วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024

“บิ๊กตู่” ออกสารเบรกนโยบายหาเสียงพรรคการเมืองที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก

People unity : นายกรัฐมนตรี ย้ำมาตรการต่างๆของพรรคการเมือง ขอให้คำนึงถึงหลักคุณธรรม และระเบียบกฎหมายงบประมาณ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกสาร ลงวันที่ 15 มีนาคม 2562 ถึง การหาเสียงของทุกพรรคการเมือง กรณีการชูนโยบายว่า จะดำเนินการเรื่องใดๆ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณรัฐจำนวนมาก บางเรื่องก็อาจกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ เอกชน รวมถึงภาครัฐ เช่น ด้านการศึกษา สวัสดิการ การขึ้นค่าแรง ฯลฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกรัฐบาลจะต้องดำเนินการภายใต้ระเบียบ วิธีการ กฎหมายด้านงบประมาณ การเงิน การคลัง และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับรายได้ และสัดส่วนงบประมาณโดยรวมของรัฐ  มีทางเดียวที่จะทำได้ตามที่หลายพรรคการเมืองหาเสียงกันไว้คือ รัฐต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการจัดเก็บภาษีทั้งทางตรง ทางอ้อม กำไรและรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยให้มากขึ้น และหากงบประมาณไม่เพียงพอก็ต้องกู้เงินซึ่งจะต้องคำนึงถึงหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นด้วย  การขึ้นค่าแรงก็ต้องไม่กระทบต่อการลงทุน การย้ายฐานการผลิต การลงทุน ในขณะที่เรากำลังเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ เพิ่มงานเพิ่มอาชีพ และเพิ่มการดูแลสวัสดิการให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย

หากเรายังหารายได้ให้รัฐมากขึ้นไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถทำตามนโยบายที่หลายพรรคการเมืองหาเสียงไว้ได้ ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่านายกรัฐมนตรี และรัฐบาลจะเป็นใครพรรคใด จะต้องมีธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน อันได้แก่หลักคุณธรรม ความโปร่งใส ความมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ ความคุ้มค่า เราควรต้องได้นายกรัฐมนตรีแบบนี้ที่มีธรรมาภิบาล บริหาร ราชการอยู่ในกฎ ระเบียบ กติกา กฎหมาย การจะดำเนินโครงการ และงบประมาณ จะต้องชี้แจง ได้ว่าเราจะหางบประมาณมาจากไหน อยู่ในวินัยการเงินการคลังหรือไม่  รัฐบาลจะต้องดูแล ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ

“บิ๊กตู่” ออกสารเบรกนโยบายหาเสียงพรรคการเมืองที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก

People unity : post 15 มีนาคม 2562 เวลา 14.40 น.

ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯแจง พ.ร.บ.ไซเบอร์ไม่คุกคามสิทธิประชาชน

People unity : 1 มีนาคม 2562 : นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ลงมติในวาระที่ 3 เห็นสมควรประกาศใช้ร่าง “พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ….” และร่าง “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ….” เป็นกฎหมาย ขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการเตรียมนำทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ความสำคัญของกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว จะช่วยสร้างความพร้อมให้กับประเทศไทยในการรับมือความเสี่ยงและภัยคุกคามทางไซเบอร์ยุคใหม่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลที่อาจส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศและเศรษฐกิจโดยรวม ตลอดจนถึงการคุ้มครองข้อมูลประชาชนทั่วไป อีกทั้งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีดิทัลหนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีเข้มแข็งและยั่งยืน

โดยหลักการสำคัญที่ต้องมี พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพราะปัจจุบันการให้บริการสำคัญต่างๆใช้ระบบดิจิทัล ซึ่งมีความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น ไวรัส มัลแวร์ การโจมตีระบบจากอาชญากรคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชน หรือความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ดังนั้น เพื่อให้สามารถป้องกันหรือรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที กฎหมายนี้จึงมีการกําหนดหน่วยโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII ) ทั้งหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานเอกชน ตลอดจนกําหนดให้มีมาตรฐานและแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ ได้กำหนดไว้ 7 ด้าน ได้แก่ ด้านบริการของรัฐที่สำคัญ เช่น ระบบการเบิกจ่ายเงินของกรมบัญชีกลาง เป็นต้น ด้านการเงิน ด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ด้านความมั่นคง ด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และด้านสารธารณสุข ทั้งนี้สามารถเพิ่มด้านอื่นๆได้อีกในอนาคต

“กฎหมายนี้จึงมิได้ส่งผลกระทบและมิได้ไปคุกคามสิทธิต่อประชาชนโดยทั่วไปแต่อย่างใด แต่จะสามารถป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที เพราะปัจจุบันเกิดปัญหาการโจมตีทางไซเบอร์อยู่เสมอ ซึ่งกฎหมายได้ระบุประเภทภัยคุกคามทางไซเบอร์ไว้ 3 ระดับ (1) ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับไม่ร้ายแรง (2) ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับร้ายแรง และ (3) ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับวิกฤติ”

โดยภัยคุกคามในระดับไม่ร้ายแรง หน่วยงานนั้นๆและหน่วยงานกำกับดูแลต้องดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่วนภัยในระดับร้ายแรงซึ่งทำให้บริการที่สำคัญต้องหยุดชะงัก สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติจะให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา โดยในการเข้าไปในสถานที่หรือเข้าไปตรวจค้น เจ้าหน้าที่จะต้องขอหมายศาล ขณะที่ภัยระดับวิกฤติต้องเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่บริการที่สำคัญถูกโจมตีจนล่มไม่สามารถให้บริการได้เป็นวงกว้าง หรือมีประชาชนเสียชีวิตและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงให้ใช้อำนาจตามกฎหมายด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อาจต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนพร้อมกับแจ้งศาลโดยเร็ว

สำหรับความจำเป็นของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. …. เนื่องจากปัจจุบันมีการล่วงละเมิดสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก จนสร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือความเสียหายให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งประเทศต่างๆได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว และบังคับใช้แก่ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลที่อยู่ในไทยซึ่งมีการเก็บข้อมูลของคนประเทศนั้นๆด้วย จึงต้องกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลในการเก็บรวบรวม การใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นมาตรฐานสากล

นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้มี พ.ร.บ.สำคัญเพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทยอีก 4 ฉบับ ซึ่งนำเสนอโดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ผ่านการพิจารณารับร่างในวาระ 3 เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมนำทูลเกล้าฯถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. 2. ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ…. 3. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล)  และ 4.ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ……

“เป็นสัญญาณที่ดีที่ประเทศไทยจะมีความพร้อมไปสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในมาตรฐานที่เป็นสากล ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและสามารถรับมือกับภัยคุกคามซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกเผชิญหน้าอยู่” ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

การเมือง : ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯแจง พ.ร.บ.ไซเบอร์ไม่คุกคามสิทธิประชาชน

People unity : post 1 มีนาคม 2562 เวลา 18.00 น.

รมช.พาณิชย์ แจงสังคมเข้าใจผิด พ.ร.บ.ข้าว ระบุนำข้อมูลเก่ามาเผยแพร่ ชี้เป็นเรื่องของ สนช.

People unity : รมช.พาณิชย์ แจงสังคมเข้าใจผิดกรณี พ.ร.บ.ข้าว นำข้อมูลเก่ามาเผยแพร่

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณี พ.ร.บ. ข้าว ที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมว่า มีการเอาข้อมูลที่ค่อนข้างสับสนที่ยังไม่ได้แก้ไข ไม่เป็นปัจจุบันมาเสนอกับสังคมผ่านสื่อต่างๆ และเอาความเห็นของตนที่เคยถูกถามในร่างเดิมก่อนมีการปรับแก้เมื่อปลายปีที่แล้ว มากล่าวถึงในสื่อต่างๆ ในลักษณะที่อาจทำให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า มีความเห็นตรงข้ามกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้เสนอความเห็นประกอบร่างฯ ฉบับที่ สนช. ส่งมาให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น และเสนอความเห็นที่ควรปรับแก้ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งในร่างฉบับที่จะเสนอ สนช. พิจารณาในวันที่ 20 ก.พ.นี้ ได้มีการแก้ไขตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอขอแก้เป็นส่วนใหญ่แล้ว

น.ส.ชุติมา กล่าวย้ำว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นร่างของ สนช. ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีผู้แทน 1 คนในกรรมาธิการวิสามัญที่ขอปรับแก้ เพื่อให้กฎหมายที่ออกมาเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็พยายามจะชี้ให้เห็นว่า มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ร่างที่ได้แก้ไขแล้ว ต่างจากร่างเดิมที่ สนช. เคยเสนอมา โดยเฉพาะในเรื่องเมล็ดพันธุ์ชาวนาจะไม่ได้รับผลกระทบแบบที่อยู่ในกระแสที่เข้าใจผิด ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตามขั้นตอนใน สนช. ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถไปชี้นำได้และขอให้อย่าหลงเชื่อข่าวสับสนที่สร้างความเข้าใจผิดอยู่ในขณะนี้

การเมือง : รมช.พาณิชย์ แจงสังคมเข้าใจผิด พ.ร.บ.ข้าว ระบุนำข้อมูลเก่ามาเผยแพร่ ชี้เป็นเรื่องของ สนช.

People unity : post 20 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 12.50 น.

ทำไมพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์-สมคิด-อุตตม เป็นนายกฯ

People unity : เมื่อวาน (30 มกราคม 2562) ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ มีมติเสนอชื่อ 3 ชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ 3.นายอุตตม สาวนายน โดยหลังจากนี้ ผู้บริหารพรรคจะเข้าไปเชิญอย่างเป็นทางการต่อไป

ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปตามคาดของคนทั่วไป เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปตั้งแต่ตั้งพรรคพลังประชารัฐแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง

ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ กับชื่อพรรคพลังประชารัฐ จึงคู่กันมาตลอด โดยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเสมือนแบรนด์ของพรรคพลังประชารัฐ

ทว่า เหตุผลสำคัญมากไปกว่านั้นที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นชื่อแรกในบัญชีนายกฯของพรรค หรือเป็นชื่อแรกที่พรรคจะเสนอชื่อในสภาเป็นนายกฯ ก็เพราะ ตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา จากการสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ คะแนนความนิยมจากประชาชนในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ครองอันดับ 1 ตลอดมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่พรรคยังมีแต่ชื่อ ยังไม่มีการจัดตั้ง และยังไม่มีนโยบายใดๆ แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ พล.อ.ประยุทธ์ แข็งแกร่งและยอดนิยมจริงๆ จึงไม่แปลกที่แกนนำกลุ่มสามมิตรแสดงความวิตกว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบรับเข้ามาเป็นบัญชีนายกฯของพรรค ก็ไม่รู้ว่าจะหาเสียงอย่างไร หรือเอาอะไรไปหาเสียง

ชื่อที่สองที่พรรคพลังประชารัฐเสนออยู่ในบัญชีนายกฯของพรรค คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ชื่อของนายสมคิด เป็นชื่อที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่คาดคิดมาก่อน การที่จู่ๆมีชื่อนายสมคิดโผล่มาด้วย จึงสร้างความแปลกใจให้คนทั่วไปไม่น้อย

แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงในรัฐบาล หรืออยู่ในวงการเมือง รวมทั้งสื่อ ไม่แปลกใจที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายสมคิดเป็นนายกฯของพรรคด้วย เพราะในวงในหรือในวงการเมืองรู้ดีว่า คนที่เป็นต้นคิดและเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐคือนายสมคิดนั่นเอง เพียงแต่นายสมคิดไม่ออกหน้า และมอบหมายให้เด็กในคาถาของตน 4 คน คือ 4 กุมารการเมือง เป็นผู้ขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐแทน

ชื่อของนายสมคิดถูกเสนอขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร

1.แน่นอนว่าเพื่อตอบแทนนายสมคิดในฐานะผู้ต้นคิดก่อตั้งพรรค จาก 4 กุมารการเมือง

2.เพื่อเป็นจุดขายด้านโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่าจะเป็นนโยบายที่สืบต่อจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

3.เพื่อเป็นรายชื่อนายกฯสำรองของพรรค กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถเป็นนายกฯได้ หรือตัดสินใจไม่เป็นนายกฯต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าจะพูดกันตรงๆ ชื่อของนายสมคิดในเวลานี้ไม่สามารถเป็นจุดขายทางด้านความนิยมจากประชาชนได้เหมือนกับชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากประชาชนทั่วไปยังไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาภาวะเศรษฐกิจให้พ้นจากความฝืดเคือง การที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายสมคิดจึงเหมือนดาบสองคม คือ ได้ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนนักธุรกิจรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่พอใจกับปัญหาเศรษฐกิจ พาลไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งตรงนี้แกนนำพรรคพลังประชารัฐและตัวนายสมคิดเองจะต้องคิดให้ดีๆว่าได้หรือเสีย คุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะในตอนนี้ทุกพรรคล้วนพุ่งเป้าโจมตีไปที่ปํญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ดังนั้น ถ้าจะเอาชื่อนายสมคิดไปแปะไว้เฉยๆในบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค ก็จะมีแต่ผลเสีย แต่ควรจะต้องหาวิธีการทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในตัวนายสมคิดและให้โอกาสนายสมคิดทำงานต่อไป ด้วยการลงคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ

ชื่อที่สามที่พรรคพลังประชารัฐเสนออยู่ในบัญชีนายกฯของพรรค คือ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค

การมีชื่อของนายอุตตม เป็นเรื่องปกติ เพราะนายอุตตมรับบทเป็นหัวหน้าพรรค จึงต้องได้รับเกียรติให้เป็นบัญชีนายกฯของพรรค

แต่หากมองในแง่ชื่อชั้น จะพบว่านายอุตตม ยังห่างไกลทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิดอยู่หลายขุม ดังนั้น ชื่อของนายอุตตมจึงไม่มีความหมายในสนามเลือกตั้ง เพราะยังไม่เป็นแม่เหล็กแรงสูงพอที่จะดูดความนิยมจากประชาชนได้

ถ้าจะให้ดี นายอุตตมควรถอนตัว ไม่รับเป็นบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค แล้วปล่อยให้บิ๊กเนมสองคน คือ พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิด เป็นจุดขายคู่หูดูโอ จะเป็นการดีกว่า

โดย : พูลเดช กรรณิการ์

นักวิชาการอิสระด้านการเมือง

31 มกราคม 2562

การเมือง : ทำไมพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์-สมคิด-อุตตม เป็นนายกฯ

People unity : post 31 มกราคม 2562 เวลา 02.10 น.

โชคดีของประชาธิปัตย์!!

People unity : ผมไม่ได้พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์มานาน แต่วันนี้นึกอยากจะพูดถึง ขอพูดนิดเดียว ว่า ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังได้โอกาสอันดีและได้ประโยชน์ จากการที่สงครามเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วม กับพรรคพลังประชารัฐ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องเป็นคู่ขัดแย้งหรือคู่ต่อสู้โดยตรงในสนามเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วม พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ต้องได้รับแรงบดขยี้โดยตรงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วม และไม่ต้องได้รับการหมายหัว “ไม่เอา” จากประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศโดยทันที

ตรงนี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถพลิกตัวเองไปหาคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศได้ง่ายขึ้น และสามารถที่จะขายนโยบายล้วนๆของพรรคได้ โดยไม่ถูกภาพความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมาบดบังนโยบายของพรรค หรือทำให้คนไม่สนใจนโยบายของพรรค ซึ่งโอกาสแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถกลับมามีโอกาสชนะการเลือกตั้งได้ ไม่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ครั้งหน้า แต่ถึงจะยังไม่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ การที่ประชาธิปัตย์ไม่ถูกบดขยี้และสามารถขายนโยบายได้ ก็จะทำให้ประชาธิปัตย์มีโอกาสคว้าที่นั่ง ส.ส.มากขึ้นได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบางคนในพรรค ต้องเลิกวางตัวประชาธิปัตย์เป็นคู่ขัดแย้งหรือเป็นขั้วขัดแย้งทางการเมือง และคิดว่าการวางตัวเป็นคู่ขัดแย้งจะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะเลือกตั้งได้เลยในความขัดแย้งทางการเมืองยุคใหม่ที่เผชิญหน้ากับทักษิณ และสุดท้ายต้องเลิกหวังลมๆแล้งๆ ส้มหล่น จากความขัดแย้ง เพราะมันมีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว

ประชาธิปัตย์ต้องคิดใหม่ และวางตัวใหม่!!

โดย : พูลเดช กรรณิการ์

นักวิชาการอิสระด้านการเมือง

การเมือง : โชคดีของประชาธิปัตย์!!

People unity : post 30 มกราคม 2562 เวลา 12.10 น.

ความคิดของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่อการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ

People unity : พรรคพลังประชารัฐ มีที่มาจากแนวความคิดของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ต้องการให้มีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น เพื่อเป็นพรรคทางเลือกใหม่ หรือพรรคทางเลือกที่ 3 ที่จะทำให้การเมืองไทยมี  “ทางออก” จากปัญหาความขัดแย้งการเมืองสองขั้ว ซึ่งได้ฝังรากลึกทำร้ายและทำลายชาติบ้านเมืองทุกอณูมาเป็นเวลานาน จนความขัดแย้งได้กลายเป็น “โครงสร้าง” ที่แท้จริงของประเทศนี้ไปแล้ว ซึ่งสมคิดมักพูดอยู่เสมอว่า ประเทศจะอยู่อย่างมั่นคงและมีอนาคตได้อย่างไร ประชาชนจะอยู่อย่างมีความสุขและเชื่อมั่นได้อย่างไร ภายใต้โครงสร้างบ้านเมืองแบบนี้ ซึ่งพร้อมจะพังครืนลงมาได้ทุกเวลา

สมคิดเห็นว่า การเมืองสองขั้วที่มีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเป็นผู้นำขั้ว คือ พรรคเพื่อไทย (และพรรคของทักษิณในอดีต) ขั้วหนึ่ง กับพรรคประชาธิปัตย์ อีกขั้วหนึ่ง เป็นที่มาของความขัดแย้งการเมืองสองขั้วในบ้านเมือง ซึ่งทั้งสองพรรคได้เริ่มเปิดฉากต่อสู้และขัดแย้งทางการเมืองกันมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2544 และต่อจากนั้นก็ได้ต่อสู้และขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้นตลอดมาในการเลือกตั้งทุกครั้ง ภาวการณ์ต่อสู้และขัดแย้งกันรุนแรงยาวนานระหว่างสองพรรค ได้ผลักให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองทั้งสอง กลายเป็นคู่ขัดแย้งกันไปด้วย และต่อมาเลวร้ายกลายเป็นความแตกแยกและนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนสองฝ่าย เมื่อนักการเมืองและพรรคการเมืองสร้างเงื่อนไขหรือเติมเชื้อไฟของความขัดแย้งไปสู่ประชาชน ทำให้เป็นความขัดแย้งของประชาชน ทั้งที่ความจริงเป็นความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างนักการเมืองและพรรคการเมือง

ความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองและพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้ง ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านในสภา ไม่จบแค่นั้น แต่ถูกลากไปเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนบนท้องถนน มีประชาชนสองฝ่ายออกมาเผชิญหน้ากัน เป็นรี้พลในสงครามการเมืองให้สองพรรค ยังดีที่ยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากเช่นกัน ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งของสองพรรค เกิดเป็นการถ่วงดุลจากประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ทำให้สองขั้วที่ขัดแย้งกันทำอะไรได้ไม่ถนัด ไม่เกิดเป็นสงครามกลางเมือง แต่หากประชาชนในชาติแบ่งขั้วเป็นสองขั้วกันหมดทั้งประเทศ สงครามกลางเมืองบ้านเมืองลุกเป็นไฟคงเกิดขึ้นแล้ว

สมคิดบอกกับผมว่า หากไม่มีประชาชนจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เข้าไปเป็นคู่ขัดแย้ง มาถ่วงดุลไว้ ป่านนี้ประเทศย่อยยับไปแล้ว ประชาชนกลุ่มใหญ่นี้ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเมินเฉยต่อการเมือง คือ คนที่ทำให้ประเทศรอดมาได้ และทำให้ประชาชนสองฝ่ายไม่ต้องฆ่ากัน ประชาชนกลุ่มนี้คือความหวังของประเทศ

เมื่อความขัดแย้งมีต้นตอมาจากการเมืองสองขั้ว หรือการเมืองสองพรรค ทางออกของปัญหาความขัดแย้งก็ต้องเริ่มที่การเมือง คือต้องทำให้มีพรรคการเมืองที่ 3 เกิดขึ้นมาเป็นทางเลือก เพื่อให้เป็น “พื้นที่ใหม่ทางการเมือง” สำหรับประเทศชาติ ประชาชน และนักการเมืองหรือคนที่อยากเข้าไปทำการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองใหม่ที่ว่านี้ ต้องเป็นพรรคที่หนีออกจากวังวนความขัดแย้งเก่า และต้องไม่เป็นพรรคที่สร้างเงื่อนไขใหม่ของความขัดแย้งหรือเป็นคู่ขัดแย้งใหม่ ต้องเป็นพรรคที่ไม่ขัดแย้งกับขั้วใด และที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นพรรคที่ไม่เป็นศัตรูและเป็นมิตรกับประชาชนในสองขั้วได้ เป็นพรรคที่รองรับประชาชนส่วนหนึ่งในสองขั้วที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งและมองไม่เห็นประโยชน์ของความขัดแย้ง เป็นพรรคที่ตรงความต้องการทางการเมืองของประชาชนอีกส่วนหนึ่งของประเทศที่ไม่สังกัดฝักฝ่ายขั้วการเมืองใดมาก่อนได้ เป็นพรรคที่รองรับนักการเมืองหรือคนที่ต้องการเข้าไปทำการเมืองซึ่งไม่ประสงค์จะทำการเมืองแบบขัดแย้งได้ และเป็นพรรคที่ทำให้ประเทศชาติมีพื้นที่ใหม่ของประเทศ เป็นพื้นที่สีขาว  เป็นพื้นที่ทางการเมืองแห่งความสงบความร่วมมือร่วมใจ ที่จะเข้าไปซ่อมแซมโครงสร้างของประเทศที่ผุพังจากความขัดแย้งที่ผ่านมา

พรรคพลังประชารัฐเกิดขึ้นจากแนวคิดนี้ เพื่อให้เป็นพื้นที่ใหม่ทางการเมืองในบ้านเมือง มิใช่เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นขั้วใหม่ทางการเมือง เพราะหากพรรคพลังประชารัฐสถาปนาตัวเองเป็นขั้วใหม่ ก็จะขัดแย้งและเผชิญหน้ากับสองขั้วเดิมทันที

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คิดวาดหวังไว้แบบนี้ ซึ่งเป็นความคิดที่สวยงามและมองเห็นทางออกของประเทศ

วันนี้ พรรคพลังประชารัฐก่อกำเนิดขึ้นจากการผลักดันของสมคิดเรียบร้อยแล้ว และกำลังโลดแล่นอยู่บนเส้นทางการเมือง เพื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง

แกนนำพรรคพลังประชารัฐต่างป่าวประกาศว่า เป็นพรรคที่ไม่ขัดแย้งกับใคร เป็นมิตรกับทุกฝ่าย พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย และกำลังฉายภาพให้ประชาชนเห็นถึงพิษภัยของความขัดแย้ง

ทว่า คำป่าวประกาศอย่างเดียวไม่พอ แกนนำพรรคพลังประชารัฐจะต้องทำให้เห็น ทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรค “ทางออก” จากความขัดแย้งสองขั้วให้ได้ ทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพื้นที่ใหม่ทางการเมืองให้กับประเทศชาติและประชาชนให้ได้ และชนะการเลือกตั้งบนพื้นที่ใหม่ทางการเมืองให้ได้ มิใช่กลายเป็นคู่ขัดแย้งหรือสถาปนาเป็นขั้วใหม่ เป็นการเมืองสามขั้ว แล้วไปทำสงครามเลือกตั้งแย่งชิงชัยชนะกับพรรคสองขั้วเก่า กลายเป็นความขัดแย้งใหม่ทางการเมืองขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น บ้านเมืองจะย่อยยับด้วยความขัดแย้งแตกแยกมากขึ้น จากเดิมความขัดแย้งสองฝ่าย กลายเป็นความขัดแย้งสามฝ่าย!!

พรุ่งนี้ ถ้ามีเวลา หรือาจเป็นวันมะรืน ผมจะมาชี้ให้เห็นว่า พรรคพลังประชารัฐกำลังเดินไปทางไหน เดินถูกทางหรือหลงทาง และเดินไปในทางที่สมคิดเห็นทางออกของบ้านเมืองไว้หรือไม่??

โดย : พูลเดช กรรณิการ์

นักวิชาการอิสระด้านการเมือง

22 มกราคม 2562

การเมือง : ความคิดของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่อการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ

People unity : post 22 มกราคม 2562 เวลา 13.10 น.

“บิ๊กตู่” กำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่นโยบายหาเสียงพรรคการเมือง?

People unity : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำถูกต้องแล้ว ที่สั่งห้ามมิให้พรรคพลังประชารัฐไปหาเสียงกับชาวบ้านว่า จะแก้กฎหมายให้ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 สามารถเปลี่ยนมือซื้อขายได้ เพื่อให้เป็น “ที่ดินทองคำ” ของชาวบ้าน

ประการที่ 1 เพราะที่ดิน ส.ป.ก.4-01 มีสถานะเป็นที่ดินของรัฐ ยังมิใช่ที่ดินของเอกชนหรือประชาชน ดังนั้น จึงไม่อาจเปลี่ยนมือด้วยการซื้อขายได้ เพียงแต่รัฐได้ให้สิทธิแก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินหรือคนยากจน ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ทำกิน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งกฎหมายที่ดิน ส.ป.ก.ก็ได้ห้ามมิให้แบ่งแยกหรือโอนสิทธิไปให้บุคคลอื่น เว้นแต่ทายาท ทั้งนี้เพื่อมิให้ที่ดินตกไปเป็นสิทธิของบุคคลอื่นที่มิใช่เกษตรกร หรือนำไปทำอย่างอื่นที่มิใช่เกษตรกรรม การที่นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐไปหาเสียงกับชาวบ้านว่าจะแก้ไขกฎหมายให้ซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ได้ จึงทำไม่ได้ ตราบใดที่ยังเป็นที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ซึ่งก็คือยังเป็นที่ดินของรัฐอยู่ นอกจากนี้ ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 มีเจตนารมณ์ให้สิทธิแก่เกษตรกรและคนยากจนใช้ทำกินในอาชีพเกษตรกรรม หากที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ซื้อขายได้ ก็จะถูกนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้ และเชื่อแน่ว่าที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ส่วนใหญ่หรือจำนวนมากจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนและทุนต่างชาติรวมทั้งนักการเมืองเอง ด้วยการเข้าไปกว้านซื้อหรือใช้วิธีการใดๆเพื่อให้ได้ที่ดินจากเกษตรกรมาเป็นของตนเอง “ที่ดินทองคำ” ของชาวบ้าน ก็จะกลายเป็น “ที่ดินทองคำ” ของนายทุนหรือนักการเมืองในที่สุด

ประการที่ 2 การหาเสียงด้วยนโยบายจะทำให้ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 เปลี่ยนมือซื้อขายได้ เป็นการหาเสียงด้วยนโยบายที่เลวร้ายที่สุด เพราะเอาที่ดินของรัฐ เอาทรัพยากรของรัฐ ไปแลกกับคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นที่สุดของที่สุดแห่งนโยบายประชานิยม เพราะสิ่งที่เอาไปแลกกับคะแนนเสียงคือที่ดินของรัฐ หากยอมให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองหาเสียงด้วยการเอาที่ดินของรัฐไปแจกได้ การเลือกตั้งก็ไม่ใช่การเลือกตั้งอีกต่อไป การหาเสียงก็ไม่ใช่การหาเสียงอีกต่อไป แต่เป็นการซื้อขายเสียงด้วยมูลค่าราคาสูงสุดดีๆนี่เอง

ประการที่ 3 การหาเสียงด้วยการเอาที่ดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินไปแลกกับคะแนนเสียง เป็นการใส่ความคิดและค่านิยมอันตรายให้กับประชาชนอย่างน่ากลัวที่สุด เพราะทำให้ประชาชนเกิดค่านิยมยอมรับหรือเห็นดีเห็นงามกับการได้รับสิ่งตอบแทนแลกกับการลงคะแนนให้มากยิ่งขึ้น เพราะแม้แต่ที่ดินของรัฐก็ยังหาทางเอามาแจกให้ได้ นอกเหนือจากการนำเงินของรัฐมาแจกในรูปแบบต่างๆในการเลือกตั้งทุกครั้งระยะหลังที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และเป็นเรื่องจิ๊บๆทันทีเมื่อเทียบกับการแจกที่ดินทองคำ ค่านิยมและความเคยชินที่ประชาชนได้รับแจกด้วยมูลค่ามากขึ้นๆเพื่อแลกกับการลงคะแนนเสียงให้ จะทำให้ทุกรัฐบาลต้องสรรหาสิ่งต่างๆที่มีมูลค่าสูงมากขึ้นๆเพื่อนำไปแจกทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง งบประมาณและผลประโยชน์ของส่วนรวม ไปจนถึงทรัพย์สินของแผ่นดิน จะถูกนำไปใช้เป็น “กระสุนเลือกตั้ง” ของฝ่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ภายใต้การเล่นแร่แปรธาตุหรือการใช้ข้ออ้างต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน หรือเพื่อสวัสดิการต่างๆ ไปจนถึงเพื่อทำให้ประชาชนรวยทางลัดดังเช่นนโยบายหาเสียงแจก “ที่ดินทองคำ” เมื่อประชาชนถูกสร้างให้มีค่านิยมผิดๆ ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยแบบผิดๆ รัฐบาลก็จะเป็นรัฐบาลแบบผิดๆ และบริหารประเทศแบบผิดๆ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อรัฐบาลแจกได้ พรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เคยเป็นรัฐบาล หรือเคยมีผลงานด้านการแจก ก็จะต้องคิดค้นนโยบายแจกแหลกราญกว่ามาใช้หาเสียง ดังเช่นที่บางพรรคจะแจกบัตรคนรวย เพื่อเกทับบัตรคนจนของฝ่ายรัฐบาล ประชาชนจะยิ่งมัวเมากับการได้รับแจก เห็นดีเห็นงามและเรียกร้องหาประชาธิปไตย เพราะกินได้ โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ได้รับแจกนั้นเป็นเงินหรือเป็นทรัพย์ของนักการเมืองหรือเป็นของชาติ อีกทั้งไม่คิดไม่สนใจด้วยว่า นักการเมืองนักเลือกตั้งจะเข้ามาโกงหรือไม่

ประการที่ 4 พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาเตือนนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆบ่อยครั้งว่า นโยบายหาเสียงต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เพ้อฝัน และต้องไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาเบรกนโยบายเอาที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ไปซื้อขายได้ของพรรคพลังประชารัฐ คือ รูปธรรมทางการกระทำว่าสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาพูดเตือน ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือเป็นการสกัดจุดพรรคการเมืองอื่น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เอาด้วยกับการหาเสียงด้วยนโยบายลักษณะนี้จริงๆ และต้องการให้เป็นบรรทัดฐานของการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ทุกพรรคจะต้องปฏิบัติ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบนโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมืองอย่างจริงจัง เพราะแม้แต่พรรคพลังประชารัฐเอง ซึ่งเป็นพรรคที่ผู้ก่อตั้งพรรคเป็นคนในรัฐบาล และเป็นพรรคที่คาดว่าจะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ก็ยังถูก พล.อ.ประยุทธ์ เบรกนโยบายหาเสียงหัวทิ่ม

และล่าสุด นโยบายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปพูดหาเสียงว่า จะเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจาก 500 บาท เป็น 1,000 บาท ก็ถูกโฆษกกระทรวงการคลังเบรกตาม พล.อ.ประยุทธ์ ไปอีกหนึ่งนโยบาย

จึงมองได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังพยายามสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้จริงๆ และนโยบายของพรรคการเมืองใดจะถูกหวยเป็นรายต่อๆไป

โดย : พูลเดช กรรณิการ์ นักวิชาการอิสระด้านการเมือง 17 มกราคม 2562

การเมือง : “บิ๊กตู่” กำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่นโยบายหาเสียงพรรคการเมือง?

People unity : post 17 มกราคม 2562 เวลา 01.40 น.

ครม.ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่-ลำปาง ประชุม ครม.นอกสถานที่ 14 – 15 มกราคม

People unity : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่-ลำปาง และเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดลำปาง ระหว่างวันที่ 14 – 15 มกราคม 2562 โดยมีกำหนดการดังนี้

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร  กองบิน 6  ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยาน กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ และเดินทางต่อไปยังพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เพื่อสักการะพระธาตุศรีจอมทอง จากนั้น เดินทางไปยังโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อพบปะประชาชน รวมทั้งเยี่ยมชมผลงานการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเรื่องการบูรณาการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืนและครบวงจร ด้วยกลไกประชารัฐ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการที่ดิน การลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การป้องกันรักษาป่า รวมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหนังสือแสดงสิทธิโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนชุมชน และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ประชาชน และชมนิทรรศการแม่แจ่มโมเดล จากนั้นเดินทางไปยังโครงการธรรมชาติปลอดภัย บ้านแม่ปาน อ.แม่แจ่ม เยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัย ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร ซึ่งใช้ระบบเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชาลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว

ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังจังหวัดลำปาง เพื่อพบปะประชาชน ณ ลานตลาดชุมชนบ้านหลุก อ.แม่ทะ จ.ลำปาง รวมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มอบหนังสือป่าชุมชนและหนังสือประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน จากนั้นจะเปิดศูนย์แสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก เสร็จแล้วออกเดินทางไปยังโรงงานอินทราเซรามิก พบผู้นำภาคเอกชน ผู้ประกอบการการผลิตเซรามิก และเดินทางไปยังบริเวณริมแม่น้ำวังเพื่อชม Street Art และร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และประชาสัมพันธ์ Creative tourism ของรัฐบาล

วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562 เวลา 07.15 น. ณ อาคารบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง  ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งแรกของปี 2562 นายกรัฐมนตรีจะพบปะนักเรียนนักศึกษา และเยี่ยมชมนิทรรศการการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการเด็กเยาวชนจังหวัดลำปาง เวลา 10.30 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมนารีอินทนนท์ ชั้น 5 อาคารบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

ในช่วงบ่าย จะเดินทางไปยังโรงเรียนอนุบาลแม่เมาะ เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนซึ่งได้รับคัดเลือกในโครงการ 1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ จากนั้นจะเดินทางไปสักการะพระธาตุลำปางหลวง และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่มีความรุนแรง และส่งผลกระทบในหลายด้าน จึงได้กำหนดเป้าหมายการตรวจราชการที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า อย่างบูรณาการ อย่างยั่งยืนและครบวงจร ด้วยแนวทาง “แม่แจ่มโมเดลพลัส” โดยใช้กลไกประชารัฐ และนโยบายของรัฐบาลผสมผสาน เพื่อพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้คนอยู่กับป่า นอกจากนี้ ยังเน้นความสำคัญของโครงการธรรมชาติปลอดภัยบ้านแม่ปาน ที่ใช้ระบบเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชามาแทนข้าวโพด ปัจจุบันทำให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจที่เข้มแข็ง ทั้งเกษตรแปลงใหญ่และเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรของอำเภอแม่แจ่ม

สำหรับการตรวจราชการจังหวัดลำปาง จะได้เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง การยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) การพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา

ทั้งนี้ การตรวจราชการต่างจังหวัดได้ให้ความสำคัญในการลงพื้นที่คู่ขนาน ตามแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และติดตามการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลทุกด้าน เพื่อกระจายการพัฒนา สร้างความเจริญอย่างยั่งยืนในทุกพื้นที่อีกด้วย

การเมือง : ครม.ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่-ลำปาง ประชุม ครม.นอกสถานที่ 14 – 15 มกราคม

People unity : post post 8 มกราคม 2562 เวลา 10.10 น.

“สมคิด” วิงวอนทุกพรรคเป็นรัฐบาลผสมที่เลิกทะเลาะกัน

People unity : เมื่อวานนี้ (7 มกราคม 2562) เวลา 13.00 น.ที่ห้องแกรนด์ฮอลล์ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา “Thailand Economic Challengess 2019” ความตอนหนึ่งว่า ปีนี้จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลน่าจะเป็นรัฐบาลผสม แต่ความขัดแย้งยังมีสูง การต่อรองยังมีสูง ทุกอย่างขับเคลื่อนลำบาก แต่ประเทศไทยไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้น อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน สาดโคลนใส่กัน นี่ไม่ทันไรเกมการเลือกตั้งเกิดขึ้นมาแล้ว ผมถามหน่อยว่าคุณได้อะไร ชนะทุกฝ่ายแล้วประเทศเสีย จะใช้อำนาจเปลี่ยนผ่านหรือไง เมื่อเป็นรัฐบาลผสมแล้วช่วยกันได้ไหม ให้ประเทศไทยผ่านไปให้ดีที่สุด หากคิดไม่เป็นอย่ามาเป็นนักการเมืองเลย ทำลายการเมืองให้ล้าสมัยเปล่าๆ คิดสิว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร สร้างความแน่นอนให้เกิดขึ้น ประเทศชาติต้องมาก่อน พรรคมาที่หลัง ต้องหาคนดีๆมาทำงาน ไม่ใช่มาจับจองพื้นที่ ขอฝากทุกพรรคไม่ว่าพรรคไหนคิดใหม่ทำงานร่วมกันเอาสิ่งดีๆเข้าประเทศ

การเมือง : “สมคิด” วิงวอนทุกพรรคเป็นรัฐบาลผสมที่เลิกทะเลาะกัน

People unity : post post 8 มกราคม 2562 เวลา 09.10 น.

นายกฯระบุการเพิ่มสวัสดิการในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปตามความต้องการประชาชน

People unity news online : นายกฯ ย้ำรัฐบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายตามความต้องการ ปชช. เผย 1 ปี เงินหมุนเวียนร้านธงฟ้า 4.9 หมื่นล้าน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่งออกมาล่าสุด ว่า ทั้งหมดมาจากความต้องการของผู้มีรายได้น้อยที่ได้สำรวจเมื่อเดือน ก.ค. – ส.ค.60 ซึ่งส่วนใหญ่อยากให้ช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน คือ ค่าน้ำค่าไฟ เป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ช่วยเหลือค่าสินค้าที่จำเป็น ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลวางแผนเตรียมการมานานแล้ว

ก่อนหน้านี้ ผู้มีรายได้น้อยได้รับการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ  โดยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 60 – 22 พ.ย. 61 รัฐบาลได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายรวม 49,879.4 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านธงฟ้าประชารัฐ 47,209 ล้านบาท ร้านค้าก๊าซหุงต้ม 79.8 ล้านบาท รถ บขส. 137.2 ล้านบาท รถไฟ จำนวน 263.5 ล้านบาท รถไฟฟ้า 17.4 ล้านบาท และโอนเงินเข้ากระเป๋า e-money ตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2,172.5 ล้านบาท​

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า ขณะนี้มีร้านธงฟ้าประชารัฐกระจายอยู่ทั่วประเทศราว 50,000 ร้าน จากเป้าหมาย 100,000 ร้าน ซึ่งกว่าร้อยละ 50 เป็นสินค้าที่ผลิตในชุมชนและสินค้าเกษตรในพื้นที่ โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ข้าวสาร กะปิ น้ำปลา และอาหารแปรรูป ไม่ใช่สินค้าที่มาจากบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น

“นายกฯย้ำว่า นอกจากผู้มีรายได้น้อยจะได้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายโดยตรงแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อร้านค้าปลีกขนาดเล็กในชุมชนท้องถิ่น และร้านค้ารายย่อย เช่น แผงจำหน่ายอาหารหรือรถเร่ ที่เข้าร่วมโครงการด้วย”

People unity news online : post 26 พฤศจิกายน 2561 เวลา 10.44 น.

Verified by ExactMetrics