วันที่ 23 พฤศจิกายน 2024

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นองคมนตรี

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤศจิกายน 2566 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นองคมนตรี

เว็บไซค์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ เรื่อง แต่งตั้งองคมนตรี

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งองคมนตรีตามประกาศ ลงวันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2565 แล้วนั้น

บัดนี้ ทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรีเพิ่มขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น องคมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

Advertisement

“พวงเพ็ชร” สั่ง สคบ.ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษจับตาการซื้อขายสินค้า-บริการ ช่วงเทศกาล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤศจิกายน 2566 ทำเนียบ – “พวงเพ็ชร” สั่ง สคบ.ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ จับตาสินค้า-บริการ ถูกและดีอาจไม่มีจริง เหตุประชาชนจับจ่ายสูงช่วงเทศกาลปีใหม่อาจตกเป็นเหยื่อเพิ่ม

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2566 ที่ประชุมได้รายงานผลการรับเรื่องร้องทุกข์และช่วยเหลือประชาชน โดยพบว่าตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา (พ.ค.-ต.ค.66) มีการร้องทุกข์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งสิ้น 3,239 เรื่อง โดยเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด คือ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ จำนวน 967 เรื่อง รองลงมาคือกรณีการจองตั๋วสายการบิน/โรงแรม/บัตรชมการแสดง จำนวน 413 เรื่อง และการเช่าซื้อรถยนต์ จำนวน 335 เรื่อง

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า การซื้อขายออนไลน์เป็นดาบสองคมที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งยังเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการหลอกลวง สร้างความเสียหายแก่ผู้บริโภคในวงกว้าง จึงต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นต้น เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงขอให้ สคบ.ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ เพื่อดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคในคดีที่ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว

“เราต้องมีการปรับโครงสร้างการช่วยเหลือผู้บริโภคครั้งใหญ่ เพื่อให้ สคบ.กระจายอำนาจให้ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ดำเนินการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของพี่น้องประชาชน และเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที และให้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ถูกมิจฉาชีพหลอก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ประชาชนมีการบริโภคสินค้าและบริการจำนวนมาก เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน การจองห้องพัก การจองทัวร์ท่องเที่ยว การซื้อกระเช้าของขวัญ และการซื้อสินค้าออนไลน์ จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลของสินค้าและบริการอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้น อย่าหลงเชื่อเพราะของถูกอาจไม่มีจริง ทั้งนี้ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้าและบริการ ผู้บริโภคสามารถโทรหาสายด่วน สคบ. 1166 ได้ทันที”

Advertisement

ฮามาสปล่อยตัวประกันคนไทยเพิ่มอีก 3 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 พฤศจิกายน 2566 กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 3 ที่ลักพาตัวมาจากอิสราเอล จำนวน 17 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 คน แลกเปลี่ยนกับนักโทษชาวปาเลสไตน์

กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 3 ที่ลักพาตัวมาจากอิสราเอล จำนวน 17 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 3 คน แลกเปลี่ยนกับนักโทษชาวปาเลสไตน์

เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของข้อตกลงพักรบในฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ทั้งสองฝ่ายยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงด้วยการปล่อยตัวประกันและนักโทษตามที่ตกลงกันไว้ โดยกองทัพอิสราเอลแถลงว่ากลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชุดที่ 3 รวม 17 คน แบ่งเป็นชาวอิสราเอล 13 คน รวมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งบางคนในนี้เป็นบุคคลสองสัญชาติ นอกจากนี้ยังปล่อยตัวแรงงานชาวไทยอีก 3 คน และชาวรัสเซีย 1 คน

ต่อมาสื่ออิสราเอลรายงานว่า ตัวประกันชาวรัสเซียถือสัญชาติอิสราเอลด้วย จึงทำให้มีตัวประกันชาวอิสราเอลได้รับการปล่อยตัวชุดที่ 3 จำนวน 14 คน ขณะที่ฝ่ายอิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จากเรือนจำเพิ่ม 39 คน

กลุ่มฮามาส แถลงด้วยว่า ตัวประกันกลุ่มหลังที่ได้รับการปล่อยตัวคือแรงงานไทย 3 คน และอีกคนเป็นคนสองสัญชาติ อิสราเอล-รัสเซียนั้น ได้รับการปล่อยตัวนอกเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ข่าวระบุว่าอิหร่านและตุรกีช่วยเจรจาช่วยเหลือปล่อยตัวประกันคนไทย ขณะที่คนสองสัญชาติ อิสราเอล-รัสเซีย ได้รับการปล่อยตัวตามความพยายามประสานช่วยเหลือของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย

ส่วนการพักรบสองวันแรก เมื่อวันที่ 24 และ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลแล้วรวม 26 คน แรงงานไทย 14 คน และฟิลิปปินส์ 1 คน ส่วนอิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จากเรือนจำรวมแล้ว 78 คน

มีรายงานว่า กลุ่มฮามาสแถลงต้องการให้มีการขยายข้อตกลงพักรบชั่วคราวกับอิสราเอล หลังจากข้อตกลงปัจจุบันที่มีกำหนด 4 วัน จะสิ้นสุดลงในวันนี้ (27 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อพยายามเพิ่มจำนวนตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัว แหล่งข่าวบอกว่าฮามาสอยากขยายข้อตกลงพักรบออกไป 2-4 วัน และจะปล่อยตัวประกันเพิ่มอีก 20-40 คน หรือวันละ 10 คน

ในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล บอกว่าถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะมีตัวประกันได้รับอิสรภาพเพิ่ม โดยเฉพาะตัวประกันเด็กที่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ถูกฮามาสจับไป อย่างไรก็ดี หากผ่านพ้นข้อตกลงพักรบ 4 วัน และไม่มีการขยายเพิ่ม กองทัพอิสราเอลจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบในฉนวนกาซาต่อไปทันที เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุด คือการกวาดล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก

Advertisement

เผย “วาซาบิ” มีประสิทธิภาพช่วยความจำของผู้สูงวัย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 พฤศจิกายน 2566 โตเกียว – การวิจัยล่าสุดในญี่ปุ่นพบว่า วาซาบิ สมุนไพรพื้นบ้านของญี่ปุ่นและเครื่องปรุงรสยอดนิยมของอาหารประเภทซูชิ หรือ ข้าวปั้นญี่ปุ่น อาจจะมีประโยชน์ในการเพิ่มความสามารถเรื่องความจำและความสามารถในกระบวนการคิดของผู้สูงอายุ

สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า การวิจัยที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างบริษัท คินจิรูชิ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารญี่ปุ่น และมหาวิทยาลัยโทโฮคุ มุ่งเน้นในเรื่องชนิดของน้ำมันมัสตาร์ดที่เรียกว่า “เฮกซาราเฟน” (hexaraphane) ที่พบเป็นจำนวนเล็กน้อยในรากและเหง้าของวาซาบิ การวิจัยได้เข้าไปดูว่า เฮกซาราเฟน ซึ่งทราบมาก่อนหน้านี้ว่ามีผลในการต้านอนุมูลอิสระ และมีผลเรื่องต้านการอักเสบในร่างกาย มีผลทางบวกในด้านกระบวนการคิดของผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือไม่

ในการทดสอบ นักวิจัยได้แบ่งผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีที่มีอายุ 60-80 ปี จำนวน 72 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรับประทาน เฮกซาราเฟน เป็นเสริมอาหารวันละ 0.8 มิลลิกรัม หรือ เทียบเท่ากับเหง้าวาซาบิ 5 กรัม เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานยาหลอก ผลการทดสอบเรื่องกระบวนการคิดแสดงให้เห็นว่า กลุ่มที่รับประทานเฮกซาราเฟนเสริมอาหาร มีความทรงจำเป็นส่วน ๆ และความทรงจำในการทำงานปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับเฮกซาราเฟน การปรับปรุงด้านกระบวนการคิดมีหลักฐานชัดเจนในด้านของความสามารถในการกระบวนการสนทนาแบบสั้น ๆ การคิดเลขแบบง่าย ๆ และจับคู่ชื่อกับใบหน้า

ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวันที่ 30 ตุลาคม ในวารสาร “นูเทรียนส์” (Nutrients) ของยุโรปฉบับออนไลน์

เคนจิรูชิ กล่าวว่า ทางบริษัทฯ กำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการนำการค้นพบนี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านความจำ

Advertisement

ก.ต่างประเทศ เผย ฮามาสปล่อยตัวประกันคนไทยกลุ่มแรก 10 คนแล้ว คาดเหลืออีก 20 คน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 พฤศจิกายน 2566 ก.ต่างประเทศ ยืนยันคนไทยกลุ่มแรกที่ฮามาสปล่อยตัว มีทั้งหมด 10 คน ในจำนวนนี้มี 4 คนที่ทางการอิสราเอลไม่เคยแจ้งมาก่อน ทั้งหมดอยู่โรงพยาบาล แพทย์อิสราเอลดูแลเต็มที่

ก.ต่างประเทศ แจ้งเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปล่อยตัวประกันชาวไทยชุดแรกว่า วานนี้ (24 พ.ย.66) อุปทูตและเจ้าหน้าที่ สอท. ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนไทยที่ได้รับการปล่อยตัวที่ รพ. Shamir Medical Center และยืนยันว่ามีกลุ่มคนไทยที่ได้รับการปล่อยตัวทั้งสิ้นจำนวน 10 ราย (ไม่ใช่ 12 รายตามที่เป็นข่าวแต่แรก) โดยมีรายชื่อ ดังนี้

1) นางสาวณัฐฐาวรี มูลกัน

2) นายสันติ บุญพร้อม

3) นายบุญถม พันธ์ฆ้อง

4) นายมงคล ผจวบบุญ

5) นายวิทูรย์ ภูมี

6) นายวิชัย กาละปัตย์

7) นายบัญชา กองมณี

8) นายบุดดี แสงบุญ

9) นายอุทัย ทุ่นศรี

10) นายอุทัย แสงนวล

โดยระหว่างการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ สอท. ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการแปลภาษา การดูแลขั้นพื้นฐาน และทยอยแจ้งญาติที่ประเทศไทยแล้ว ในเบื้องต้นจะอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลา 48 ชม. ซึ่งแพทย์อิสราเอลจะดูแลอย่างเต็มที่ โดยจะจัดคณะทางการแพทย์ 6 ชุด ดูแลผู้ได้รับการปล่อยตัวทั้ง 10 คน และโรงพยาบาลจะจัดนักจิตวิทยาที่พูดภาษาไทยเพื่อให้ได้พูดคุย ทั้งนี้ทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์ในฐานะเหยื่อของการก่อการร้าย ตามกฎหมายอิสราเอล ด้านรัฐบาลไทยจะดำเนินการในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับพี่น้องคนไทยทั้ง 10 คน กลับสู่ประเทศไทยและครอบครัวต่อไป

จากรายชื่อคนไทยกลุ่มแรกที่ได้รับการปล่อยตัวทั้ง 10 รายดังกล่าว มี 4 รายที่ทางการอิสราเอลไม่เคยแจ้งยืนยันมาก่อน ทำให้ขณะนี้ ยังคาดว่ามีผู้ถูกควบคุมตัวชาวไทยอีก 20 ราย จากจำนวนเดิม 26 รายที่เคยได้รับการยืนยันจากฝ่ายอิสราเอลแล้ว และรัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยกลุ่มนี้ต่อไป

รัฐบาลไทยขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและที่ทางการไทยได้ขอความช่วยเหลือสนับสนุน อาทิ รัฐบาลกาตาร์ อิสราเอล อียิปต์ อิหร่าน มาเลเซีย และ ICRC รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเจรจาทุกฝ่ายอีกครั้ง ที่ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการผลักดันการช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยจนได้รับการปล่อยตัวชุดแรก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวประกันที่เหลือทั้งหมดจะได้รับการดูแลและปล่อยตัวอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

Advertisement

นายกฯ โพสต์ข่าวดี ตัวประกันคนไทย 12 คน ถูกฮามาสปล่อยตัวออกมาแล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 พฤศจิกายน 2566 ด่วน!! นายกฯ โพสต์ข่าวดี ตัวประกันคนไทย 12 คน ถูกฮามาสปล่อยตัวออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่ทูตฯ กำลังไปรับ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า ได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงต่างประเทศ ว่ามีตัวประกันชาวไทย 12 คน ได้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่สถานทูตกำลังไปรับตัว อีก 1 ชั่วโมง น่าจะทราบชื่อและรายละเอียดต่างๆ ครับ กรุณาคอยติดตาม

Advertisement

“อรุณ บุญชม” ได้รับเลือกเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 19

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 กรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศ มีมติเลือก “อรุณ บุญชม” เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 19 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น

ที่อาคารหอประชุมศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ เขตหนองจอก กรุงเทพฯ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสรรหาและให้ความเห็นชอบผู้ที่จะดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ด้วยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 66

โดยกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัดได้ร่วมประชุมหารือและเสนอรายชื่อ มีผู้ได้รับการเสนอชื่อ 3 ท่าน ประกอบด้วย หมายเลข 1 นายประสาน ศรีเจริญ รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี หมายเลข 2 นายอรุณ บุญชม ประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร หมายเลข 3 นายวิสุทธิ์ บินล่าเต๊ะ อิหม่ามประจำมัสยิดบ้านเหนือ จังหวัดสงขลา

ผลการเห็นชอบในที่ประชุมได้เลือกนายอรุณ ด้วยคะแนน 471 คะแนน ส่วนนายประสาน ได้ 129 คะแนน และนายวิสุทธิ์ ได้ 115 คะแนน

หลังจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้นำเสนอชื่อนายอรุณ ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 19 ต่อไป

Advertisement

ด่วน!! รมว.ดีอี เผยพบ 1,158 หน่วยงาน ข้อมูลรั่ว ลั่นเอาจริงขโมยข้อมูล-ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 “ประเสริฐ” ระบุพบ 1,158 หน่วยงานข้อมูลรั่ว และ 21 หน่วยงาน ระบบไซเบอร์เสี่ยงสูง ยืนยันรัฐบาลนี้เอาจริงเรื่องขโมยข้อมูล ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ต้องจับตัวเอามาลงโทษให้ได้

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน ตลอดจนการซื้อขายข้อมูลประชาชนตามที่เป็นข่าว จึงเร่งดำเนินการ 6 มาตรการ เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยแบ่งเป็นระยะเร่งด่วน 30 วัน ระยะ 6 เดือน และระยะ 12 เดือน ดังนี้

ระยะเร่งด่วนใน 30 วัน

1.ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมทั้งค้นหา เฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยในช่วงวันที่ 9-20 พ.ย. 66 ได้ดำเนินการและมีผลดังนี้

-ตรวจสอบแล้ว จำนวน 3,119 หน่วยงาน (ภาครัฐ/ภาคเอกชน)

-ตรวจพบข้อมูลรั่วไหล/แจ้งเตือนหน่วยงานแล้ว จำนวน 1,158 เรื่อง

-หน่วยงานแก้ไขแล้วจำนวน 781 เรื่อง

นอกจากนี้ พบกรณีซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 3 เรื่อง อยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ศูนย์ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบ 9,000 หน่วยงานใน 30 วัน

2.ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบช่องโหว่ ระบบ cybersecurity หรือระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) อาทิ ด้านพลังงานและสาธารณสุข ด้านบริการภาครัฐ และการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดยการตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ cybersecurity ช่วงวันที่ 9-20 พ.ย. 66

-ตรวจสอบระบบ cybersecurity แล้ว จำนวน 91 หน่วยงาน

-ตรวจพบมีความเสี่ยงระดับสูง 21 หน่วยงาน และ สกมช. ได้แจ้งให้แก้ไขแล้ว

นอกจากนี้พบการซื้อขายข้อมูลคนไทยใน darkweb (เว็บผิดกฎหมายที่คนร้ายหรือโจรออนไลน์นิยมใช้) จำนวน 3 เรื่อง อยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับ บช.สอท.

3.ให้ สคส. และ สกมช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมโรงแรมไทย รวมถึงเครือข่ายภาคสื่อมวลชน สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงาน ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Training) เช่น การป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอก การตั้งค่าระบบอย่างปลอดภัย และการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด

4.ให้ดีอี และ สอท. เร่งรัดปิดกั้นการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย และดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด

ระยะ 6 เดือน

5.ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัยตามหลักวิชาการสากล รองรับการใช้งานของบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จากสาเหตุที่หน่วยงานภาครัฐส่งข้อมูลให้หน่วยงานภายนอก หรือขาดบุคลากรในการกำกับดูแลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระยะ 12 เดือน

6.ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยต่อบริบทของสังคมและพฤติการณ์ที่เปลี่ยนไป และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ดียิ่งขึ้น เช่น

-พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล

-พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพิ่มบทลงโทษทางอาญาในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ ให้อำนาจ สคส. ดำเนินคดีได้เอง โดยไม่ต้องรอผู้เสียหายร้องเรียน

-พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพิ่มบทลงโทษแก่หน่วยงานรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

สำหรับ 6 มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและแก้ปัญหาซื้อขายข้อมูล รัฐมนตรีดีอีได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 21 พ.ย.แล้ว

นายประเสริฐ กล่าวในตอนท้ายว่า “ขอยืนยันว่ารัฐบาลนี้เอาจริง เรื่องขโมยข้อมูล ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ต้องจับตัวเอามาลงโทษให้ได้ สำหรับเรื่องหน่วยงานปล่อยปละละเลยให้ข้อมูลรั่ว ตนได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และระบบ cybersecurity ของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลประชาชนจำนวนมาก ยังพบว่ามีข้อมูลรั่ว และสั่งการให้เร่งแก้ไขไปแล้ว หากหน่วยงานไหนยังทำผิดซ้ำจะลงโทษอย่างเคร่งครัดเด็ดขาดตามกฎหมาย”

Advertisement

ทั่วไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาฯ อากาศเย็นตอนเช้า

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2566 กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาฯ กับมีหมอกตอนเช้า โดยภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า โดยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้ง และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ตอนล่าง (ฝั่งตะวันออก) ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

พยากรณ์อากาศรายภาค

ภาคเหนือ อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนมากทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-16 องศาเซลเซียส

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-18 องศาเซลเซียส

ภาคกลาง อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส

ภาคตะวันออก อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) ตอนบนของภาค : อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส ตอนล่างของภาค : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณ จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-33 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณ จ.กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพฯ และปริมณฑล อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส

Advertisement

เปิดประวัติ “แอนโทเนีย โพซิ้ว” รองอันดับ 1 Miss Universe 2023

People Unity News : 19 พฤศจิกายน 2566 เปิดประวัติ “แอนโทเนีย โพซิ้ว” ลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก อายุ 26 ปี คว้าตำแหน่งรองอันดับ 1 Miss Universe 2023

“แอนโทเนีย โพซิ้ว” เป็นลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก ปัจจุบันอายุ 26 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก หลักสูตรนานาชาติ สาขาวิชาการตลาดและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

แอนโทเนีย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากการเข้าแข่งขันรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 1 และผ่านเข้ารอบ 15 คน และจบการประกวดอยู่อันดับที่ 10 ของซีซั่น

จากนั้น แอนโทเนีย เริ่มเข้าสู่เส้นทางการประกวดสาวงาม ในปี 2019 ได้เข้าประกวดเวทีนางงาม มิสซูปราเนชันแนลไทยแลนด์ 2019 และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ และทำให้แอนได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปประกวดเวทีระดับโลกอย่าง มิสซูปราเนชันแนล 2019 และคว้าตำแหน่งมิสซูปราเนชันแนล 2019 มาครองได้สำเร็จ

ปี 2023 แอนโทเนีย ได้ตัดสินใจขึ้นเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ได้เป็นสาวงามตัวแทนของประเทศไทยไปชิงมงกุฎในระดับจักรวาล

ก่อนที่แอนโทเนีย จะเดินทางไปลุ้นมงกุฎที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ โดยมีชื่อติดท็อป 5 ของทั้ง 5 โพล ตัวเต็งมิสยูนิเวิร์ส 2023 ของทุกสำนัก แม้ในวันประกวดรอบตัดสิน แอนโทเนีย จะทำได้แค่รองชนะเลิศอันดับ 1 มาครอง แต่ก็กลายมาเป็นขวัญใจชาวไทยคนใหม่ ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ

ส่วนเรื่องของหัวใจ “แอนโทเนีย” กำลังคบหาดูใจกับ “อิรฟาน ฟานดี” นักฟุตบอลชาวสิงคโปร์ ที่กำลังค้าแข้งในไทยลีก สังกัดสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ลูกชายของนักฟุตบอลระดับตำนานของสิงคโปร์ “ฟานดี้ อาหมัด”

Advertisement

Verified by ExactMetrics