วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024

นายกฯ หารือนายกฯ กัมพูชา เสนอโครงการ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมายปลายทาง” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 ตุลาคม 2567 นายกฯ หารือนายกฯ กัมพูชา เร่งแก้ปัญหาข้ามแดน-แก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์-ยาเสพติด พร้อมร่วมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา ในปีหน้า

สปป ลาว วานนี้ (9 ต.ค.) – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง (44th and 45th ASEAN Summits)

โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักของนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันถึงมิตรภาพที่ใกล้ชิดและเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-กัมพูชา และขอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมกล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วย

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญ คือ 1) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ ควรดำเนินงานต่อเนื่องตามแผนปฏิบัติการเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน 2) ไทยเสนอโครงการ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมายปลายทาง” (Six Countries, One Destination) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และ 3) ไทยส่งเสริมบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างทั้งสองประเทศเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน โดยพร้อมที่ปรับปรุงการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ระหว่างไทย กัมพูชา และเวียดนามตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการร่วมสำหรับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-กัมพูชา

ในการพัฒนาพื้นที่ชายแดนนั้น ไทยพร้อม จัดการการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนในประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ได้แก่ การหลอกลวงทางออนไลน์ ไทยยินดีกับคณะทำงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานตำรวจไทยและกัมพูชา ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การค้ามนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งการช่วยเหลือเหยื่อ และทำลายเครือข่ายอาชญากรรมทั้งหมดด้วย การลักลอบค้ายาเสพติด ไทยและกัมพูชาจะแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองเพิ่มขึ้น และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนหารือเพิ่มความร่วมมือต่อต้านยาเสพติดตามแนวชายแดน

ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีทั้งสอง แสดงความยินดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน พร้อมร่วมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยและกัมพูชาในปีหน้า โดยกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายจะประสานงานจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชน

Advertisement

 

นายกฯ หารือทวิภาคีเวียดนาม มั่นใจบรรลุเป้าหมายการค้าระหว่างกันกว่า 850,000 ล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ตุลาคม 2567 ไทยแลนด์ เนื้อหอม นายกฯ อิ้งค์ หารือทวิภาคีเวียดนามมั่นใจบรรลุเป้าหมายการค้าระหว่างกัน กว่า 850,000 ล้านบาทพร้อมขอเปิดเที่ยวบินตรง ระหว่างจังหวัดอุดรธานี กับเมืองต่าง ๆ ที่น่าสนใจในเวียดนาม

วันนี้ (9 ตุลาคม 2567) เวลา 19.00 น. ณ หอประชุมแห่งชาติลาว นครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ (H.E. Mr. Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยย้ำว่า เวียดนามเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทย พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อเวียดนามที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น “ยางิ ” โดยไทยได้มอบเงินจำนวน 2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะเร่งอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ 850,000 ล้านบาท โดยขอให้เวียดนามสนับสนุนการลงทุนของไทยในเวียดนาม โดยเฉพาะด้านปิโตรเคมี พลังงานและธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งไทยและเวียดนามจะส่งเสริมความร่วมมือตามยุทธศาสตร์ Three Connects เพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน เศรษฐกิจท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างจังหวัดของไทยกับเมืองต่าง ๆ ในเวียดนาม โดยการท่องเที่ยว  ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเป็นอันดับ 6 ทั้งนี้ เวียดนามสนับสนุนแนวคิด 6 สถานที่ท่องเที่ยวร่วมกันหรือ Six Countries, One Destination ของไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค

ในโอกาสนี้ ไทยและเวียดนามเร่งผลักดันให้มีการพบหารือและแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างไทยกับเวียดนามอย่างสม่ำเสมอ ไทยรับคำเชิญการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการพร้อมเป็นประธานการประชุม Joint Cabinet Retreat ครั้งที่ 4 ร่วมกับเวียดนาม เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามเป็น Comprehensive Strategic Partnership โดยฝ่ายไทยได้เชิญเวียดนามมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป

Advertisement

ไทย-สิงคโปร์พร้อมจับมือส่งเสริมธุรกิจอาหารและการท่องเที่ยวระหว่างกัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ครั้งแรกยืนยันพร้อมสานต่อความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน

วันนี้  (9 ตุลาคม 2567)  เวลา 11.20 น. ณ ศูนย์การประชุม NCC ณ นครหลวงเวียงจันทน์  สปป.ลาว นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคี (pull-aside) กับ นายลอว์เรนซ์ หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44-45 เพื่อสานต่อความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนสำคัญในทุกมิติของทั้งสองประเทศ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผู้นำทั้งสองได้เห็นพ้องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ช่วงครึ่งปีหลังนี้ (2567) โดยประเทศสิงคโปร์เป็นอันดับหนึ่งที่ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทย ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล AI รวมถึง Digital transportation และต้องการให้สิงคโปร์ช่วยสนับสนุน นอกจากนี้ ไทยกับสิงคโปร์ยังมีความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยไทยอยากให้สิงคโปร์สนับสนุนสำหรับการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรและอาหารของไทย เช่น ไข่ออร์แกนิค เนื้อหมู ส่วนในด้านการท่องเที่ยว จำเป็นต้องสนับสนุนและเพิ่มการท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น ส่วนความร่วมมือทางการทหาร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความตกลงในการฝึกซ้อมของเหล่าทัพร่วมกัน พร้อมทั้งสานต่อความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และปัญหาภัยธรรมชาติ

นายจิรายุ ยังกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรียืนยันกับทางสิงคโปร์ว่า พร้อมให้การต้อนรับประธานาธิบดีสิงคโปร์ ในห้วงการเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปีหน้าด้วย

Advertisement

“สายพัวพัน อันยืนยง” นายกฯแพทองธาร กล่าวคำสำคัญผูกพันไทยลาว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ตุลาคม 2567 “สายพัวพัน อันยืนยง” นายกฯแพทองธาร กล่าวคำสำคัญผูกพันไทยลาว ที่พิเศษมุ่งมั่นสานต่อการทำงาน กระชับความร่วมมือไทย-ลาวในทุกด้าน เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

วันนี้ (8 ตุลาคม 2567) เวลา 19.00 น. ณ โรงแรมลาวพลาซ่า เวียงจันทน์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เป็นเจ้าภาพเลี้ยง โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย เนื้อหาจากการกล่าวขอบคุณของนายกรัฐมนตรี ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสอนไซฯ และรัฐบาล สปป. ลาว ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ถือเป็นประเทศแรกที่เยือนอย่างเป็นทางการภายหลังเข้ารับตำแหน่ง สะท้อนความสำคัญของความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและผูกพัน

นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นที่จะสานต่อการทำงาน และกระชับความร่วมมือไทย-ลาวในทุกด้าน เพื่อประโยชน์ และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและประชาชนระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีรู้สึกประทับใจในความใกล้ชิดสนิทสนม จากที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญปีใหม่ลาว ที่สถานเอกอัครราชทูต สปป. ลาว ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรียินดีความสัมพันธ์พิเศษ ที่ผูกพันใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม สามารถพูดคุยกันโดยไม่ต้องใช้ล่าม นอกจากนี้ ไทยและ สปป.ลาวยังมีความร่วมมือที่ครอบคลุม เป็นประเทศที่ไทยมีกลไกความร่วมมือด้วยมากที่สุด และมีความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมโยงและการคมนาคมขนส่งที่มากที่สุดด้วย โดยปัจจุบันมีเส้นการทางเดินรถไฟกรุงเทพฯ – เวียงจันทน์ ถือเป็นเส้นทางรถไฟแรกในอาเซียนที่เชื่อมโยงเมืองหลวงของสองประเทศ โดยได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชนของสองประเทศ ซึ่งไม่ได้แค่เชื่อมโยงการค้า การลงทุน การขนส่ง และการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เชื่อมประชาชนให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ตลอดปี 2568 ทั้งไทยและ สปป.ลาว จะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เพื่อส่งเสริมมิตรภาพระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ก่อนที่ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีจะเชิญร่วมดื่มอวยพร

Advertisement

นายกฯเข้าประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ สปป.ลาว 8-11 ต.ค. และประชุมกับคู่เจรจา จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย สหรัฐฯ แคนาดา ด้วย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 ตุลาคม 2567 เวทีอาเซียนที่ สปป.ลาวคึกคัก เตรียมต้อนรับนายกฯ แพทองธาร เยือนอย่างเป็นทางการพร้อมจับมือผู้นำร่วมประชุมอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 พร้อมร่วมวงเวทีทวิภาคี 8 – 11 ตุลาคม 67 นี้ มุ่งขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างไทย – ลาว พร้อมสานต่อความร่วมมือในกรอบอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ มีกำหนดเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 – 45 พร้อมทั้งการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2567 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ ตามคำเชิญของนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ซึ่งการเยือน สปป. ลาว ครั้งนี้ จะเป็นการเยือนต่างประเทศ ในฐานะผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี

โดยในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบหารือกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว และนายไซสมพอน พมวิหาน ประธานสภาแห่งชาติ สปป. ลาว รวมทั้งเข้าเยี่ยมคารวะนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป. ลาว เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างไทย – ลาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การหลอกลวงออนไลน์ การค้ามนุษย์ หมอกควันข้ามแดน การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง การเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประชาชนทั้งสองประเทศ

จากนั้นระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 – 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง สปป. ลาว ในฐานะประธานอาเซียนในปี 2567 เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “อาเซียน: เพิ่มทวีความเชื่อมโยงและความเข้มแข็งในอาเซียน” (ASEAN: Enhancing Connectivity and Resilience)นายจิรายุฯ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าร่วมประชุมในกรอบอาเซียนครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี โดยนอกจากการเข้าร่วมประชุมหารือระหว่างผู้นำอาเซียนด้วยกันแล้ว ยังมีการประชุมหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา ได้แก่ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา รวมทั้งสหประชาชาติ เพื่อร่วมหารือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ อาทิ การเสริมสร้างประชาคมอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก และสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สำคัญ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดเข้าร่วมการหารือกับผู้แทนภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่ สมัชชารัฐสภาอาเซียน สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน และเยาวชนอาเซียน รวมทั้งการประชุม Asia Zero Emission Community Leaders’ Meeting ครั้งที่ 2 และมีกำหนดหารือทวิภาคีกับผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย

Advertisement

“นายกฯแพทองธาร” เตรียมโชว์วิสัยทัศน์ระดับโลกครั้งแรก บนเวทีประชุม ACD

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กันยายน 2567 “แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์ระดับโลกครั้งแรก บนเวทีประชุม ACD

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 2 – 3 ตุลาคม 2567 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ตามคำเชิญของ เชค ตะมีม บิน ฮะมัด อาล ษานี (Shiekh Tamim Bin Hamad Al-Thani) เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์

โดยนายกรัฐมนตรีจะขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีหลายหัวข้อที่จะกล่าวถึง เช่น เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาทรัพยากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศสมาชิก นอกจากนี้ยังมีหัวข้อสำคัญ ที่จะประชุมคือ “Sports Diplomacy“ หรือการใช้กีฬาเพื่อการทูตระหว่างประเทศ รวมทั้ง วิสัยทัศน์เกี่ยวกับการรับมือกับความท้าทายระดับภูมิภาคและระดับโลก การแสวงหาความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ตลอดจนเน้นย้ำความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการผลักดันความร่วมมือภายใต้กรอบ ACD ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประธาน ACD วาระปี 2568 ในวันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ พร้อมทั้งร่วมรับรองปฏิญญาโดฮา (Doha Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการทูตเชิงกีฬา และส่งเสริมให้ ACD เป็นเวทีหารือระดับนโยบายระหว่างประเทศในเอเชีย

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นการเข้าร่วมประชุมในเวทีระหว่างประเทศครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี ซึ่งสื่อมวลชนต่างประเทศให้ความสนใจกับผู้นำของประเทศไทยคนใหม่ที่จะเดินทางไปแสดงวิสัยทัศน์เป็นครั้งแรกหลังจากรับตำแหน่ง และเป็นโอกาสสำคัญของไทย ในการประชาสัมพันธ์ประเทศในทุกมิติ อีกทั้งจะเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกับประเทศสมาชิก ACD ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสการขยายการค้าการลงทุน และความร่วมมือในระดับรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเป็นการแสดงบทบาทผู้นำของไทย ในฐานะผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบ ACD ซึ่งถือเป็นกรอบความร่วมมือที่มีประเทศในภูมิภาคเอเชียเป็นสมาชิกมากที่สุดถึง 35 ประเทศ

“การประชุม ACD ว่างเว้นเป็นเวลานานถึง 8 ปี จากสถานการณ์โรคระบาด โดยครั้งนี้สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านจะเป็นประธานการประชุม และรัฐกาตาร์เป็นเจ้าภาพในการประชุม รวมถึงมีการจัดการประชุมภาคธุรกิจคู่ขนานไปกับการประชุมดังกล่าวด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเศรษฐกิจ อาทิ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมเดินทางเพื่อประชุมร่วมกับรัฐมนตรีสมาชิก 35 ประเทศอีกด้วย” นายจิรายุกล่าว

Advertisement

“แพทองธาร” ขอบคุณนายกฯ กัมพูชา-มาเลย์-สิงคโปร์ ยืนยันพร้อมเดินหน้าร่วมมือเพิ่มพูนมิตรภาพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 สิงหาคม 2567 “แพทองธาร” ขอบคุณนายกฯ กัมพูชา-มาเลย์-สิงคโปร์ แสดงความยินดีโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 ยืนยันพร้อมเดินหน้าร่วมมือเพิ่มพูนมิตรภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศ-ภูมิภาคร่วมกัน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบ Twitter (X) ถึงผู้นำ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Bin Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายลอว์เรนซ์ หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์

โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณสำหรับข้อความแสดงความยินดีจากสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต ซึ่งถือเป็นผู้นำประเทศแรกๆ ที่ได้รับภายหลังได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งให้ดิฉัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยืนยันถึงความเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-กัมพูชา ซึ่งจะฉลองโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนา ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา ในปีหน้า รวมทั้ง มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัน

https://x.com/ingshin/status/1825374041915756937

ในส่วนของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งได้โพสต์ X แสดงความยินดีกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสดำรงตำแหน่ง สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด และเป็นผู้หญิงคนที่ 2 ที่ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด มาเลเซียและไทยต่างเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญและยั่งยืนร่วมกัน ความสัมพันธ์สร้างขึ้นจากการเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่มีมายาวนาน และหยั่งรากลึก ซึ่งการแสวงหาสันติภาพและการพัฒนาร่วมกันในภาคใต้ของไทยก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนทั้งสองฝั่งชายแดน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หวังว่าจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมศักยภาพความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้งสองประเทศอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีสำหรับความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติ

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ Repost ขอบคุณคำอวยพร และย้ำว่าไทยและมาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน ความร่วมมือที่ใกล้ชิดในช่วงที่ผ่านมาในการทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก้าวหน้า นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์เสริมสร้างมิตรภาพ ความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ

https://x.com/ingshin/status/1825374716485660714

และนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรี ในโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยสิงคโปร์และประเทศไทยต่างมีความสัมพันธ์อันยาวนานและหลากหลายมิติ ซึ่งความสัมพันธ์นี้สร้างขึ้นจากผู้นำรุ่นต่อรุ่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์มั่นใจว่าความสัมพันธ์นี้จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ Repost ขอบคุณคำอวยพร และกล่าวว่า ไทยและสิงคโปร์เป็นมิตรประเทศ เป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิด และในโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 หวังว่าจะร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์อย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและภูมิภาคต่อไป

https://x.com/ingshin/status/1825375175921246282

Advertisement

นายกฯ สปป.ลาวเยือนไทย 15 ส.ค. และเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (Official Visit)

วันนี้ (13 สิงหาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2567 นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มีกำหนดเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก และเป็นโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศ

ซึ่งในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

สำหรับกำหนดการสำคัญระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ได้แก่ การพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี และงานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันอย่างเป็นทางการซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยการหารือจะเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน พลังงาน ความเชื่อมโยง และการท่องเที่ยว รวมทั้งประเด็นความมั่นคงมนุษย์ เช่น ความร่วมมือเพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การค้ามนุษย์ การฉ้อโกงออนไลน์ และหมอกควันข้ามแดน

“สปป. ลาว เป็นมิตรประเทศที่มีความสำคัญ เชื่อมั่นว่าการเยือนไทยครั้งนี้ เป็นโอกาสให้กระชับความร่วมมือเพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ และร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ” นายชัย กล่าว

Advertisement

ไทยร่วมประชุม HLPF มุ่งมั่นเร่งรัดดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 บรรลุเป้าหมาย SDGs

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 กรกฎาคม 2567 ไทยร่วมการประชุมเวที HLPF มุ่งมั่นในการเร่งรัดดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และบรรลุเป้าหมาย SDGs

วันนี้ (18 กรกฎาคม 2567) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Economic and Social Council: ECOSOC) จัดการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจำปี ค.ศ. 2024 ระหว่างวันที่ 8-18 กรกฎาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาตินครนิวยอร์ก ภายใต้หัวข้อหลัก “Reinforcing the 2030 Agenda and eradicating poverty in times of multiple crises: the effective delivery of sustainable, resilient and innovative solutions”

โดยการประชุมดังกล่าวเป็นการหารือเชิงลึกเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 No Poverty เป้าหมายที่ 2 Zero hunger เป้าหมายที่ 13 Climate Action เป้าหมายที่ 16 Peace, Justice and Strong Institutions และเป้าหมายที่ 17 Partnerships for the Goals รวมทั้งเป็นเวทีระดมสมองจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อกำหนดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการขับเคลื่อน SDGs และมีการนำเสนอรายงานการทบทวน การดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติโดยสมัครใจของประเทศต่าง ๆ จำนวน 36 ประเทศ โดยวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ที่ประชุมฯ ได้ร่วมรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ และร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม HLPF ค.ศ. 2024 ที่สะท้อนเจตนารมณ์ทางการเมืองในระดับรัฐมนตรีของประเทศต่าง ๆ ที่จะร่วมกันดำเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และ SDGs โดยร่างปฏิญญาฯ สะท้อนประเด็นที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติให้ความสำคัญร่วมกันในการผลักดันการบรรลุ SDGs ของโลกในภาพรวม

Advertisement

ไทยย้ำจุดยืนช่วยเหลือตัวประกันในกาซา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มิถุนายน 2567 ทำเนียบ – “รัดเกล้า” เผย ถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา เพิ่มชื่อประเทศที่ร่วมสนับสนุนรวมเป็นจำนวน 18 ประเทศ

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทุกคนที่เหลืออยู่ในกาซาซึ่งถูกควบคุมตัวมาแล้ว 200 วัน การอำนวยความสะดวกในการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นเพิ่มเติมในกาซาอย่างทั่วถึง และการสนับสนุนความพยายามในการไกล่เกลี่ยที่ดำเนินอยู่เพื่อนำพลเมืองกลับสู่มาตุภูมิ ตลอดจนนำสันติภาพและเสถียรภาพมาสู่ภูมิภาค โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้เผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมฯ พร้อมกับประเทศอื่นๆ ที่ร่วมสนับสนุนแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567

ทั้งนี้ ได้มีการปรับถ้อยคำในส่วนชื่อของถ้อยแถลงร่วมฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นถ้อยแถลงในระดับผู้นำ และเพิ่มชื่อประเทศที่ร่วมสนับสนุนรวมจำนวน 18 ประเทศ (จากเดิมที่มี 15 ประเทศ) ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และโปรตุเกส รวมทั้งปรับเพิ่มถ้อยคำในเนื้อหาถ้อยแถลงร่วมฯ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้มีการจับตัวประกันในกาซาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 วัน และให้ครอบคลุมถึงความห่วงกังวลของประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้

กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า การสนับสนุนถ้อยแถลงร่วมฯ ร่วมกับผู้นำอีก 17 ประเทศ เป็นการย้ำจุดยืนของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการช่วยเหลือตัวประกันในฉนวนกาซา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประกันชาวไทย โดยรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่และทุกวิถีทาง รวมทั้งการดำเนินการร่วมกับมิตรประเทศเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กต. จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวประกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

Advertisment

Verified by ExactMetrics