วันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

ชาวอุดรร่วมใจเตรียมเป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก

People Unity News : 19 มิถุนายน 2565 นายกฯ ปลื้มชาวอุดรทุกฝ่าย ร่วมใจเตรียมเป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก รมต.เฉลิมชัย ลงตรวจพื้นที่ ยืนยันรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลก ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569-14 มีนาคม 2570 (134 วัน) ที่ ต.กุดสระ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งรัฐบาลได้เห็นชอบในการสนับสนุนงบประมาณในขั้นต้น 2,500 ล้านบาท มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับภาคส่วนต่างๆใน จ.อุดรธานี ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ประธานสภาหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด และทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทราบถึงความตื่นตัวและความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย เพราะประชาชนทราบดีว่างานนี้เป็นการสร้างชื่อเสียงและนำเสนออัตลักษณ์ของจังหวัด อีกทั้งจะสร้างเงินสะพัดในช่วงระหว่างการจัดงานที่อาจมากถึง 32,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้เข้าชมงานที่จะมากถึง 3.6 ล้านคน เป็นชาวไทยร้อยละ 70 และชาวต่างชาติร้อยละ 30 และเกิดการจ้างงานประมาณ 81,000 อัตรา

นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำและการลำเลียงน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง-หนองสำโรง-หนองแด และการปรับพื้นที่ให้มีพื้นที่ราบเพิ่มขึ้น ในส่วนของจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่างๆ ได้ร่วมมือกันวางแผนการเป็นเจ้าภาพ สร้างความเข้าใจโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เมื่อจบสิ้นการจัดงาน ทางจังหวัดมีแผนจะอนุรักษ์พื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ต่อเนื่องเป็นศูนย์จัดแสดงนิทรรศการ ประเพณีวัฒนธรรม และศูนย์กลางกีฬานานาชาติ ของกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขงและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน

“นายกรัฐมนตรี ดีใจที่ได้รับทราบว่าทุกภาคส่วนมีความยินดีและตื่นตัวกับการที่ จ.อุดรจะได้เป็นเจ้าภาพงานพืชสวนโลก จับมือกันสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย และนายกฯยังได้ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้งานนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และเป็นที่ประทับใจของแขกผู้มาเยือน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างรายได้แก่ชาวบ้านในจังหวัดและจังหวัดข้างเคียง ” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

ครม. อนุมัติ 3.5 พันล้าน จ้างงานบัณฑิตจบใหม่ – ปชช. 7,435 ตำบล เริ่ม ก.ค. – ก.ย. 65

People Unity News : 16 มิ.ย. 65 ที่ประชุม ครม. เมื่อ 14 มิ.ย. 65 เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และ นวัตกรรม (อว.) ดำเนิน “โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ  BCG (U2T for BCG and Regional Development) ใน 7,435 ตำบล ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,566.28 ล้านบาท โดยเกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไปและบัณฑิตจบใหม่ จำนวนไม่น้อยกว่า 68,350 คน  เศรษฐกิจในพื้นที่หมุนเวียนระหว่างดำเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600ล้านบาท/เดือน โดยจะนำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ อว. ไปขับเคลื่อนภาคการผลิตและบริการในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรักษาระดับการจ้างงาน

โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ  BCG (U2T for BCG and Regional Development) มีวัตถุประสงค์ คือ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG ในพื้นที่ ด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มการจ้างงานบัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษาและประชาชนในพื้นที่พัฒนากำลังคนให้มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อทักษะการทำงานในปัจจุบันและที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG รวมทั้ง พัฒนาฐานข้อมูลชุมชนขนาดใหญ่  (Thailand Community Big Data :TCD)  ให้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมในพื้นที่ของประเทศ

กลุ่มเป้าหมาย คือ บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง/ประชาชนในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษาภาคประชาชนภาคสังคมและภาคส่วนต่างๆ โดยมีการจัดกิจกรรมไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ในพื้นที่ 7,435 ตำบล ทั่วประเทศ 77 จังหวัด  เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตและบริการ เพื่อเพิ่มคุณภาพ และลดต้นทุน การจัดการตลาด การจับคู่ธุรกิจ การพัฒนาบรรจุการขนส่งและการกระจายสินค้าและบริการ เป็นต้น  โดยสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ (ตำบล) ทำหน้าที่เป็นผู้บูรณาการ ระบบ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน

การจ้างงาน  – พื้นที่ 3,000 ตำบล ต่อยอดจากโครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย  จำนวน 8 คน/ตำบล ประกอบด้วยบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษามาไม่เกิน 5 ปีจำนวน  4 คน/ตำบล และผู้ที่ถูกเลิกจ้างและประชาชนในพื้นที่จำนวน 4 คน/ตำบล

-พื้นที่ 4,435 ตำบลใหม่ จำนวน 10 คน/ตำบล ประกอบด้วยบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาไม่เกิน 5 ปี  5 คน/ตำบล และผู้ที่ถูกเลิกจ้างประชาชนในพื้นที่ 5 คน/ตำบล

ทั้งนี้ มีระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. 65

ประโยชน์ที่จะคาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการ คือ เกิดกิจกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ด้วยยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG ไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10  ในผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชนไม่น้อยกว่า 4,500 รายการ เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป และบัณฑิตจบใหม่จำนวนไม่น้อยกว่า 68,350  คน เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระหว่างการดำเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน  มีการ Upskill/Reskill พัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นและทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG  รวมทั้งการใช้สามารถจัดทำและใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวิเคราะห์การจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่ครบทุกพื้นที่

Advertisement

สำนักงานสลากฯ ชี้แจงวิธีการขึ้นเงินรางวัล ‘สลากดิจิทัล’

People Unity News : วันนี้ (วันที่ 3 มิถุนายน 2565) พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า กรณีถูกรางวัล ระบบจะแจ้งเตือนไปที่แอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายในเวลา 18.00 น. ของวันที่ออกรางวัล โดยให้เลือกรับรางวัลได้ 2 ช่องทางคือ เลือกรับโดยการโอนเงิน ซึ่งจะโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยที่ผูกไว้กับแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งในอนาคตจะปรับเปลี่ยนให้สามารถผูกบัญชีธนาคารอื่นๆได้ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ วิธีนี้จะเสียค่าธรรมเนียม 1% และ ค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ส่วนวิธีที่สอง สามารถเลือกมารับเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ โดยต้องกำหนด วัน เวลา ที่ต้องการเข้ามารับเงินรางวัลเพื่อที่สำนักงานสลากฯ จะจัดเตรียมสลากแบบใบตัวจริง เพื่อส่งคืนให้กับผู้ซื้อ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขึ้นเงินรางวัล วิธีนี้จะเสียเฉพาะค่าภาษีอากรแสตมป์ 0.5% ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกำหนดค่าธรรมเนียม และค่าอากรแสตมป์ดำเนินการเช่นเดียวกับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลาก หรือธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารกรุงไทย

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า กรณีที่ถูกรางวัลสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มฯ จะต้องแจ้งในระบบว่า จะเลือกรับเงินรางวัลผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งภายใน 15 วัน หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะต้องมาขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากภายใน 2 ปี โดยสลากที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม หรือดิจิทัล ที่ซื้อไว้จะแสดงอยู่ในประวัติข้อมูลการซื้อ 1 ปี ทั้งนี้ หากเลือกรับเงินรางวัลผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีที่ผูกไว้ จะได้รับเงินโอนหลังจากที่แจ้ง ภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ซึ่งยืนยันว่าจากที่ทดสอบระบบ การโอนเงินรางวัลไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขอให้ผู้ซื้อสลากทุกคนไม่ต้องกังวล

พันโท หนุน ศันสนาคม กล่าวว่า การจำหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มหรือสลากดิจิทัลนั้น สลากทุกใบเป็นของตัวแทนจำหน่ายรายย่อย สำนักงานสลากฯ เป็นแต่เพียงสนับสนุน จัดหาช่องทางการจำหน่ายในราคา 80 บาท ที่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและส่งเสริมตัวแทนรายย่อยผู้ขาย ให้สามารถวางขายในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีผู้เข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องเสียค่าใช้ในการเร่ขาย ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการมอมเมา เพราะปัจจุบันประชาชนที่ซื้อสลากตามแผงจำหน่ายก็สามารถซื้อได้แบบไม่จำกัดจำนวนอยู่แล้ว และขอย้ำว่า สลากทุกใบเป็นของพ่อแม่พี่น้องตัวแทนรายย่อย ดังนั้น การจำหน่ายสลากดิจิทัล นอกจากประชาชนผู้ซื้อจะสามารถซื้อสลากได้ในราคาที่กำหนด คือ 80 บาทแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมรายได้ให้กับพ่อแม่พี่น้องที่เป็นตัวแทนรายย่อยอีกด้วย

Advertisement

ประยุทธ์ หารือ JBIC ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

People Unity News : 20 พฤษภาคม 2565 นายกฯ หารือ JBIC ติดตามความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และความร่วมมือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย

นายทาดาชิ มาเอดะ ผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Governor of Japan’s Bank of International Cooperation: JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทย โดยการพบหารือกันครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2562 ซึ่งไทยและญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีความร่วมมือที่ใกล้ชิด และนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในไทย

ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยง 3 สนามบินในพื้นที่ EEC โดยนายกฯ ขอบคุณ JBIC ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการฯ โดยไทยให้ความสำคัญกับหลักการ 5 ข้อ สำหรับการดำเนินการตามมาตรฐานโลก ได้แก่ ความโปร่งใส ความยั่งยืน ความครอบคลุม ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และการใช้บังคับกฎหมาย

โดย JBIC ยินดีสนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการผลิตตู้รถไฟและระบบอาณัติสัญญาณที่ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญ พร้อมชื่นชมบทบาทของไทยในการส่งเสริมและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

Advertisement

กรมศุลกากร หาทางช่วยประชาชน ดึงราคา Car Seat เตรียมเสนอ ครม. ลดอากรขาเข้า

People Unity News : 14 พฤษภาคม 2565 นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 กำหนดให้ผู้โดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ และผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย ทำให้ประชาชนให้ความสนใจในภาษีอากรขาเข้าที่อาจส่งผลต่อราคาของสินค้าดังกล่าว

กรมศุลกากร ขอชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car Seat) จัดเป็นของในประเภทพิกัด 9401.80.00 โดยมีอัตราอากรขาเข้า อยู่ที่ร้อยละ 20 แต่หากนำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ประเทศไทยมีอยู่ก็จะสามารถใช้สิทธิพิเศษยกเว้นอากรขาเข้าได้สำหรับทุกความตกลง อย่างไรก็ตาม การลดอัตราอากรขาเข้าเป็นการทั่วไปให้ต่ำกว่าร้อยละ 20 นั้น เป็นเรื่องนโยบายซึ่งกรมศุลกากรอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เพื่อนำเสนอต่อกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อให้อัตราอากรของที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศต่อไป

Advertisement

จัดกิจกรรม “Unfolding Bangkok” ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย – ต่างชาติ เริ่ม มิ.ย. 65 – ม.ค. 66

People Unity News : 12 พฤษภาคม 2565 เตรียมพบ 4 กิจกรรม “Unfolding Bangkok” ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย – ต่างชาติตามนโยบายเปิดประเทศ เริ่ม มิ.ย. 65 – ม.ค. 66

รัฐบาลนำร่องกรุงเทพฯ จัดกิจกรรมนำสนอประเทศไทยและวัฒนธรรมไทยในมิติที่แตกต่าง เพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวตามนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 65 เป็นต้นมา หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วย 4 กิจกรรม ภายใต้โครงการ Unfolding Bangkok เน้นเล่าประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยว

คาดว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยได้วันละ 20,000 คน รวมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และกลุ่มผู้สูงอายุกำลังซื้อสูงที่มองหากิจกรรมเชิงวัฒนธรรม

Advertisement

ช่วยผู้ปกครอง พาณิชย์จับมือ 7 แบรนด์ 10 ห้าง ลดราคาอุปกรณ์การเรียน-ชุดนักเรียน 65% วันนี้-30 มิ.ย.

People Unity News : 10 พฤษภาคม 65 กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot 17 Back to School ” รับเปิดเทอม เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองช่วงเปิดภาคเรียน สำหรับสินค้าที่นำมาลดราคามี 7 หมวด มากกว่า 5,000 รายการลดราคาสูงสุด 65% จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่น 10 ห้างทุกสาขาทั่วประเทศ โดยหมวดสินค้าที่เข้าร่วมโครงการมีดังนี้

1.ชุดนักเรียน 3,345 รายการ ลดสูงสุด 50%

2.รองเท้าถุงเท้า 185 รายการ ลดสูงสุด 34%

3.กระเป๋านักเรียน 61 รายการ ลดสูงสุด 65%

4.ตำราเรียนและหนังสือเรียน 523 รายการ ลดสูงสุด 30%

5.เครื่องเขียน 59 รายการ ลดสูงสุด 50%

6.สื่อการเรียนการสอน 187 รายการ ลดสูงสุด 20%

7.สินค้าอื่นๆ เช่น กระติกน้ำ กล่องข้าว โต๊ะนักเรียน 732 รายการ ลดสูงสุด 65%

7 ยี่ห้อที่นำสินค้ามาลดราคา ประกอบด้วย 1.ตราศึกษาภัณฑ์ 2.น้อมจิตต์ 3.สมใจนึก 4.ตราสมอ 5.บาจา 6.พีเอส จูเนียร์ และ 7.ยี่ห้อนันยาง

10 ห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่น ประกอบด้วย ห้างบิ๊กซี/ แม็คโคร/ โลตัส/ The Mall/ เซ็นทรัล/ โรบินสัน/ B2S/ Office Mate/ Power Buy และ Supersports

ผู้ปกครองที่สนใจ สามารถเลือกซื้ออุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนให้บุตรหลานได้ตั้งแต่บัดนี้ – 30 มิ.ย. 65 ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการทุกสาขาทั่วประเทศ

Advertisement

เช็กเลยจ่ายอะไรได้บ้าง? บัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่เดือน พ.ค.65

People Unity News : 29 เมษายน 65 นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 ที่ช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จำนวนไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2565) ได้สิ้นสุดแล้ว กรมบัญชีกลางจึงขอชี้แจงเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ดังนี้

ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป)

– วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน

– ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย. 65)

– ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย

     ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน

     ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน

     ค่าโดยสารรถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) และ ขสมก. 500 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล)

ทุกวันที่ 15 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)

– เงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 50/100 บาทต่อเดือน (ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิตั้งแต่ ต.ค. 64 – ก.ค. 65 จะได้รับเงินเข้าบัตรฯ ในเดือน เม.ย. – ก.ย. 65)

ทุกวันที่ 18 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)

– เงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน)

– เงินคืนค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)

ทุกวันที่ 22 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)

– เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ)

“ผู้มีสิทธิสามารถติดตามข่าวสารของกรมบัญชีกลางได้จากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลาง เช่น Facebook Youtube Instagram Twitter และ CGD Application หรือโทรศัพท์สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 0 2109 2345 และ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว

Advertisement

“ประยุทธ์” ยินดีมูลค่าส่งออกไทยสูงสุดรอบ 30 ปี ผลจากผลักดัน Soft Power-ส่งออกผลไม้-การค้าชายแดน

People Unity News : 28 เมษายน 65 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจตัวเลขการส่งออกของประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการนำนโยบายของรัฐบาล ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นคือ การส่งเสริมและผลักดัน Soft Power ของรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งรัดการส่งออกสินค้าใน 4 หมวดสำคัญ ได้แก่ อาหาร ดิจิทัลคอนเทนต์ สุขภาพความงาม และสินค้าอัตลักษณ์ไทย การจัดทำมาตรการเชิงรุกผลักดันการส่งออกผลไม้ การผลักดันการค้าชายแดน ซึ่งมีคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอาเซียน ที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.2565 มีมูลค่า 28,859.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.5% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 คิดเป็นเงินบาท มีมูลค่า 922,313 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออกตั้งแต่ปี 2534 การนำเข้ามีมูลค่า 27,400.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 887,353.2 ล้านบาท เกินดุลการค้า 1,459.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 34,960.1 ล้านบาท

สำหรับตลาดและการลงทุนในประเทศ เดือน มี.ค. 2565 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 53 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 36 ราย มีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,838 ล้านบาท ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมี.ค.2565 พบว่า มีการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 10 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด ลงทุนที่กรุงเทพฯ 29 ราย คิดเป็น 55% และที่อื่นๆ 14 ราย คิดเป็น 26% มีเงินลงทุน 6,323 ล้านบาท คิดเป็น 58% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยประเทศที่ลงทุนสูงสุด จีน 3 ราย ลงทุน 3,189 ล้านบาท ญี่ปุ่น 2 ราย ลงทุน 630 ล้านบาท และสหรัฐฯ 1 ราย ลงทุน 637 ล้านบาท ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ

“ถือเป็นสัญญานที่ดีสำหรับประเทศไทยทั้งการส่งออก และการลงทุนภายในประเทศ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพของประเทศเรา ยืนยันรัฐบาลมุ่งสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก พร้อมมุ่งมั่นช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ส่งออก นักลงทุน ให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก โดยตอบสนองนโยบายของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

Advertisement

“สุพัฒนพงษ์” เยือนญี่ปุ่นครั้งแรกนับจากโควิดระบาด ดึงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์-เทคโนโลยีขั้นสูง

People Unity News : 20 เมษายน 2565 บีโอไอ เผยรองนายกรัฐมนตรี นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมพบหารือกับบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สานความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ย้ำไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19 – 23 เมษายน 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทยเดินทางไปชักจูงการลงทุน ณ กรุงโตเกียว และ จังหวัดคานากาวะ ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19

“สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 ของโลกเริ่มคลี่คลาย ทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยเริ่มเปิดประเทศ และสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ในช่วงเวลานี้การลงทุนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ บีโอไอจึงต้องเร่งจัดกิจกรรมชักจูงลงทุน ประชาสัมพันธ์มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” นางสาวดวงใจกล่าว

วัตถุประสงค์ของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพื่อสานต่อข้อริเริ่มการเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co – creation) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น และนำไปสู่การลงทุนในอนาคต ภายใต้ข้อริเริ่ม “Asia – Japan Investing for the Future Initiative” หรือ AJIF ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

สำหรับการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี และคณะฯ มีกำหนดการเข้าพบ นายฮิโรคาสึ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น รวมทั้งหารือกับ นายฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น สมาพันธ์สมาคมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (KEIDANREN) รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์  เพื่อนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ไทยให้ความสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG การท่องเที่ยวและบริการ

นางสาวดวงใจกล่าวว่ารัฐบาลไทยได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกนักลงทุนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า มาตรการด้านภาษี และการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวข้องกับยานพาหนะไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จยานพาหนะไฟฟ้า และการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น

มาตรการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ จะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะด้วย ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทญี่ปุ่นทั้งในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการเชิญชวนให้นักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยกำหนดวีซ่าประเภทพิเศษคือวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว (Long – Term Resident Visa: LTR) ซึ่งมีอายุถึง 10 ปี และญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายสำหรับวีซ่าประเภทใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคลากรทักษะสูง

Advertisement

Verified by ExactMetrics