วันที่ 17 กันยายน 2024

ไทยติดอันดับ 4 ว่างงานน้อยที่สุดในโลก

People unity news online : นายกฯ ยินดีไทยติดอันดับ 4 ว่างงานน้อยที่สุดในโลก ย้ำรัฐบาลส่งเสริมการมีงานทำอย่างจริงจัง

วันนี้ (27 มิถุนายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้รับทราบข้อมูลจากเว็บไซต์ Trading Economics.com และ Index mundi.com ซึ่งได้นำเสนออัตราการว่างงานของ 215 ประเทศทั่วโลก และปรากฏว่าประเทศไทยมีอัตราการว่างงานน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยมีอัตราการว่างงานเพียงร้อยละ 1.2 จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 66.2 ล้านคน“นายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลพยายามควบคุมอัตราการว่างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และส่งเสริมให้คนไทยมีงานทำ เข้าถึงการจ้างงานที่สะดวกรวดเร็ว เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว เช่น จัดตั้งศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยทั่วประเทศ จัดกิจกรรมนัดพบแรงงาน จ้างงานผู้สูงอายุ คนพิการ และนักศึกษา บริการแนะแนวอาชีพ จัดตั้งกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน และบริการจัดหางานบนมือถือผ่าน Smart Job Application เป็นต้น จึงถือเป็นข่าวดีๆอีกครั้ง”อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานโดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีให้มีงานทำโดยเร็วด้วย

People unity news online : post 27 มิถุนายน 2561 เวลา 12.20 น.

นายกฯขอบคุณประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแสโรงงานแอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

People unity news online : นายกรัฐมนตรียืนยันตรวจสอบโรงงานแอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 เวลา 14.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาการลักลอบนำเข้าเศษซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันจากการตรวจสอบพบว่ามีโรงงานที่นำเข้าเศษซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 7 โรงงาน แต่มีโรงงานเล็กๆที่ไม่ได้รับการอนุญาต ลักลอบนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาในประเทศไทย ทำให้เกิดปัญหาสร้างมลภาวะทีเป็นพิษ ซึ่งได้ระงับไปแล้วจำนวน 5 โรงงาน

ส่วนการนำเข้าขยะพลาสติกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีโรงงานนำเข้าที่ถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 26 โรงงาน และได้มีการตรวจสอบไปแล้วจำนวน 17 โรงงาน ส่วนที่เหลืออีก 9 โรงงาน คาดว่าภายในวันศุกร์นี้จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้อย่างครบถ้วน จากการตรวจสอบพบว่าโรงงานเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้นำเข้าขยะพลาสติก สามารรถรวบรวมขยะพลาสติกได้ทั้งในและนอกประเทศ แต่มีการแอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมาย โดยรัฐบาลจะได้ตรวจสอบต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันข้างหน้าประเทศไทยจะพัฒนาสู่ประเทศที่มีเทคโนโลยี จะต้องประสบปัญหาขยะในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น จำเป็นจะต้องกำจัดขยะไปด้วย ทั้งนี้ ต้องขอบคุณประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแสขึ้นมา พร้อมกล่าวยืนยันว่า อะไรก็ตามที่ประชาชนร้องเรียน และได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ทำถูกต้องตามกฎหมาย

People unity news online : post 6 มิถุนายน 2561 เวลา 13.20 น.

ครม.เห็นชอบเปิด “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education)

People unity news online : ครม.เห็นชอบ “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education) ครอบคลุมทั้งระบบการศึกษา รวมถึงหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ เห็นชอบ “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti-Corruption Education)

พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในระหว่างการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 11/2561 ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้

1.เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ต้องนำหลักสูตรไปดำเนินการรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ประสานงานกับสำนักงาน ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้

สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อๆไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

2.ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำหลักสูตรนี้ไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตรข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตรโค้ชให้มีความชัดเจน โดยให้หมายความรวมถึงบุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ทั้งในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษาด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการถ่ายทอดความรู้หรือช่วยในการจัดการเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการและรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาทราบเป็นระยะๆด้วย

สาระสำคัญ  สำนักงาน ป.ป.ช.รายงานว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามีวัตถุประสงค์ในการปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตให้สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนตนสิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีจิตพอเพียงต้านทุจริต ละอายและเกรงกลัวที่จะไม่ทุจริตและไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบผ่านสถาบันการศึกษา

ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งอาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และสถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษาในสังกัด ตช. สถาบันการศึกษาทางทหาร เป็นต้น ต่อเนื่องไปจนถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ครอบคลุมทั้งระบบการศึกษา นอกจากนี้ ยังรวมถึงหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับบุคลากรของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจในหน่วยงานภาครัฐ

โดยแต่ละหลักสูตรประกอบด้วยเนื้อหา 4 ชุดวิชา ดังนี้

1.การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ชุดวิชาดังกล่าวเน้นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยปรับเปลี่ยนระบบการคิดของคนในสังคมแยกแยะให้ได้ว่า “เรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนตน … เรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม” โดยนำวิธีคิดแบบฐาน 10 (Analog thinking) และฐาน 2 (Digital thinking) มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างยั่งยืน

2.ความละอายความไม่ทนต่อการทุจริต เป็นชุดวิชาเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพสังคมให้เกิดภาวะ “ที่ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกช่วงวัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุ่มตัวแทนที่ทำหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรมที่ละอายต่อการกระทำความผิด การไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

3.STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต เป็นชุดวิชาที่ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอื่นๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์หลัก “STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต” ซึ่งคิดค้นโดยรองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ในปี 2560 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมหน่วยงาน

4.พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม พลเมืองศึกษาเป็นการจัดการศึกษาและประสบการณ์เรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ มีความภูมิใจในความเป็นพลเมืองตนเอง มีสิทธิมีเสียง สนใจต่อส่วนรวม และมีส่วนร่วมในกิจการบ้านเมืองตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับรัฐบาล รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระบบการเมือง การปกครอง สิทธิและความรับผิดชอบของพลเมือง ระบบการบริหารจัดการสาธารณะและระบบตุลาการ

People unity news online : post 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.00 น.

รัฐบาลจัดงานสัปดาห์เผยแผ่พุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา 24-30 พ.ค. ทั้งส่วนกลาง-ภูมิภาค

People unity news online : รัฐบาลเตรียมจัดงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ระหว่างวันที่ 24-30 พฤษภาคม 2561

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 เวลา 14.00 น.  ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล  นายสุวพันธุ์  ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ประจำปีพุทธศักราช 2561  ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ที่ประชุมรับทราบมติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก  ประจำปี 2561  เพื่อส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค และวัดไทยในต่างประเทศ

ส่วนกลาง จะจัดขึ้น ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์ องค์กร มูลนิธิ  สถานศึกษา  ภาครัฐ และเอกชน  ระหว่างวันที่ 24-30 พฤษภาคม 2561 กิจกรรมสำคัญประกอบด้วย พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาของพระสงฆ์ไทย  ผู้นำชาวพุทธนานาชาติ  ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร  และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ  ในรัชกาลที่ 9 กิจกรรมทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ฟังธรรม และการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป กิจกรรมวาดภาพพุทธศิลป์ของสามเณร  เด็ก และเยาวชน  ชมขบวนธรรมยาตราวิสาขบูชา วันสำคัญของโลก  ฟังเทศน์แหล่ทำนอง 4 ภาค บรรยายธรรมภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ร่วมถวายโคมประทีปองค์พระประธานพุทธมณฑล  กิจกรรมทำความดีจิตอาสา Big Cleaning day  ถวายเป็นพุทธบูชา  การปลูกไม้ทางพุทธประวัติ  กิจกรรมเดิน – วิ่งการกุศล กิจกรรม ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย

ส่วนภูมิภาค และวัดไทยในต่างประเทศ  เป็นการขอความร่วมมือระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและวัดไทยในต่างประเทศ ได้จัดกิจกรรมทั้งหลายดังกล่าวเช่นส่วนกลางตามความเหมาะสม

นอกจากนี้  ที่ประชุมยังรับทราบตามที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กำหนดจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ ครั้งที่ 15 เรื่อง “พระพุทธศาสนากับการพัฒนามนุษย์” เนื่องในวันวิสาขบูชา  วันสำคัญสากลของโลก  ประจำปี 2561   ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย   อำเภอวังน้อย  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และในวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติกรุงเทพมหานคร

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา  เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชาวันสำคัญสากลของโลก  ประจำปีพุทธศักราช 2561 โดยศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ได้กำหนดจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา  เนื่องในวันวิสาขบูชา  วันสำคัญสากลของโลกขึ้น ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤษภาคม 2561 ณ มณฑลพิธีลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร  ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม  วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร  เป็นประธานอำนวยการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และพระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม  วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร  เป็นประธานจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา  วันสำคัญของโลก ประจำปี 2561  ฝ่ายบรรพชิต ณ ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร มีกิจกรรมสำคัญประกอบด้วย  วันที่ 25 พฤษภาคม 2561  เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนิน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา   โดยจะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระองค์มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว เพื่อให้พระพุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา  อีกทั้ง มีพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ พิธีทำบุญตักบาตร ทอดผ้าป่า พิธีเวียนเทียน กิจกรรมธรรมะบันเทิงอีกด้วย

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการขอความร่วมมือคณะสงฆ์ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนการจัดงานกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาฯ ทั้งในส่วนภูมิภาค และส่วนกลาง ณ พุทธมณฑล ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น

People unity news online : post 18 พฤษภาคม 2561 เวลา 12.10 น.

BNK48 พร้อมเน็ตไอดอล น้องไธชิ เข้าทำเนียบพรุ่งนี้ พบ “ลุงตู่” โปรโมทสถานีวิทยุครอบครัว

People unity news online : วง BNK48 พร้อมเน็ตไอดอล น้องไธชิ เตรียมเข้าทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย.) พบนายกรัฐมนตรี เพื่อโปรโมทสถานีวิทยุสำหรับครอบครัวของกรมประชาสัมพันธ์

นางทัศนีย์ ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ 24 เม.ย. วงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง BNK48 พร้อมด้วยน้องไธชิ เน็ตไอดอลอายุ 4 ขวบ พร้อมด้วยครอบครัวแฟนคลับวิทยุเพื่อครอบครัว จะเดินทางเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์สถานีวิทยุเพื่อครอบครัว “Happy Family Radio F.M.105 MHz. : วิทยุเพื่อครอบครัว” ของกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นวิทยุครอบครัวตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์มีสถานีวิทยุสำหรับครอบครัวให้เหมาะกับทุกช่วงวัย โดยจะเน้นให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ กิจกรรมในวันที่ 24 เมษายนนี้ ศิลปิน BNK48 จะร่วมจัดรายการวิทยุ ปากซอย 105 น้องไธชิ และครอบครัวแฟนคลับจะร่วมจัดรายการ โฮม คิดซิ โดยทั้ง 2 รายการจะเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมรายการตามรูปแบบรายการวิทยุที่เด็ก เยาวชนและครอบครัวต้องการอีกด้วย

สำหรับไอดอล BNK48 ที่เดินทางมาร่วมเปิดตัวสถานีวิทยุเพื่อครอบครัว นำทีมโดยน้องเฌอปราง จ๋า กระเต็น ไข่มุก มิวสิค เนย เปี่ยม และ ซัทจัง นอกจากนี้ยังมี น้องไธชิ เน็ตไอดอลอายุ 4 ขวบ พร้อมด้วยแฟนคลับรายการวิทยุ ได้แก่ น้องค๊อปตี้ น้องยูริ เวลา 08.00-09.00 น. ติดตามรับฟังรายงานสดในรายการ ปากซอย 105” และ “โฮม คิดซิ” ทางสถานีวิทยุ Happy Family Radio F.M.105 MHz. วิทยุเพื่อครอบครัว” และทาง Facebook Live “สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย,NBT2HD” Application “Happy Family Radio” และเครือข่ายทั่วประเทศ

People unity news online : post 23 เมษายน 2561 เวลา 11.10 น.

 

สาธารณสุขเตือนเล่นมือถือตลอดเวลาเสี่ยงเป็น “โนโมโฟเบีย”

People unity news online : เมื่อวานนี้ (1 เมษายน 2561) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร แต่บางกลุ่มมีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เช่น พกติดตัว ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด คอยเช็กข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยแม้ไม่มีเรื่องด่วน ตื่นนอนจะเช็กโทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน ติดเกม หรือในแต่ละวันใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลกออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) และบางรายอาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว โทรศัพท์เเบตหมด หรือว่าอยู่ในที่ไร้สัญญาณ อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะด้านสุขภาพร่างกาย เช่น 1.นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้วกด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน 2.อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็กๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม 3.ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผล เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนานๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร  4.โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื่อรังอื่นๆได้

ด้าน แพทย์หญิงทิพาวรรณ บูรณสิน สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคำว่า “no mobile phone phobia” เป็นศัพท์ที่หน่วยงายวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพบมากที่สุดกว่าร้อยละ 70 ในกลุ่มเยาวชน 18-24 ปี  รองลงมาคือ กลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 25–34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป ตามลำดับ ในปัจจุบัน ยังไม่ถึงขั้นกำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยโรคหลักทางจิตเวช (DSM 5) เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค พยาธิสภาพทางจิตใจ และ ผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาวยังมีไม่มากพอ

อย่างไรก็ตาม แนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนด้วยตนเอง มีหลายวิธี เช่น กำหนดช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน, กำหนดสถานการณ์ที่จะไม่เล่นสมาร์ทโฟน เช่น ขณะเดิน กิน ก่อนนอน ตื่นนอนใหม่ๆ ขับรถ อยู่บนรถโดยสาร เรียน ทำงาน หรือแม้แต่อยู่ในห้องน้ำ ควรหากิจกรรม งานอดิเรก เล่นกีฬากิจกรรมผ่อนคลายในครอบครัวทดแทนเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด

People unity news online : post 2 เมษายน 2561 เวลา 08.30 น.

อันตราย! สธ.เตือนคนไทยเผชิญภาวะ “กินเค็ม-เสี่ยงโรค” แนะ 8 วิธีลดเกลือในอาหาร

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2561 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดว่า สิ่งที่ให้ความเค็มหรือเกลือโซเดียมมีอยู่ในเกลือหรือน้ำปลาเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องปรุงรส เช่น ซีอิ๊ว ซอส ผงปรุงรส ผงชูรส รวมไปถึงอาหารกึ่งสำเร็จรูปต่างๆ เช่น บะหมี่-โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ขนมกรุบกรอบ ล้วนมีสารให้ความเค็ม (เกลือโซเดียม) เป็นส่วนประกอบ ล่าสุดพบคนไทยบริโภคเกลือโซเดียมเฉลี่ย 4,351.7 มิลลิกรัมต่อวันหรือกว่า 2 ช้อนชา เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกคือ 2,000 มิลลิกรัมหรือ 1 ช้อนชาต่อวัน โดยการบริโภคอาหารที่มีรสเค็มอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 2 ที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง  โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งโรคดังกล่าวป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ลดหวาน มัน เค็ม

ในปี 2561 กระทรวงสาธารณสุขได้นำร่อง  “ชุมชนลดเค็ม ลดโรคต้นแบบ”  ใน 3 ตำบล  ได้แก่  ตำบลกุมภวาปี  อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ตำบลห้วยยอด อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง และตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เพื่อลดปริมาณเกลือในอาหารลงร้อยละ 20 ลดระดับความดันโลหิตตัวบนลง 10 และตัวล่าง 5 มิลลิเมตรปรอท โดยให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคเกลือ สร้างค่านิยมกินจืดยืดชีวิต มีการใช้เครื่องวัดความเค็ม หรือ Salt meter เพื่อแสดงให้เห็นปริมาณเกลือในอาหาร และมีการปรับสูตรลดความเค็มของอาหาร พร้อมขยายผลทั่วประเทศต่อไป พร้อมแนะนำ 8 วิธีในการลดปริมาณเกลือที่บริโภค ได้แก่ 1.ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง 2.ลดการเติมเครื่องปรุงรส ไม่ควรมีขวดน้ำปลา ซีอิ้ว ซอส เกลือ บนโต๊ะอาหาร 3.ลดการกินอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน  ผัก–ผลไม้ดอง ปลาเค็ม ไข่เค็ม เต้าหู้ยี้ 4.ลดการกินอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง และไม่ใส่เครื่องปรุงหมดซอง 5.ลดความถี่และปริมาณน้ำจิ้มของการกินอาหารที่มีน้ำจิ้ม 6.หลีกเลี่ยงอาหารจานด่วน 7.ลดการกินขนมกรุบกรอบ และ 8.เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุโซเดียมไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

People unity news online : post 2 เมษายน 2561 เวลา 08.20 น.

“บิ๊กอู๋” เอาจริง! จับแน่ ต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย จำคุก 5 ปีปรับสูงสุด 1 แสนบาท

People unity news online : รมว.แรงงาน สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบกิจการกลุ่มเสี่ยงที่จะมีนายจ้างและแรงงานต่างด้าวฝ่าฝืนกฎหมาย แรงงานต่างด้าวที่ทำอาชีพสงวนสำหรับคนไทยและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาท และส่งกลับ

วันนี้ (19 มกราคม 2561) นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ว่า จากกรณีที่ปัจจุบันสถานการณ์แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม อินเดีย จีน และลาว ซึ่งจะเข้ามาประกอบอาชีพในลักษณะเป็นเจ้าของร้านขายอาหาร เจ้าของร้านในตลาดสด เจ้าของร้านในตลาดนัด โดยการจ้างคนไทยให้ทำสัญญาการเช่าหรือการจ้างเป็นนายจ้างและแรงงานต่างด้าว จะดำเนินกิจการเองทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อและจำหน่าย โดยเริ่มจากการเป็นลูกจ้างเมื่อมีทุนจะดำเนินการเซ้งร้าน เซ้งแผงขายของ แต่ยังคงถือใบอนุญาตทำงานโดยมีคนไทยสมยอม รับเป็นนายจ้างให้ และพบว่าแรงงานต่างด้าวสัญชาติจีนและเวียดนามส่วนใหญ่ลักลอบทำงานในร้านอาหาร ธุรกิจการท่องเที่ยว การเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และการให้บริการบีบนวดตามห้องน้ำ แรงงานต่างด้าวสัญชาติอินเดียส่วนใหญ่ลักลอบทำงานประเภทเร่ขายของทั่วไป ขายผลไม้ ขายถั่ว ขายโรตี ซึ่งการลักลอบทำงานดังกล่าวเป็นงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามแรงงานต่างด้าวทำตามพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ.2522 นั้น

ในเรื่องนี้ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ กรมการจัดหางาน ร่วมบูรณาการกับกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบนายจ้างสถานประกอบการและแรงงานต่างด้าว โดยลงพื้นที่ตรวจสอบในกิจการที่มีอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีนายจ้างและแรงงานต่างด้าวฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งแรงงานต่างด้าวที่มาทำอาชีพสงวนสำหรับคนไทยและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 8 มีอัตราโทษตาม ม.101 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาท แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และได้ดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย จำนวน 1,609 คน แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 738 คน และภูมิภาค 871 คน โดยดำเนินคดีกับแรงงานสัญชาติเมียนมามากที่สุด จำนวน 600 คน รองลงมาคือ สัญชาติกัมพูชา 430 คน สัญชาติอื่นๆอีก 344 คน และสัญชาติลาว 235 คน  ส่วนใหญ่กระทำความผิดจากการประกอบอาชีพค้าขาย หาบเร่ แผงลอย ทั้งนี้ งานที่ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เมียนมา ลาว และกัมพูชา สามารถทำงานได้ 2 ประเภท คือ งานกรรมกร และงานบ้าน ส่วนงานขายของหน้าร้านหรือการเป็นเจ้าของกิจการยังคงเป็นอาชีพที่ห้ามแรงงานต่างด้าวทำ ตามที่กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามแรงงานต่างด้าวทำ บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ.2522 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไข ปรับปรุง การกำหนดอาชีพห้ามสำหรับคนต่างด้าว และยังไม่ได้ข้อสรุปว่า งานขายของหน้าร้านจะเป็นงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทำได้หรือไม่

หากพบแรงงานต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายหรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของแรงงานต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1506 กด 2 หรือร้องเรียนได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หมายเลขโทรศัพท์ 0 2354 1386 หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครที่มีอยู่ 10 พื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือหากพบคนไทยที่เป็นนอมินีให้แรงงานต่างด้าวเปิดกิจการที่เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย สามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลข 1570 Call Center กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

People unity news online : post 19 มกราคม 2561 เวลา 21.00 น.

คนไทยอยู่กับมลพิษอะไรบ้าง? เผยสถานการณ์มลพิษในประเทศไทยปี 60

People unity news online : 12 มกราคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ เผยสถานการณ์มลพิษประเทศไทยปี 2560 ในภาพรวมมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมดีขึ้นจากปี 2559 ดังนี้

1.คุณภาพน้ำแม่น้ำสายหลัก 59 แม่น้ำของประเทศในปี 2560 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยคุณภาพน้ำที่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80 เป็นร้อยละ 86 และอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมลดลงจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 14 โดยไม่มีแหล่งน้ำที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก เมื่อเปรียบเทียบคุณภาพน้ำเป็นรายภาค ภาคใต้มีแหล่งน้ำที่มีคุณภาพดีมากกว่าภาคอื่น รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางมีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมมากกว่าภาคอื่นเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยแหล่งน้ำที่มีคุณภาพดีสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แม่น้ำตาปีตอนบน ลำตะคองตอนบน ลำชี สงคราม และสายบุรี

ส่วนแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ท่าจีนตอนล่าง พังราดตอนบน ระยองตอนล่าง และกวง ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่แม่น้ำไหลผ่านพื้นที่ชุมชนเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แหล่งที่ตั้งของอุตสาหกรรม พื้นที่ทำการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์ ซึ่งไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียและระบบที่ดำเนินการอยู่ยังดูแลจัดการน้ำเสียไม่เต็มประสิทธิภาพ

สำหรับเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบคุณภาพน้ำในปี 2560 เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรของประชาชน คือ กรณีบ่อกักเก็บน้ำกากส่าของโรงงานบริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) จังหวัดสุพรรณบุรี พังทลาย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ประกอบกับเป็นช่วงฝนตกหนักติดต่อกัน ทำให้เกิดน้ำไหลบ่าที่ปนเปื้อนน้ำเสียท่วมบ้านเรือนประชาชนและไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีน ซึ่งจากการตรวจสอบพื้นที่และเก็บตัวอย่างน้ำเสีย ณ จุดเกิดเหตุ คุณภาพน้ำจากบ่อกักเก็บน้ำกากส่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ลำห้วยขจี ลำห้วยกระเสียว และแม่น้ำท่าจีน มีคุณภาพน้ำ ณ ขณะนั้นอยู่ในระดับเสื่อมโทรมมาก จังหวัดสุพรรณบุรีได้สั่งการให้บริษัทหยุดประกอบกิจการทั้งหมดและให้ปรับปรุงแก้ไขบ่อบำบัดน้ำเสียให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน มีการเยียวยาผลกระทบของประชาชนโดยตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือ และโรงงานเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายทั้งหมด

2.คุณภาพน้ำทะเล มีแนวโน้มดีขึ้น โดยคุณภาพน้ำทะเลที่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดีมากเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 91 เป็นร้อยละ 96 และเกณฑ์เสื่อมโทรมถึงเสื่อมโทรมมากลดลงจากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 4 คุณภาพน้ำทะเลบริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก อ่าวไทยฝั่งตะวันตก และชายฝั่งอันดามันส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี ยกเว้นบริเวณอ่าวไทยตอนในคุณภาพน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ปัจจัยที่ส่งผลให้คุณภาพน้ำทะเลดีขึ้น เป็นเพราะมีการบริหารจัดการกิจกรรมต่างๆบริเวณชายฝั่งทะเล และการป้องกันและลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดมลพิษจากบนฝั่ง โดยแหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพดีสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อ่าวสะพลี และอ่าวทุ่งวัวแล่น จังหวัดชุมพร ทะเลแหวก และหาดต้นไทร เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ และช่องแสมสาร จังหวัดชลบุรี ส่วนแหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพเสื่อมโทรมสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ปากคลอง 12 ธันวา และหน้าโรงฟอกย้อม กม.35 จังหวัดสมุทรปราการ ปากคลองท่าเคย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ และปากแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากเป็นพื้นที่รองรับน้ำเสียที่มาจากแหล่งชุมชน แหล่งอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

3.สถานการณ์คุณภาพอากาศ จากการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศอัตโนมัติทั่วประเทศทั้งหมด 63 สถานี ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 33 จังหวัดที่ต้องมีการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมืองขนาดใหญ่ เขตอุตสาหกรรม พื้นที่เสี่ยงต่อการเผาในที่โล่ง คุณภาพอากาศในปี 2560 มีแนวโน้มดีขึ้น สารมลพิษที่ยังเป็นปัญหา คือ ฝุ่นละออง ( TSP PM10 PM2.5 ) ก๊าซโอโซน (O3) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) โดยฝุ่นละออง PM10 ตรวจวัดได้ในช่วง 3 -268 มคก./ลบ.ม. ค่าสูงสุดเฉลี่ย 114 มคก./ลบ.ม. (ค่ามาตรฐาน 120) เกินมาตรฐาน 20 จังหวัด แต่มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2555 ฝุ่นละออง PM2.5 ตรวจวัดได้ในช่วง 2 – 116 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 21 มคก./ลบ.ม. (ค่ามาตรฐาน 25) เกินมาตรฐาน 13 จังหวัด จาก 18 จังหวัดที่มีการตรวจวัด ก๊าซโอโซน ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมงสูงสุดของแต่ละสถานีตรวจวัดเฉลี่ย เท่ากับ 121 พีพีบี (มาตรฐาน 100) เกินมาตรฐาน 24 จังหวัด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนสาร VOCs ประเภทเบนซีน พบเกินมาตรฐาน 3 จังหวัด จาก 7 จังหวัดที่มีการตรวจวัด แต่มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง คือ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และระยอง

ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่มีปริมาณเข้มข้นมากสุด ได้แก่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2560 พบค่าฝุ่นละอองสูงสุดอยู่ที่จังหวัดลำปาง เท่ากับ 237 มคก./ลบ.ม. ลดลงจากปี 2559 ที่ตรวจวัดได้ 317 มคก./ลบ.ม. ที่จังหวัดเชียงราย จำนวนวันที่ปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานลดลงจากปี 2559 จาก 61 วัน เป็น 38 วัน (ลดลงร้อยละ 38) และจุดความร้อนสะสมรายจังหวัดลดลงจากปี 2559 จาก 10,115 จุด เป็น 5,409 จุด (ลดลงร้อยละ 47)

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์หมอกควันดีขึ้นเป็นผลมาจากการบูรณาการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาหมอกควันภายใต้กลไกของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 และมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการแบบ Single Command

สำหรับตำบลพระลาน จังหวัดสระบุรี มีปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานมากที่สุดปี 2560 จำนวนวันที่ฝุ่นเกินมาตรฐานมากกว่าปี 2559 จาก 89 วัน เป็น 107 วัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20) ค่าที่วัดได้อยู่ระหว่าง 19 – 257 มคก./ลบ.ม. สาเหตุของปัญหาเกิดจากการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองจากกิจการเหมืองหิน โรงโม่ บดหรือย่อยหิน โรงปูนซิเมนต์และการคมนาคมขนส่งในพื้นที่

4.สถานการณ์การจัดการขยะมูลฝอย ปี ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศประมาณ 27.40 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26 จากปี 2559 ที่เกิดขึ้น 27.06 ล้านตัน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการขยายตัวของชุมชนเมือง แต่อัตราการเกิดขยะมูลฝอยต่อคนลดลงจาก 1.14 กิโลกรัม/คน/วัน ในปี2559 เป็น 1.13 กิโลกรัม/คน/วัน โดยเป็นผลมาจากความร่วมมือของหน่วยงานท้องถิ่น ประชาชน และภาคเอกชนในการลดและใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

การจัดการขยะมูลฝอยใน 2560 เปรียบเทียบกับปี 2559 ปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จาก 9.57 ล้านตัน เป็น 11.70 ล้านตัน มีปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 จาก 5.80 ล้านตัน เป็น 8.52 ล้านตัน ส่งผลให้ปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้องลดลงร้อยละ 39 จาก 11.69 ล้านตัน เป็น 7.18 ล้านตัน อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ส่งผลให้การจัดการขยะมูลฝอยยังดำเนินการได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาทิ อัตราค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากประชาชนยังไม่สอดคล้องกับต้นทุนการดำเนินงาน การคัดแยกขยะมูลฝอยจากต้นทางยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องโดยบางแห่งยังมีการเก็บขนขยะมูลฝอยที่คัดแยกไว้แล้วรวมกับขยะที่จะต้องกำจัด ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการเก็บขนขยะมูลฝอย การกำจัดขยะมูลฝอยในบางพื้นที่ยังดำเนินการไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ บางพื้นที่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากประชาชนต่อต้าน การขาดความร่วมมือและความตระหนักจากประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการในการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงยังมีการใช้สินค้าและ/หรือบรรจุภัณฑ์ที่กำจัดยากและย่อยสลายตามธรรมชาติได้ยากโดยเฉพาะถุงพลาสติกและโฟม

สำหรับเทศบาลนครและเทศบาลเมืองที่มีการจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพดีในลำดับต้นจำนวน 23 แห่ง อาทิ เทศบาลนครเชียงราย เทศบาลนครนครสวรรค์ เทศบาลนครพิษณุโลก และที่ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอยให้ดีขึ้น จำนวน 26 แห่ง อาทิ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครแหลมฉบัง (ชลบุรี) ฯลฯ

5.ของเสียอันตรายจากชุมชน จากการสำรวจและคาดการณ์ปริมาณของเสียอันตรายจากชุมชนที่เกิดขึ้นในปี 2560 มีทั้งหมด 618,749 ตัน ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง 60,619 ตัน (คิดเป็นร้อยละ 9.80) เป็นผลจากการวางระบบการจัดการของเสียอันตรายจากชุมชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีจุดรวบรวมของเสียอันตรายในหมู่บ้านหรือชุมชน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในกรุงเทพมหานครเพื่อเก็บรวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชน ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีจุดทิ้งของเสียอันตรายจากชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึง 2,718 แห่ง อย่างไรก็ตามยังพบของเสียอันตรายจากชุมชนถูกทิ้งปนกับขยะมูลฝอยทั่วไป เนื่องจากยังมีระบบคัดแยก เก็บ รวบรวม และขนส่งไปกำจัดยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขาดกฎระเบียบในการคัดแยกของเสียอันตรายจากชุมชนออกจากขยะมูลฝอยทั่วไป ศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชนเพื่อรอส่งไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลางและไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ สถานที่บำบัด/กำจัดมีไม่เพียงพอ มีซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์บางประเภทถูกนำไปรีไซเคิลไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และไม่มีการคัดแยกของเสียอันตรายจากบ้านเรือน

แนวทางการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม มีดังนี้

1.การจัดการน้ำเสีย

ควบคุมปริมาณและลดความสกปรกของน้ำเสียที่ต้นทาง อาทิ การผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการห้ามระบายมลพิษสู่ภายนอก

คำนึงถึงการจัดการน้ำเสียตั้งแต่ก่อตั้งสถานประกอบการ การต่อใบอนุญาต และระหว่างประกอบกิจการ

การสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตต้องนำมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดไปกำหนดเป็นเงื่อนไขหรือข้อบังคับให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามและควบคุมการระบายน้ำเสียด้วยระบบการอนุญาตระบายมลพิษ (Permit System)

ต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมในทุกชุมชนเมืองที่มีประชากรหนาแน่นโดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ริมน้ำ

ปรับรูปแบบการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนในพื้นที่ที่ขาดความพร้อม เช่น ให้องค์การจัดการน้ำเสียหรือเอกชนเข้าไปดำเนินการแทน

ปฏิรูปให้ระบบบำบัดน้ำเสียรวมเป็นหนึ่งในระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐเหมือนไฟฟ้า น้ำประปา

2.การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ

ยกระดับมาตรฐานเพื่อลดการระบายมลพิษจากยานยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงให้เทียบเท่าระดับสากล (EURO 5)

สนับสนุนให้มีการใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ รถยนต์ Eco Car รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

สร้างระบบขนส่งมวลชนเชื่อมต่อกับเส้นทางหลักเพื่อให้ประชาชนสะดวกในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล

ป้องกันและแก้ไขหมอกควันภาคเหนือตามระบบและกลไกที่วางไว้ เพิ่มมาตรการทางสังคมกดดันคนที่จุดไฟแทนการกดดันผู้ที่ทำหน้าที่ดับไฟ

จัดระเบียบการอนุญาตประกอบกิจการเหมืองหิน เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายกับกิจการเหมืองหิน โรงโม่ บดหรือย่อยหินและโรงปูนซิเมนต์ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และให้ผู้ประกอบการเหมืองหินและโรงปูนซิเมนต์ประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณชนในการประกอบกิจการที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม

3.การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายชุมชน

รณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะก่อนทิ้งลงถัง โดยเฉพาะขยะเศษอาหาร ขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ของเสียอันตรายรวมถึงซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

มีการวางระบบการจัดการของเสียอันตรายจากชุมชนให้มีจุดทิ้งของเสียอันตราย (Drop-off)ิ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวบรวมนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง

ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบการคัดแยก รวบรวม และเก็บขนขยะมูลฝอย และมีศูนย์กลางการคัดแยกขยะรีไซเคิล

ให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอย

การแถลงข่าวสรุปสถานการณ์มลพิษประเทศไทยปี 2560 ในครั้งนี้ มี นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นประธานแถลงข่าว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2561 ณ ห้องประชุม 301 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

People unity news online : post 12 มกราคม 2561 เวลา 20.30 น.

เชิญเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติที่ทำเนียบรัฐบาล กิจกรรมเพียบ

People unity news online : ทำเนียบรัฐบาลเชิญชวนเด็กและเยาวชนร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติปี 2561 ภายใต้แนวคิด เด็กไทยก้าวไกล ด้วยเทคโนโลยี

วันนี้ (8 มกราคม 2561) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรี คณะผู้บริหาร คณะกรรมการจัดงานฯ ร่วมในพิธีเปิดงาน ด้วยการตัดริบบิ้นปล่อยป้ายผ้าแพร และการแสดงของนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีนำเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ และเด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความซื่อสัตย์หรือเด็กกตัญญู รวมถึงเด็กพิเศษหรือเด็กด้อยโอกาส จำนวน 20 คน ไปเยี่ยมชมห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีเพื่อถ่ายภาพหมู่ร่วม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะให้โอวาทและถ่ายภาพร่วมกับเด็กและเยาวชน ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) และร่วมรับชมการแสดงประเภทเต้น Classical Troupe การชมวิดีทัศน์นำเสนอผลงานเด็กไทยที่ได้รับรางวัล ฯลฯ และจะเดินเยี่ยมชมกิจกรรมรอบๆบริเวณภายในและบริเวณสนามด้านหน้าของตึกสันติไมตรี ซึ่งกระทรวงและหน่วยงานต่างๆได้จัดเตรียมไว้ให้เด็กและเยาวชนได้รับความรู้และความสนุกสนาน เป็นจำนวนมาก

วันเด็กปีนี้ นอกจากเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้นั่งถ่ายภาพที่โต๊ะทำงานของนายกรัฐมนตรีบนตึกไทยคู่ฟ้าเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมานั้น จะมีการเปิดตึกภักดีบดินทร์ (ตึกรับรอง/ประชุมหลังใหม่)  ให้เด็กและเยาวชนได้เข้าเยี่ยมชมเป็นครั้งแรกอีกด้วย

สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลนั้นมีความหลากหลาย อาทิ การจำลองห้องรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ให้เด็กและเยาวชนได้ทดลองอ่านข่าว การแสดงดนตรีของโรงเรียน music for Fun การแสดงระบำกรับ การแสดงเต้น Modern Troupe ของศิลปินไทยทีวีสีช่อง 3 มายากล และคณะตลกที่จะมาให้ความบันเทิง  ตลอดจนกิจกรรมซุ้มเกมเสริมสร้างความรู้ภายใต้แนวคิด “เด็กไทย โตไปไม่โกง” การร่วมสนุกกับศิลปิน AF และ The Voice กิจกรรมต่างๆของไปรษณีย์ เช่น เกมจับคู่ภาพ จับผิดภาพ ต่อจิ๊กซอว์ภาพแสตมป์น่ารู้  เกมส์ออนไลน์  เน็ตประชารัฐ เป็นต้นนอกจากนี้  จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ให้เด็กและเยาวชนได้มีการประกอบหุ่นยนต์ ออกแบบรถยนต์และพิมพ์  กิจกรรมหุ่นยนต์อัตโนมัติ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอย  พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง ระบบคลังข้อมูลดิจิทัล  เกมรามเกียรติ์  กิจกรรมชวนเล่น ชวนลอง สมองหุ่นยนต์  กิจกรรมเครื่องฝึกจำลองการเดินเรือแบบเคลื่อนย้ายได้

พร้อมกันนี้ จะมีการให้บริการตัดผมฟรี  ตรวจสุขภาพช่องปาก/ทันตบริการ การสอนปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตเบื้องต้น  กิจกรรมแป้งปั้นเสริมสร้างพัฒนาเด็ก กิจกรรมการเรียน การสอน เล่านิทาน วาดภาพ ระบายสี  กิจกรรมจิตอาสา เล่นเกมส์ ตอบคำถาม ตลอดจนการแจกของขวัญ ของรางวัล อาหาร ขนม และเครื่องดื่มจากหน่วยงานต่างๆด้วย

People unity news online : post 8 มกราคม 2561 เวลา 22.50 น.

Verified by ExactMetrics