วันที่ 23 พฤศจิกายน 2024

กองทุนพัฒนาสื่อฯร่วมหนุน ททท.ใช้โซเชียลมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยว

People unity news online : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หนุนเสริมภาคีเครือข่ายผู้ผลิตสื่อโซเชียลมีเดีย และสื่อมวลชน 20 จังหวัดภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในงานการประชุมแลกเปลี่ยนสร้างเครือข่าย “เสริมสร้างศักยภาพตลาดการท่องเที่ยวสมัยใหม่ (Modern Marketing) และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจการท่องเที่ยวผ่านโซเชียลมีเดีย โดยใช้โทรศัพท์มือถือ”

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รับเชิญเป็นวิทยากรให้ความรู้ความเข้าใจในหัวข้อ “ภารกิจขององค์กร กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” มีสื่อมวลชน เน็ตไอดอล ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ททท. ในภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ความสนใจและเข้าร่วมฟังจำนวนกว่า 150 คน ในงานการประชุมแลกเปลี่ยนสร้างเครือข่าย “เสริมสร้างศักยภาพตลาดการท่องเที่ยวสมัยใหม่ (Modern Marketing) และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจการท่องเที่ยวผ่านโซเชียลมีเดีย โดยใช้โทรศัพท์มือถือ” และการทำโซเชียลมีเดียเพื่อการประชาสัมพันธ์ โดยมี นายสมชาย ชมพูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ริเริ่มจัดกิจกรรม และได้รับเกียรติจาก นายชีพธรรม (ไตร) คำวิเศษณ์ เป็นผู้จัดหลักสูตรการอบรม ณ โรงแรม เดอะ พรรณราย จังหวัดอุดรธานี เมื่อเร็วๆนี้

People unity news online : post 27 พฤศจิกายน 2560 เวลา 23.20 น.

คลอดแล้ว!งบกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย-สร้างสรรค์ปี 61 เปิดรับขอทุนรอบแรก ม.ค.61

People unity news online : พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนงบประมาณประจำปี 2561 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

แผนงบประมาณประจำปี 2561 จำนวน 1,048,738,000 บาท ได้กำหนดกรอบการจัดสรรเพื่อการขับเคลื่อนการทำงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การสนับสนุนและการให้ทุนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกองทุน จำนวน 917,440,000 บาท ส่วนที่ 2 การดำเนินโครงการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ โดยสำนักงานกองทุน (ภายใต้แผนงาน/โครงการ ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กสทช. ในปี พ.ศ.2560 จำนวน 3 แผนงาน 7 โครงการ) จำนวน 26,500,000 บาท และส่วนที่ 3 การดำเนินงานตามภารกิจปกติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของกองทุน สร้างระบบและความเข้มแข็งขององค์กร (การสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สู่สังคม และการสนับสนุนดำเนินตามภารกิจปกติของกองทุน) จำนวน 104,798,000 บาท

พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า การสนับสนุนและการให้ทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 จะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนกองทุนฯทั้งสามด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมและสนับสนุนภาคีเครือข่ายในการผลิต พัฒนาและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและและสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างองค์ความรู้ให้ประชาชนใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ และยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาและส่งเสริมกลไกให้เกิดการรู้เท่าทัน และเฝ้าระวังสื่อไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ รวมจำนวน 885,000,000 บาท

ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 จำแนกการให้ทุนเป็น 2 ประเภทคือ แบบเปิดทั่วไป (Open Grant) และแบบให้ทุนสนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) โดยจะมีการเปิดให้ทุนจำนวน 2 รอบ รอบที่ 1 จะเปิดให้ทุนประมาณเดือนมกราคม 2561 ส่วนรอบที่ 2 จะเปิดให้ทุนประมาณเดือนมิถุนายน 2561

People unity news online : post 22 พฤศจิกายน 2560 เวลา 17.15 น.

“ศรีสะเกษ” ไปให้แรงบันดาลใจนักมวยนักเรียนจากจังหวัดชายแดนใต้

People unity news online : พล.ต.พงษ์ศักดิ์ มาอินทร์ ฝ่ายอำนวยการ รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) ได้นำนักเรียนกีฬามวย ซึ่งเป็นเยาวชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษา “โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้” ซึ่งเป็นนักเรียนในโครงการประเภทกีฬามวย 20 คน เข้าโครงการคลินิกมวยไทย-สากล หวังพัฒนาต่อยอดสู่ความเป็นเลิศทางด้านกีฬามวย เรียนรู้ทักษะชีวิต สร้างความรักความสามัคคี และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ระหว่างวันที่ 28 กันยายน-18 ตุลาคม 2560 ณ สนามฝึกซ้อมกีฬามวย กรมสวัสดิการทหารบก กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจากแชมป์โลก WBC ชื่อดังของโลก “ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น” มาให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้มุ่งมั่นพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นเลิศ พร้อมทั้งมอบผลไม้ให้แก่นักเรียนในโครงการ เมื่อวันที่14 ตุลาคม 2560 เวลา 14.00 น.

“ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น” กล่าวว่า จากการที่ได้มาพูดคุยกับนักเรียนในวันนี้ น้องๆมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และขยันฝึกซ้อมมากๆ เชื่อมั่นว่านักเรียนในโครงการจะเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ และขอเป็นกำลังใจให้กับน้องๆนักเรียนในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคนด้วย

ทั้งนี้ โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความสามารถด้านกีฬา ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพในโรงเรียนของรัฐ จำนวน 8 โรงเรียน มีนักเรียนในโครงการทั้งหมด 908 คน ใน 10 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล ฟุตซอล ตะกร้อ มวยไทย ปันจักสีลัต ฮอกกี้ กรีฑา เทควันโด และบาสเกตบอล

ทั้งนี้ นักเรียนสามารถเลือกเรียนในแผนการเรียนวิทย์-กีฬา หรือศิลป์-กีฬา โดยนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาจากรัฐบาลปีละ 40,000 บาท ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงปริญญาตรี และปีละ 55,000 บาท ในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา

People unity news online : post 16 ตุลาคม 2560 เวลา 10.50 น.

“ประวิตร” ควง “อดุลย์” ส่งมอบบ้านให้ประชาชนโครงการ “ปทุมธานีโมเดล”

People unity news online : พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พร้อมด้วย รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จำนวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ำท่วมอย่างยั่งยืน

วันนี้ (28 กันยายน 2560) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อทำพิธีส่งมอบบ้านให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” จำนวน 98 ครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนบุกรุกคลองและป้องกันน้ำท่วมอย่างยั่งยืน โดยมี นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายสมชาติ ภาระสุวรรณ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 300 คน ณ ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาประชาชนปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำลำน้ำสาธารณะในจังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะที่บริเวณคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีชาวบ้านปลูกบ้านเรือนรุกล้ำลำคลองและกีดขวางทางเดินน้ำมานานหลายสิบปี เป็นจำนวน 16 ชุมชน รวม 1,084 ครัวเรือน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่ริมคลอง โดยการจัดหาที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ชุมชนแก้วนิมิต (ชื่อเดิม) หรือชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคี เป็นชุมชนแรกที่ชาวชุมชนได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ด้วยการออมเงินร่วมกันเป็นรายเดือน เพื่อซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่ โดยชาวชุมชนได้ร่วมกับสถาปนิกชุมชน ร่วมกันออกแบบบ้าน และบริหารโครงการเอง จนขณะนี้ การก่อสร้างบ้านใหม่จำนวน 98 หลังคาเรือน เสร็จสมบูรณ์ ทำให้ชาวชุมชนมีบ้านใหม่ที่มั่นคง สวยงาม และมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งที่ดินใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่เดิมเพียง 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้การสนับสนุนชาวชุมชนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในระยะยาวต่อไป

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย พอช. ได้ดำเนินการสนับสนุนให้ชาวชุมชนรวมกลุ่มกัน เพื่อบริหารจัดการซื้อที่ดินและที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่ง พอช. ได้สนับสนุนงบประมาณการสร้างบ้านใหม่ แบ่งออกเป็น 1) งบพัฒนาระบบสาธารณูปโภค 5 ล้านบาท 2) งบอุดหนุนที่อยู่อาศัย 2.5 ล้านบาท 3) งบบริหารจัดการ 125,000 บาท และ 4) สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยรวม 32.4 ล้านบาทเศษ กำหนดระยะผ่อนชำระคืน 15 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี เมื่อผ่อนส่งหมด จะเป็นกรรมสิทธิ์ให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยต่อไป สำหรับแบบบ้าน มีทั้งสิ้น 3 แบบ คือ 1) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 56 ตารางเมตร 2) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 63 ตารางเมตร และ 3) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 77 ตารางเมตร โดยมีราคาก่อสร้างพร้อมที่ดิน ต่อหลังประมาณ 272,000 – 295,000 บาท กำหนดระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี ด้วนอัตราผ่อนส่งเดือนละ 2,500-3,000 บาท

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่ชาวชุมชนเข้าอยู่อาศัยในชุมชนใหม่แล้ว ทางจังหวัดปทุมธานี จะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ริมคลอง เพื่อไม่ให้กีดขวางทางระบายน้ำ รวมทั้งขุดลอกคลอง พร้อมกำจัดขยะและผักตบชวา เพื่อให้น้ำสามารถไหลได้สะดวก เป็นการป้องกันน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา จังหวัดปทุมธานี ได้จัดทำโครงการ “บ้านประชารัฐร่วมใจ เดินหน้าคืนคลองน้ำใสให้แผ่นดิน” โดยได้รื้อบ้านออกจากริมคลองหนึ่งไปแล้วกว่า 100 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 13 ชุมชน รวม 922 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะทยอยดำเนินการต่อไป สำหรับประชาชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนบุกรุกพื้นที่ริมคลองและยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ทางจังหวัดจะชี้แจงและเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงและถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการสร้างบ้านใหม่ที่ชุมชนบ้านประชารัฐไทยมุสลิมสามัคคีแล้ว กระทรวง พม. โดย พอช. ยังไห้การสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่บนที่ดินราชพัสดุเนื้อที่ 30 ไร่ บริเวณคลองเชียงรากใหญ่ (ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต) ซึ่งเดิมที่ดินแปลงนี้เป็นพื้นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินราชพัสดุ (กรมธนารักษ์ เป็นผู้ดูแล) เพื่อใช้สร้างที่อยู่อาศัยรองรับชาวบ้านที่ต้องรื้อย้ายออกจากพื้นที่ริมคลองหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างก่อสร้างเฟสแรก 1 อาคาร จำนวน 23 ครัวเรือน ในรูปแบบเป็นอาคารสูง 3 ชั้น รวมทั้งหมด 12 อาคาร สามารถรองรับชาวบ้านได้รวม 463 ครัวเรือน

People unity news online : post 28 กันยายน 2560 เวลา 20.30 น.

“ประวิตร” สั่งเหล่าทัพให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนน้ำท่วมภาคใต้-อีสานได้ทันที

People unity news online : 18 สิงหาคม 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้กำชับทุกเหล่าทัพ ให้ติดตามรายงานสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงที่มีฝนตกต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น จนอาจทำให้เกิดภาวะน้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ให้ประสานการทำงานร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ทันที

ขณะเดียวกัน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 4 จังหวัดที่ยังคงมีระดับน้ำเพิ่มสูง ได้แก่ ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำให้คงความต่อเนื่องในการสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป จนกว่าสถานการณ์น้ำในแต่ละพื้นที่จะคลี่คลาย

People unity news online : post 22 สิงหาคม 2560 เวลา 13.20 น.

เอาจริง!! “บิ๊กแดง”ส่งทหาร-ตำรวจลุยตรวจสอบ”รวมสลาก-รวมชุด”ที่ สนง.ใหญ่ สนามบินน้ำ

พลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์

People unity news online : สำนักงานสลาก ฯ ประสานกำลังทหาร-ตำรวจ เข้าตรวจสอบการจำหน่ายสลาก เตรียมตัดโควตา-ยกเลิกสัญญา 20 ราย

เมื่อวานนี้ วันหวยออก (1 สิงหาคม 2560) เวลาประมาณ 12.00 น. ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  พลตรีฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าดำเนินตรวจสอบการเบิกสลากของตัวแทนจำหน่าย ภายในบริเวณอาคารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนสนามบินน้ำ ตามนโยบายและข้อสั่งการของ พลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล

จากการตรวจสอบ พบผู้ที่มีพฤติกรรมรับซื้อรวบรวมสลากจากตัวแทนจำหน่าย จำนวนไม่น้อยกว่า 180 ราย คิดเป็นจำนวนสลาก 918 เล่ม ซึ่งสลากที่ตรวจพบในครั้งนี้ จะนำไปตรวจสอบว่าเป็นสลากของตัวแทนจำหน่ายรายใด เพื่อนำไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาทั้งหมดต่อไป

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กล่าวเตือนตัวแทนจำหน่ายว่า เมื่อได้รับสลากไปแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด  โดยจะต้องนำสลากไปจำหน่ายด้วยตนเองทุกงวดตลอดอายุสัญญา และต้องขายในลักษณะขายปลีกให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น ห้ามนำไปขายส่งหรือขายให้แก่ผู้ซื้อสลากเพื่อนำไปขายต่อเป็นอันขาด  หากตรวจสอบพบเช่นพฤติกรรมในวันนี้ จะถือว่าผิดสัญญาและถูกยกเลิกโควตา ไม่ได้รับสลากไปจำหน่ายตลอดชีพ นอกจากนี้ ผู้ขายจะต้องไม่นำสลากของตนไปรวมชุดกับผู้อื่น หรือนำสลากของตนไปขายให้แก่ผู้อื่นเพื่อรวมชุด หรือแลกเปลี่ยนสลากกับผู้อื่น หากพบพฤติกรรมดังกล่าว จะสันนิษฐานว่าไม่ได้ขายสลากด้วยตนเองและถือว่าผิดสัญญาเช่นกัน ทั้งนี้ รวมถึงผู้ที่ซื้อสลากจากโครงการซื้อ-จองล่วงหน้าด้วย หากตรวจสอบพบว่าเป็นสลากจากโครงการดังกล่าว ผู้ที่เป็นเจ้าของสลากจะถูกยกเลิกการลงทะเบียนในการทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าฯทันที

People unity news online : post 2 สิงหาคม 2560 เวลา 11.20 น.

2 กระทรวงจับมือสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านทางแอพ “คนไทยมีบ้าน : Home for All”

People unity news online : 16 พฤษภาคม 2560 กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมทั้งเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป หวังนำผลสำรวจไปจัดทำฐานข้อมูลในการวางแผนพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน พร้อมเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเพื่อเป็นการนำนโยบายมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยของประเทศ จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อใช้เป็นกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาวโดยบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 : Smart Housing” ซึ่งการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดยการเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำ “โครงการแอพพลิเคชั่นคนไทยมีบ้าน : Home for All” เพื่อสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ที่ App Store (ระบบปฏิบัติการ iOS) และ Play Store (ระบบปฏิบัติการ Android) เพื่อกรอกแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ท หรือกรอกแบบสำรวจผ่านระบบอินเตอร์เน็ทบนคอมพิวเตอร์ได้ที่เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ www.reic.or.th ขณะเดียวกัน การเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งมีพันธกิจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย จะนำผลสำรวจที่ได้ไปจัดทำเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนในการพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่ม มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไป

ด้าน นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานดำเนินการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรมจากประชาชนทั่วประเทศผ่านแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่น และความพยายามของรัฐบาลในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนทุกกลุ่มในสังคมอย่างเท่าเทียม โดย ธอส.เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นรวมทั้งดำเนินการด้านเทคนิคเพื่อให้สามารถใช้แอพพลิเคชั่นสำรวจและจัดเก็บข้อมูล จากนั้นศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะสรุปภาพรวมรายงานต่อกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นรายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมนำมาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับข้อมูลด้านอุปทานที่มีอยู่ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนำผลเข้าเสนอต่อคณะกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และนำไปจัดทำเป็นข้อเสนอในการจัดหาอุปทานที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาตามแนวทางประชารัฐได้อย่างสมบูรณ์อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า เมื่อประชาชนดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” แล้วจะสามารถเข้าไปตอบแบบสำรวจผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ทได้ทันที ซึ่งผู้ที่ตอบแบบสำรวจจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อ วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ ช่วงเวลา(ปี)ที่ต้องการมีบ้าน รวมถึงทำเลที่อยู่อาศัยที่ต้องการ และเมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนจะได้รับรหัส หรือ QR Code สำหรับนำมาติดต่อกับธนาคารเพื่อขอรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสม สิทธิพิเศษเพื่อการมีบ้านในอนาคต หรือคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ธอส. ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนทางการเงินและพัฒนานวัตกรรมด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดและกรอกแบบสำรวจในแอพพลิเคชั่น “คนไทยมีบ้าน : Home for All” รวมถึงที่เว็บไซต์  www.ghbank.co.th และ www.reic.or.th ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

People unity news online : post 16 พฤษภาคม 2560 เวลา 21.23 น.

อากาศร้อน คนแห่กันไป! รัฐบาลสั่ง สคบ. กวดขัน “สวนน้ำ-สวนสนุก” ให้ปลอดภัย

People unity news online : วันนี้ (26 เมษายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 4/2560 ซึ่งผลการประชุมที่สำคัญมีดังนี้

1.ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการจัดกิจกรรม “สวนน้ำปลอดภัย สวนสนุกน่าเล่น” ที่สวนสยาม กรุงเทพฯ โดยได้เน้นให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคตั้งแต่ขั้นตอนการปฏิบัติงานสวนน้ำ โดยมีการตรวจสอบรายการและอุปกรณ์เครื่องเล่นสวนน้ำให้มีความสะอาดและปลอดภัยได้มาตรฐาน หากมีปัญหาในเครื่องเล่นหรืออุปกรณ์ต้องดำเนินการแก้ไขโดยทันที พร้อมติดตามการซ่อมจากทีมช่างอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีการกำกับดูแลขั้นตอนการปฏิบัติงานขณะเปิดบริการให้ผู้บริโภคหรือประชาชน โดยมีการเฝ้าระวังความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดและมีคู่มือการปฏิบัติงานในแต่ละจุดบริการอย่างเป็นระบบ หากมีอุบัติเหตุหรือปัญหาใดๆเกิดขึ้นต้องให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนด้วยความรวดเร็ว ตลอดจนมีขั้นตอนปฏิบัติชัดเจนให้ผู้บริโภคหรือประชาชนทราบกำหนดเวลาปิดให้บริการเพื่อจะได้จัดสรรเวลาในการเล่นเครื่องเล่นต่างๆได้เป็นอย่างดี จากนั้นควรมีการประชุมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหลังเสร็จสิ้น การให้บริการในแต่ละวัน เพื่อสรุปผลการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรให้เจ้าหน้าที่ทุกจุดเครื่องเล่นตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องเล่นให้มีความปลอดภัย พร้อมที่จะให้บริการในวันถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการจัดกิจกรรม “งานรณรงค์ร่วมใจ เลิกใช้โฟมบรรจุอาหาร” เพื่อเป็นการส่งเสริมและให้ความรู้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการให้มีการเลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และย่อยสลายง่าย โดยควรเป็นภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากชานอ้อย ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง เพราะว่าภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากโฟมที่ใช้กันแพร่หลายมีส่วนผสมของสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในศูนย์อาหารดังกล่าวมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้นและยินดีให้ความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยนายออมสินได้กำชับให้ สคบ. ดำเนินการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่องโดยเน้นไปที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งมีศูนย์อาหารและร้านอาหารจำนวนมากในห้างสรรพสินค้า ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

3.ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจที่ส่งผลกระทบกับผู้บริโภคโดยได้ดำเนินการธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่จัดทำเอกสารหรือข้อตกลงกับผู้บริโภค ดังนี้

– ด้านสังหาริมทรัพย์ให้ดำเนินคดีเเพ่งกับบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท เสฎฐวุฒิบ้านและคอนโด จำกัด รวมทั้งสิ้น 2 คดี

– ด้านสินค้าและบริการให้ดำเนินคดีแพ่งกับบริษัท สยามนิสสัน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท บีแอนด์บีคลิ่งนิ่งโฮม จำกัด พล.ต.ต.นายแพทย์ พิชิต อดิโรจนานนท์ ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล เมโทรคลินิก เวชกรรมเฉพาะทาง บริษัท อินเตอร์โฟลต์ จำกัด นายโอภาส เจริญวิทย์ ผู้ประกอบธุรกิจบอนค้าคลินิกเวชกรรม บริษัท เฟซแอนด์บอดี้ (เชียงใหม่) จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอทีแอร์ทิคเก็ต รวมทั้งนางสาว รักชนก บุญธิติกุล และนางสาวเยาวลักษณ์ ราชชมพู ตามลำดับรวมทั้งสิ้น 8 คดี

People unity news online : post 26 เมษายน 2560 เวลา 16.00 น.

รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ออกข้อห้าม 9 ข้อในช่วงวันสงกรานต์

People unity news online : 8 เมษายน 2560 โฆษกรัฐบาลออกมาปฏิเสธข่าวสำนักนายกรัฐมนตรีออกข้อห้าม 9 ข้อที่ห้ามเด็ดขาดในวันสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 5-18 เม.ย.นี้ ชี้มีคนบางกลุ่มพยายามลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีสื่อออนไลน์นำเสนอข่าวว่า สำนักนายกรัฐมนตรีแจ้ง 9 ข้อห้ามที่ห้ามเด็ดขาดในวันสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 5-18 เม.ย.นี้ เช่น ห้ามแต่งกายโป๊รัดรูป เน้นการแต่งกายด้วยผ้าไทย ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงาน ห้ามเล่นน้ำที่มีสิ่งเจือปน ห้ามใช้ปืนฉีดน้ำที่มีแรงดันสูง ฯลฯ โดยหากฝ่าฝืนจะมีโทษหนัก

“สำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้ออกระเบียบดังกล่าวแต่อย่างใด โดยหากพิจารณารายละเอียดเป็นข้อๆ แล้วจะพบว่า แต่ละข้อเป็นแนวทางที่คณะรัฐมนตรีเคยขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนให้ร่วมกันรักษาประเพณีไทยด้วยการเล่นน้ำสงกรานต์ตามวิถีไทย เพื่อส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวในปีก่อนๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลด้วยการผนวกเรื่องการห้ามนั่งท้ายรถกระบะและการเล่นน้ำบนถนนหรือสาดน้ำข้างทางเข้าไปด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการเข้มงวดซ้ำเติมประชาชน พร้อมกับมีบทลงโทษหนัก เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ความเป็นจริงถือเป็นเจตนาดี แต่กลับถูกมองเป็นเจตนาร้าย”

อย่างไรก็ตาม อยากให้พี่น้องประชาชนเลือกนำข้อแนะนำที่ดีไปปฏิบัติ เพื่อรักษาคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีที่งดงามของไทย ให้คนในชาติเกิดความภาคภูมิใจและเป็นที่ชื่นชมของนักท่องเที่ยว รวมทั้งขอความร่วมมือไม่แชร์หรือส่งต่อข่าวที่บิดเบือน ซึ่งอาจเป็นชนวนของความขัดแย้งระหว่างผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยขอให้ช่วยกันนำข้อเท็จจริงไปอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม

People unity news online : post 8 เมษายน 2560 เวลา 22.03 น.

รู้ยัง! ตั้งแต่ 1 เม.ย.เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้า รพ.รัฐ-เอกชน 72 ชม.แรกไม่เสียเงิน

People unity news online :  เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (1 เมษายน 2560) เป็นวันแรกที่โครงการเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉิน มีสิทธิทุกที่ หรือ ยูเซป เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่ต้องจ่ายเงินใน 72 ชม.แรก หลังจากที่ ครม.ได้อนุมัติหลักการเรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการส่งผู้ป่วยฉุกเฉินไปแล้ว และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกประกาศ 3 ฉบับให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องปฏิบัติตาม

“ท่านนายกฯ ให้ความสำคัญกับโครงการนี้อย่างมาก เพราะเป็นสิทธิพึงมีพึงได้ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนต้องได้รับจากรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเน้นย้ำให้โรงพยาบาลทุกแห่งศึกษาข้อมูลตามประกาศที่ สธ.กำหนด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งระบุด้วยว่า รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์ แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจริง ก็จะต้องดูแลช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่”

สำหรับกลุ่มอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่ใช้สิทธิยูเซปได้มี 6 กลุ่ม คือ 1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2.หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 3.ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม 4.เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง 5.แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด 6.มีอาการอื่นร่วมที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยหากติดต่อรับส่งผู้ป่วยผ่าน 1669 จะช่วยให้เกิดการคัดกรองที่ถูกต้องแต่แรก

ทั้งนี้ เมื่อโรงพยาบาลแต่ละแห่งรับตัวผู้ป่วยฉุกเฉินแล้วจะต้องดูแลรักษา เพื่อให้พ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและขีดความสามารถของตน โดยไม่มีเงื่อนไขการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลในระยะ 72 ชม. แต่ให้เรียกเก็บจากกรมธรรม์ประกันภัย หรือกองทุนที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมาย เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ตามบัญชีและค่าอัตราค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐกำหนด เช่น ค่าห้องผ่าตัดใหญ่ ชม.ละ 2,400 บาท ค่าอัตราซาวด์ครั้งละ 1,150 บาท ค่า MRI สมองครั้งละ 8,000 บาท ค่าลิ้นหัวใจเทียมอันละ 29,000 บาท ค่าสายยางและปอดเทียมชุดละ 80,000 บาท เป็นต้น

ส่วนการรักษาพยาบาลหลัง 72 ชม.นั้น ให้โรงพยาบาลที่รับตัวผู้ป่วยฉุกเฉินส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยมีสิทธิรับการรักษาอยู่ ซึ่งจะเข้าสู่ระบบปกติ แต่หากผู้ป่วยประสงค์จะรักษาต่อในโรงพยาบาลแห่งนั้นก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ทั้งนี้ ประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ประสานงานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โทร 0 2872 1669 หรือสายด่วน สปสช.1330

People unity news online : post 3 เมษายน 2560 เวลา 11.03 น.

Verified by ExactMetrics