้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศมีมากขึ้น โรงแรมมีการจองมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ มาตรการเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รัฐบาลทำการศึกษาไว้ก่อน ยังไม่มีการดำเนินการ ขออย่าตื่นตระหนก รัฐบาลยืนยันให้ความสำคัญทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจจะเดินหน้าก็ต้องกลับมาดูแลสุขภาพด้วย วันนี้เป็นโอกาสดีครบ 100 วัน ที่ประเทศไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ เป็นสิ่งที่ทุกคนช่วยกันมาตลอด ทำให้ประเทศชาติปลอดภัย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงการลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า เป็นเหตุผลและความจำเป็นด้านสุขภาพ พร้อมยืนยันรัฐบาลทำงานได้แน่นอน เพราะมีระเบียบในการรักษาราชการในการกำกับดูแล มีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจกำกับดูแลกระทรวงการคลัง  เป็นกติกา กฎ ในการบริหารราชการแผ่นดิน  ไม่ว่าขาดตรงไหนทำได้ เพราะมีคนทำงานและข้าราชการ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ทำงานมาตั้งแต่ต้นของทุกโครงการ ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลทำงานได้ เพราะในระดับนโยบายมีนายกรัฐมนตรี รัฐบาล การเมืองขับเคลื่อน ขณะที่ข้าราชการคือผู้ปฏิบัติ ทุกคนเป็นคนทำงานนำนโยบายไปแปลงสู่การปฏิบัติ ฝากไปถึงต่างประเทศและทุกคนขอให้มั่นใจ รัฐบาลยังคงเดินหน้าทุกมิติและนายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย

Advertising

“บิ๊กตู่” บอกการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นเรื่องของกรรมาธิการ ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมาธิการ

People Unity News : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นเรื่องของกรรมาธิการ ย้ำรัฐบาลดำเนินการทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ

วันนี้ (26 ส.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่าคณะกรรมาธิการกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการชี้แจงอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นและหลักเกณฑ์ต่างๆทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ย้ำว่าอะไรก็ตามที่จะสร้างความปลอดภัยไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อประเทศชาติ คนไทยทุกคนและทรัพยากรของประเทศ และพิจารณาดำเนินการสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการมีไว้เพื่อสู้กับใครแต่เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ และเป็นการดำเนินการซึ่งเป็นงบประมาณของกองทัพเรืออยู่แล้ว ส่วนจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการเป็นผู้พิจารณา

Advertising

“ประยุทธ์” นำคณะรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร จ.ระยอง ในวันที่ 24-25 สิงหาคมนี้

People Unity News : นายกฯ นำคณะรัฐมนตรี ประชุม ครม. สัญจร จ.ระยอง ในวันที่ 24-25 สิงหาคมนี้

18 สิงหาคม 2563 เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เตรียมเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ จังหวัดระยอง ระหว่าง 24 – 25 สิงหาคม 2563  เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุนระยะยาว และการพัฒนาเกษตรปลอดภัย ซึ่งจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่สำคัญที่มีศักยภาพทั้งด้านเกษตรและท่องเที่ยว มีกำหนดการสำคัญ ดังนี้

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรีและคณะจะเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองผู้โดยสาร ณ อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และเป็นประธานเปิดให้บริการทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด จากนั้น จะพบปะตัวแทนผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ชมนิทรรศการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และเยี่ยมชมตลาดสินค้าครบวงจร เทศบาลบ้านเพ (ตลาด 100 เสา)  และเยี่ยมชมวิถีกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านสวนสน – แกลง 1 ณ หาดสวนสน เพื่อส่งเสริมอาชีพประมง การแปรรูปอาหารทะเล รวมทั้งติดตามการฟื้นฟูทรัพยากร สัตว์ทะเลและโครงการธนาคารปู รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและลมมรสุม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะนั่งรถยนต์ตรวจถนนเลียบหาดแสงจันทร์ – สุชาดา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาออกแบบถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ระยะที่ 2 ด้วย

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น พร้อมเป็นสักขีพยานในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำ กินให้ชุมชนให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราและผู้ว่าราชการจังหวัดระยองด้วย ทั้งนี้ หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและคณะ จะตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการนำร่องการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick off) ณ ทางหลวงหมายเลข 3249 และชมการสาธิตการติดตั้งกำแพงคอนกรีตหุ้มแผ่นยางพารา (Rubber Fender Barrier : RFB) ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันเดียวกัน

ทั้งนี้ การประชุม ครม. สัญจร ในครั้งนี้ใช้พื้นที่โรงแรมเป็นสถานที่จัดการประชุม ซึ่งเป็นการสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชนด้านการบริการสร้างความคึกคักให้กับภาคธุรกิจในจังหวัดระยองอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะโรงแรมที่พัก เช่น โรงแรม Kantary Bay  โรงแรม Holiday Inn  โรงแรม Wisdom โรงแรม Marriott Resort and Spa  โรงแรม Classic Kameo ขณะนี้หลายภาคส่วนราชการได้สำรองที่พักกันแล้ว

Advertising

“ประยุทธ์” เตรียมมอบนโยบายและข้อสั่งการให้ รมต.ใหม่ไปขับเคลื่อนปฏิบัติ

People Unity News : นายกฯ เตรียมมอบนโยบาย รมต.ใหม่ พร้อมลุยงานทันที สั่ง ครม.เร่งสร้างผลงาน แก้ปัญหาให้ประชาชน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้กล่าวว่ารัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พร้อมปฏิบัติงานทันที ซึ่งภายหลังการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง พร้อมอธิบายแนวทางการขับเคลื่อนภาพรวมของรัฐบาล ให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และรับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีไปขับเคลื่อน รวมถึงถือโอกาสพบปะ ครม. ทั้งคณะด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอให้เชื่อมั่นว่า ครม.ใหม่ ผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงมาแล้วทั้งสิ้น มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง เชื่อว่าจะสามารถสานต่องานทันทีโดยไม่สะดุด และริเริ่มโครงการใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐมนตรีทุกคนเร่งสร้างผลงานให้ปรากฏแก่สายตาประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงที่สถานการณ์โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จะต้องเร่งขับเคลื่อนงานที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ โดยเฉพาะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพราะประเทศไทยถือว่าได้เปรียบที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี จึงควรใช้ตรงนี้เป็นโอกาส เร่งฟื้นฟูสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนในประเทศ และชาวต่างชาติเกิดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีระบุถึงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจว่า นอกจากการทำงานของคณะ รมต. แล้ว ยังได้หารือกับคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆ กรรมการด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผู้แทนสถาบันการเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ สมาคมผู้ประกอบการ ฯลฯ โดยพูดคุยเพื่อรับข้อเสนอและความต้องการต่างๆ พร้อมพิจารณาร่วมกันถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการ อันจะเป็นหนทางสู่การเร่งแก้ไขสถานการณ์ของประเทศภายใต้ข้อกำจัด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมอบนโยบายให้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านการดำเนินการของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มีทีมที่ปรึกษาที่มาจากประชาชน เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแบบ Big Data แล้วจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน ก่อนจะมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งการดำเนินงานหลายเรื่องสามารถทำได้โดยระบบออนไลน์ ตามความตั้งใจที่ประกาศจะเป็นรัฐบาล New normal

Advertising

ประยุทธ์มอบนโยบายผู้ว่าฯ 76 จว.ให้ปรับการทำงานร่วมกับนายกฯตามนโยบายไทยสร้างชาติ

People Unity News : นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายผู้ว่าฯ 76 จังหวัด แนะปรับการทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรี ตามนโยบายไทยสร้างชาติ

24 ก.ค.63 เวลา 11.30 น. ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสี ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีทุกกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมรับฟังการมอบนโยบาย สรุปสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า

นายกรัฐมนตรีย้ำวาระของโลกหลังโควิดหรือโลกระหว่างมีโควิดว่า เป็นโลกยุค New Normal คือการมีชีวิตใหม่ในปัจจุบัน เพราะโรคระบาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและมีห้วงระยะเวลา ที่ผ่านมาก็มีหลายโรคเกิดขึ้นซึ่งทุกคนก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคกันมาได้ เช่น โรคเมอร์ส ซาร์ส เป็นต้น สิ่งแรกคือผู้ว่าฯทุกคนต้องปรับการทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีตามนโยบายไทยสร้างชาติ รวมถึงภาคราชการ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนทุกฝ่าย เพราะชาติเป็นหน้าที่ของทุกคน จึงฝากขอให้ผู้ว่าฯไปทำความเข้าใจกับประชาชนถึงแนวทางอยู่ร่วมกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ โดยต้องหาวิธีการสร้างอนาคตร่วมกันให้ได้

Advertising

Verified by ExactMetrics