วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024

เตือน ปชช. อย่าหลงเชื่อไลน์ปลอมชื่อ “สำนักงาน ปปง. ” อ้างเป็นสำนักงาน ปปง.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 สิงหาคม 2567 เตือน ปชช. อย่าหลงเชื่อไลน์ปลอมชื่อ “สำนักงาน ปปง. ” อ้างเป็นสำนักงาน ปปง. รับปรึกษาปัญหา ย้ำ ปปง. มีบัญชีไลน์บัญชีเดียว ชื่อ @insideamlo

วันนี้ (11 ส.ค.67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการส่งต่อข้อมูลแอบอ้างว่า สำนักงาน ปปง. รับปรึกษาปัญหาไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านไลน์ชื่อ “สำนักงาน ปปง. ” ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า บัญชีไลน์ดังกล่าว ไม่ใช่ไลน์ของสำนักงาน ปปง. แต่เป็นไลน์ปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นโดยใช้ภาพตราสัญลักษณ์ของสำนักงาน ปปง. เป็นภาพโปรไฟล์

นายคารม ย้ำ สำนักงาน ปปง. มีบัญชีไลน์บัญชีเดียว ชื่อ Inside AMLO ประชาชนสามารถเพิ่มบัญชีไลน์ของสำนักงาน ปปง. โดยเพิ่มเพื่อนด้วยไอดี @insideamlo เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือสอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม

กฎหมายฟอกเงินได้ทางช่องทางบัญชีไลน์ชื่อนี้เท่านั้น และสามารถรับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ที่เว็บไซต์ https://www.amlo.go.th/index.php/th/ หรือ โทร. 02-219-3600

“เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อไลน์ชื่อ “สำนักงาน ปปง. ” และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ยืนยัน บัญชีไลน์ ชื่อ “สำนักงาน ปปง.” เป็นไลน์ปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นโดยใช้ภาพตราสัญลักษณ์ของสำนักงาน ปปง. เป็นภาพโปรไฟล์ “ นายคารม ย้ำ

Advertisement

กรมการข้าว แนะ 4 วิธีป้องและกำจัด “หนูศัตรูข้าว”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 สิงหาคม 2567 “เกณิกา” เผย กรมการข้าว แนะ 4 วิธีป้องและกำจัด “หนูศัตรูข้าว” หยุดยั้งการบุกรุกของหนูศัตรูข้าวที่กัดกินเมล็ดข้าวที่งอก จนเกิดความเสียหาย

วันนี้ (10 สิงหาคม 2567) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นห่วงและใส่ใจปัญหาในการปลูกข้าวของชาวนาที่อาจพบเจอตั้งแต่ระยะเริ่มปลูก คือ การบุกรุกของหนูศัตรูข้าวที่กัดกินเมล็ดข้าวที่งอก

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกรมการข้าว ระบุว่า หนูศัตรูข้าวที่พบใน ประเทศไทย มี 3 สกุล 8 ชนิด ได้แก่ หนูพุกใหญ่ หนูพุกเล็ก หนูนาใหญ่ หนูนาเล็ก หนูท้องข้าวบ้าน หนูหริ่งนาหางยาว หนูหริ่งนาหางสั้น และหนูหริ่งใหญ่ ซึ่งหนูศัตรูข้าวจะกัดกินเมล็ดข้าวที่งอก ทำให้ข้าวเสียหายตั้งแต่เริ่มปลูก และเมื่อข้าวเริ่มงอกถึงระยะแตกกอ หนูจะกัดต้นข้าวโดยรอยกัดจะเป็นลักษณะเฉียงทำมุมประมาณ 45 องศา หรืออาจพบรอยกัดแทะลักษณะรอยถากด้านข้างลำต้น ซึ่งไม่ได้กัดให้ต้นข้าวขาด แต่ทำให้ต้นข้าวแสดงอาการใบเหลืองและเหี่ยว เมื่อข้าวออกรวงหนูจะกัดลำต้นหรือคอรวงให้ขาด แล้วแกะเมล็ดออกจากรวงกิน นอกจากนี้ยังเก็บสะสมรวงข้าวไว้ในรัง เพื่อเป็นอาหารหลังฤดูกาลเกี่ยว

กรมการข้าวจึงขอแนะนำให้เกษตรกรป้องกันและกำจัดหนูศัตรูข้าว โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้กับดักชนิดต่างๆ วางบริเวณทางเดินของหนู ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกข้าวที่มีแรงงานและเวลามากพอ นิยมดำเนินการในช่วงฤดูแล้งหรือหลังการปลูกข้าว ขุดและจับหนูออกมาทำลายให้มากที่สุด หรือปรับสภาพแวดล้อมบริเวณแปลงนา ไม่ให้เหมาะต่อการอยู่อาศัยของหนู เช่น การปรับลดขนาดของคันนาให้เล็ก เพื่อลดพื้นที่อยู่อาศัยและที่ผสมพันธุ์ ให้มีขนาดเล็กกว่า 30 เซนติเมตร และการกำจัดวัชพืชหรือกองวัสดุเหลือใช้ตามบริเวณคันนาอยู่เสมอ

นอกจากนี้ยังมีการใช้ชีววิธี เป็นการป้องกันกำจัดหนูโดยอาศัยสัตว์ศัตรูธรรมชาติของหนู และการใช้ปรสิตที่พบเฉพาะในหนู ทำให้หนูป่วยเป็นโรคและตาย หรือการใช้สัตว์ศัตรูธรรมชาติ เช่น นกแสก งู พังพอน เหยี่ยว ช่วยกำจัดหนู รวมถึงการทำรั้วกั้น หรือการล้อมรั้วร่วมกับลอบดักหนูหรือกรงดักหนู พื้นที่ที่ปลูกพืชเป็นแปลงขนาดใหญ่ การล้อมรั้วและติดตั้งลอบดักหนู ในบริเวณที่หนูเข้าทำลายก่อน หรือแปลงปลูกพืชล่อ สามารถป้องกันหนูเข้าทำลายในพื้นที่ล้อมรั้วไว้ได้ และกำจัดหนูที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบได้ด้วย ซึ่งแปลงที่ทำการล้อมรั้วและติดตั้งลอบดักหนูควรมีขนาดกว้าง ประมาณ 20 – 50 เมตร และยาวประมาณ 20 – 50 เมตร และยาวประมาณ 20 – 25 เมตร ระบบนี้มีประสิทธิภาพการป้องกันกำจัดหนูได้ในรัศมี 200 เมตร จากแปลงที่ทำการล้อมรั้ว

Advertisement

เตือน ปชช. ลงทะเบียน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ผ่านแอป “ทางรัฐ” และจุดบริการ 5,207 แห่งเท่านั้น อย่าหลงเชื่อโจรออนไลน์ลงทะเบียนผ่านโซเซียล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 3 สิงหาคม 2567 รัฐบาลย้ำเตือน ปชช. ลงทะเบียน ยืนยันตัวตนเข้าร่วมโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และจุดที่รัฐบาลเปิดให้บริการ 5,207 แห่งเท่านั้น อย่าหลงเชื่อโจรออนไลน์ หลอกลวงให้ลงทะเบียนผ่านโซเซียล

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”  และจุดให้บริการ Walk-in ของหน่วยงานรัฐ จำนวน 5,207 จุด ทั่วประเทศ นั้น

นายคารม กล่าวว่า จากการติดตามตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลต่าง ๆ พบการกระทำต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ดังนี้ 1.การจัดตั้งกลุ่ม หรือ แฟนเพจ Facebook แอบอ้างให้ความรู้ ข้อมูลเรื่องโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้บัญชีแอคเคาท์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ  2.การแชร์ และเผยแพร่ลิงก์ข่าวที่มีข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ  3.การโพสต์ข้อความหลอกลวงให้ช่วยเหลือประชาชนในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ

รัฐบาลย้ำเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อรูปแบบการหลอกลวงต่าง ๆ ที่แอบอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ โดยประชาชนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สนใจเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ต้องสมัครยืนยันตัวตน และลงทะเบียนด้วยตนเองในแอปฯ ทางรัฐ เท่านั้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟนดังนี้

1.แอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ดาวน์โหลดได้ที่ https://apps.apple.com/th/app/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3-%E0%B8%90/id1514331336?l=th

2.แอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ดาวน์โหลดได้ที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=th.or.dga.citizenportal

สำหรับประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน รัฐบาลได้เปิดจุดให้บริการ (Walk – in) สอบถามข้อมูล และให้บริการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ดังนี้ 1.ศูนย์ดิจิทัลชุมชน จำนวน 1,722 ศูนย์ทั่วประเทศ 2.ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 1,200 แห่ง ทั่วประเทศ (ยกเว้น ไปรษณีย์อนุญาต (เอกชน) และร้านค้าให้บริการ) 3.ธนาคารออมสิน 1,047 แห่ง ทั่วประเทศ 4.ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1,238 แห่งทั่วประเทศ  รวมจำนวนจุดให้บริการทั้งหมด 5,207 แห่งทั่วประเทศ

นอกจากนี้ประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นข้อมูลโดยตรงจากรัฐบาลที่เชื่อถือได้ ในเว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือ www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านศูนย์บริการข้อมูลโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โทรสายด่วน Digital Wallet 1111 พร้อมให้บริการและคำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

ข่าวดี กรมการจัดหางาน รับสมัครผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 31 กรกฎาคม 2567 “คารม” เผยข่าวดี กรมการจัดหางาน รับสมัครผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นผ่านองค์กร IM Japan ปี 2567 ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 1 – 31 ส.ค. 67 ยื่นใบสมัครทางออนไลน์ ฟรี !

วันนี้ (31 กรกฎาคม 2567) นายคารม พรพลกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ประกาศรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นผ่านองค์กร IM Japan ปี 2567 ครั้งที่ 6 (เพศชาย)  ในตำแหน่งผู้ฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิค ประเภทงานอุตสาหกรรมการผลิตและงานก่อสร้าง อาทิ งานหล่อแบบ กลึง / ขึ้นรูป / ชุบ / เชื่อมโลหะ ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บำรุงรักษาเครื่องจักร บำรุงรักษารถยนต์ แปรรูปอาหาร ก่อสร้างแบบหล่อ ก่อสร้างโครงเหล็ก เดินท่อ เป็นต้น โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2567 ไม่เว้นวันหยุดราชการ ฟรีค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับ เมื่อฝึกปฏิบัติงานครบ 3 ปี โดยผู้ผ่านการคัดเลือก เดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยง 80,000 เยน หรือประมาณ 18,420 บาท ฟรี ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด เมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติครบ 3 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงานทางเทคนิค และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพจำนวน 600,000 เยน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ “สมัครไปทำงานโดยรัฐจัดส่ง สมัครไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น”

สำหรับ คุณสมบัติเบื้องต้นเป็นเพศชาย อายุ 18 – 30 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือปริญญาตรีไม่จำกัดสาขาวิชา สูงไม่ต่ำกว่า 160 เซนติเมตร สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ พ้นภาระทางทหาร ไม่มีรอยสักบนร่างกาย ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยทำงานหรือเข้าเมืองหรือพำนักโดยผิดกฎหมายหรือต้องห้ามเข้าญี่ปุ่น เป็นต้น สำหรับการสอบคัดเลือกจะใช้วิธีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และประเมินภาษาญี่ปุ่น  ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร   โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ภายในวันที่ 6 กันยายน 2567  ทางเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas และ facebook: IMthailand

“ผู้สนใจสามารถศึกษาวิธีการลงทะเบียน คุณสมบัติผู้สมัครและเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ toea.doe.go.th รายการ “ข่าวประกาศรับสมัคร” หัวข้อ “ประกาศคณะอนุกรรมการจัดส่งผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น เรื่อง การรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM Japan ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 6 (เพศชาย) ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน”

Advertisement

ดีอี จับมือหน่วยงานพันธมิตร เปิดจุด Walk-in ลงทะเบียน “ดิจิทัลวอลเล็ต” กว่า 5,000 แห่ง อำนวยความสะดวก ปชช.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กรกฎาคม 2567 ดีอี จับมือหน่วยงานพันธมิตร เปิดจุด Walk-in ลงทะเบียน “ดิจิทัลวอลเล็ต” กว่า 5,000 แห่ง อำนวยความสะดวก ปชช.

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ รัฐบาล โดยกระทรวง ดีอี และกระทรวงการคลัง ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยกลุ่มผู้ที่มีสมาร์ตโฟน ลงทะเบียนผ่าน แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟน ดังนี้

1.แอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ดาวน์โหลดได้ที่ https://apps.apple.com/th/app/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3-%E0%B8%90/id1514331336?l=th

2.แอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ดาวน์โหลดได้ที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=th.or.dga.citizenportal

วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ให้บริการสำหรับผู้ที่มีสมาร์ตโฟน แต่ต้องการความช่วยเหลือให้การลงทะเบียนฯ รัฐบาลได้กำหนดสถานที่จุดให้บริการ (Walk – in) สอบถามข้อมูล และให้บริการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ดังนี้

1.ศูนย์ดิจิทัลชุมชน จำนวน 1,722 ศูนย์ทั่วประเทศ

2.ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 1,200 แห่ง ทั่วประเทศ (ยกเว้น ไปรษณีย์อนุญาต (เอกชน) และร้านค้าให้บริการ)

3.ธนาคารออมสิน 1,047 แห่ง ทั่วประเทศ

4.ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1,238 แห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ประชาชน ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสอบถามข้อมูล และลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่จุดบริการจำนวนรวม 5,199 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวง ดีอี กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้บริการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนตามระยะเวลาทำการ

สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นข้อมูลโดยตรงจากรัฐบาล ที่เชื่อถือได้ ในเว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือ www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านศูนย์บริการข้อมูลโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โทรสายด่วน. Digital Wallet 1111 พร้อมให้บริการและคำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

“รัฐบาล โดยกระทรวง ดีอี กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยประชาชน ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” โดยได้จัดสถานที่ เป็นจุดให้บริการแบบ Walk-in เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการสอบถามข้อมูล และให้บริการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 5,199 จุดทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากการลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของประชาชน โดยคาดว่าจะมีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 45-50 ล้านคน” นายประเสริฐ กล่าว

สอบถามข้อมูลข่าวสารโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต โทรสายด่วน Digital Wallet 1111 (24 ชม.)

Advertisement

ยูเนสโกประกาศให้ “ภูพระบาท” เป็นมรดกโลก ก.วัฒนธรรมฉลองเปิดให้เข้าชมฟรี 28 ก.ค.-12 ส.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กรกฎาคม 2567 ข่าวดี! ยูเนสโกประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” พร้อมเปิดให้เข้าชมฟรี 28 ก.ค.-12 ส.ค.นี้

องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sīma stone tradition of the Dvaravati period) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-31 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานี ต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปีพุทธศักราช 2535

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย ต่อจากนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับการประกาศในปีที่ผ่านมา

โดยอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกภายใต้คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ได้แก่ การรักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมของแหล่งวัฒนธรรม สีมาหินสมัยทวารวดี และเป็นประจักษ์พยานที่ยอดเยี่ยมของการสืบทอดของวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานกว่า 4 ศตวรรษ โดยเชื่อมโยงเข้ากับประเพณีของวัดฝ่ายอรัญวาสีในเวลาต่อมา จึงขอเชิญชวนให้ชาวไทยทั่วประเทศร่วมแสดงความยินดี และเฉลิมฉลองในโอกาสที่ภูพระบาทได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะพยายามผลักดันให้เกิดแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่อย่างต่อเนื่อง

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม-12 สิงหาคม 2567 เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้ร่วมเฉลิมฉลองการประกาศขึ้นทะเบียนภูพระบาทเป็นมรดกโลกในครั้งนี้

ภูพระบาท ได้รับการประกาศเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมแบบต่อเนื่อง จำนวน 2 แหล่ง ประกอบด้วย อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และแหล่งวัฒนธรรมสีมา วัดพระพุทธบาทบัวบาน ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกห่างจากอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสีมาในสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) อันโดดเด่นที่สุดของโลก ตามเกณฑ์คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ข้อที่ 3 คือสามารถอนุรักษ์กลุ่มใบเสมาหินสมัยทวารวดีที่มีจำนวนมากและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยใบเสมาดังกล่าวมีความสมบูรณ์และยังคงตั้งอยู่ในสถานที่ตั้งเดิม แสดงถึงวิวัฒนาการที่ชัดเจนของรูปแบบ และศิลปกรรมที่หลากหลายของใบเสมา ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายกำหนดขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

เกณฑ์ข้อที่ 5 ภูมิทัศน์ของภูพระบาทได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้พื้นที่เพื่อประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และยังคงความสำคัญของกลุ่มใบเสมาหิน โดยความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับประเพณีสงฆ์ในฝ่ายอรัญญวาสี (พระป่า) ภูพระบาทจึงเป็นประจักษ์พยานที่โดดเด่นของการใช้ประโยชน์ของธรรมชาติ เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี ซึ่งได้รับการสืบทอด รักษาวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องยาวนาน เชื่อมโยงประเพณีวัฒนธรรมของอรัญวาสีมาถึงปัจจุบัน

Advertisement

นายกฯ สั่งแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ อย่างเร่งด่วน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กรกฎาคม 2567 นายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ อย่างเร่งด่วนและรอบด้าน รวมทั้งเร่งดำเนินมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นั้น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหา บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในระยะเร่งด่วน และตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแพร่ระบาด โดยได้ดำเนินการรับซื้อปลาดังกล่าวในราคา 15 บาท ต่อกิโลกรัม และมอบหมายให้กรมประมงประสานกับจังหวัดเพื่อตั้งจุดรับซื้อ รวมถึงดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2568 กรอบ 5 มาตรการ 12 กิจกรรม ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ถึงเดือนกันยายน 2568 ซึ่งได้รับการเห็นชอบจาก คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ครั้งที่ 2/2567 รวมทั้ง สั่งการให้กรมประมงแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ เร่งดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการเพื่อหาต้นตอ และหาข้อเท็จจริง

ในการนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ระบุถึง 5 มาตรการ 12 กิจกรรม จาก (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ดังกล่าว ประกอบด้วย

มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด 4 กิจกรรม เน้นการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ด้วยเครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ

มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง 2 กิจกรรม เน้นการประเมินสถานภาพปลาหมอคางดำก่อนปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่า เช่น ปลากะพงขาว

มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดได้ไปใช้ประโยชน์ เน้นการจัดหาแหล่งกระจายและรับซื้อ จัดหาแนวทางการใช้ประโยชน์

มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชน เน้นการสร้างความพร้อมในการรับมือเมื่อพบการแพร่ระบาดให้กับองค์กรประมงชุมชนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สำรวจและเฝ้าระวังในแหล่งน้ำที่ยังไม่พบการแพร่ระบาด และ

มาตรการที่ 5 การสร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับทุกภาคส่วน พร้อมจัดทำคู่มือแนวทางการรับมือ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า พร้อมกันนี้ มีการดำเนินโครงการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ในปลาหมอคางดำ เพื่อทำให้ประชากรปลาหมอคางดำเป็นหมัน จากนั้นจะปล่อยปลาหมอคางดำพิเศษเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำเพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำปกติที่มีชุดโครโมโซม 2 ชุด (2n) ซึ่งจะทำให้เกิดลูกปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด (3n) ซึ่งลูกปลากลุ่มนี้จะเป็นหมัน ไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้ โดยมีแผนปล่อยพันธุ์ปลาหมอคางดำ 4n ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทยอยปล่อยอย่างน้อย 250,000 ตัว ภายในระยะเวลา 15 เดือน (กรกฎาคม 2567 – กันยายน 2568)

ทั้งนี้ จากการดำเนินการการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) ได้มีการกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้ว 623,370 กิโลกรัม จำแนกเป็นปลาหมอคางดำที่จับจากแหล่งน้ำธรรมชาติ 325,668 กิโลกรัม และปลาหมอคางดำที่จับจากบ่อเพาะเลี้ยง 297,702 กิโลกรัม โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำการขยายผลเพื่อดำเนินมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดไปจากระบบนิเวศทางน้ำของไทย

“นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชน ผ่านการพิจารณาดำเนินการอย่างเหมาะสม รอบด้าน ไม่ให้กระทบส่วนอื่น ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สกัดต้นตอการแพร่กระจาย ควบคุมประชากรปลาดังกล่าวไม่ให้มีมากเกินไป รวมถึงส่งเสริมการนำปลาหมอคางดำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมแนะนำประชาชน ช่วยการเฝ้าระวังการแพร่ขยายพันธุ์ของปลาชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ สร้างความรู้ความเข้าใจใน “เอเลี่ยนสปีชีส์” และหาแนวทางการรับมือต่อไป” นายชัย กล่าว

Advertisement

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักภาคเหนือ-ตอ.-ใต้ตะวันตก-กทม.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2567 กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 70% และมีฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ อ่าวไทย ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส

Advertisement

รัฐบาลเตือนประชาชน ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก-ฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 15 – 18 ก.ค. 67

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กรกฎาคม 2567 ​รัฐบาลเตือนประชาชน ขอให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ช่วงวันที่ 15 – 18 ก.ค. 67

วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากพยากรณ์อากาศ พบร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคะตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ไว้ด้วย

นายคารม กล่าวว่า ในช่วงวันที่ 15 – 18 ก.ค. 67 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ซึ่งมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในช่วงวันที่ 15 – 17 ก.ค. 67 ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนในช่วงวันที่ 19 – 21 ก.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3  เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

“รัฐบาลขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 15 – 19 ก.ค. 67”

Advertisement

ขอ ปชช.มั่นใจความปลอดภัยน้ำประปา เผยกระบวนการผลิตของ กปน. มีชั้นของแอนทราไซต์และทรายกรองดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 กรกฎาคม 2567 “คารม” ขอ ปชช.มั่นใจความปลอดภัยน้ำประปา กปน. เผยกระบวนการผลิตน้ำประปาของ กปน. มีชั้นของแอนทราไซต์และทรายกรองสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ โอกาสที่น้ำประปาจะมีการปนเปื้อนของไมโครมีน้อยมาก รวมถึงไม่พบการปนเปื้อนโปรโตซัว

วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากกรณีที่มีการส่งต่อข้อความเกี่ยวกับพบสารปนเปื้อนอันตรายในน้ำประปานั้น ทางการประปานครหลวง กระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า กปน. เฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาเส้นท่อจ่ายน้ำตามบ้านผู้ใช้น้ำครอบคลุมทุกพื้นที่บริการ มีแผนงานและเป้าหมายการตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาตามค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลก ทั้งด้านกายภาพ เคมี แบคทีเรีย สารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โลหะหนัก สารพิษทางการเกษตร สารก่อมะเร็ง (ไตรฮาโลมีเทน) สารกัมมันตภาพรังสี และเชื้อก่อโรคต่าง ๆ ทั้งกลุ่มแบคทีเรีย ได้แก่ แบคทีเรีย โปรโตซัว ไวรัส เป็นต้น จำนวนมากกว่า 100 รายการ โดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์ ณ ห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025

นายคารม กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ยังประสานให้ห้องปฏิบัติการภายนอกตรวจยืนยันคุณภาพน้ำประปา เพื่อสร้างความมั่นใจว่า น้ำประปาที่ส่งถึงบ้านผู้ใช้น้ำสะอาด ปลอดภัยตลอดเวลา และยังมีศูนย์บูรณาการคุณภาพน้ำเฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปา ผ่านสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำประปาอัตโนมัติแบบ Real time ที่ติดตั้งโดยรอบพื้นที่จ่ายน้ำ พร้อมทั้งระบบจ่ายคลอรีนปลายสายติดตั้งที่สถานีสูบจ่ายน้ำ เพื่อควบคุมให้น้ำประปามีคลอรีนอิสระคงเหลือในปริมาณที่เหมาะสม

สำหรับสารปนเปื้อนอื่น ๆ กปน. ได้ชี้แจงตามรายการที่สอบถาม ดังนี้

– สาร PFOS (Perfluorooctanesulfonic acid) และ PFOA (Perfluorooctanoic acid) ซึ่งเป็นสารเคมีในตระกูล PFAS (per- and polyfluoroalkyl substances) ที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิว สามารถไม่ให้น้ำและไขมันยึดเกาะได้ จึงมักใช้ในการเคลือบผิวผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน โฟม สารเคลือบกระทะ เสื้อผ้าที่กันเปื้อน แชมพู และโฟมดับเพลิง อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบห้ามใช้สาร PFOS ในผลิตภัณฑ์ รวมทั้งประเทศไทยออกประกาศให้สารกลุ่มนี้เป็นสารอันตรายประเภท 4 คือห้ามใช้ แต่ใช้ได้เฉพาะในอุตสาหกรรมชุบโลหะซึ่งต้องขออนุญาต และรายงานการใช้ และการจัดการของเสีย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในประเทศไทยจึงเลิกใช้สารกลุ่มนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จากสถิติของกรมโรงงานมีการนำเข้าสารกลุ่มนี้น้อยกว่า 300 กิโลกรัมต่อปี ดังนั้น สาร PFOS จึงมีโอกาสการปนเปื้อนในแหล่งน้ำต่ำมาก

– สำหรับยาปฏิชีวนะต่าง ๆ นั้นปนเปื้อนในธรรมชาติมีปริมาณน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์ อีกทั้งแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำของ กปน. ไม่ใช่แหล่งน้ำปิด เป็นแหล่งน้ำที่มีการไหลเวียนตลอดเวลาจึงไม่เกิดการสะสมของยาปฏิชีวนะ ในต่างประเทศและในประเทศไทย ยังไม่ได้กำหนดค่ามาตรฐานหรือเกณฑ์ควบคุมในสารกลุ่มดังกล่าว และไม่มีห้องปฏิบัติการในประเทศที่ตรวจวิเคราะห์สารกลุ่มยาปฏิชีวนะในน้ำ

– ไมโครพลาสติก คือ อนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร (5,000 ไมครอน) มักเกิดจากการย่อยสลายหรือแตกหักของพลาสติกต่าง ๆ ที่ใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่มีส่วนผสมของไมโครบีดส์ เม็ดสครับในเครื่องสำอางและยาสีฟัน ส่วนใหญ่มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี เส้นตรงหรือบางครั้งมีรูปร่างไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ไมโครพลาสติกยังไม่มีการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์หาปริมาณที่เป็นมาตรฐาน ยังไม่มีการกำหนดเกณฑ์ควบคุม และยังขาดการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบต่อมนุษย์ที่เพียงพอ

”กปน. ได้มีการทำวิจัยร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อศึกษาขนาด ปริมาณ และชนิดของไมโครพลาสติก ตลอดกระบวนการผลิตน้ำประปา โดยน้ำประปาของการประปานครหลวงนั้น พบว่า กระบวนการกรองในกระบวนการผลิตน้ำประปาของ กปน. มีชั้นของแอนทราไซต์และทรายกรองที่สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ ดังนั้น โอกาสที่น้ำประปาจะมีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกจึงมีน้อยมาก

Cryptosporidium, Giardia และ Cyclospora เป็นโปรโตซัวที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร ทำเกิดโรคอุจจาระร่วงอย่างเฉียบพลัน พบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ สามารถตรวจพบโปรโตซัวระยะ cyst หรือ oocyst ได้ โดยระยะติดต่อจะมีความทนทานได้ดีต่อสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดย Oocyst ของ Cryptosporidium มีลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 4-6 ไมครอน ส่วน Giardia มีลักษณะ Oocyst เป็นรูปไข่ ขนาด 8-14 ไมครอน และ Cyclospora มี Oocyst ขนาด 8-10 ไมครอน ซึ่ง กปน. มีการเฝ้าระวังโปรโตซัวก่อโรคชนิดนี้โดยการส่งวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำดิบ และน้ำประปาที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการวิเคราะห์ที่ผ่านมาไม่พบการปนเปื้อนโปรโตซัวดังกล่าว“ นายคารม ย้ำ

Advertisement

 

Verified by ExactMetrics