วันที่ 23 พฤศจิกายน 2024

กรมปศุสัตว์พบ “โรคแอนแทรกซ์” ในลาว ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มีนาคม 2567 “เกณิกา” เผยกรมปศุสัตว์พบ “โรคแอนแทรกซ์” ในลาว จากการกินเนื้อวัว-ควายดิบ ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค เข้มงวดด่านกักกันสัตว์ตามแนวชายแดนไทย-ลาว ตรวจสอบการลักลอบนำเข้า

น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้กรมปศุสัตว์แจ้งเตือนการพบโรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ในประเทศลาว โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเนื้อโค-กระบือดิบ โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 มีรายงานข่าวต่างประเทศว่าพบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 3 ราย ที่เมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ สปป ลาว ซึ่งโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยโรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis) สัตว์ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในดินหรือหญ้าเข้าสู่ร่างกาย หรือจากการกินน้ำและอาหารที่มีเชื้อปะปนเข้าไป เมื่อเชื้อเข้าตัวสัตว์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมสร้างสารพิษทำให้สัตว์ป่วยและตายในที่สุด

ทั้งนี้ ระหว่างสัตว์ป่วย เชื้อถูกขับออกมากับอุจจาระ ปัสสาวะ หรือน้ำนม เมื่อเปิดผ่าซาก เชื้อสัมผัสกับอากาศจะสร้างสปอร์ ทำให้คงทนในสภาพแวดล้อมได้นาน โค กระบือ แพะ และแกะ ที่ป่วยจะมีอาการแบบเฉียบพลัน คือ จะตายอย่างรวดเร็ว มีเลือดสีดำคล้ำไหลออกตามทวารต่างๆ ซากไม่แข็งตัว สำหรับคนที่ผ่าซากหรือบริโภคเนื้อสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้แบบสุกๆ ดิบๆ จะพบแผลหลุมตามนิ้วมือ แขน หรือช่องปาก และมีอาการเจ็บปวดในช่องท้อง โรคนี้ทำให้คนตายได้หากตรวจพบโรคช้า

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค โดยสั่งการให้ด่านกักกันสัตว์ตามแนวชายแดนไทย-ลาว เข้มงวดตรวจสอบการลักลอบนำเข้าโค กระบือ แพะ และแกะที่มีชีวิต รวมถึงผลิตภัณฑ์ด้วย เตรียมความพร้อมด้านวัคซีนป้องกันโรค และขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ แพะ และแกะ ให้ดูแลสัตว์ของตนเองให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง หมั่นสังเกตอาการสัตว์เลี้ยงของตนเองอยู่เสมอ ขอย้ำให้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงสุกและเป็นเนื้อสัตว์ที่ทราบแหล่งที่มาเท่านั้น

“หากเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปพบโค กระบือ แพะ แกะ แสดงอาการป่วยหรือตายผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุแบบเฉียบพลัน ห้ามเปิดผ่าซาก ห้ามเคลื่อนย้ายซากหรือชำแหละเพื่อการบริโภค ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาปศุสัตว์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ หรือผ่านทาง Application DLD 4.0 หรือโทรศัพท์สายด่วน 06 3225 6888 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที” น.ส.เกณิกา กล่าว

Advertisement

กรมการแพทย์แผนไทยฯแนะพก 3 ยาสมุนไพรติดตัว-ดื่มน้ำสมุนไพรช่วงฤดูร้อน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 มีนาคม 2567 กรมการแพทย์แผนไทยฯ เผยเคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์แผนไทย ชู 3 ยาสมุนไพรที่ควรพกติดตัว และ 6 น้ำสมุนไพร แก้อาการยอดฮิต ช่วงฤดูร้อน

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เตือนประชาชนเตรียมพร้อมรับมือหน้าร้อน เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์แผนไทย แนะพก 3 ยาสมุนไพร ยาหอมเทพจิตร ยาดมสมุนไพร และพิมเสนน้ำ รวมถึงวิธีคลายร้อนด้วย 6 น้ำสมุนไพร ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น น้ำลอยดอกมะลิ น้ำใบเตย น้ำบัวบก น้ำย่านาง น้ำมะพร้าว และน้ำตรีผลา ช่วยบรรเทาอาการโรคยอดฮิต ช่วงฤดูร้อน

นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน ปัญหาสุขภาพที่ตามมามักเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อน ในทางการแพทย์แผนไทย อากาศที่ร้อนจะส่งผลกระทบต่อธาตุไฟ และธาตุน้ำในร่างกาย ทำให้ธาตุไฟกำเริบมักทำให้มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยเฉพาะโรคลมแดด (Heatstroke) เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดโดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ผู้ที่ต้องทำงานอยู่กลางแจ้ง จะได้รับผลกระทบโดยตรง

สำหรับยาสมุนไพรที่ควรพกประจำตัวไว้ในช่วงฤดูร้อน ได้แก่ ยาหอมเทพจิตร ช่วยแก้อาการหน้ามืด ตาลาย อาการที่รู้สึกใจหวิว คลื่นไส้ วิงเวียน ตาพร่าจะเป็นลม ใจสั่น ส่วนใหญ่มีส่วนประกอบเป็นสมุนไพรรสหอมเย็น เช่น ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง สมุนไพรรสหอมเย็นมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นต้น

ยาดมสมุนไพร บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ช่วยให้สดชื่นตื่นตัว และพิมเสนน้ำ มีส่วนประกอบหลัก ๆ คือ พิมเสน แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด บำรุงหัวใจ การบูร แก้เคล็ด ขัดยอก เกล็ดสะระแหน่หรือเมนทอลมีกลิ่นหอมเย็น สำหรับพิมเสนน้ำเมื่อสัมผัสผิวจะรู้สึกเย็น จึงควรระมัดระวังการระคายเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจและดวงตาหรือบริเวณผิวหนังอ่อน

นอกจากยาสมุนไพรที่ควรมีไว้ติดตัวในช่วงหน้าร้อนแล้ว ยังมีวิธีการคลายร้อนตามภูมิปัญญาไทย ซึ่งจะรับประทานในลักษณะเครื่องดื่มน้ำสมุนไพร โดยจะเน้นไปที่สมุนไพรที่มีรสเย็น เช่น น้ำลอยดอกมะลิ จะช่วยทำให้สดชื่น แก้กระหาย แก้อ่อนเพลีย ช่วยคลายเครียด ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยคลายร้อน และช่วยบำรุงหัวใจ น้ำใบเตย ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ น้ำบัวบก แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ น้ำย่านาง แก้ไข้ ลดความร้อนในร่างกาย น้ำมะพร้าว ช่วยดับกระหาย คลายร้อน ช่วยให้สดชื่น และน้ำตรีผลา ปรับสมดุลของร่างกายในช่วงฤดูร้อน เป็นต้น

นายแพทย์ขวัญชัย กล่าวย้ำว่า ในช่วงฤดูร้อนนี้ สิ่งที่สำคัญควรปฏิบัติตน คือหลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นเวลานาน ๆ สวมเสื้อผ้าที่โปร่งเบาสบาย สีอ่อน ๆ พยายามดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย หรือการใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรค สามารถติดต่อที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หมายเลขโทรศัพท์ 0 2149 5678 หรือช่องทางออนไลน์ที่ FACEBOOK กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก www.facebook.com/dtam.moph และ line @DTAM

Advertisement

เช้านี้ราคาทองพุ่งนิวไฮอีก สมาคมค้าทองระบุ กองทุนเริ่มเทขาย ราคาอาจลดลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 มีนาคม 2567 ราคาทองคำวันนี้ พุ่งแรงทำนิวไฮอีก หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยปีนี้

สมาคมค้าทองคำรายงาน ราคาทองคำเปิดเช้านี้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง ราคาปรับเปลี่ยน 3 รอบ ปรับเพิ่มขึ้นรวม 400 บาท/บาททองคำ โดยรอบที่ 3 (09.56 น.) ราคาทำนิวไฮ สร้างสถิติสูงสุด โดยราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 36,250 บาท รับซื้อ 36,150 บาท ทองคำรูปพรรณ ขายออก 36,750 บาท รับซื้อ 35,504.72 บาท ตามราคาทองคำเอเชียที่ขยับขึ้นทำนิวไฮที่ 2,150 ดออลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ 35.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ราคาทองคำในประเทศพุ่งแรงตามราคาทองคำโลก หลัง นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรส ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แม้ยังไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะปรับลดลงเมื่อใด เนื่องจากความคืบหน้าในการควบคุมเงินเฟ้อนั้นยังคงไม่แน่นอน และระบุด้วยว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ใกล้เข้าสู่ภาวะถดถอยแต่อย่างใด โดยเงินเฟ้อได้ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีในปี 2565 แต่เฟดก็ยังคงต้องการความเชื่อมั่นมากขึ้นกับการลดลงของเงินเฟ้อก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ปิดตลาดวานนี้ ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ หรือ 0.76% ปิดที่ 2,158.20 ดอลลาร์/ออนซ์ นอกจากนี้ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังการเปิดเผยถ้อยแถลงของประธานเฟด ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์จะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ๆ ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

ด้าน นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ปีที่แล้วทองคำโลกขึ้นไปแตะสูงสุด 2,145 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ส่วนปีนี้แค่ต้นปีก็ขึ้นมาถึง 2,150 ดอลลาร์/ออนซ์ แล้ว มีการประเมินกันว่าอาจมีโอกาสขึ้นไปแตะถึง 2,200 สหรัฐ/ออนซ์ ส่วนทองไทยประเมินว่าปลายปีนี้อาจมีโอกาสแตะ 38,000 บาท โดยปกติเมื่อราคาทองคำขึ้น คนจะเอาทองมาขาย แต่รอบนี้ผิดคาด ยิ่งราคาทองขยับขึ้น คนที่เพิ่งซื้อทองไปไม่กี่วันก็เอามาขายแล้ว และอีกหลายคนก็ซื้อเพิ่มเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น

“หลายคนเห็นว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ หากเป็นทองที่มีอยู่แล้วจะขายก็ได้หรือรอก็ได้ แต่ถ้าจะซื้อช่วงนี้เพื่อเก็งกำไรก็ขอให้ระวังเพราะการลงทุนมีความเสี่ยง เนื่องจากขณะนี้มีการซื้อมากเกินไปแล้ว มองว่ากองทุนต่าง ๆ ที่ลงทุนอาจเริ่มเทขายทำกำไรได้ ทองคำที่ขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงไปได้เช่นกัน” นายวรชัย ระบุ

Advertisement

ราคาทองคำวันนี้ขึ้นอีก ทำสถิติสูงสุด คาดอาจแตะ 38,000 บาทปีนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มีนาคม 2567 ราคาทองคำทำนิวไฮอีกเช้าวันนี้ รอลุ้นปีนี้อาจแตะ 38,000 บาท/บาททองคำ

สมาคมค้าทอง รายงานราคาครั้งที่ 2 ในวันนี้ ราคาทองในประเทศปรับขึ้นจากวันเสาร์รวม 100 บาท โดยทองแท่งขายออกอยู่ที่ 35,300 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่ 35,800 บาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่าราคาทองคำช่วงนี้ปรับตัวขึ้นจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง  เช้าวันเสาร์ที่ 2 มี.ค. ราคาทองในประเทศปรับขึ้นรวดเดียว 400 บาท และเช้าวันนี้ (4 มี.ค.) ราคาในประเทศก็ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งครั้งละ 50 บาท รวม 100 บาท แม้ว่าเงินบาทจะค่อนข้างแข็งค่าก็ตาม ผันแปรตามค่าเงินดออลลาร์  ถ้าเงินบาทไม่แข็งค่า ทองในประเทศจะขึ้นไปมากกว่านี้  โดยเงินบาทอยู่ที่ 35.80 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ทองคำต่างประเทศไป 2,082 ดออลาร์/ออนซ์ และหากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยอีก ทองคำก็มีโอกาสจะขึ้นไปได้อีก โดยขณะนี้มองว่าปีนี้ทองในประเทศแนวต้านอาจไปถึง 38,000 บาท

น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทเช้านี้ปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.80-35.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ  เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 35.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินคาด

Advertisement

ด่วน!! ศาลฎีกาฯ ยกฟ้องคดีโรดโชว์ เพิกถอนหมายจับ “ยิ่งลักษณ์”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มีนาคม 2567 ศาลฎีกานักการเมืองฯ มติเอกฉันท์ยกฟ้องคดีโรดโชว์ จากการไต่สวนพยานหลักฐาน ไม่มีพฤติการณ์ละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ทุจริตต่อหน้าที่-เอื้อประโยชน์ให้เอกชน โดยการใช้วิธีพิเศษในการจ้างเอกชน พร้อมสั่งเพิกถอนหมายจับอดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ  0 พิพากษายกฟ้องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ประกอบไปด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล  นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ  บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) , บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)  และ นายระวิ โหลทอง และสั่งเพิกถอนหมายจับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ความผิดเกี่ยวกับการเสนอโครงการโรดโชว์ ที่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วน  ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ใช้ดุลยพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง มีเจตนาร่วมกันในการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษอันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ  และยังมีการร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไข  เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  จำนวนเงิน 239,700,000 บาท

โดยศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และไม่มีความผิดตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 192 และมาตรา 123 /1 รวมถึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ปี 2542 มาตรา 12 และ 13 ไม่ปรากฏว่ามีการคบคิดกัน ฉ้อฉลหรือไม่สุจริต หรือมีผู้ใดสั่งการ หรือแทรกแซงการกำหนดราคากลางและคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ  และเมื่อทราบเรื่องก็ยังมีคำสั่งให้ชะลอการจ่ายเงินค่าจ้าง และชี้ว่าจำเลยที่ 4 -6 ไม่มีความผิดตามคำฟ้องเช่นกัน  โดยยังไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

จากการไต่สวนพยานและหลักฐาน ศาลชี้ว่า การที่จำเลย 1-3 ดำเนินนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดดำเนินโครงการโรดโชว์ เป็นการดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยถึงการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้กำหนดเวลากระชั้นชิด  เพียงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการใช้งบกลาง  ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่าสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้   จึงเป็นดุลย์พินิจที่กระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น อีกทั้งการจัดโครงการโรดโชว์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด  และยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ  ว่าไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงงบกลาง ในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้ เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้าง หรือไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น

ขณะเดียวกัน จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เห็นว่านายสุรนันทน์ไม่ได้กระทำการ ในลักษณะที่เป็นการชี้นำ หรือจูงใจ หรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ และไม่ได้มีบุคคลใดสั่งให้เลือกบริษัทเอกชนทั้งสองเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการดำเนินโครงการที่กระชั้นชิด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามระเบียบกฎหมาย จึงไม่ได้ใช้วิธีการประกวดราคา ตามข้อกล่าวหาจึงขาดเรื่องเจตนาพิเศษ ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

โดยประการสำคัญที่สุด หลังเกิดเหตุรัฐประหาร เลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว  ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าโครงการโรดโชว์ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ จึงอนุมัติเบิกจ่าย   สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ ดังนั้นจึงฟังได้ว่านายสุรนันทน์ไม่ได้ละเว้นการปฎิบัติ

สำหรับโครงการอีก 10 จังหวัดในวงเงิน 200 ล้านบาท  เป็นการดำเนินการที่กระชั้นชิด ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคา  และเข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเช่นเดียวกัน ส่วนจำเลย 4-6 จากข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ซึ่งกรณีการแบ่งจังหวัดของบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตนั้น เป็นไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเพื่อจัดทำงานนำเสนอ   จึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันฮั้วประมูล  จึงไม่ผิดตามคำฟ้อง องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ให้พิพากษายกฟ้อง

Advertisement

อุตุฯเตือนไทยตอนบน รับมือ “พายุฤดูร้อน”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 มีนาคม 2567 กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบน รับมือ “พายุฤดูร้อน” ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูงเนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี

Advertisement

ส.ป.ก. ท้าชนกรมอุทยานฯ ออกแถลงการณ์ยันแนวเขตพิพาทเขาใหญ่ อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน อ้างทำตามมติ ครม. ลั่นจะปกป้องสิทธิเกษตรกร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มีนาคม 2567 เลขาธิการ ส.ป.ก. ยันแนวเขตพื้นที่พิพาทบริเวณบ้านเหวปลากั้ง ต.หมูสี อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแน่นอน โดย ส.ป.ก. ได้รับมอบพื้นที่มาตามกระบวนการจำแนกป่า จากนั้นมี พ.ร.ก.กำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2534 หาก ครม. มีนโนบายให้ ส.ป.ก. ส่งมอบพื้นที่พิพาทไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานฯ จะต้องปรับปรุงกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวว่า ส.ป.ก. ออกแถลงการณ์เรื่อง กรณีพิพาทระหว่างแนวเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมากับแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เพื่อยืนยันว่า พื้นที่พิพาทบริเวณบ้านเหวปลากั้ง หมู่ที่ 10 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินอย่างแน่นอน โดยไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แต่อย่างใด

ในแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ได้ปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้เข้ารื้อถอนหมุดหลักฐานซึ่งเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมบริเวณดังกล่าว อันอาจก่อให้เกิดเป็นประเด็นพิพาทในระหว่างส่วนราชการด้วยกันนั้น

ส.ป.ก. ยืนยันว่า ที่ดินในบริเวณพิพาทเป็นที่ดินที่ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามมาตรา 26 (3) และมาตรา 36 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูงเนินและอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2534

ทั้งนี้กรมแผนที่ทหารได้ตรวจสอบข้อมูล Field book ซึ่งเป็นการบันทึกการรังวัดขอบเขตของกรมอุทยานฯ เอง ตามมาตรฐานแผนที่และการรังวัดสากลแล้ว ยืนยันว่า พื้นที่ข้อพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

สำหรับพื้นที่บริเวณดังกล่าว ส.ป.ก. ได้รับมาจากการนำที่ดินที่จำแนกออกจากป่าเขาใหญ่เฉพาะพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่าสงวน (พื้นที่อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุบกษา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2505) เนื้อที่ประมาณ 33,896 ไร่ ตามที่คณะรัฐนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2530 มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาที่ดินครั้งที่ 6/2527 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2527 ที่มีกรมป่าไม้ (ผู้รับผิดชอบงานอุทยานแห่งชาติในขณะนั้น) และ ส.ป.ก. ร่วมเป็นกรรมการ โดยได้สำรวจจนเป็นที่ยุติแล้วว่า พื้นที่ที่ส่งมอบให้ ส.ป.ก. ข้างต้นมีสภาพการใช้ประโยชน์โดยการประกอบเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 86.25 %

ดังนั้น ส.ป.ก. จึงมีอำนาจหน้าที่นำที่ดินเนื้อที่ประมาณ 33,896 ไร่ที่ได้รับมอบซึ่งที่ดินบริเวณพิพาทรวมอยู่ในส่วนนี้ด้วย มาจัดให้แก่เกษตรกรตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการทับซ้อนของแผนที่แสดงแนวเขตในบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

หากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐตามโครงการ One Map เพื่อให้ที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้รับมาในบริเวณพิพาทไปอยู่ในแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับปรุงกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ รวมถึงช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้สุจริตซึ่งเสียสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจากผลกระทบดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนจากการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ 10 ข้อ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติต่อไป

เลขาธิการ ส.ป.ก. ระบุว่า ได้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยยึดมั่นในหลักการว่า หากปรากฎข้อเท็จจริงใดๆ ว่า มีเจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. รังวัดจัดที่ดินในพื้นที่ที่ยังมีสภาพป่า ย่อมเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยระเบียบและข้อตกลงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบ โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตลอดจนย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายด้วยแล้ว หากพบว่า เจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. ผู้ใดได้กระทำความผิดหรือจัดที่ดินโตยฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งกฎหมายหรือกระทำการใดๆ ที่ไม่ถูกต้องอันก่อให้เกิดความเสียหายกับการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ส.ป.ก. จะดำเนินการตามกฎหมายทั้งทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญาให้ถึงที่สุด ในทางกลับกัน หากตรวจสอบแล้วพบว่า ส.ป.ก. จัดที่ดินที่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ก็เป็นกรณีสมควรที่เกษตรกรจะต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิกฎหมายและมีความชอบธรรมในการถือครองที่ดินของ ส.ป.ก. ต่อไป โดยไม่ควรที่จะมีหน่วยงานใดก็ตามรบกวนหรือรอนสิทธิของประชาชนเหล่านี้

พร้อมกันนี้ยืนยันว่า ส.ป.ก. จะยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมให้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายทุกประการและจะตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของ ส.ป.ก. ที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อพิสูจน์ทราบ หากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดต่อไป

Advertisement

สพฐ. แจงปรับปรุงหนังสือเรียนทันตามกำหนด ปีการศึกษา 2567 เผยทันสมัยเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2567 สพฐ. แจงปรับปรุงหนังสือเรียนทันตามกำหนดเวลา เนื้อหาทันสมัยไม่ตกยุค

นางเกศทิพย์ ศุภวานิช โฆษกสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (โฆษก สพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ กรณีองค์การค้าของ สกสค. ไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างการจัดพิมพ์หนังสือเรียน ปีการศึกษา 2567 ได้ เนื่องจากปีนี้ สำนักวิชาการและมาตรฐาน สพฐ. ได้มีการตรวจต้นฉบับเนื้อหาหนังสือแบบเรียน และส่งให้ทางองค์การค้าฯ ค่อนข้างล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีประกวดราคาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-bidding ได้ทันนั้น

นางเกศทิพย์ กล่าวว่า ในประเด็นดังกล่าว ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้รับทราบและสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พบว่า ทางสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สวก.) ร่วมกับองค์การค้าของ สกสค. และสำนักพิมพ์เอกชน ได้ประชุมพิจารณาแนวทางการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ ร่วมกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 และมีมติ ให้ปรับปรุงหนังสือเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้เสร็จสิ้นในเวลา 3 ปี ประกอบด้วย 1) ระดับชั้น ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4 หรือ ม.4-6 ที่จัดทำเป็นช่วงชั้น ปี 2567 2) ระดับชั้น ป.2 ป.5 ม.2 และ ม.5 ปี 2568 และ 3) ระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6 ปี 2569 โดยที่ประชุมมีมติ กำหนดเวลาในการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้และการส่งเข้าตรวจประเมินคุณภาพ ได้แก่ 1) สื่อการเรียนรู้ต้นแบบ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ เมษายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 2) สื่อการเรียนรู้สำนักพิมพ์เอกชน กำหนดระยะเวลา รอบที่ 1 ภายในเดือนพฤษภาคม 2566 รอบที่ 2 ภายในเดือนสิงหาคม 2566 และรอบที่ 3 ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 และกำหนดการส่งรายชื่อหนังสือเรียนลงในบัญชีกำหนดสื่อการเรียนรู้ฯ รอบที่ 1 วันสุดท้าย คือ วันที่ 12 มกราคม 2567 รอบที่ 2 วันสุดท้าย คือ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 และรอบอื่น ๆ เป็นก่อนวันศุกร์สุดท้ายของเดือน โดย สพฐ. อนุมัติให้เพิ่มรอบเพิ่มเติม วันสุดท้าย คือ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567

สำหรับการดำเนินการปรับปรุงสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น สำหรับ สสวท. และองค์การค้าฯ ได้ดำเนินการในส่วนของ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถขึ้นได้ทันรอบ ที่ 1 และกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สามารถขึ้นได้ทันรอบ ที่ 2 ทางด้าน สถาบันภาษาไทย สวก. ได้ดำเนินการในส่วนของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สามารถขึ้นได้ทันรอบเพิ่มเติม ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ขณะที่กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่มีแนวโน้มจะดำเนินการไม่ทันตามกำหนดนั้น องค์การค้าฯ กับ สพฐ. ก็ได้เร่งรัดการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ส่งลงในบัญชีกำหนดสื่อการเรียนรู้ สวก. ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ทันการจำหน่ายในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

“ทาง สพฐ. ได้กำชับหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ เพราะเป็นประโยชน์ของเด็กและเยาวชนที่จะได้เรียนรู้อย่างถูกต้อง ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และได้ปรับเนื้อหาให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งทาง สวก. ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงสื่อการเรียนรู้และส่งเข้าตรวจประเมินคุณภาพ ตามกรอบระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ตามมติที่ประชุมร่วมกันระหว่าง สพฐ. องค์การค้าฯ และสำนักพิมพ์เอกชน อย่างครบถ้วน ส่วนการจัดพิมพ์ขององค์การค้าฯ สพฐ. ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดพิมพ์ดังกล่าว และหวังว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 นี้” โฆษก สพฐ. กล่าว

Advertisement

กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขต อช. เขาใหญ่ถูกต้องตามกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2567 อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติฯ ชี้การสำรวจรังวัดแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2502 แต่การชี้ขาดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ One Map

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เนื่องจากการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (เดิม) ที่กำหนดให้การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติต้องจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแนบท้ายด้วย

ดังนั้น การกำหนดเขตอุทยานแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติตามที่บัญญัติในกฎหมาย โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชมีกระบวนการในการสำรวจเพื่อกำหนดเขต แล้วจึงขึ้นรูปแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาตามแนวทางการจัดทำกฎหมายที่มีแผนที่ท้ายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกทั้งดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรฐานระวางแผนที่และแผนที่รูปแปลงที่ดินในที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2550 รวมทั้งได้มีการถ่ายทอดแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 และแผนที่ระวางมาตราส่วน 1 : 50,000 ตามที่ระเบียบกำหนดครบทุกแห่งแล้ว โดยแผนที่มาตราส่วน  : 4,000 ยังเป็นแผนที่ที่คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ กำหนดให้เป็นแผนที่รัฐในการดำเนินการพิจารณาจัดทำแนวเขต One Map

สำหรับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้มีการสำรวจรังวัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และได้นำผลการสำรวจรังวัดมาประกอบกับสภาพข้อเท็จจริง แล้วจึงขึ้นรูปเป็นแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสม จัดทำเป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2505 ตามแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด พร้อมทั้งได้มีการจัดทำแผนที่มาตราฐานโดยการถ่ายทอดแนวเขตจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ข้างต้น ใช้เป็นแผนที่ในการปฏิบัติงานและใช้เป็นแผนที่ฐานในการจัดทำ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำหนด

นายอรรถพลกล่าวถึงปัญหาแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการและถือปฏิบัติ มีแนวเขตไม่สอดคล้องตรงกันกับแนวเขตที่กรมแผนที่ทหารได้จัดทำในบริเวณที่มีการออกเอกสาร ส.ป.ก. 4-01 ท้องที่บ้านเหวปลากั้ง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า เห็นควรเสนอให้คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาตามหลักเกณฑ์การพิจารณา One Map ให้ได้ข้อยุติและถูกต้องตามข้อเท็จจริงต่อไป

Advertisement

กรมอุตุฯ เตือน ไทยตอนบนรับมือ “พายุฤดูร้อน” ช่วงวันที่ 1-3 มี.ค. 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 กุมภาพันธ์ 2567 กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบน อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวตอนกลางวัน ฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เตือนรับมือ “พายุฤดูร้อน” ช่วงวันที่ 1-3 มี.ค. 67

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าว มีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 1-3 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูงเนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี

Advertisement

Verified by ExactMetrics