วันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

ขอสังคมช่วยป้องกันความรุนแรงในครอบครัว

People Unity News : 9 มีนาคม 2566 กสม.ชี้หญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต สะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เรียกร้องสังคมร่วมดูแล ช่วยเหลือเมื่อพบเหตุ อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเอง

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงกรณีหญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยพลเมืองดีที่เข้าช่วยเหลือได้รับบาดเจ็บ ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่สูญเสีย และขอชื่นชมพลเมืองดีที่เข้าให้การช่วยเหลือเมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ กสม.ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนในปีนี้

“กรณีนี้นอกจากจะนำมาซึ่งความสูญเสียจากการกระทำที่โหดร้ายทารุณ อีกด้านยังสะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างที่น่าชื่นชมของพลเมืองดีที่เข้าให้ความช่วยเหลือ เมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 5 ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของทุกคนที่พบเห็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้การช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือคนในครอบครัวเท่านั้นที่ต้องแจ้งเหตุ ทั้งนี้ ผู้แจ้งโดยสุจริต มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครองด้วย” นายวสันต์ กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ทุกคนในสังคมตระหนักว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ผู้หญิงมักจะเผชิญนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันสอดส่องดูแล การบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำให้กระทำ ไม่กระทำ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคนในครอบครัวโดยมิชอบนั้น มีความผิดทางอาญา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวของผู้อื่น รวมทั้งครอบครัวของตนเอง เป็นเรื่องที่ทุกคนที่พบเห็นหรือถูกกระทำต้องไม่เพิกเฉย ไม่ยอมจำนน ไม่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติที่คุ้นชินในสังคม โดยต้องแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าให้ความช่วยเหลือทันทีที่เกิดเหตุ เพราะทุกความรุนแรงที่เหยื่อถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายกันด้วยคำพูด หรือการทำร้ายร่างกาย อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ การใช้ชีวิต ไปจนถึงความสูญเสียต่อชีวิต อันเป็นการละเมิดสิทธิที่ร้ายแรง และเป็นความผิดทางอาญาด้วย

Advertisement

ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีหนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษต่อไปอีก 4 ปี

People Unity News : 7 มีนาคม 2566 ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีหนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษอีก 4 ปี ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่จ้างผู้พ้นโทษไม่เกิน 15,000 บาท

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ว่า ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….  ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษออกไปอีก 4 ปี สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (4 ปีภาษี) จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงานอย่างต่อเนื่อง

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเข้าทำงาน จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้พ้นโทษเฉพาะที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2568

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า แม้มาตรการทางภาษีดังกล่าว จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 705 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 176.25 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษได้มีงานทำหลังได้รับการปล่อยตัว จำนวน 39,000 คน สามารถประกอบอาชีพโดยสุจริตหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ

Advertisement

มท. สั่งกวดขันปืนเถื่อน เร่งจับกุมเด็ดขาด

People Unity News : 4 มีนาคม 2566 มท. สั่งการทุกจังหวัด กวดขันอาวุธปืนเถื่อน พร้อมกำชับนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยในสังคม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันปรากฏข่าวสารตามสื่อสาธารณะต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุและมีการจับกุมบุคคลที่มีพฤติกรรมครอบครอง หรือพกพาอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) และเพื่อให้การสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฏหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อาวุธปืนเป็นไปอย่างมีรูปธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีหนังสือสั่งการให้ทุกจังหวัดดำเนินการสั่งการให้นายอำเภอบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ กวดขันการบังคับใช้กฏหมายกลุ่มบุคคลผู้มีอิทธิพลโดยเฉพาะแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นที่มีความสุ่มเสี่ยงอาจก่ออาชญากรรมให้ดำเนินการบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกำชับให้ทุกอำเภอรายงานข้อมูลผลการปฏิบัติมายังกรมการปกครองเป็นประจำทุกเดือน

โดยกรมการปกครองแจ้งให้ทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน โดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน มาขอรับอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ เพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และกรณีเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ให้ส่งมอบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน แก่ทางราชการโดยไม่ต้องรับโทษ รวมทั้งการจัดเก็บรายละเอียดของอาวุธปืนทั้งกรณีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตใหม่และอาวุธปืนที่นายทะเบียนได้ออกใบอนุญาตไปแล้ว ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมอาวุธปืนผิดกฎหมายเพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมจากอาวุธปืน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีประกอบกับได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดแจ้งแนวทางปฏิบัติของนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่ กรณีเกิดเหตุอาชญากรรมโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ โดยให้รายงานผลการตรวจสอบให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยเร็ว และให้เร่งพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตหรือเรียกประกันหรือทัณฑ์บน แล้วแต่กรณี รวมทั้งให้ติดตามผลคดีจนกว่าจะเสร็จสิ้น และให้รายงานข้อมูลคดีและผลการดำเนินการทางทะเบียนเกี่ยวกับอาวุธปืนที่เกี่ยวข้องกับเหตุอาชญากรรม ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้กรมการปกครองทราบเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุและมีการจับกุมบุคคลที่มีพฤติกรรมครอบครอง หรือพกพาอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนท้องที่จะออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ตามกฎหมายให้ไม่ได้ไปในที่สาธารณะ สร้างความหวาดกลัว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีการตรวจค้นจับกุมบุคคลที่ลักลอบทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) และยึดอาวุธปืนของกลางได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อความหวาดกลัวในความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำชับนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) เป็นไปอย่างมีรูปธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยให้นายอำเภอดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยระดมสรรพกำลังทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน รวมทั้งอาสาสมัครอื่น ๆ ในพื้นที่ ในการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีกลุ่มบุคคลผู้มีอิทธิพล กลุ่มบุคคลผู้มีข้อมูลเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นที่มีความสุ่มเสี่ยง ที่อาจก่ออาชญากรรม หรือบุคคลผู้ลักลอบทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) หากพบการกระทำความผิด ให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดในการจับกุม ผู้กระทำความผิดและยึดของกลางในการกระทำความผิด เพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีโดยเด็ดขาด ตามกฎหมายต่อไป

“นอกจากนี้ให้รายงานข้อมูลสถิติผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้กรมการปกครองทราบเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ติดตามผลการดำเนินคดีจนกว่าจะเสร็จสิ้น กระทรวงมหาดไทยคาดว่าจะสามารถลดการก่อเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวกับอาวุธปืน รวมถึงการกระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน ตลอดจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกชุมชนหมู่บ้านมีความเข้มแข็ง ทั้งนี้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ช่วยกันสอดส่องดูแลและเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการป้องกันการกระทำความผิดทางสังคมทุกรูปแบบโดยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน 1567 เพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ไปด้วยกัน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

Advertisement

แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดหนัก อ้างชื่อกรมการจัดหางาน ลวงทำงานออนไลน์

People Unity News : 23 กุมภาพันธ์ 2566 อธิบดี กกจ. ห่วงคนหางาน แจ้งเตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก แอบอ้างชื่อกรมการจัดหางาน ลวงทำงานออนไลน์ หวั่นประชาชนตกเป็นเหยื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคล สูญเงินหมดบัญชี ยัน กกจ.ไม่มีนโยบายสมัครงานทางโทรศัพท์

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมการจัดหางานพบมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ แอบอ้างชื่อกรมการจัดหางาน ชักชวนทำงานออนไลน์ในรูปแบบดูโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดวิว บางรายมีการ ADD LINE เพื่อใช้ติดต่อ และแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขที่บัญชี เลขที่บัตรประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลดังกล่าว ไปสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือนำไปสวมตัวตนสมัคร Application ทางการเงิน

“กรมการจัดหางาน ขอเตือนว่าหากพบเห็นการชักชวนให้สมัครงานในตำแหน่งต่าง ๆ ทางโทรศัพท์ โปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะกรมการจัดหางาน ไม่มีนโยบายติดต่อพี่น้องประชาชนทางโทรศัพท์ให้สมัครงาน หรือชักชวนหารายได้เสริม สำหรับผู้ที่ต้องการหางานทำกรมฯมีช่องทางให้บริการผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไชต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือทาง Mobile Application “ไทยมีงานทำ” หรือหากไม่สะดวกใช้บริการผ่านระบบออนไลน์สามารถขอรับบริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

Advertisement

สำนักงานสลากฯ เตรียมพร้อมออกสลากสัญจรที่จังหวัดชุมพร

People Unity News : 22 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานสลากฯ เตรียมออกสลากสัญจร งวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ ที่จังหวัดชุมพร ให้ชาวบ้านดูความโปร่งใส ลดข่าวลือ เลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพ

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการออกรางวัลงวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เตรียมเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมลอฟท์ มาเนีย บูติค โฮเทล อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้เห็นขั้นตอนและวิธีการตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้

สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้นำชุมชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล โดยเชิญข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อออกรางวัล โดยการออกรางวัลเป็นไปตามมาตรฐานสากล โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้ การออกรางวัลได้ดำเนินการตามมาตรการในการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาล อย่างเคร่งครัด ด้วยการทำความสะอาดสถานที่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์ มีการตรวจวัดอุณหภูมิคณะกรรมการออกรางวัล บุคลากร สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล รวมทั้งให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนแสดงในวันดังกล่าวด้วย และขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

-สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป

-สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป

-LINE TODAY ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

-เว็บไซต์สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

-รับฟังการถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่โรงเรียนชุมพรปัญญานุกูล อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร อีกด้วย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงขอเชิญประชาชนชาวจังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมชมการออกรางวัลสลากสัญจรครั้งนี้ได้ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่ www.glo.or.th

Advertisement

ครม.อนุมัติ 445 ล้านให้ ตร.ซื้อกล้องบันทึกภาพ-เสียง

People Unity News : 21 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.อนุมัติ 445 ล้านบาทให้ ตร.จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง นายกฯ ย้ำจัดหาโปร่งใส ตรวจสอบได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติ  444.81 ล้านบาทให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ดำเนินโครงการ จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยจะจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงจำนวน  48,568 ชุด แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่  1.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดบนตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ  จำนวน 37,624  ชุด งบประมาณ  338.62 ล้านบาท  สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กลุ่มสายงาน ได้แก่ สายงานป้องกันปราบปรามและสายงานจราจร  จำนวน 16,945 ชุด  และสายงานสืบสวนสอบสวน จำนวน 20,679 ชุดซึ่งได้รับการจัดสรรเป็นครั้งแรก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า 2.กล้องบันทึกภาพและเสียงแบบมือถือ พร้อมอุปกรณ์เพื่อใช้ในห้องสอบสวนและห้องควบคุม จำนวน 9,366  ชุด งบประมาณ 93.57 ล้านบาท สำหรับสถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,484 สถานี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 77 หน่วยงาน 3.กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดตั้งภายในรถยนต์ จำนวน 1,578 ชุด  งบประมาณ  12.62  ล้านบาท สำหรับติดตั้งในรถยนต์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1-9

“พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ( 22 ก.พ.) บัญญัติให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องบันทึกภาพและเสียงผู้ต้องหาตั้งแต่เริ่มควบคุมตัว ผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงเป็นความจำเป็นต้องจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการทุกนายใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยเร่งด่วนและทันที” นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ำเรื่องการจัดหาด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้  และไม่ให้ผลประโยชน์ตกแก่บุคคลใด สำหรับหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เช่น  กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ให้เร่งจัดลำดับความจำเป็นด้วย

Advertisement

กรุงไทย-สปสช. แจกถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด ผ่านแอปฯ เป๋าตัง

People Unity News : 20 กุมภาพันธ์ 2566 ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ สปสช. มอบสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กับโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย” เพิ่มช่องทางให้บริการถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) กดรับสิทธิรับถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิดฟรีผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง เริ่มแล้ววันนี้

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า สปสช. บรรจุ “บริการถุงยางอนามัยและยาเม็ดคุมกำเนิด” เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคซิฟิลิส โรคมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี หนองใน หนองในเทียม และเอดส์ เป็นต้น

เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า และเพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) รับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้ง่ายขึ้น นอกจากไปขอรับที่หน่วยบริการแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสามารถขอรับผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ โดยเป็นความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการสิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค ในเมนูกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง ไม่เพียงแต่ดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองให้เข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด แต่ยังรวมถึงบริการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ ด้วย เช่น การใส่ห่วงอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นต้น

“ที่ผ่านมา สปสช.มีความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขอรับชุดตรวจ ATK ผ่านแอปฯ เป๋าตัง การจองคิวเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในช่วงของการรณรงค์คือ พฤษภาคม-สิงหาคมของทุกปี รวมถึงบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในด้านต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของ สปสช.ได้ง่ายขึ้น” เลขาธิการ สปสช.กล่าว

นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับชีวิตคนไทยในทุกมิติ ให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุขของประเทศ ตามแผนงานด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) สามารถจองสิทธิรับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง โดยเลือกทำรายการ “สิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค” บนกระเป๋าสุขภาพ ระบบจะเปิดให้เลือกถุงยางอนามัยหรือยาคุมกำเนิดและเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลระบบบัตรทองที่พร้อมเปิดให้บริการแล้วกว่า 400 หน่วยบริการทั่วประเทศเพื่อติดต่อรับสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดอย่างทั่วถึงและเพียงพอทุกพื้นที่ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในกลุ่มวัยรุ่น

ธนาคารสนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพของ สปสช.มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform เชื่อมต่อระบบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพื้นฐาน ตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของภาครัฐ ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคยในปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้บริการเช็กสิทธิ นัดหมาย พร้อมยืนยันตัวตนผู้มารับบริการด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผ่านมาธนาคารร่วมกับ สปสช. เปิดบริการลงทะเบียนคัดกรองเพื่อรับชุดตรวจ ATK ให้กับประชาชนจำนวน 6.9 ล้านชุด ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเปิดบริการการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเพื่อดูแลประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง รวมถึงลงทะเบียนขอรับสิทธิบริการด้านคุมกำเนิด ผ่านกระเป๋าสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของภาครัฐที่มอบให้คนไทยดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ยังมีแผนต่อยอดพัฒนาความร่วมมือกับ สปสช.ให้บริการการดูแลสุขภาพประชาชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขยายการบริการสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านกระเป๋าสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถกดรับสิทธิและเลือกหน่วยบริการหรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ กระเป๋าสุขภาพ ในแอปฯ เป๋าตัง หรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/hospital สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2566

Advertisement

รัฐบาลออกประกาศ ‘เด็กนักเรียนท้อง ต้องได้เรียนต่อไป’

People Unity News : 19 กุมภาพันธ์ 2566 รองโฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราชกิจจานุเบกษา (18 กุมภาพันธ์ 2566) ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 โดยมีความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษา และการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา ตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น ทั้งนี้ ในท้ายกฎกระทรวง ได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงเอาไว้ด้วยว่า… ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษาเพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นซึ่งตั้งครรภ์ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษาในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งจะเป็นอนาคตชาติ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงให้สถานศึกษาทุกระดับที่มีเด็กตั้งครรภ์ ต้องไม่ให้เด็กออกจากสถานศึกษา โดยต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมและต่อเนื่อง แต่ยังคงมีบุคลากรทางการศึกษารวมถึงผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่า การให้เด็กตั้งครรภ์เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ผลการศึกษาในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า เด็กคนอื่น ๆ จะเกิดความตื่นตัวมากขึ้นในการดูแลป้องกันตนเองไม่ให้ตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันจะเกิดความรู้สึกเห็นใจเพื่อนที่กำลังท้อง และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีในขณะที่เรียนร่วมกัน

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของครูผู้สอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ครูต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ต้องไม่ปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองเด็กให้ได้เรียนต่อเนื่องโดยไร้ความกังวล

Advertisement

รัฐบาลตั้งเป้าขยายรถเมล์ไฟฟ้า 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

People Unity News : 18 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ก.คมนาคม เปิดเส้นทางบริการรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่ม 2 สายใน กทม. ตั้งเป้าในปี 2566 ขยายรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการเปิดให้บริการเดินรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม 2 สาย ได้แก่ สาย 38 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 48 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-ท่าช้าง ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ภายใต้แนวคิด “Thai Smile Change For The Better” เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า อำนวยความสะดวกให้ประชาชนพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2565 ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือจัดสรรให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชนกว่า 1,250 คัน ใน 77 เส้นทาง เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และในปี 2566 กระทรวงคมนาคมได้ตั้งเป้าหมายให้มีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1,850 คัน เพื่อขยายผลบริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพ โดยภาคเอกชนมีการพัฒนาคุณภาพบริการรถโดยสารเอกชนจากรถที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ในอีก 45 เส้นทาง ตั้งเป้าภายในปี 2566 จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการถึง 3,100 คัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายเพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ได้ดำเนินการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก โดยเน้นการเชื่อมต่อกับทางเดินในรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเริ่มใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างความรู้กับภาคเอกชนในการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการให้บริการขนส่งสาธารณะที่ดี และขอความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะที่ราคาประหยัด และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้จัดทำรูปแบบการชำระค่าโดยสารราคาพิเศษผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร HOP CARD) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่มุ้งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ พัฒนาบริการที่ดีแก่ประชาชน และให้ความสำคัญต่อนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้บริการประชาชน และสนับสนุนให้ผู้คนที่เดินทางมาใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย ในราคาที่ประหยัด และช่วยการแก้ปัญหามลพิษ PM 2.5 รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และการจราจรของกรุงเทพฯ ” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics