วันที่ 21 เมษายน 2025

นายกฯ สั่ง สตช.เร่งจับเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา

People Unity News : 27 ธันวาคม 2565 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย นายกฯ สั่ง สตช.เร่งจับเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมรายงานความคืบหน้าทุก 15 วัน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้สั่งการในกรณีการตรวจและจับกุมเครือข่ายกลุ่มทุนต่างชาติที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายที่เรียกว่า คดีเครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนจีนสีเทา โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบและดำเนินคดีกับกลุ่มทุนจีนตู้ห่าวและคณะ ซึ่งมีพฤติกรรมความผิดอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ ได้ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายรายงานผลความคืบหน้าและอุปสรรคให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก 15 วันด้วย

Advertisement

เชิญชวนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

People Unity News : 25 ธันวาคม 2565 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตสภาชาดไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมรับของที่ระลึก

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนผู้มีสุขภาพดีส่งต่อโลหิตเป็นของขวัญให้กับผู้ป่วย ผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งหากบริจาคระหว่างวันที่ 26 – 31 ธันวาคม 2565 ผู้บริจาคจะได้รับของขวัญที่ระลึก ปีใหม่ 2566 เป็นปฏิทินหนูแดง ปี 2566 ชุด คำถามยอดฮิตบริจาคโลหิต และเสื้อยืดลาย “Make a Wish New Year New Life”

ผู้สนใจสามารถ บริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) 7 แห่ง สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ (บางแค) ชั้น P เดอะมอลล์ (บางกะปิ) ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ (งามวงศ์วาน) ชั้น 5 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขาท่าพระ ชั้น 1 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม สุขุมวิท ชั้น M บ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ทั้งนี้ สามารถเช็กสถานที่บริจาคโลหิตที่ร่วมโครงการได้ที่ https://shorturl.asia/heHyn

Advertisement

บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ มีมติเห็นชอบเสนอ “ผ้าขาวม้า” ขึ้นทะเบียนยูเนสโก

People Unity News : 20 ธันวาคม 2565 บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ (ICH) มีมติเห็นชอบเสนอ “ผ้าขาวม้า” และรายการมรดกร่วม 4 ประเทศ “เคบายา” ขึ้นทะเบียนยูเนสโก

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ประธานกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาฯ ครั้งที่ 1/2565 ว่า ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเสนอ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (The Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ต่อองค์การยูเนสโก ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 และกรมส่งเสริมวัฒนธรรมดำเนินการเสนอเอกสารต่อองค์การยูเนสโกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้รับการพิจารณาในปลายปี พ.ศ.2566 และจะมี “ต้มยำกุ้ง” ที่ ครม.ลงมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของยูเนสโกในปี 2568 ต่อไป

นายอิทธิพล เปิดเผยต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ICH ครั้งนี้ ยังพิจารณาเห็นชอบให้ “ผ้าขาวม้า” เป็นรายการมรดกภูมิปัญญาฯ ที่เตรียมเสนอขึ้นบัญชีกับยูเนสโกลำดับถัดไป ด้วยเห็นว่าผ้าขาวม้าขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติไปแล้วเมื่อ พ.ศ.2556 ในสาขางานช่างฝีมือดั้งเดิม ประเภทผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า ผ้าขาวม้าเป็นผ้าทอพื้นเมือง มีลวดลายโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น พบได้ทุกภาคของประเทศ มีความผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยในหลายมิติ สารพัดประโยชน์ในการใช้สอย เช่น เครื่องนุ่งห่ม ใช้ทำความสะอาดเช็ดถู หรือมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้ใหญ่ และใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน ผ้าขาวม้า ถูกนำมาต่อยอดพัฒนาคุณภาพ แปรรูปให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย จึงเห็นชอบให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดทำข้อมูลตามหลักเกณฑ์ เพื่อเสนอรายการ “ผ้าขาวม้า” ต่อองค์การยูเนสโกต่อไป

และที่ประชุมคณะกรรมการ ICH ยังเห็นชอบให้เสนอรายการมรดกร่วม “เคบายา” ต่อองค์การยูเนสโก จากการที่รัฐบาลของประเทศมาเลเซียมีหนังสือขอเชิญประเทศไทยขึ้นทะเบียนร่วม (multi-national nomination) รายการ “เคบายา” (Kebaya) โดยมีประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม และสิงคโปร์ พิจารณาเข้าร่วมในการเสนอรายการเคบายา เพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกร่วมต่อยูเนสโกด้วย ซึ่งมีกำหนดยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2566

ความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย “เคบายา” คือ เสื้อพื้นเมืองชนิดหนึ่งของผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ดารุสซาลาม สิงคโปร์ และทางภาคใต้ของไทย ผลิตโดยผ้าที่มีน้ำหนักเบา เช่น ผ้าฝ้าย ฝ้าโปร่ง ผ้าลูกไม้ ประดับด้วยดิ้น ด้านหน้าติดกระดุมหรือเข็มกลัด มีการออกแบบ การเย็บปักถักร้อยที่ประณีตงดงาม สอดคล้องกับการแต่งกายบาบ๋า-เพอรานากัน ภาคใต้ของไทย ที่ได้รับการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เมื่อปี 2555 ถือเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของคนหลายชนชาติ เคบายา (Kebaya) เป็นเสื้อสตรีที่เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายบาบ๋า-เพอรานากัน ซึ่งสมาคมเพอนารากันประเทศไทย จังหวัดภูเก็ต พร้อมให้ความร่วมมือจัดทำข้อมูลเอกสาร เพื่อนำเสนอยูเนสโกต่อไป

Advertisement

กทม.เตรียมเพิ่มจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอย รองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

People Unity News : 20 ธันวาคม 2565 กรุงเทพมหานครเดินหน้าจัดระเบียบจุดผ่อนผันต่อเนื่อง รถพ่วงข้างขึ้นทางเท้าจับปรับเหมือนรถจักรยานยนต์

วานนี้ (19 ธันวาคม 2565) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 27/2565 ว่า ขณะนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศ ก็จะเห็นหาบเร่แผงลอยเพิ่มมากขึ้นในจุดต่างๆ ช่วงแรกจะดูเรื่องจุดผ่อนผันก่อน ซึ่งในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ดูทั้งหมด 16 จุด ส่วนเดือน ก.พ. 66 จะเพิ่มอีก 29 จุด และเดือน พ.ค. 66 จะทำอีก 50 จุด โดยเป็นจุดที่มีอยู่แล้วแต่ปรับให้มีระเบียบเข้มข้นขึ้น ซึ่งมีเคสตัวอย่างเป็นต้นแบบ 8 จุด เช่น ถนนข้าวสาร แถวบางนา เป็นต้น

นอกจากนี้จะเห็นรถพ่วงข้างเพิ่มมากขึ้นด้วย ได้กำชับห้ามรถพ่วงข้างขึ้นมาขายของบนทางเท้าเด็ดขาด ถ้ามีให้ปรับสูงสุดตามระเบียบเหมือนนำรถจักรยานยนต์ขึ้นบนทางเท้า รวมถึงใช้กล้อง CCTV เข้ามาช่วยในการจับปรับผู้กระทำผิดภายใน 20 นาที แต่จริงๆ ในเรื่องนี้มี 2 มิติ ด้านหนึ่งเป็นความยากลำบากของคน แต่อีกด้านเป็นความระเบียบเรียบร้อยของเมือง ก็จะหาจุดที่สมดุลให้ได้ แต่ไม่มีนโยบายที่ผ่อนปรนเรื่องนี้ จุดผ่อนผันที่มีอยู่ขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวนว่าจะมีจุดไหนเพิ่มขึ้นไหม อาจหาจุดที่เหมาะสมรองรับผู้ละเมิดที่มีจำนวนมาก

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” สั่ง ตร.เร่งสาวคดีโกงออนไลน์ให้ถึงต้นตอ

People Unity News : 9 ธันวาคม 2565 มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ – “พล.อ.ประวิตร” ประชุมแก้ปัญหา ฉ้อโกงออนไลน์ สั่ง ตร.เร่งรัดคดีให้ถึงต้นตอ ลดความเดือดร้อนประชาชนเร็วที่สุด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงประชาชน ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์  ณ  ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้หารือติดตามผลการดำเนินงานการแก้ไขปัญหา การฉ้อโกงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  รับทราบแนวทางยุทธศาสตร์เพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ จากรายงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.กลยุทธ์ด้านการป้องกัน 2.กลยุทธ์ด้านการยับยั้ง และ3.กลยุทธ์ด้านการปราบปราม

ที่ประชุมรับทราบสถิติการรับแจ้งความ และการดำเนินคดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย การหลอกลวงแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ รับแจ้งความ 9,201 คดีดำเนินการปิดกั้น SMS 40,489 ข้อความ เบอร์โทร 53,559 เบอร์ บัญชีม้า อายัดบัญชี 47,245 บัญชี และปิดกลุ่ม Facebook ซื้อขายบัญชีม้า 8 กลุ่ม การหลอกลวงลงทุน-ระดมทุนออนไลน์และหลอกลวงทางการเงิน รับแจ้งความ 58,228 คดี ดำเนินคดีแล้ว 562 คดี ได้ผู้ต้องหา 578 คน การพนันออนไลน์ ดำเนินคดี 287 คดี ได้ผู้ต้องหา 430 คน และการหลอกลวงซื้อขายสินค้าบริการออนไลน์ รับแจ้งความ 50,202 คดี ดำเนินคดีแล้ว 246 คดี ได้ผู้ต้องหา 253 คน

ทั้งนี้ ยังมีคดีพิเศษและคดีที่ประชาชนให้ความสนใจของ ตร. 7 คดี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีก 15 คดี และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงาน จาก 9 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชารยะ เป็นประธานฯ ซึ่งภาพรวม มีการบูรณาการทำงานอย่างได้ผล และสามารถลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้มาก

พล.อ.ประวิตร แสดงความพอใจผลความก้าวหน้า และกำชับให้กระทรวงดีอีเอสปฏิบัติงานเชิงรุกต่อเนื่อง ติดตามสื่อออนไลน์ที่มีเกณฑ์เสี่ยง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสั่งการให้ ตร.เร่งรัดคดีต่าง ๆ เพื่อฟ้องดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงต้นตอโดยเร็ว เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนทุกระดับ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่น ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเร็วที่สุด

Advertisement

เตือนภัย! ผูกบัญชีธนาคาร ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปฯต่างๆ

People Unity News : 4 ธันวาคม 2565 ตำรวจไซเบอร์ ฝากเตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ รวมถึงระมัดระวังการกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม

จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหายผูกบัญชีธนาคารไว้กับแอปพลิเคชันขายของออนไลน์ ต่อมาทราบว่าเงินในบัญชีถูกนำไปชำระค่าสินค้าหลายรายการ ความเสียหายกว่า 50,000 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุนั้น

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชน หรือองค์กรต่างๆ ได้รับความเสียหายสามารถเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนพิสูจน์ทราบถึงตัวผู้กระทำความผิดและนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ขอประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางป้องกันอาชญากรรมของมิจฉาชีพ ดังต่อไปนี้

1.หลีกเลี่ยงการให้หักเงินในบัญชีธนาคารอัตโนมัติ ใช้วิธีเก็บเงินปลายทาง หรือชำระสินค้าผ่าน QR code แทน

2.บัญชีธนาคารที่ผูก หรือเชื่อมไว้กับแอปพลิเคชันซื้อสินค้าออนไลน์ ควรมีจำนวนเงินในบัญชีไม่มาก

3.หลีกเลี่ยงการกดลิงก์ หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก นอกเหนือจาก AppStore หรือ Playstore

4.ตั้งค่าการแจ้งเตือนการทำรายการบัญชีธนาคารผ่านข้อความสั้น (SMS) หรือแอปพลิเคชันไลน์ (Line)

5.หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือออนไลน์ ที่ต้องกรอกข้อมูลเลขด้านหน้าบัตร และรหัส 3 ตัวหลังบัตร (CVV)

6.ระวังการกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรผ่านเว็บไซต์ปลอม โดยหากต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ใด ให้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ด้วยตัวเอง

7.ควรนำแผ่นสติ๊กเกอร์ทึบแสงปิดรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตร (CVV) หรือจำรหัส 3 ตัวดังกล่าวเก็บเอาไว้ แล้วใช้กระดาษทรายลบตัวเลขรหัสดังกล่าวออกจากด้านหลังบัตรเพื่อความปลอดภัยในการใช้จ่ายประจำวัน

8.หากพบสิ่งผิดปกติของบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต ให้ทำการแจ้งไปยังธนาคาร เพื่อทำการอายัดบัตร และปฏิเสธการชำระเงินค่าบริการทางออนไลน์

ทั้งนี้หากได้รับความเสียหายให้ทำการตรวจสอบรายการเดินบัญชี รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งความกับพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนกฎหมาย หรือพบเบาะแสการกระทำผิด  ข้อขัดข้องใดๆ ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนหมายเลข 1441 หรือหมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 ตลอด 24 ชั่วโมง และแจ้งความออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com

Advertisement

นายกฯชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแส Gen Z ใส่ผ้าไทย

People Unity News : 6 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแสวัยรุ่น Gen Z ใส่ชุดผ้าไทย ด้านศิลปิน ดารา คนดัง ร่วมเป็นต้นแบบใช้งานคราฟต์สร้างมูลค่าเพิ่ม หัตถกรรมไทยให้โกอินเตอร์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit ของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่มีออกกิจกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานหัตถกรรมไทยด้านต่างๆ ให้ทันสมัยเป็นที่สนใจของคนไทยและต่างชาติ เช่น ล่าสุดได้ชวนคนรุ่นใหม่แสดงพลังต้นแบบการใช้ผ้าไทยในกิจกรรม “แปลงโฉมวัยรุ่น Gen Z ด้วยผ้าไทย” ที่ให้วัยรุ่นมาสวมใส่ชุดผ้าไทยที่มีเสน่ห์แตกต่างกันตามภูมิภาค เพื่อสร้างกระแสการสวมใส่ผ้าไทยในหมู่เยาวชน เป็น Soft Power ที่จะส่งผลบวกทั้งด้านวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แคมเปญ Friend of sacit ได้เชิญศิลปิน ดารา นักแสดง เซเลบริตี้คนดัง และผู้ที่อยู่ในแวดวงงานคราฟต์ มาเป็นต้นแบบเพื่อสื่อสารในภาพลักษณ์ของงานหัตถศิลป์ไทยในผลงานต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ส่วนตัว ที่มีความสวยงาม ทันสมัย สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป สะท้อนพลังสร้างสรรค์ของงานศิลปหัตถกรรมที่สามารถออกแบบให้มีความเป็นสากลแต่ยังคงสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างโดดเด่นได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศไทยไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจ ซึ่งการผลักดัน Soft Power ไทยด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรม จะเป็นการต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาประเทศ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความมั่นคง และการสร้างเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก

Advertisement

มีลุ้น!!! คนไทยได้เชียร์บอลโลก

People Unity News : 2 พฤศจิกายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” บอกกำลังเจรจา กสทช.ถ่ายทอดบอลโลก ด้าน “สมศักดิ์” ระบุ ดีลช้าราคาจะถูกลง แต่อาจโดนวิจารณ์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค. 65 ที่ประเทศกาตาร์ ว่า เป็นหน้าที่ของตนที่จะทำให้ได้ อยากให้ดูกันทุกคน

เมื่อถามย้ำว่าคนไทยจะได้ชมแน่ๆใช่หรือไม่และถ่ายทอดทางช่องใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ เดี๋ยวให้ได้ก่อน โดยใช้งบประมาณของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะงบประมาณนี้ ทำให้ประชาชน

ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีไม่มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเหมือนปีที่แล้ว ว่า ตนไม่ได้เป็นคนเริ่ม หลายท่านเป็นคนเริ่ม ตนเลยตอบไม่ถูก เอาเป็นว่ามีให้ดูก็โอเคแล้ว และงบที่ใช้น่าจะไม่ถึงหลักพันล้านบาท เพราะตนบอกในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ถ้ายิ่งช้ามันยิ่งคุ้ม ครั้งที่แล้วเหลือ 300 ล้านบาท เคยดีลมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าทำช้าไปก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เสียหน้า ตอนนี้ยังไม่ถือว่าช้าและราคาเริ่มลง

เมื่อถามว่าประเทศไทยถูกมองว่าใช้งบประมาณถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมากที่สุดในภูมิภาค นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเราทำสัญญามันก็ถูก เพราะเขากลัวเราไม่เอา และว่า “แม้ผมจะชอบเล่นฟุตบอล แต่ไม่ชอบดูฟุตบอลโลก เพราะมีหลายทีมไม่รู้จะเชียร์ใคร เยอะไปหมด”

Advertisement

กต.-มูลนิธิไทย มอบรางวัลทูตสาธารณะครั้งแรกของไทย 

People Unity News : 20 ตุลาคม 2565 กต. จับมือมูลนิธิไทย มอบรางวัลการทูตสาธารณะเชิดชูเกียรติบุคคลทำงานสาธารณประโยชน์ ด้าน “นพ.สุนทร อันตรเสน” ผู้รับมอบรางวัลคนแรก ชี้เป็นกำลังใจให้เดินหน้าทำงานต่อ และหวังสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยคนอื่นด้วย

กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับมูลนิธิไทย โดยนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการมูลนิธิไทย และนายธฤต จรุงวัฒน์ เลขาธิการมูลนิธิไทย จัดทำโครงการรางวัลการทูตสาธารณะเพื่อเชิดชูเกียรติบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่ดำเนินงานสาธารณประโยชน์ มนุษยธรรม วัฒนธรรม กีฬา นวัตกรรม จนสามารถสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศไทยและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ

นายธฤต กล่าวว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการมอบรางวัลนี้ เพื่อจารึกเป็นเกียรติสำหรับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ โดยนายแพทย์สุนทร อันตรเสน เป็นผู้ได้รับมอบรางวัล จากที่มีการเสนอรายชื่อมา 8 คน โดยถือว่ามีผลงานโดดเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมากว่า 30 ปี ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และในฐานะที่เป็นคนไทยช่วยให้คนหายป่วยได้ ทำให้ได้รับความประทับใจ และทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักนิยม ได้รับการยอมรับ จึงถือเป็นการส่งเสริมให้ผู้รับรางวัลสามารถดำเนินงานตามเจตนารมณ์ต่อไป และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่น อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้ว่าประชาชนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานการทูตสาธารณะได้

ด้านนายแพทย์สุนทร อันตรเสน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเป็นกำลังใจให้ตนและทีมงานได้เดินหน้าทำงานต่อไป ซึ่งได้ทำงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมาตั้งแต่ปี 2518 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริเวณชายแดน เมื่อเห็นคนไข้มาหาก็อยากจะช่วย การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดีกว่าตั้งรับอยู่เฉยๆ ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคนไข้หลากหลาย รวมถึงรัฐมนตรีของเมียนมาด้วย และหลายเคสหากไม่ช่วยอาจจะเสียชีวิตจากฝีในสมองอักเสบได้ พร้อมทั้งหวังว่าการที่มีการมอบรางวัลเช่นนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำงาน เพื่อสาธารณะมากขึ้น ซึ่งในส่วนของตนก็อยากได้คนมาสานต่อ เพราะตอนนี้อายุ 82 ปีแล้ว

สำหรับผู้ได้รับรางวัลในปีนี้คือ นายแพทย์สุนทร อันตรเสน ซึ่งมีผลงานเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหู (Ear Surgery Mobile Unit) ไปให้บริการตรวจรักษาและผ่าตัดโรคหูให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นพื้นที่ห่างไกลในประเทศต่างๆ เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ เคนยา เมียนมา สปป ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

Advertisement

เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อหลายรูปแบบ

People Unity News : 14 ตุลาคม 2565 เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ ระมัดระวังการคบหาบุคคลบนโลกออนไลน์ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อาชญากรรมหลายรูปแบบ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปรากฏกรณีการใช้แอปพลิเคชันหาคู่เป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมโดยต่อเนื่อง เช่นล่าสุดได้ปรากฏว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ได้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หลอกลวงเหยื่ออีกรายและมีการกักขัง ทำร้ายร่างกาย แต่เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้และจับกุมผู้กระทำผิดได้

ดังนี้ จึงขอเตือนให้ประชาชนที่มีการใช้แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดียทุกช่องทางในการหาคู่ ให้ใช้ความระมัดระวังในการคบหาผู้ที่พบกันในช่องทางดังกล่าวอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีมิจฉาชีพ และอาชญากรรูปหลากหลายรูปแบบแอบแฝงอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงไปทำร้ายร่างกาย หลอกลวงเพื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วถ่ายคลิปเพื่อนำไปแบลคเมลเรียกเงินจากเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่พบมากคือกลุ่มโรแมนซ์สแกม ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติ ที่จะเข้ามาหาเหยื่อในลักษณะตีสนิท พูดคุยคบหาเป็นคนรัก จากนั้นจะสร้างเรื่องราวต่างๆ เพื่อหลอกลวงให้มีการโอนเงินให้กลุ่มคนร้าย หรือบางกรณีหลอกลวงใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย

“ปัจจุบันแอปพลิเคชันหรือโซเชียลมีเดียเพื่อการหาคู่ได้รับความนิยมมากของคนทุกวัย เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อหาคู่ได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ความนิยมดังกล่าวก็เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพ อาชญากรไซเบอร์เข้ามาใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเหยื่อด้วยรูปแบบต่างๆ จึงขอเตือนให้ผู้ใช้บริการใช้ความระมัดวัง อย่าหลงเชื่อผู้ที่พบกันในโซเชียลมีเดียโดยง่าย ขอให้ตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะคบหาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะที่เข้ามายืมเงินและให้โอนเงินไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอย่าโอนเด็ดขาดให้สันนิษฐานก่อนว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาหลอกลวง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งเหตุอาชญากรรมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและมีการออกข่าวสารเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแนะนำแนวทางป้องกันการถูกหลอกลวงจากใช้แอปพลิเคชันหาคู่ ดังนี้ 1)ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก 2) ไม่หลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดโดยง่าย หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วย 3) ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือเพียงลำพัง ควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้งานว่าแอปพลิเคชันไหนใช้ได้บ้างหรือแอปพลิเคชันใดควรหลีกเลี่ยง 4) อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไปให้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าอาจจะดีเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์

ทั้งนี้ หากผู้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ พบเบาะแสการกระทำผิดไม่ว่าจะรูปแบบใด ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ความช่วยเหลือ และดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามขั้นตอนกฎหมาย โดยสามารถแจ้งได้ทั้งสายด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 หรือ สายด่วน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

Verified by ExactMetrics