วันที่ 29 มกราคม 2025

กบน.ปรับลดราคาดีเซลอีกเหลือ 33 บาท มีผล 7 เม.ย.

People Unity News : 3 เมษายน 2566 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ประกาศลดราคาดีเซลรอบที่ 4 อีก 50 สตางค์/ลิตร เหลือ 33 บาท/ลิตร มีผล 7 เม.ย. หลังสภาพคล่องดีขึ้นกองทุนน้ำมันฯ ติดลบลดลงเหลือ 9.1 หมื่นล้านบาท

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) วันนี้ (3 เม.ย.66) มีมติปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 0.50 บาท/ลิตร จากราคา 33.50 บาท/ลิตร เป็น 33.00 บาท/ลิตร มีผลวันที่ 7 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดยเป็นปรับลดลงครั้งที่ 4 หรือรวมการปรับลงแล้ว 2 บาท/ลิตร นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สาเหตุการปรับลดลงครั้งนี้ เป็นผลมาจากราคาเฉลี่ยน้ำมันดีเซล เดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 98.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 4.69 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยอัตราเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 5.00 บาท/ลิตร อย่างไรก็ดี สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลโลกยังคงมีความผันผวนจากวิกฤติด้านการเงิน ความผันผวนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลอดจนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีน

สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เริ่มทยอยติดลบลดลง ณ วันที่ 2 เม.ย.66 ติดลบ 91,860 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 45,008 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG 46,860 ล้านบาท

Advertisement

รบ.พร้อมแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ล็อตแรก กลุ่มเปราะบางคนถือบัตรสวัสดิการฯ 14.98 ล้านคน หลังเห็นชอบเพิ่มวงเงินงบประมาณปี 67 วงเงิน122,000 ลบ.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 มิถุนายน 2567 ครม. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท สำหรับเป็น งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ

วันนี้ (4 มิถุนายน 2564) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (4 มิถุนายน 2567) ที่ประชุม ครม. มีมติให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ จำนวน 122,000 ล้านบาท สำหรับเป็น งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการเพิ่มเติม จำนวน 10,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 112,000 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยใช้จ่ายจาก 3 แหล่งเงิน ได้แก่ (1) การบริหารงบฯ ปี 67 จำนวน 175,000 ล้านบาท (2) การดำเนิการผ่านหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท และ (3) งบฯ ปี 68 จำนวน 152,700 ล้านบาท และมีมติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบฯ 68-71) ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 ประกอบกับตามปฏิทินงบฯ เพิ่มเติมปี 67 กำหนดให้ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบนโยบายงบฯ วงเงินงบฯ และโครงสร้างงบฯ เพิ่มเติมปี 67 ในวันที่ 4 มิถุนายน 2567

สงป. ได้ประชุมหารือเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 61 โดยกำหนดวงเงินงบฯ เพิ่มเติมปี 67 มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 สำหรับการดำเนินการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล โดยที่ประชุมได้กำหนดงบฯ เพิ่มเติมปี 67 จำนวน 122,000 ล้านบาท สำหรับเป็นงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้จำนวน 10,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 112,000 ล้านบาท

การดำเนินการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะต้องลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการให้ทันภายในปีงบฯ 67 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบฯ เพิ่มเติมปี 67 ได้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน 67 และสอดคล้งตาม ม. 21 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการทันภายในปีงบฯ 2567 จึงอาจพิจารณาผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการที่เป็นประชาชนกลุ่มเปราะบางผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14.98 ล้านคน ตามขั้นตอนในโอกาสแรกก่อน

ทั้งนี้ วงเงินงบฯ เพิ่มเติมปี 67 จำนวน 122,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบฯ ปี 67 จำนวน 3,480,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,602,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบฯ 66 จำนวน 417,000 ล้านบาท (ร้อยละ 13.1) ซึ่งเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบฯ 68-71) ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 และสำหรับงบลงทุนฯ และงบฯ ชำระคืนต้นเงินกู้ มีสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนดตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.61

Advertisment

กรมอุตุฯ เผยเกือบทั่วทุกภาคยังมีฝน ภาคใต้ตกหนัก

People Unity News : 20 พฤศจิกายน 2565 กรมอุตุฯ เตือนเกือบทั่วทุกภาคเตรียมรับมือฝนตกหนักถึงหนักมาก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ขณะที่ไทยตอนบนยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า

กรมอุตุนิยมวิทยา เผยร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้ยังคงมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ในระดับบนพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวนในวันที่ 21 – 22 พ.ย. 65 และเข้าสู่อ่าวไทย ในช่วงวันที่ 23 – 24 พ.ย. 65 ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณปลายแหลมญวน ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 21 – 24 พ.ย. 65 บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

Advertisement

ก.คลังเปิดให้ทบทวนสิทธิ์ขอรับเงินเยียวยา 5 พันตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 เม.ย.นี้

People Unity News : มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com

ในวันจันทร์ที่ 20 เม.ย.2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ ขอให้ท่านรีบกรอกข้อมูลที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไม่จำเป็นต้องมาที่กระทรวงการคลัง โดยในระยะแรกนี้จะเปิดกว้างสำหรับทุกกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรองก่อน และในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิด ด้วยกลไกการทบทวนสิทธิ์จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือนเนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์ ในกรณีที่ทราบผลการพิจารณาในเดือนพฤษภาคม ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะได้รับเงินเยียวยาครั้งแรกจำนวน 10,000 บาท เพราะได้รวมเงินเยียวยา 5,000 บาท ของเดือนเมษายนด้วย

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 เป็นต้นมาได้มีการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเนื่องทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดราชการ) โดย ณ วันที่ 17 เมษายน 2563 ได้จ่ายเงินให้ผู้ลงทะเบียนไปแล้ว 3.2 ล้านคน และมีกำหนดจะจ่ายเงินในวันจันทร์และอังคารสัปดาห์หน้าอีก 900,000 คน รวมเป็น 4.1 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท

โฆษณา

น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาขึ้นไม่หยุด ล่าสุดปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนที่ 2,200 ลบ.ม./วินาที

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 ตุลาคม 2567 ชัยนาท – น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาขึ้นไม่หยุด ล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือน ต.ธรรมามูล อ.เมืองชัยนาท ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาปรับเพิ่มการระบายแบบขั้นบันไดต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. น้ำระบายท้ายเขื่อนที่ 2,200 ลบ.ม./วินาที

แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำสะแกกรัง ที่ไหลไปรวมกันที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยวันนี้ (6 ต.ค.) น้ำมีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,575 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 194 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำสูงขึ้นจากเมื่อวาน 51 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 17.31 เมตร (ระดับทะเลปานกลาง) ทำให้น้ำล้นตลิ่งหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่การเกษตรนอกคันกั้นน้ำ บริเวณหมู่ 4, หมู่ 7 ต.ธรรมามูล อ.เมืองชัยนาท บ้านเรือนอย่างน้อย 30 หลังคาเรือนถูกน้ำท่วม สวนกล้วยน้ำว้า ไร่ข้าวโพด ถูกน้ำท่วมสูง 20-50 เซนติเมตร และน้ำท่วมยังขยายวงกว้างต่อเนื่อง

นางสุนทร อายุ 78 ปี ชาวบ้าน ม.7 ต.ธรรมามูล บอกว่า น้ำขึ้นเร็วมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำก็ขึ้นมาถึงหัวเข่าแล้ว ต้องรีบนำรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ออกไปจอดบนถนน แล้วรีบกลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ขึ้นไว้บนชั้นสองของบ้านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บได้ กลัวว่าหากปล่อยให้ข้าวของจมน้ำจะเสียหายทั้งหมด เมื่อน้ำลดไม่อยากต้องเสียเงินไปซื้อของใหม่ เพราะภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองหายาก

ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 06.00 น. ระบายน้ำท้ายเขื่อนอยู่ในอัตรา 2,150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 151 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อนที่ อ.สรรพยา สูงขึ้นจากเมื่อวาน 47 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 14.97 เมตร (ระดับทะเลปานกลาง)

และล่าสุดเมื่อ 11.00 น. ที่ผ่านมา เพจกรมชลประทาน ได้ประกาศแจ้งเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเป็น 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ส่วนที่ จ.อ่างทอง ระดับแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงต่อเนื่องใกล้แตะจุดวิกฤติ ที่วัดสนามชัย ต.ตลาดหลวง อ.เมือง จ.อ่างทอง เหลืออีกเพียง 1 ขั้นบันได หรือเพียง 10 เซนติเมตรเท่านั้น ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านพื้นที่เศรษฐกิจอ่างทองก็จะแตะจุดวิกฤติที่ 8 เมตร ซึ่งจุดนี้เป็นจุดต่ำสุดของพื้นที่และเป็นจุดเสี่ยงสำคัญของพื้นที่ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดอ่างทอง โดยเทศบาลเมืองอ่างทองได้นำแท่งแบริเออร์มาปิดจุดเสี่ยง และเตรียมกระสอบทรายเพื่อตั้งคันกั้นน้ำเสริมด้านหลังแล้ว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดอ่างทอง ประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เตรียมพร้อม หลังเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได ในอัตราไม่เกิน 2,400 ลบ.ม/วินาที ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 0.60-0.80 เมตร และจะส่งผลกระทบตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นต้นไป

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์อุทกวิทยาชลประทานภาคกลาง รายงานระดับน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท อยู่ที่ 2,150 ลบ.ม./วินาที ทำให้ระดับน้ำที่สถานีชลมาตร C7A สำนักชลประทานที่ 12 หน้าศาลากลางจังหวัดอ่างทอง อยู่ที่ 7.95 เมตร/รทก. เพิ่มขึ้น 13 ซม. โดยทางจังหวัดอ่างทอง ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งพื้นที่อ่างทองมีน้ำท่วมแล้ว 3 อำเภอ คือ ต.จำปาหล่อ อ.เมือง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก และ ต.บางจัก อ.วิเศษชัยชาญ มีบ้านเรือนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 300 หลังคาเรือน

Advertisement

กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขต อช. เขาใหญ่ถูกต้องตามกฎหมาย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 มีนาคม 2567 อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติฯ ชี้การสำรวจรังวัดแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2502 แต่การชี้ขาดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ One Map

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เนื่องจากการจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติเป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (เดิม) ที่กำหนดให้การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติต้องจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแนบท้ายด้วย

ดังนั้น การกำหนดเขตอุทยานแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติตามที่บัญญัติในกฎหมาย โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชมีกระบวนการในการสำรวจเพื่อกำหนดเขต แล้วจึงขึ้นรูปแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาตามแนวทางการจัดทำกฎหมายที่มีแผนที่ท้ายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกทั้งดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรฐานระวางแผนที่และแผนที่รูปแปลงที่ดินในที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2550 รวมทั้งได้มีการถ่ายทอดแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 และแผนที่ระวางมาตราส่วน 1 : 50,000 ตามที่ระเบียบกำหนดครบทุกแห่งแล้ว โดยแผนที่มาตราส่วน  : 4,000 ยังเป็นแผนที่ที่คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ กำหนดให้เป็นแผนที่รัฐในการดำเนินการพิจารณาจัดทำแนวเขต One Map

สำหรับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้มีการสำรวจรังวัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และได้นำผลการสำรวจรังวัดมาประกอบกับสภาพข้อเท็จจริง แล้วจึงขึ้นรูปเป็นแผนที่ในมาตราส่วนที่เหมาะสม จัดทำเป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2505 ตามแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด พร้อมทั้งได้มีการจัดทำแผนที่มาตราฐานโดยการถ่ายทอดแนวเขตจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาลงในแผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ข้างต้น ใช้เป็นแผนที่ในการปฏิบัติงานและใช้เป็นแผนที่ฐานในการจัดทำ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำหนด

นายอรรถพลกล่าวถึงปัญหาแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการและถือปฏิบัติ มีแนวเขตไม่สอดคล้องตรงกันกับแนวเขตที่กรมแผนที่ทหารได้จัดทำในบริเวณที่มีการออกเอกสาร ส.ป.ก. 4-01 ท้องที่บ้านเหวปลากั้ง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า เห็นควรเสนอให้คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาตามหลักเกณฑ์การพิจารณา One Map ให้ได้ข้อยุติและถูกต้องตามข้อเท็จจริงต่อไป

Advertisement

ปภ.ประสาน 10 จว. เฝ้าระวังระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 ตุลาคม 2567 ปภ.ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง และ กทม. เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. 67 เป็นต้นไป

เวลา 09.30 น. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประสาน 10 จังหวัด ภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป โดยให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงแจ้งจังหวัดประสานท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับแจ้งจากกรมชลประทาน ว่า ประเทศไทยตอนบนมีลักษณะอากาศแปรปรวน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจากการคาดการณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า 1 – 7 วันข้างหน้า คาดว่าในวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน ประมาณ 2,200 – 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำ Sideflow ประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ร่วมกับคาดการณ์ปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง ประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบกรมชลประทาน ทั้ง 2 ฝั่ง ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะมีการระบายเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.60 – 0.70 เมตร ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) วัดสิงห์ อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี วัดไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ตำบลโพนางดำ อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท วัดเสือข้าม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี และอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา

Advertisement

“บิ๊กตู่” เผย หลังฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา หัวสมองแล่นดี และไม่พบอาการผิดปกติ

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเผยไม่พบอาการผิดปกติ หลังช่วงเช้าเข้ารับฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา

เมื่อวานนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า ช่วงเช้าได้ ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แอสตราเซเนกา อาการปกติ หัวสมองแล่นดี  ขอเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน จากนี้ จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยในอนาคตอาจมีการต่อยอดเป็นคลินิกเคลื่อนที่นอกเหนือจากที่โรงพยาบาลด้วย  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบวัคซีนโควิด-19 เพื่ออนุญาตให้มีการใช้ในโรงพยาบาลเอกชนสำหรับประชาชนที่มีความต้องการเร่งด่วน  ได้วางเป้าหมายฉีดวัคซีน 10 ล้านโดส/เดือน เมื่อได้วัคซีนครบแล้ว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล

Advertising

รัฐบาลห่วงไข้มาลาเรียฤดูฝน พบตัวเลขผู้ป่วยเพิ่ม

People Unity News : 16 กรกฎาคม 2566 รัฐบาลห่วงใยสถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในช่วงฤดูฝน พบตัวเลขผู้ป่วยเพิ่ม เตือนประชาชนและผู้เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง 10-14 วัน มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยร่างกาย ให้พบแพทย์โดยเร็ว

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนหลังรับทราบรายงานสถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในประเทศไทย (ณ 7 ก.ค. 66) กรมควบคุมโรครายงานพบผู้ป่วยเพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้า 835 ราย นายกรัฐมนตรีจึงฝากความห่วงใยมายังประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีไร่มีสวนติดกับเขตพื้นที่ป่าเขา เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหารที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่ติดพื้นที่ป่า รวมทั้งประชาชนที่ชอบเดินป่า เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนเหมาะต่อการเจริญพันธุ์ของยุงหลายชนิด เสี่ยงติดเชื้อโรคมาลาเรียซึ่งมียุงก้นปล่องที่ออกหากินเวลากลางคืนเป็นพาหะนำโรค โดยกรมควบคุมโรคแนะนำให้ประชาชนสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง หากต้องนอนค้างคืนในป่าควรกางมุ้ง หรือหากนอนเปลควรหามุ้งคลุมเปลป้องกันยุงกัด จะช่วยป้องกันโรคไข้มาเลเรีย หรือไข้ป่า ไข้จับสั่นได้

นางสาวรัชดา กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้รายงานสถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในประเทศไทย จากระบบมาลาเรียออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 7 กรกฎาคม 2566 พบผู้ป่วยสะสม 9,255 ราย (รายงานเพิ่มจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 835 ราย) จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุดได้แก่ ตาก 5,513 ราย รองลงมาคือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 1,026 ราย และจังหวัดกาญจนบุรี 945 ราย เป็นคนไทย 4,158 ราย (ร้อยละ 44.9) และต่างชาติ 5,097 ราย (ร้อยละ 55.1) พบผู้เสียชีวิต 3 ราย ที่จังหวัดตาก ทั้งนี้ โรคไข้มาลาเรีย เกิดจากเชื้อพลาสโมเดียม โดยมียุงก้นปล่องซึ่งมักอาศัยอยู่ตามป่าเขาเป็นพาหะ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามพื้นที่ป่าเขา รวมถึงพื้นที่แถบชายแดน มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด อาการของโรคไข้มาลาเรีย คือ เมื่อผู้ป่วยถูกยุงก้นปล่องตัวเมียกัด จากนั้นประมาณ 10 – 14 วัน จะมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะเป็นพัก ๆ อาจมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร หากไปพบแพทย์ทัน สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยาในเวลาไม่นาน แต่หากไปพบแพทย์ช้า ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมาลาเรียขึ้นสมอง ภาวะปอดบวมน้ำ ภาวะไตวาย ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้

“กรมควบคุมโรคแนะนำให้ผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงโรคไข้มาลาเรีย 10 – 14 วัน แล้วมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยร่างกาย คลื่นไส้และเบื่ออาหาร ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่โรงพยาบาล ซึ่งมีขั้นตอนคือ การเจาะเลือดหาเชื้อ หากพบเชื้อจะได้รับยา และกินยาให้ครบตามแพทย์สั่ง มาตรวจเลือดซ้ำตามแพทย์นัด และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการควบคุมยุงพาหะ ในพื้นที่ให้คลอบคลุมทุกหลังคาเรือน เร่งค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการ 1-3 -7 และเฝ้าระวังการกลับมาแพร่เชื้อใหม่ในพื้นที่ และสำหรับประชาชนเมื่อต้องเข้าป่า หรือไปในพื้นที่เสี่ยงควรป้องกันตนเอง ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าปกคลุมแขนขาให้มิดชิด ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง เมื่อต้องนอนค้างคืนในป่า ควรนอนในมุ้ง โดยมุ้งต้องอยู่ในสภาพดีไม่มีรูขาด รวมทั้งนำมุ้งไปชุบสารเคมีที่มีฤทธิ์ไล่และฆ่ายุง หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

“นิพนธ์” สั่ง ปภ.-ผู้ว่าฯ-อปท.เตรียมรับมือ “พายุมู่หลาน”

People Unity News : 11 สิงหาคม 65 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 6  ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565 แจ้งว่าพายุโซนร้อน “มู่หลาน” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 500 กิโลเมตร ทางตะวันออกของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนามตอนบน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

“พายุมู่หลาน” นี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ และเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในวันที่ 11 ส.ค. 2565 ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ส่วนการเตรียมการรับมือสถานการณ์ “พายุมู่หลาน” ได้สั่งการไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยของกรม ปภ. ที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมงในการช่วยเหลือประชาชนหากได้รับผลกระทบจากพายุ พร้อมทั้งกำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  อาสาสมัคร ประสานการปฏิบัติงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในทุกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายจากพายุ ให้อยู่ในพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้ทันเหตุการณ์หากเกิดความรุนแรงจากผลกระทบ

“การติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ได้แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งหอกระจายข่าวหมู่บ้าน การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน ดังนั้น ยืนยันว่าทุกฝ่ายได้เตรียมความพร้อมเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนในส่วนนี้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ ส่วนประชาชนขอให้ติดตามข่าวสารสถานการณ์พายุอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนที่ปลูกบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ราบเชิงเขา อาจได้รับผลกระทบจากสภาวะดินสไลด์ กระแสน้ำป่าไหลหลาก ส่วนที่ลุ่มต่ำ ต้องเฝ้าระวังเตรียมการอพยพให้พร้อม ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากสถานการณ์ในพื้นที่มีแนวโน้มรุนแรง ให้สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงที่จัดเตรียมไว้โดยทันที” นายนิพนธ์ กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics