วันที่ 20 เมษายน 2025

สศช.จับตา Influencer อวดรวย สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มีนาคม 2567 สศช.จับตา Influencer อวดร่ำรวย หวั่นสร้างกระแสสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคม เสี่ยงพนันออนไลน์กลุ่มคนรุ่นใหม่ คาดทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7.4 เท่าตัว

นายดนุชา พิชยนันท์  เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มีจำนวน Influencer มากถึง 13.5 ล้านคน โดยคนไทยกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย นับว่าการขยายตัวของ Influencer ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นช่องทางสร้างรายได้ ทั้งโฆษณา รีวิวสินค้า ในปี 2566 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วโลกถึง 19.01 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 140.33 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573  หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 7.4 เท่า ภายใน 7 ปี

สำหรับไทย Influencer ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสร้างรายได้ได้ค่อนข้างสูง เฉลี่ยตั้งแต่ 800-700,000 บาทขึ้นไปต่อโพสต์ มีการแข่งขันผลิต Content และการให้ความสำคัญกับ Engagement ของ Influencer มักมีการสร้าง Content ให้เป็นกระแสโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมก่อนเผยแพร่ อาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหลายประการ อาทิ การนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ตัวอย่างเช่น การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประจำปี 2566 ของกระทรวงดิจิทัลฯ พบยอดสะสมผู้โพสต์เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม 7,394 บัญชี โดยเป็นจำนวนข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนรวมกันกว่า 5,061 เรื่อง การชักจูงหรือชวนเชื่อที่ผิดกฎหมาย อาทิ การโฆษณาเว็บพนันออนไลน์ผ่าน Influencer ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ในปี 2566 พบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ประมาณ 3 ล้านคน โดย 1 ใน 4 เป็นนักพนันฯ หน้าใหม่ หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 7.4 แสนคน โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 87.7 พบเห็นการโฆษณาหรือได้รับการชักชวนทางออนไลน์ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1 ล้านคน

การละเมิดสิทธิ พบว่า Influencer บางรายมีการเสนอข่าวอาชญากรรมราวกับละคร เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหาย ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังพบการทำข่าวโดยใช้ภาพผู้คนหรือวิดีโอของผู้อื่นมาตัดต่อลง Content ของตน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาบางประเภทที่ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย แต่อาจนำไปสู่การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม อาทิ Content  “การอวดความร่ำรวย” จากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่ม Gen Z ร้อยละ 74.8 เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตนในรูปแบบนี้มากที่สุด หรือการนำเสนอภาพบุคคลที่ได้รับการปรับแต่งให้ดูดี จนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กและเยาวชนในสังคม และอาจกระทบต่อการก่อหนี้เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการ

ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลเชิงลบของ Influencer ต่อสังคมหลายแง่มุม ซึ่งในต่างประเทศ เริ่มมีการออกกฎหมายเฉพาะ Influencer อย่างชัดเจน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกระเบียบห้ามเผยแพร่เนื้อหาในลักษณะอวดความร่ำรวย และการใช้ชีวิตแบบกินหรูอยู่สบายเกินจริง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดให้ Influencer ต้องจดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากสภาสื่อแห่งชาติ (NMC) เพื่อป้องกันการโฆษณาที่ผิดกฎหมาย นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร กำหนดให้ Influencer แจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย พร้อมแสดงเครื่องหมายกำกับ เพื่อลดปัญหาความกดดันทางสังคมต่อมาตรฐานความงามที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน

Advertisement

ชาวบ้านเรียกร้องต่ออายุราชการ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” แต่เจ้าตัวขอเดินหน้าทำงานภาคประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 2 มีนาคม 2567 นครราชสีมา – ชาวบ้านเสียดาย “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ จะเกษียณในอีก 7 เดือน อยากให้ต่ออายุราชการอีก 1 ปี ด้านเจ้าตัวฝากขอบคุณ แต่ขอเดินหน้าทำงานในบทบาทภาคประชาชน

กลุ่มเพื่อนชาวจังหวัดมหาสารคาม และขอนแก่น ที่นำรถจักรยานมาปั่นออกกำลังกายบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ เกาะติดข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ ส.ป.ก. จนมีอารมณ์ร่วม ได้แสดงความคิดเห็นหลังทราบข่าว นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการในอีก 7 เดือนว่า รู้สึกเสียดายข้าราชการที่มีความกล้าหาญ ปกป้องผืนป่า โดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆ จึงอยากให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่ออายุราชการให้อีกสัก 1 ปี เหมือนที่กรมอุทยานฯ ทำให้กับนายสุทธิพร สินค้า ผู้พิทักษ์ช้างป่าเขาใหญ่ ในปีที่ผ่านมา ซึ่ง ผอ.ชัยวัฒน์ ก็มีคุณสมบัติพิเศษของข้าราชการที่หาได้ยากเช่นกัน

ด้าน ผอ.ชัยวัฒน์ เปิดใจทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า ฝากขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชน ทั้งที่มีให้ตนและเจ้าหน้าที่ทุกคนของกรมอุทยานฯ ตั้งแต่ตนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตั้งแต่ปี 2533 ก็ทำงานอนุรักษ์ป่ามาอย่างเต็มที่ ไม่เฉพาะความต้องการของประชาชน แต่อธิบดีกรมอุทยานฯเอง ก็เห็นความตั้งใจของตน บอกว่า จะตั้งเป็นที่ปรึกษาหลังเกษียณอายุราชการ แต่ตนปฏิเสธ เพราะถือว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่แล้ว บทบาทในภาคประชาชนน่าจะทำงานคล่องตัวกว่า

นายสาโรจน์ ประพันธ์ อดีตผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งทำงานปกป้องป่า ในช่วงปี 2535 – 2551 รวม 16 ปีเต็ม กำลังร่างจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชน ในชื่อ “ส.ป.ก.รุกป่าเขาใหญ่ อะไรเท็จ อะไรจริง ความเป็นไป อนาคตที่สุ่มเสี่ยงของป่าผืนนี้ โดยราคาที่ดินเขาใหญ่ จากไร่ละไม่ถึงหมื่น มาเป็นไร่ละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จึงเป็นต้นตอให้กลุ่มทุนการเมืองอยู่เบื้องหลังการรุกป่าเขาใหญ่

โดยบริเวณเขาใหญ่ เกิดความทับซ้อนกันของหน่วยงานราชการถึง 5 พื้นที่ ได้แก่

เป็นพื้นที่ของป่าเขาใหญ่ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ.2481

เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2505

เป็นพื้นที่สวนป่าของหน่วยจัดการต้นน้ำลำตะคอง

เป็นพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง พ.ศ.2515

เป็นพื้นที่ ส.ป.ก. พ.ศ.2530

สำหรับข้อเสนอบางส่วน ระบุว่า ต้องผลักดันให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาผนวกพื้นที่สวนป่า และพื้นที่อื่นๆ ที่เหมาะสมเข้าเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โดยเร็ว ส่วนความเห็นที่เสนอให้ทำเป็นพื้นที่กันชน กำหนดให้เป็นป่าชุมชนนั้น นายสาโรจน์ มองว่า ยังมีความสุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกบุกรุกทำลาย แล้วถ่ายโอนไปสู่กลุ่มทุนการเมืองได้ในที่สุด เนื่องจากการจัดการป่าชุมชนส่วนใหญ่ มักจะล้มเหลว มีน้อยมากที่ประสบความสำเร็จ โดยพื้นที่สำเร็จมักเป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีวิถีชีวิตผูกพัน พึ่งพิงป่าอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความรัก ความหวงแหน ช่วยกันดูแลรักษาป่าโดยชุมชน ผิดกับป่าชุมชนที่เกิดจากการจัดตั้งโดยหน่วยงานราชการ

Advertisement

กระทรวงศึกษาฯ เตรียมจ้างภารโรงให้ทุกโรงเรียนที่ขาด เริ่ม 1 พ.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 กุมภาพันธ์ 2567 ครูเฮ! คืนครูให้นักเรียนทั่วประเทศ ลดภาระครู “เสมา 2” เผย ศธ.ชงงบฯ จ้างภารโรงให้ทุกโรงเรียนที่ขาด เริ่ม 1 พ.ค.นี้

นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีกระทรวงศึกษาธิการเสนอของบประมาณสนับสนุนให้จัดสรรนักการภารโรงให้สถานศึกษาทั่วประเทศ ว่า จากการลงพื้นที่และได้รับฟังสภาพปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ นั้น ทำให้ทราบถึงปัญหาของโรงเรียนว่าการที่โรงเรียนไม่มีนักการภารโรง ส่งผลทำให้ครูมีภาระเพิ่มขึ้นคือ นอกจากจะทำหน้าที่ในการสอนนักเรียนแล้ว ยังต้องทำงานที่ไม่ใช่การสอน เช่น ต้องทำหน้าที่ในการซ่อมบำรุง ทำความสะอาดอาคารสถานที่ ดูแลความปลอดภัยในโรงเรียนและอีกหลาย ๆ หน้าที่ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นในปัญหาดังกล่าว จึงอยากให้ครูได้มีเวลาในการเตรียมการสอน รวมทั้งดูแลเด็กนักเรียน และพัฒนาตัวเองมากขึ้น

กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีการตั้งเรื่องของบประมาณปี 2567 ในการจ้างนักการภารโรงให้ทุกโรงเรียนที่ขาด โดยจากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีความต้องการนักการภารโรงจำนวน 14,210 อัตรา เป็นเงิน 639,450,000 บาท (อัตราละ 9,000 บาท/เดือน) สามารถเริ่มจ้างได้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2567 นอกจากนี้ในงบประมาณปี 2568 ยังจะมีการดำเนินการจ้างอีกจำนวน 25,370 อัตรา เป็นเงินจำนวน 2,739,960,000 บาท ซึ่งจะสามารถดำเนินจ้างได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 จากนั้นก็จะดำเนินการเตรียมการเพื่อของบประมาณในปีต่อ ๆ ไปอีกด้วย

Advertisement

นายกฯ ระบุ ก.คมนาคมจะเร่งแก้ปัญหาก่อสร้างถนนพระราม 2 ก่อนสงกรานต์นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ระบุคมนาคมจะเร่งแก้ปัญหาก่อสร้างถนนพระราม 2 ก่อนสงกรานต์นี้ หลังพบเป็นหนึ่งในสาเหตุทำคนเที่ยวหัวหินน้อยลง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความใน x ถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ต้องได้รับการควบคุมการก่อสร้างอย่างเข้มงวด ได้มาตรฐานและรวดเร็ว โดยระบุว่ารัฐบาลได้ติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้า ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้สัญจรไปมา และนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้ประกอบการสองฝั่งถนนเสียโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมไปถึงก่อให้เกิดมลภาวะ กระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชน

ถนนพระราม 2 ที่ก่อสร้างล่าช้า ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวหัวหินกันน้อยลงนั้น ทางกระทรวงคมนาคมแจ้งว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ตนจะติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งจะกำกับดูแลมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างให้เข้มงวด โดยเฉพาะมาตรการลงโทษผู้รับเหมาที่ทิ้งงาน

Advertisement

อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็น AOC 1441 หลอกสูญเงิน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 26 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็น AOC 1441 หลอกลวงสูญเสียเงิน

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงกล ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ แอบอ้างใช้ชื่อ AOC 1441 ในการสร้าง Page Facebook หรือ Line Official ปลอมเพื่อหลอกลวงประชาชน

นายคารม กล่าวว่า AOC 1441 เป็นศูนย์ One Stop Service จัดตั้งโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อแก้ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์สำหรับประชาชน มีการจัดตั้ง War-room เพื่อดำเนินการด้านคดีให้กับประชาชนแบบเร่งด่วน ปัจจุบันศูนย์ AOC 1441 มีช่องทางติดต่อเดียวเท่านั้น คือสายด่วน 1441 โดยสามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มี Page Facebook หรือ Line Official เป็นช่องทางการติดต่อแต่อย่างใด

“ศูนย์ AOC มีเป้าหมายการจัดตั้งเพื่อระงับหรืออายัด บัญชีของคนร้ายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกได้ทันทีใน 1 ชั่วโมง ติดตามสถานการณ์แก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอนได้ทันที รวมถึงเร่งการติดตามการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดี และการขยายผลคดี หากประชาชนท่านใดตกเป็นเหยื่อโจรออนไลน์ สามารถแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ (เฉพาะคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) ที่เว็บไซต์นี้เท่านั้น www.thaipoliceonline.go.th หรือต้องการความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษา ได้ที่สายด่วน 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายคารม กล่าว

Advertisement

นายกฯ ชม “ผู้ว่า กทม.” ทำงานดีแต่ต้องพีอาร์มากขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลาว่าการ กทม. – นายกฯ เยือนศาลาว่าการ กทม. นั่งหัวโต๊ะประชุมพัฒนา กทม. ชม “ชัชชาติ” ทำงานดี แต่ต้องประชาสัมพันธ์เพิ่ม นอกจากสร้างความเข้าใจ ปชช.แล้ว ยังจูงใจ นทท.ด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดการพัฒนากรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายสรุปการประชุมติดตามการเร่งพัฒนากรุงเทพมหานคร จาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การขับเคลื่อนพัฒนากรุงเทพฯ การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐานและการจัดการด้านสังคม กับเรื่องเศรษฐกิจ ได้แก่  การแก้ปัญหาการจราจร โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย  การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุม ซึ่งด้านจราจร ถือว่าเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เบื้องต้นจะกวดขันวินัยจราจร ติดตั้งกล้อง CCTV การปรับปรุงจุดที่เป็นคอขวดและงานก่อสร้าง ซึ่งมีหลายจุดในกรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่นำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน กรุงเทพฯ ถือเป็นแหล่งความเจริญสำคัญ แต่ยอมรับว่าการดำเนินการทุกอย่างขณะนี้ ยังขาดการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน จึงอาจจะยังไม่รวดเร็วทันใจ แต่หลายคนมีฝีมือและทำงานได้ดีในการเร่งพัฒนาหลายด้าน ต่อจากนี้อยากเห็นในหลาย ๆ หน่วยงานมาร่วมกันผลักดัน ซึ่งหากมีอะไรติดขัดนั้นสามารถให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับทราบและเร่งประสานกันสนับสนุนต่อไปได้

“สำหรับปัญหาการจราจร ยอมรับว่าประสบปัญหามานาน ที่ผ่านมาการทำงานของกรุงเทพฯ ถือว่าดี แต่ภาพรวมนั้นยังขาดการสื่อสาร หลายประเทศที่ผมเดินทางไป การจราจรอาจจะมีปัญหามากกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ สิ่งที่กรุงเทพฯ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์การทำงานอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนรับทราบมากกว่าเดิม เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ มากขึ้นด้วยหากประชาสัมพันธ์ที่ดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการเดินทางท่องเที่ยวที่กำลังเป็นปัญหาคือขนส่งมวลชน แท็กซี่โกงมิเตอร์ ในส่วนนี้ตนเข้าใจดีกว่าหากแท็กซี่รับผู้โดยสาร กดมิเตอร์เลย แล้วไปเจอรถติดเขาก็ไม่ได้เงิน ตรงนี้ก็ต้องเห็นใจทุกฝ่าย พร้อมฝากไปยังกระทรวงคมนาคมในการใช้เทคโนโนยีที่ทันสมัย เข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ระบบทัดเทียมต่างประเทศ ส่วนเรื่องของแท็กซี่ผี ตุ๊กตุ๊กผี ขอฝาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ดูแล เพราะอยากให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจมากที่สุด

“ด้านการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มั่นใจรัฐบาลบริหารจัดการฝุ่นได้ดี  แต่ปัญหาหลักตอนนี้คือด้านเศรษฐกิจ ที่การแก้ไขปัญหาของประชาชนต้องใช้เงิน  ทำให้ในด้านการเกษตรที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มในการกำจัดวัชพืชโดยไม่เผา ซึ่งได้ขอบคุณทางกรุงเทพมหานครที่แจกเครื่องอัดฟางให้กับเกษตรกรในเขตหนองจอก ทำให้ลดปริมาณการเผาลงได้มาก รวมทั้งปัญหาของเพื่อนบ้าน ซึ่งข้อจำกัดการจัดการหลายอย่าง แต่รัฐบาลได้ต่อสายตรงหลายประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน ขณะนี้ปัญหาฝุ่นลดลงมาก หากผลักดันได้ให้ใช้ขนส่งมวลชน รถยนต์ส่วนบุคคลแบบไฟฟ้าคงจะดีมากขึ้น รัฐบาลจริงจังจริงใจแก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้เปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาจราจรสมัยนายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีและนายชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่ามีประสิทธิภาพปัญหาลดลงมากกว่าตอนนี้  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ากลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ แต่เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ตอนนี้ยังแก้ไขปัญหาและบริหารงานอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการเดินทางขนส่งมวลชน การลดราคาค่าโดยสาร

ด้านนายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การสร้างถนน แต่เป็นการสร้างขนส่งมวลชนที่ดี ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่เช่นกัน

ส่วนแนวคิดที่กรุงเทพมหานครพิจารณาย้ายท่าเรือคลองเตย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องตรวจสอบให้รอบด้าน ต้องดูการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 1-2 หากเสร็จสมบูรณ์ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่ต้องไม่กระทบการขนส่ง ซึ่งนายชัชชาติ กล่าวต่อว่า เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2562 แล้ว จะบอกว่าต้องกลับมาทบทวนว่าแนวทางดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ตัวอย่างจากหลายประเทศก็ไม่มีท่าเรือขนาดใหญ่ในเมืองหลวง

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การทำงานระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานครไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าสามารถโทรติดต่อเพื่อขอประสานงาน ยกหูสายตรงได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ปล่อยขบวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพัฒนากรุงเทพมหานคร ที่บริเวณลานคนเมือง

Advertisement

“หมอชลน่าน” แจงหลักการ ‘เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย’

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 11 กุมภาพันธ์ 2567 “หมอชลน่าน” ยัน “คนค้ายา” เม็ดเดียวก็ติดคุก ส่วนคนเสพไม่เกิน 5 เม็ด ต้องรักษา ยันหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย”

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน จึงขอชี้แจงดังนี้

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2566 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ประชุมกัน เพื่อวางหลักเกณฑ์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประเภทยาบ้า หลังจากนำเสนอข้อมูลของแต่ละฝ่ายอย่างรอบคอบและรอบด้าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ที่มียาบ้าไม่เกิน 5 เม็ด เมื่อถูกตำรวจจับได้ ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และให้เป็นผู้ป่วยจิตเวชที่ควรนำไปบำบัดรักษาให้หายเป็นปกติ ซึ่งปกติจะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความสมัครใจของผู้นั้นว่าจะยอมไปบำบัดรักษาไหม ถ้าไม่ยอมรับการบำบัดก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หากพิสูจน์ได้ว่ามีพฤติการณ์ขายต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ส่วนผู้ที่มียาบ้าเกินกว่า 5 เม็ด เช่น มี 6 เม็ดหรือมากกว่านี้ ถูกตำรวจจับ ให้ถือเป็นผู้มียาบ้าไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษเท่ากับ การจำหน่าย ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ นั่นคือ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี

ข้อสรุปนี้เป็นผลจากการประชุมร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ ศาลยุติธรรม เป็นต้น

กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายและแนวทางที่ชัดเจนซึ่งได้กล่าวย้ำกับบุคลากรของกระทรวงมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ก็คือ เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า เป็นยาเสพติดให้โทษที่ห้ามเสพ ห้ามมีไว้ในครอบครอง ห้ามผลิต ห้ามนำเข้า หรือส่งออกหรือห้ามจำหน่ายไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ตาม ถือว่าเป็นความผิด ต้องได้รับโทษ แต่มีเงื่อนไขเรื่องจำนวนเม็ดที่กำลังพิจารณาดำเนินการอยู่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เช่น มีไว้เสพก็ต้องรีบนำไปบำบัดรักษาให้หาย ก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อตัวผู้เสพเอง หรือเมื่อเกิดอาการจิตหลอนก็ใช้อาวุธไปทำร้ายคนรอบข้าง ได้แก่ ลูก เมีย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนทั่วไปจนถึงแก่ชีวิตดังที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน ถ้าพบพฤติการณ์มียาไว้จำหน่ายก็จะต้องได้รับโทษหนัก

ยาบ้า 5 เม็ด ยืนยันว่าไม่ได้นั่งคิดขึ้นมาเองตามใจชอบ แต่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และแพทย์ทางด้านสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้

ตามขั้นตอน ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะส่งเรื่องนี้ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมตรี เพื่อจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นต่อการกำหนดจำนวนเม็ดยาบ้าดังกล่าว หลังได้แนวทางซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงเสนอ และได้ผ่านการเห็นชอบคณะรัฐมนตรี นำมาประกาศเป็นกฎกระทรวง

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวย้ำว่า ทั้งหมดผ่านการลงความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า ผู้ค้าผู้เสพ ทุกฝ่ายในสังคมต้องร่วมมือกัน ใครมีหน้าที่ปราบปรามจับกุมก็ทำอย่างเข้มแข็ง กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่บำบัดรักษา ส่งคืนสู่สังคมพยายามให้ไม่ย้อนกลับไปเสพใหม่ การดำเนินการผ่านกระบวนการคิดจากหลายๆ ฝ่ายมาร่วมมือกัน ใครถือเป็นผู้ป่วยต้องเข้ารับการบำบัด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นผู้เสพแต่ถ้ามีพฤติกรรม และพยานแวดล้อมว่าเป็นผู้ค้า ไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ต้องติดคุก รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” สนับสนุนให้ผู้เสพเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ผู้เสพต้องเข้ารับการบำบัด เมื่อบำบัดครบได้รับการรับรองจึงถือว่าไม่ต้องรับโทษ และเมื่อผ่านการบำบัดทางการแพทย์แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดทางสังคม โดยหลักการชุมชนบำบัด จนสามารถเชื่อได้ว่า ไม่กลับไปเสพซ้ำ มีพฤติกรรมที่ดี สามารถที่จะกลับสู่สังคมได้

“ผมมีความมุ่งมั่นที่จะคืนลูกหลานสู่อ้อมกอดของชุมชน ขณะเดียวกัน ก็เร่งบำบัดช่วยเหลือโรคสมองติดยาของผู้เสพให้ดีขึ้น ลดปัญหาการกลับไปเสพใหม่ไม่กลับไปเสพซ้ำ ให้เป็นพลเมืองดี เพื่อสังคมที่เป็นสุขและประเทศชาติปลอดภัยจากยาเสพติด ย้ำ ผู้ค้าเม็ดเดียวก็ติดคุก” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

Advertisement

นายกฯ ร่วมงานตรุษจีนเยาวราช อวยพรให้มั่งมี มั่งคั่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 เยาวราช – นายกฯ ร่วมเทศกาลตรุษจีนเยาวราช นักท่องเที่ยวแห่ถ่ายรูป พร้อมอวยพรให้มีความสุข มั่งมี มั่งคั่ง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาร่วมงานเทศกาลตรุษจีนเยาวราช ซึ่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเย็นวันนี้ (10 ก.พ.) ตลอดเส้นทางที่เดินชมงาน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนซาอุดีอาระเบีย ก่อนเข้าร่วมงานเทศกาลตรุษจีน พร้อมระบุว่า ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตลอด 2 ปีที่เชื่อมสัมพันธ์ทางการทูต รวมทั้งเรื่องปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก รวมทั้งการค้าการลงทุน

ส่วนความขัดแข้งระหว่างกลุ่มรักสถาบันและกลุ่มทะลุวัง เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายกฯ กล่าวว่า อยากให้พูดคุยกันดีๆ ไม่ใช้กำลัง เพราะวันนี้เป็นวันตรุษจีน วันแห่งการท่องเที่ยว จะมีการกำชับเจ้าหน้าที่ไปดูเรื่องความปลอดภัยกับประชาชนมากขึ้น

“เนื่องในวันปีใหม่เทศกาลตรุษจีน เป็นวันของการสนุกสนาน อยากให้ทุกคนมีความสุข มั่งมี มั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง ดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ อยากให้เทศกาลตรุษจีน เงินสะพัดที่สุดเท่าที่จะเป็น นโยบายรัฐบาลพยายามกระตุ้นเรื่องนี้ ทั้งเรื่องวีซ่าฟรี และนโยบายความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ ความสะดวกสบายในการตรวจคนเข้าเมือง อยากให้ประทับใจประเทศไทยตั้งแต่แรกที่เข้ามา” นายกฯกล่าว

Advertisement

นายกฯ สั่งเดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดลเป็นต้นแบบ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 7 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ สั่งการ ครม. เดินหน้าแก้ฝุ่น PM 2.5 ยกเชียงใหม่โมเดล หลังบูรณาการร่วมตรงจุดทำฝุ่นลดลงในรอบ 10 ปี พร้อมวางมาตรการตัดสิทธิช่วยเหลือเกษตรทุกรูปแบบ หากฝ่าฝืนเผาตอซัง พบเจ้าหน้าที่ละเลยถูกลงโทษตามระเบียบ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. เรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ อย่างจริงจัง โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการยกร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยได้ส่งร่างไปยังสภาฯ แล้ว ซึ่งการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของนายกฯ ถือเป็นจังหวัดต้นแบบ ซึ่งได้มีการประเมินสถานการณ์ในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ขณะนี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดลง โดยเฉพาะเดือนมกราคม เมื่อเทียบย้อนหลังไปถึง 10 ปี โดยเดือนมกราคมปีนี้ คนเชียงใหม่บอกว่าปัญหาฝุ่นดีขึ้นที่สุด ปริมาณฝุ่นต่ำลงมาก แต่พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ยังไม่ลดลง นายกฯ จึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเน้นการทำงานเชิงรุก ใช้กลไกและกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ทุกหน่วยงานนำไปปรับใช้ เพื่อกำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรม โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้คือ

1.ตัดความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ให้เกษตรกรที่เผาเปลี่ยนไปใช้วิธีการฝังกลบ หากเกษตรกรรายใดติดปัญหาเรื่องเครื่องมือในการฝังกลบ ภาครัฐยินดีส่งเสริม แต่ถ้ายังฝืนเผาอยู่ จะถูกตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐทุกรูปแบบ

2.กรณีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ นำเข้ากำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าทางการเกษตรที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับการเผา เช่น การนำเข้าข้าวโพด ซึ่งแหล่งนำเข้าข้าวโพดมีการเผาตอซังข้าวโพด หากมีการพิสูจน์ได้ให้ทั้ง 2 กระทรวงระงับการอนุญาตนำเข้า

3.กำหนดให้มีการจับกุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกประกาศเขตห้ามเผา ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย หากผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด

4.การลงโทษปรับ กรณีการเผาที่เป็นเหตุให้รำคาญ มีกฎหมายที่ว่าด้วยพระราชบัญญัติสาธารณสุข หากมีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกี่ยวข้องจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลพื้นที่ให้เข้มงวด ไม่ให้เกิดการเผาและลักลอบนำเข้า ถ้ายังเผา และปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เกิดจากการเผาจากประเทศต้นทาง ผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และอาจถูกพิจารณาโทษตามกฎหมายตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

5.แนวทางการสนับสนุนเชิงรุก ให้กรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ หากมีเจ้าหน้าที่คนไหนหย่อนยานจะถูกลงโทษ นอกจากนี้ยังขอให้กระทรวงเกษตรฯ ให้ความรู้กับเกษตรกร เรื่องการไถกลบและผลเสียของการเผา พร้อมขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการ กำหนดมาตรการสนับสนุน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า นายกฯ ขอให้นำข้อสั่งการดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยขอให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลภาวะทางอากาศเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ให้นำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และทำให้เป็นมาตรการที่ชัดเจน เพื่อสนองตอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน

Advertisement

อย.ยันวัคซีนโควิด-19 มีความปลอดภัย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 อย.ย้ำวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ทั้งในด้านความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผลจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ มีการควบคุมคุณภาพวัคซีนทั้งก่อนขึ้นทะเบียนและภายหลังการขึ้นทะเบียน รวมถึงติดตามประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ขอประชาชนมั่นใจวัคซีน-19 ที่ได้รับอนุญาตจะช่วยลดความสูญเสียจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อสังเกตจากกลุ่มบุคคลในเรื่องการอนุญาตวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรค แต่เพื่อให้ประชาชนมีวัคซีนใช้โดยเร็วและทันการณ์ อย. จึงกำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนยาแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยกำหนดแนวทางให้บริษัทที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนแสดงข้อมูลที่เพียงพอในการสนับสนุนถึงคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของวัคซีน รวมทั้งต้องติดตามความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ดังนั้น แม้จะใช้เวลาในการประเมินที่สั้นลง อย. ก็ยังคงให้ความสำคัญกับหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผลของวัคซีน

ในประเด็นการอนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทั้งจาก อย. และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ที่อ้างอิงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกในด้านความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิผล พิจารณาผลการศึกษาในสัตว์ทดลองและความปลอดภัยในคน รวมถึงการติดตามผลข้างเคียงและการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งข้อมูลในขณะนั้นเพียงพอต่อการอนุญาตให้ใช้วัคซีนในผู้สูงอายุและเด็กได้ สำหรับในสตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร เนื่องจากประเด็นด้านจริยธรรมการวิจัยจึงใช้ข้อมูลอ้างอิงจากการศึกษาในสัตว์ทดลองเพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาตัดสินใจใช้ยา ในด้านความเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กที่ได้รับวัคซีนประมาณ 1.25 รายในล้านโดส ซึ่งต่ำกว่าในประชากรเด็กปกติ และต่ำกว่าผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 จึงไม่แตกต่างจากที่พบโดยทั่วไป

เลขาธิการ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า อย. มีการควบคุมคุณภาพวัคซีนของประเทศไทย โดยก่อนขึ้นทะเบียนมีการประเมินทั้งข้อมูลด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีนแล้ว ภายหลังการขึ้นทะเบียนก็ยังคงมีการตรวจวิเคราะห์เพื่อรับรองรุ่นการผลิตก่อนออกจำหน่ายของวัคซีนทุกล็อต เพื่อควบคุมคุณภาพวัคซีนก่อนที่วัคซีนจะถึงผู้บริโภค รวมถึงการติดตามอาการไม่พึงประสงค์และความปลอดภัยภายหลังการใช้วัคซีน จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนที่ อย. อนุญาตมีความปลอดภัย มีคุณภาพ และประสิทธิผลที่จะช่วยลดความสูญเสียจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้

Advertisement

Verified by ExactMetrics