วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024

เลขาฯประกันสังคมแจงสถานะมั่นคง มีเงินพร้อมจ่ายผู้ประกันตน เผยเงิน 82% เอาไปลงทุน!!

People Unity News :  เลขาฯ สำนักงานประกันสังคม ให้ความมั่นใจกองทุนประกันสังคมมีสถานะมั่นคง พร้อมจ่าย วอนนายจ้างเร่งรับรองลูกจ้าง เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเงินโดยเร็ว หากมีข้อสงสัยติดต่อ 1506

4 พฤษภาคม 63 เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม และนายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักเงินสมทบ ชี้แจงมาตรการช่วยเหลืยผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด 19 จากกองทุนประกันสังคม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม รายงานการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยว่าตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. – 2 พ.ค. 63 มีผู้ประกันตนมายื่นขอใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1,177,841 ราย จากการใช้ระบบตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีข้อมูลที่ยื่นซ้ำหรือไม่ใช่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จะได้สิทธิทั้งสิ้น 219,537 ราย คงเหลือผู้ที่มีสิทธิ์ทั้งสิ้น 958,304 ราย จะดำเนินการจ่ายได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้คือ 17 เม.ย.63 โดยเร่งดำเนินการวินิจฉัยสั่งจ่ายให้กับผู้ที่มีสิทธิ์ ทั้งสิ้นจำนวน 455,717 ราย ตั้งแต่วันที่ 20เม.ย.63 ที่ผ่านมาถึง 2 พ.ค. 63 คงเหลืออีก 207,895 ราย ทั้งนี้ การที่สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินได้นั้น จะต้องมีการยื่นขอใช้สิทธิ์ 2 ทาง คือ ผู้ประกันตนที่ขอใช้สิทธิกับนายจ้างที่จะต้องรับรองสิทธิให้ลูกจ้าง ลูกจ้างจำนวน 294,692 ราย ยังรอการรับรองสิทธิจากนายจ้างประมาณ 50,000 ราย จึงขอให้นายจ้างช่วยรับรองสิทธิให้กับผู้ประกันตนด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้สั่งระดมเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกกรม ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ประสานนายจ้างให้ช่วยมารับรองสิทธิ์ เพื่อสำนักงานจะได้ดำเนินการวินิจฉัย หรือนายจ้างอาจได้รับ SMS หรือ e-mail จากเว็บประกันสังคม หนังสือจากสำนักงานประกันสังคม เมื่อได้รับหนังสือแล้ว ขอนายจ้างรีบดำเนินการ ซึ่งจำนวนที่ได้สั่งจ่ายไปแล้ว 455,717 ราย คิดเป็นเงิน 2,354 ล้านบาท ยืนยันว่าสำนักงานประกันสังคมมีเงินเพียงพอ ขณะนี้มีผู้ทยอยยื่นว่างงานเฉลี่ย 30,000 คนต่อวัน หากมีข้อสงสัยหรือข้อสอบถามสามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคมได้ที่เบอร์สายด่วน 1506

โอกาสนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม ในฐานะโฆษกสำนักงานประกันสังคมกล่าวว่า การสำนักงานประกันสังคมได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้ขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนจากภัยอันเกิดจากโรคโควิด 19 ซึ่งผู้ประกันตนและนายจ้างสามารถตรวจสอบและยื่นเอกสารเข้ามาทางเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งมีการพัฒนาการยื่นรับรองระบบ E-service เพื่อให้ข้อมูลถูกต้องและชัดเจน สามารถนำมาประกอบการวินิจฉัยได้เร็วขึ้น กรณีนายจ้างที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนรับ USER และ Password สามารถดำเนินการได้หน้าเว็บไซต์และจะมีการออก USER และ Password ตอบกลับไปยัง Email ของท่านและสามารถยื่นรับรองในวันเดียวกัน

ผู้ตรวจราชการกรมยืนยันว่า สำนักงานประกันสังคมระดมสรรพกำลังติดตามให้นายจ้าง ซึ่งพบปัญหาบางกรณีนายจ้างยังประกอบกิจการอยู่แต่ลูกจ้างยื่นเข้ามา กรณีนี้ไม่สามารถรับเงินเยียวยาได้ เพราะยังมีการประกอบกิจการ อีกกรณีหนึ่ง นายจ้างมีการหยุดงานจริงแต่ยื่นขอใช้มาตรา 75 ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน คือ มีการจ่ายเงินให้กับลูกจ้างร้อยละ 75 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมถือว่า เงินตรงนั้นเป็นค่าจ้างที่จะต้องนำส่งสำนักงานประกันสังคม ลูกจ้างก็จะไม่ได้ใช้สิทธิเยียวยาของสำนักประกันสังคม ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจะนำข้อมูลทั้งหลายมาหักออกจากจำนวนลูกจ้างที่ให้นายจ้างยื่นรับรอง เพื่อนำไปบริหารต่อเพื่อจะได้เร่งจ่ายเงินเยียวยา

ผู้ตรวจราชการกรมยังชี้แจงกรณีที่มีการยื่นเข้ามาแล้วเงินเดือนเท่ากันแต่ไม่ได้รับเงินเท่ากันว่า กรณีการวินิจฉัยจ่ายเงินมีการรับรองยื่นว่างงานเข้ามาตั้งแต่ช่วงแรกที่มีเหตุสุดวิสัย อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวงของประกันสังคมบังคับใช้วันที่ 17 เมษายน ดังนั้น เรื่องที่ยื่นเข้ามาก่อนได้นำมาวินิจฉัยให้ก่อน ซึ่ง ณ วันวินิจฉัยจะตัดจ่ายเงินให้ลูกจ้างรายนั้นไปก่อน ซึ่งในครั้งถัดไปจะมีการประมวลผลจ่ายเงินให้พร้อมกันในเดือนถัดไป เพราะฉะนั้นเมื่อนำมารวมกันแล้วก็จะได้รับเงินเท่ากันเดือนที่ 3 จะครบ 90 วัน ตัดจ่ายให้อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย จะได้รับเงินเท่ากัน

ผู้ตรวจราชการกรมกล่าวกรณีที่การคำนวณเงินสมทบที่คำนวณเป็นรายวันว่า เนื่องจากว่าเงินสมทบที่นำมาคำนวณสิทธิประโยชน์ให้ใช้ฐานค่าจ้างสูงสุดที่ผู้ประกันตนนำส่งเข้ามา นำมารวมกัน 3 – 5 เดือน หากค่าจ้างไม่เท่ากัน จะนำมารวมกันแล้วหาร 90 วัน เป็นค่าจ้างต่อวัน ถ้าเป็นค่าจ้างเฉลี่ย 3 เดือนสูงสุดและนำไปคูณจำนวน 90 วัน ลูกจ้างที่เงินเดือน 15,000 บาท เท่ากันทุกเดือนสามารถออกมาเท่ากันได้ แต่บางคนได้รับค่าครองชีพหรือเงินอื่นๆที่ถือเป็นเงินค่าจ้างนำส่งเข้ามาด้วย จึงจะดูแต่ฐานเงินเดือนอย่างเดียวไม่ได้ ทั้งนี้ หลังจากสำนักงาน ฯ ที่ได้รับแจ้งจากหน่วยปฏิบัติจังหวัดและสำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีการนำจำนวนนายจ้างที่รับรองเหล่านั้นนำมาบริหารจัดการวินิจฉัยจ่ายเงินให้โดยเร็ว เพื่อทุกคนจะได้รับเงินครบถ้วน อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ซึ่งการใช้มาตรา 75 อาจจะมีระยะเวลารอ เพราะต้องส่งให้สำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานตรวจสอบ ก่อนจะมีการส่งกลับมาให้วินิจฉัยจ่ายเงินให้

จากนั้น ผู้อำนวยการสำนักเงินสมทบ อธิบายการลงทุนในส่วนเงินทุนประกันสังคม ในส่วนของการลงทุน 2.03 ล้านล้านบาท ร้อยละ 82 นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง คือ พันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ พันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย และพันธบัตรของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน อีกร้อยละ 18 ลงทุนในหน่วยลงทุนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน infrastructure คือ ทองคำ และหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น ผู้ประกันมั่นใจเสถียรภาพและความมั่นคงของกองทุนฯ มีความพร้อมและเพียงพอที่จะจ่ายสิทธิประโยชน์ทุกๆกรณี ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมนั้น มีผลการลงทุนเฉลี่ยย้อนไป 10 ปีอยู่ที่ร้อยละ 3.8 โดยเฉลี่ย ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคมกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย ผู้แทนนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ทรงคุณวุฒิ จากหลากหลายองค์กรของประเทศ นอกจากนั้นยังมีคณะอนุกรรมการบริหารการลงทุน ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจาก กลต. ธนาคารแห่งประเทศไทย และองค์กรสำคัญของประเทศ

ในส่วนการคืนเงินสมทบนั้น ลดอัตราเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 1 และลดอัตราเงินสมทบให้กับสถานประกอบการ จากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4 โดยเงินเดือน 15,000 จะได้คืน 600 บาทต่อเดือน จำนวน 3 เดือน คือ 1,800 บาท กรณีสถานประกอบที่ได้หักเงินสมทบในอัตราเดิมในเดือนเมษายน จะได้คืนให้ผู้ประกันตนที่หักไว้เกิน หากยังไม่ได้ส่งเงินนายจ้างจะนำคืนลูกจ้างเลย หากนำส่งประกันสังคมแล้ว จะคืนให้กับนายจ้างดำเนินการต่อไป มาตรการลดอัตราเงินสมทบนี้ จะทำให้มีเงินกลับเข้าไประบบของผู้ประกันตนทั้งระบบ 17,000 กว่าล้านบาท

ในช่วงท้าย เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวเพิ่มเติมถึงสิทธิในการรักษาพยาบาลว่า สำนักงานประกันสังคมดูแลผู้ป่วยจากโควิด-19 เทียบเท่ากันกับกองทุนข้าราชการหรือกองทุน สปสช. อย่างเต็มที่ โดยกองทุนประกันสังคมพร้อมดูแลและดำเนินการตามระเบียบในการเยียวยารักษาผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการเจ็บป่วย ขอย้ำว่าเงินประกันสังคมเกิดจาก 3 ฝ่าย คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล จ่ายตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดบัญญัติ เพราะเป็นสิทธิประโยชน์ที่จะต้องดูแลพี่น้องประกันผู้ประกันตนอย่างเต็มที่ ขอย้ำให้มั่นใจว่าสำนักงานประกันสังคมมีเงินเพียงพอและอยู่ในสถานะที่มั่นคง

โฆษณา

“ประวิตร” สั่ง ก.แรงงานเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้ครอบคลุมทุกด้านโดยเร็ว

People Unity News : รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมกระทรวงแรงงานและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ในวันแรงงานแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)

วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลา 10.00 น. วันแรงงานแห่งชาติ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมกระทรวงแรงงานและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง เพื่อขับเคลื่อนมาตรการในการให้ ความช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยมี หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน คณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทูร  ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

พลเอก ประวิตร กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 รัฐบาลได้ระดมสรรพกำลังในการดูแลช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ซึ่งแรงงานเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และขอขอบคุณกระทรวงแรงงานที่ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งแรงงานในระบบ นอกระบบ และแรงงานต่างด้าว รวมถึงขอเน้นย้ำการทำงานเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ได้แก่

(1) การรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ขอให้สนับสนุนบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคไวรัสโควิด – 19 ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว

(2) มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ว่างงาน ขอให้เร่งรัดการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วน ไม่ตกหล่น รวมทั้งให้มีมาตรการช่วยเหลือในเรื่องของการฝึกอาชีพเพื่อยกระดับทักษะฝีมือและหางานให้ทำอย่างรวดเร็วที่สุด

(3) การเฝ้าระวังและการป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ขอให้ดำเนินการให้ครอบคลุมและรอบคอบ รวมทั้งขอให้ชะลอการนำเข้าแรงงานต่างด้าวทุกขั้นตอน จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยให้ประสานการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงแรงงาน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ จะต้องมีแผนรองรับหลังจากที่สถานการณ์ผ่อนคลายลง

(4) แรงงานในภาคประมง ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง  รวมทั้งการดูแลไม่ให้มีการละเมิดสิทธิแรงงานเกิดขึ้น โดยขอให้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและติดตามข่าวสารในช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหน่วยงานภาคประชาสังคม

(5) ในส่วนของการร่างพระราชบัญญัติธนาคารประกันสังคมและพระราชบัญญัติแรงงานนอกระบบ ขอให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ รับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มและคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ขอให้กำหนดมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน การพัฒนาทักษะ และการประกอบอาชีพในรูปแบบที่เหมาะสมกับกลุ่มแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ รวมทั้งส่งเสริมการรับงานไปทำงานที่บ้าน เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ รวมถึงบรรเทาภาระหนี้สินและค่าครองชีพของประชาชน

พลเอก ประวิตร กล่าวต่ออีกว่า ขอเป็นกำลังใจในการร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ขอให้กลุ่มแรงงาน และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานปลอดภัยจากไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) เพื่อพัฒนาประเทศตามนโยบายของรัฐบาล “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พลเอก ประวิตร กล่าวตอนท้าย

โฆษณา

อีก 2 เดือนเปิดเทอม สาธารณสุขห่วงเด็กนักเรียน ครู อาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข ย้ำหลังมาตรการผ่อนคลาย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินควบคุมโรคโควิด 19 คงเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ จับตาทุกความเสี่ยงที่อาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาสูงอีกได้ กระตุ้นหน่วยงานรัฐ-เอกชน ออกแบบระบบ ทบทวนพฤติกรรมการทำงาน ระบบการเรียนการสอนสู่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม รองรับการทำงาน ยอมรับโควิด 19 ยังอยู่อีกนาน ต้องรอวัคซีนพร้อมเพื่อป้องกันโรค

บ่ายวานนี้ (28 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้จะมีมาตรการผ่อนคลายบางส่วน แต่ทีมสอบสวนควบคุมโรคและทีมปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ยังต้องเฝ้าระวังการระบาดอย่างต่อเนื่อง จากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรปรับแนวทางการทำงานที่จะไม่เหมือนเดิม อาทิ การทำงานจากบ้าน (Work from Home) อาจจะกลายเป็นความจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยง ภาครัฐควรจะทำให้ได้ถึงร้อยละ 70 ส่วนภาคเอกชนต้องพิจารณาว่าจะปรับส่วนไหนได้บ้าง ต้องจัดให้เหลื่อมเวลาการทำงาน ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หรือชั่วโมงทำงานแต่ละวันที่ไม่เท่ากัน และต้องยึดหลักเกณฑ์ลดการสัมผัส ไม่สร้างการรวมกลุ่มที่จะเสี่ยงติดเชื้อให้เกิดขึ้นได้อีก เพราะเรายังต้องอยู่กับสถานการณ์โรคโควิด 19

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องไม่เพียงแต่การเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร การออกแบบทางวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรมที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันละอองฝอยของสารคัดหลั่ง การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของวัสดุ ระบบคัดกรองคนทำงาน การออกระเบียบให้คนทำงานสามารถหยุดงานได้โดยไม่นับเป็นวันลาป่วยหากมีอาการเข้าได้กับโควิด รวมทั้งการเข้มงวดเรื่องสิ่งป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ สิ่งเหล่านี้จะต้องทำให้เป็นมาตรฐาน และทุกกิจการที่จะเข้าสู่การผ่อนคลายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการควบคุมการติดเชื้อ และการป้องกันการแพร่กระจายเป็นสำคัญอีกด้วย

“จากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือนที่โรงเรียนจะกลับมาเปิดเรียนเป็นปกติ ยังเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยร่วมกันหลายส่วน แม้สถิติออกมาว่าเด็กไม่ค่อยแสดงอาการหากติดเชื้อ แต่ที่ห่วงคือ ครู อาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้สูงอายุในบ้าน หากเด็กรับเชื้อมาจากโรงเรียนแล้วมาแพร่ที่บ้านจะเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ท้าทาย อาจถึงเวลาที่ต้องมาวางแผนเรื่องการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม เพื่อไปสู่วิถีใหม่ทั้งการทำงานและการเรียน น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนเช่นกัน” นพ.ธนรักษ์กล่าว

โฆษณา

กรมการขนส่งทางบกแนะวิธีเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะลดเสี่ยงติดโควิด-19

People Unity News : กรมการขนส่งทางบก แนะ!!! ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเลี่ยงโควิด-19 เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดการเดินทางทั้งผู้โดยสารและผู้ขับรถ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม มีมาตรการการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในระบบขนส่งสาธารณะ โดยกรมการขนส่งทางบกได้กำชับไปยังผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท รวมถึงผู้ให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการต่างๆของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด ประชาสัมพันธ์แนะนำประชาชนที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท เช่น รถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ รถสองแถว หรือรถจักรยานยนต์รับจ้าง ให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง งดพูดคุยโทรศัพท์ในระหว่างการโดยสารรถสาธารณะ และควรล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ชนิดเจลหรือน้ำทุกครั้งที่มีการสัมผัสพื้นผิวต่างๆในที่สาธารณะ กรณีโดยสารรถแท็กซี่ควรนั่งตอนหลังของรถเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างผู้ขับรถและผู้โดยสาร ลดความเสี่ยงการติดต่อ

ในส่วนของผู้ขับรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท แนะนำให้สังเกตอาการตนเองอยู่เสมอ หากป่วย มีอาการไข้ ไอ จาม ห้ามขับรถเด็ดขาด ควรกักตัวที่บ้านเพื่อสังเกตอาการ และขณะให้บริการหมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ชนิดเจลหรือน้ำบ่อยๆ และสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดระยะเวลาให้บริการ หากในระหว่างขับรถมีผู้โดยสารไอ จาม ให้ปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างระบายอากาศ เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสสะสมอยู่ในรถ ลดโอกาสการติดเชื้อของผู้ขับรถและผู้โดยสารท่านอื่น

ด้านการดูแลความสะอาดภายในรถโดยสารสาธารณะ ควรจัดให้มีแอลกอฮอล์ชนิดเจลหรือน้ำประจำรถ หมั่นเปิดหน้าต่างให้อากาศภายนอกหมุนเวียน หรือเปิดหน้าต่างระหว่างให้บริการ ต้องทำความสะอาดรถทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการให้บริการ โดยเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่มีผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ กรณีให้บริการผู้โดยสารที่มีการไอ จาม หรือ ไม่สบาย ระหว่างเดินทาง ควรใช้แอลกอฮอล์ 70% ในการทำความสะอาดภายในรถ นอกจากนั้น เมื่อมีเวลาพัก ควรเปิดประตูและหน้าต่างรถหรือเปิดช่องระบายอากาศ เพื่อระบายอากาศภายในรถ

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การให้บริการของรถโดยสารสาธารณะและการให้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร จะดำเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือมาตรการ Social Distancing เว้นระยะนั่ง หรือยืนห่างกัน อย่างน้อย 1-2 เมตร เช่น เว้นเบาะที่นั่งในรถตู้โดยสารและรถโดยสารประจำทาง กำหนดพื้นที่ยืนบนรถเมล์ ส่วนที่สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งจะมีมาตรการคัดกรองผู้โดยสารทุกคนก่อนการเดินทาง รวมถึงตรวจคัดกรองพนักงานขับรถและผู้ประจำรถ หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ผู้ให้บริการมีสิทธิปฏิเสธการให้บริการได้ ในขณะเดียวกัน หากประชาชนพบรถโดยสารไม่ปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing หรือมาตรการอื่นๆที่ภาครัฐกำหนดเพื่อป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษณา

CAAT เรียกสายการบินหารือมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 บนเครื่อง ก่อนกลับมาเปิดให้บริการ

People Unity News : CAAT หารือมาตรการควบคุมโรคกับสายการบิน ก่อนกลับมาเปิดให้บริการ

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) โดย นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ CAAT เชิญสายการบินสัญชาติไทยและสายการบินต่างชาติ กว่า 20 สายการบิน มาประชุมเพื่อหารือทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโรค เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 หลังจากที่ก่อนหน้านี้สายการบินส่วนใหญ่ได้ประกาศหยุดให้บริการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า “แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจะลดลงและสายการบินภายในประเทศเตรียมกลับมาให้บริการได้ แต่ทุกสายการบินยังจะต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยให้ขายบัตรโดยสารในลักษณะที่นั่งเว้นที่นั่ง เมื่อถึงช่วงเดินทางต้องรักษาระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร (Social Distancing) ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเช็กอิน การขึ้นและลงเครื่องบิน จะไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน ทั้งนี้เส้นทางที่มีระยะเวลาการบินเกินกว่า 90 นาที สายการบินจะต้องกันที่นั่งแถวหลังไว้พิเศษสำหรับแยกผู้โดยสารที่มีอาการน่าสงสัยระหว่างเที่ยวบิน ด้านลูกเรือจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ถุงมือ และ Face shield ส่วนผู้โดยสารต้องรับผิดชอบสวมใส่หน้ากากอนามัยมาเองและใส่ตลอดเวลาการเดินทาง รวมถึงไม่สามารถนำอาหารของตนเองมารับประทานในเครื่องบินได้”

ทั้งนี้ ขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบเที่ยวบินที่ให้บริการในประเทศกับสายการบินโดยตรง เนื่องจากอาจจะยังไม่เปิดให้บริการในทุกเส้นทาง และสามารถติดตามประกาศการเดินทางทางอากาศที่เกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่ www.caat.or.th/corona

โฆษณา

เตรียมตั้ง “กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์” เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน

People Unity News : โฆษก ตร. แจงตั้ง “ตำรวจไซเบอร์” เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน

23 เมษายน 2563 พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกระแสข่าวกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีครอบคลุมทั่วประเทศ ว่า จากสภาพปัญหาการขยายตัวของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศในโลกยุคดิจิทัล ทำให้คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทั้งคดีที่ส่งผลต่อความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้มีนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อปกป้องประชาชน เยาวชน สังคมและประเทศชาติให้มีความปลอดภัย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานกำลังพล ไปทำการศึกษาและพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนมีวิธีการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พลตำรวจโท ปิยะ กล่าวว่า ปัจจุบันคดีอาชญากรรมจำนวนมากกระทำผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต เช่น การฉ้อโกงหลอกขายสินค้าออนไลน์ , การหลอกให้โอนเงิน ,  Fake News , Roman Scam , การเข้าถึง โจมตีหรือทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกค่าไถ่ เป็นต้น  ซึ่งคดีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความซับซ้อน การสืบสวนสอบสวนจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน การเก็บพยานหลักฐาน การตรวจพิสูจน์ การวิเคราะห์แนวโน้มอาชญากรรม รวมถึงการพัฒนาระบบและบริหารจัดการองค์ความรู้ จำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนสามารถร่วมปฏิบัติหรือสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ในปัจจุบัน มีขีดจำกัดในด้านกำลังพล ไม่สามารถรองรับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจำนวนคดีที่เกิดขึ้นสูงขึ้นในอนาคตได้

“ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจะพิจารณาถึงขีดความสามารถในการอำนวยความยุติธรรมและการให้บริการประชาชนเป็นหลัก ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่า ไม่ได้ดำเนินการเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชนแต่อย่างใด แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมุ่งมั่นทุ่มเทและพัฒนาขีดความสามารถ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง ประชาชน เยาวชน สังคม และประเทศชาติ ให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงเป็นหลักประกันความยุติธรรมในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มีมาตรฐานสากล” พลตำรวจโท ปิยะ กล่าว

โฆษณา

สธ.เผยฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส แต่ป้องกันการติดเชื้อโควิด19ไม่ได้

People Unity News : กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง พบมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสโควิด-19 ได้ และศึกษานำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย เดือนเมษายน – กรกฎาคมนี้ แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ ไม่ควรกินเพื่อป้องกันโรค

19 เมษายน 2563 ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วย ดร.สุภาพร  ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม

นพ.ปราโมทย์กล่าวว่า ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันเซลล์จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนำให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค โดยที่ยังไม่มีอาการเพราะไม่มีผลในการป้องกัน แต่ให้รับประทานทันทีเมื่อเริ่มมีอาการคล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ (flu-like symptoms) ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ก่อโรคไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจอื่น รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 1,500 มิลลิกรัม) หลังอาหารและก่อนนอน ส่วนสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 1 หรือ 2 แคปซูล เพื่อให้ได้รับสารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 20 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร การรับประทานยาทั้งสองแบบในขนาดที่แนะนำ จะให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 60 มิลลิกรัม/วัน แนะนำให้มียาฟ้าทะลายโจรเป็นยาประจำตัว/ประจำบ้าน อาจใช้ร่วมกับยาพาราเซตามอลได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์

นพ.ปราโมทย์กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการทดลองในคน กรมการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม ศึกษานำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย ในระหว่างเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2563 รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมให้เพียงพอกับความต้องการ โดยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ 65 ไร่ ให้ได้วัตถุดิบ 50,000 กิโลกรัม สำรองไว้ 1 ล้านแคปซูลสำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลรักษาผู้ป่วย และประสานภาคธุรกิจเตรียมการผลิตเพิ่ม

ทั้งนี้ ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจรในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้ป่วยที่มีอาการไข้เจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น หากมีอาการแพ้ฟ้าทะลายโจร เช่น เกิดผื่น ลมพิษ หน้าบวม ริมฝีปากบวม หายใจลำบาก ให้หยุดใช้ยาทันทีและไม่ใช้อีก รวมทั้งควรระวังในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต และการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้แขนขาชา หรืออ่อนแรง สอบถามรายละเอียดที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ โทร. 0 2149 5678 หรือเว็บไซต์ www.dtam.moph.go.th

ด้าน ดร.สุภาพร ภูมิอมร  ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการศึกษาศึกษาฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 ของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง โดยทำการศึกษาจากสารสกัดหยาบเทียบกับแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่เป็นสารสำคัญ พบว่า กลไกต้านไวรัสโควิด-19 สามารถทำลายไวรัสโดยตรง และต้านไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการชักนำให้เซลล์หลั่งสารที่ช่วยยับยั้งไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนำให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค และจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยในคนต่อไป

โฆษณา

ก.คลังเปิดให้ทบทวนสิทธิ์ขอรับเงินเยียวยา 5 พันตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 เม.ย.นี้

People Unity News : มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com

ในวันจันทร์ที่ 20 เม.ย.2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ ขอให้ท่านรีบกรอกข้อมูลที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไม่จำเป็นต้องมาที่กระทรวงการคลัง โดยในระยะแรกนี้จะเปิดกว้างสำหรับทุกกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรองก่อน และในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิด ด้วยกลไกการทบทวนสิทธิ์จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือนเนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์ ในกรณีที่ทราบผลการพิจารณาในเดือนพฤษภาคม ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะได้รับเงินเยียวยาครั้งแรกจำนวน 10,000 บาท เพราะได้รวมเงินเยียวยา 5,000 บาท ของเดือนเมษายนด้วย

โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 เป็นต้นมาได้มีการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเนื่องทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดราชการ) โดย ณ วันที่ 17 เมษายน 2563 ได้จ่ายเงินให้ผู้ลงทะเบียนไปแล้ว 3.2 ล้านคน และมีกำหนดจะจ่ายเงินในวันจันทร์และอังคารสัปดาห์หน้าอีก 900,000 คน รวมเป็น 4.1 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท

โฆษณา

คลังเผยเงินเยียวยา5พันถึงมือผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า3.2ล้านคนเตรียมปิดลงทะเบียน22เม.ย.

People Unity News : ก.คลังเผยมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ถึงมือผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 3.2 ล้านราย จำนวนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท กำหนดปิดลงทะเบียนวันที่ 22 เมษายน 2563 เวลา 24.00 น.

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีเม็ดเงินเยียวยาถึงมือคนทำงานที่เดือดร้อนจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ในช่วงรอบที่ 1-3 ระหว่างวันที่ 8-17 เมษายน 2563 รวม 3.2 ล้านราย จำนวนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามเร่งกระบวนการคัดกรองผู้ลงทะเบียนเพื่อให้เงินเยียวยาถึงมือทุกคนที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วที่สุด

สำหรับความคืบหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนพบว่า มีผู้มาลงทะเบียนรวม 27.7 ล้านราย (ณ วันที่ 16 เมษายน 2563) โดยจำนวนผู้มาลงทะเบียนในภาพรวมมีทิศทางลดลงต่อเนื่อง และตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้มาลงทะเบียนใหม่เริ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 โดยส่วนใหญ่ได้มาลงทะเบียนเพื่อรับความช่วยเหลือเยียวยาแล้ว จึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ที่ต้องการให้การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุมและทั่วถึง กระทรวงการคลังจึงกำหนดวันปิดรับลงทะเบียนในวันที่ 22 เมษายน 2563 เวลา 24.00 น. (ตามที่ได้เคยประกาศไว้ว่าจะแจ้งล่วงหน้าให้ทราบก่อนวันที่จะปิดการลงทะเบียน) ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการเปิดรับการขอทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรอง ซึ่งจะเริ่มในวันที่20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน .com

โฆษณา

รอลุ้นได้เลย 15-17 เม.ย.63 โอนเงินเยียวยารอบที่ 3 อีก 8 แสนราย

People Unity News : ก.คลังรายงานความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเม็ดเงินช่วยเหลือเยียวยาถึงคนเดือดร้อนจากสถานการณ์ Covid-19 รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 8-10 เม.ย.2563 และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 13-14 เม.ย.2563 จำนวน 2.4 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีเม็ดเงินช่วยเหลือเยียวยาถึงคนทำงานที่เดือดร้อนจากสถานการณ์ Covid-19 ในรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2563 และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน 2563 แล้วจำนวน 2.4 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท

กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามเร่งกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองผู้ลงทะเบียนกว่า 27 ล้านคนโดยเร็วที่สุด โดยในช่วงวันที่ 15-17 เมษายน 2563 จะเริ่มทยอยส่ง SMS และโอนเงินเยียวยาในรอบที่ 3 ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ประมาณ 8 แสนราย คิดเป็นมูลค่า 4 พันล้านบาท

สำหรับกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์แต่ได้รับแจ้งว่าการโอนเงินไม่สำเร็จ เนื่องจากบัญชีธนาคารถูกปิด บัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 1 ปี ชื่อบัญชีไม่ตรงกับชื่อที่ลงทะเบียน เลือกรับโอนเงินผ่านพร้อมเพย์แต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์  หรือเข้ามาแก้ไขข้อมูลบัญชีแล้ว แต่ใส่ข้อมูลไม่ถูกต้องสามารถแก้ไขได้โดยการผูกบัญชี พร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชนผ่าน Mobile Banking หรือตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร โดยไม่ต้องไปสาขาธนาคาร เพื่อรอรับการโอนเงินเยียวยางวดเดือนเมษายนอีกครั้งในวันที่ 22 หรือ 29 เมษายน 2563

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนมาโดยตลอด และเตรียมเปิดกลไกการขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com จึงขอเน้นย้ำว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กระทรวงการคลัง เพราะไม่ได้มีช่องทางการเปิดรับเอกสาร และเป็นการดำเนินการตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย

การขอทบทวนสิทธิ์นี้ ในระยะแรกจะเปิดกว้างสำหรับประชาชนที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบและคัดกรองก่อน และในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิดด้วย กลไกการทบทวนสิทธิ์จะดำเนินการอย่างรวดเร็วโดยการลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและความเดือดร้อนของผู้ลงทะเบียน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลังในพื้นที่ เช่น คลังจังหวัด สรรพากรพื้นที่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น รวมถึงบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ด้วยทั้งนี้ ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือน เนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์

โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอและมีความตั้งใจที่จะดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ให้ครอบคลุมครบทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาการให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มต่อไป

โฆษณา

Verified by ExactMetrics