วันที่ 21 พฤศจิกายน 2024

นายกฯภูฏานเยือนไทย 25 – 28 มิถุนายนนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มิถุนายน 2567 นายกฯ พร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏานและภริยา ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 25 – 28 มิถุนายน 2567 นี้ พร้อมกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นในทุกมิติ

วันนี้ (19 มิถุนายน 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ดาโช เชริง โตบเกย์ (H.E. Dasho Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏานและภริยา มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 25 – 28 มิถุนายน 2567 นี้ ตามคำเชิญของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏานเป็นครั้งที่ 2 พร้อมทั้งในปีนี้ยังเป็นโอกาสครบรอบ 35 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมิตรภาพของประชาชนทั้งสองประเทศ

โดยในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน มีกำหนดการสำคัญที่ทำเนียบรัฐบาล ได้แก่ พิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี (Four Eyes) การประชุมเต็มคณะ การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยกับภูฏาน จำนวน 2 ฉบับ ในด้านการท่องเที่ยวและด้านสาธารณสุข การแถลงข่าวร่วม และนายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏานและภริยา

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและภูฏานต่างมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและราบรื่น ทั้งรากฐานสายสัมพันธ์อันดีระหว่างพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอในหลายระดับ และความเชื่อมโยงทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรม รัฐบาลจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การเยือนฯ ครั้งนี้ จะสามารถสานต่อความร่วมมือได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา พลังงานสะอาด และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะโอกาสการลงทุน ในโครงการเมืองอัจฉริยะ Gelephu Mindfulness City ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ ของราชอาณาจักรภูฏาน

Advertisement

นายกฯหารือผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง มุ่งมั่นกระชับความร่วมมือการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 พฤษภาคม 2567 ฮ่องกง – นายกฯ หารือผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง มุ่งมั่นกระชับความร่วมมือการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างไทย-ฮ่องกงให้ใกล้ชิด

ณ ห้อง Drawing สำนักงานผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honorable John Lee Ka-chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง

นายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ต่างยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหารือทวิภาคีกันเมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อเดือนตุลาคม 2566 โดยไทยและฮ่องกงมีความร่วมมือใกล้ชิดทางเศรษฐกิจ ซึ่งมูลค้าทางการค้าระหว่างกันมีตัวเลขที่สูงขึ้น พร้อมพูดคุยเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนให้เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายฮ่องกงชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน และนายกรัฐมนตรีชื่นชมศักยภาพของฮ่องกงที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งดึงดูดการลงทุน รวมถึงมีความพร้อมในการจัดการประชุมด้วย

สำหรับการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายพร้อมแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว โดยไทยขอบคุณที่ฝ่ายฮ่องกงยินดีให้ไทยมาจัดงานสงกรานต์ที่ฮ่องกง ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปมาหาสู่กันเพิ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายพร้อมทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

Advertisement

เผยภารกิจนายกฯที่ญี่ปุ่น พบภาคเอกชนสำคัญ ร่วมประชุม Nikkei Forum

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 พฤษภาคม 2567 นายกฯ เดินทางถึงกรุงโตเกียว พร้อมปฏิบัติภารกิจพบภาคเอกชนสำคัญ ร่วมประชุม Nikkei Forum ยืนยันพอใจความสำเร็จจากภาพรวมการเยือนอิตาลี ผลลัพธ์เกินคาดหมาย

วันนี้ (22 พฤษภาคม 2567) เวลา 11.40 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียวซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกรุงโตเกียว เพื่อเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum

โดยเมื่อเวลา 18.07 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโรม ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ระหว่างการเดินทางจากสาธารณรัฐอิตาลีไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงภารกิจเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้หารือ Four eyes กับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเป็นประธาน G7 ด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนี้

1) การยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเก้น นายกรัฐมนตรีอิตาลีรับปาก และชื่นชมคนไทยที่มาเที่ยวที่อิตาลี ไม่มีปัญหาเรื่องการหลบหนี หรือก่อปัญหา นายกรัฐมนตรีได้หยิบยกตัวอย่างการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ที่มีความสะดวกมากขึ้น ทำให้มีการลงทุนและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสูงมาก ในขณะที่การขอวีซ่าเชงเก้นต้องใช้ระยะเวลานาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการอำนวยความสะดวกให้การค้าขายระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และนายกรัฐมนตรีอิตาลีก็รับไปผลักดันให้ รวมถึงประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีเยอรมนี รวมเป็น 3 ประเทศใหญ่ ซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่

2) ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป ซึ่งนายกรัฐมนตรีอิตาลีก็เห็นความสำคัญ และรับปากที่จะช่วยดูแล เพราะถ้าภาคเอกชนอิตาลีต้องการไปลงทุนเพื่อขยายฐานการผลิตที่ไทย เพื่อทำให้สินค้าเข้าถึงตลาดทั่วโลก เรื่อง FTA ก็เป็นเรื่องสำคัญ

3) ความมั่นคง ทั้งเรื่องการซื้ออาวุธ และการพัฒนากองทัพร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ นายกรัฐมนตรีได้ให้ผู้ช่วยทูตทหารประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงของอิตาลี ซึ่งไม่เฉพาะเพียงเรื่องการซื้ออาวุธ แต่รวมถึงการพัฒนาระบบในการฝึกซ้อม และเทคโนโลยีต่าง ๆ

4) อุตสาหกรรมการออกแบบและแฟชั่น ซึ่งอิตาลีมีศักยภาพมาก โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนการจัดนิทรรศการ นักเรียน และผู้เชี่ยวชาญ โดยนายกรัฐมนตรีได้ยกตัวอย่างภาคเอกชนที่ได้พบหารือ เช่น Bvlgari

5) พลังงาน อิตาลีสนใจเรื่องพลังงานสะอาด และการค้นหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ

6) แรงงาน นายกรัฐมนตรีอิตาลีเป็นฝ่ายหยิบยกขึ้นมา โดยทางอิตาลีมีความต้องการแรงงานเฉพาะฤดูที่เกี่ยวกับการเกษตร อยากสนับสนุนให้แรงงานเกษตรไทยเข้ามาทำงานที่ประเทศอิตาลี ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการแรงงานไทย ที่เป็นแรงงานที่มีคุณภาพทางด้านการเกษตร และรายได้สูงมาก ถือเป็นอีกทางเลือกให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวไทย

และมีการพูดคุยเรื่องโครงการ Landbridge การขยายสนามบินซึ่งทางอิตาลีก็มีเทคโนโลยีที่อาจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาได้ นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้เสนอให้ทั้งสองประเทศมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการมานั่งคุยกัน และมีการเซ็น MOU ระหว่างภาคเอกชนกับภาคเอกชน หรือเอกชนกับรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีเชิญนายกรัฐมนตรีอิตาลีเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเชิญชวนให้ไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทำให้อาจมีการเดินทางเยือนไทยในช่วงต้นปี 2568 โดยจะมีการนำนักธุรกิจร่วมเดินทางเพื่อจัดเป็น Business Forum

นอกจากนี้ ในวันที่ 1 กรกฎาคม จะมีการเปิดเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ – มิลาน และช่วงฤดูหนาวจะมีการเปิดเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ – โรม ถือว่าเป็นเรื่องการมีความเชื่อมโยงที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ ซึ่งคาดว่าสายการบินแห่งชาติของอิตาลีก็น่าจะสนใจในเรื่องนี้

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า การเยือนสาธารณรัฐอิตาลีในครั้งนี้ ถือว่าสำเร็จเหนือความคาดหวัง เพราะมีการกำหนดขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจน ว่าอนาคตจะมีขั้นตอนอย่างไร จะทำอะไรบ้าง ซึ่งนายกรัฐมนตรีพอใจภาพรวมตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมามาก

นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า ความเป็นกลางทางด้านการเมืองของไทยทำให้ไทยมีเสน่ห์ในสายตานานาชาติ เพราะการจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเข้ามา เขาต้องมั่นใจว่าไทยจะสามารถส่งสินค้าได้โดยที่ไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับหลาย ๆ ประเทศ การรองรับด้านพลังงานสะอาดก็เป็นเรื่องสำคัญ และชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศไทย ทำให้ไทยมีเสน่ห์ดึงดูดให้มีนักลงทุนเดินทางมา

สำหรับเรื่องความกังวลในเรื่องประเด็นการเมืองภายในประเทศ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าผู้นำทั้งสองประเทศไม่ได้กล่าวถึงประเด็นทางการเมืองไทยเลย แต่พูดถึงเรื่องธุรกิจ ฝ่ายอิตาลีมีความมั่นใจในประเทศไทยสูงมาก เป็นรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง มีความชอบธรรม การเดินทางครั้งนี้เป็นทริปที่ 15 แล้ว ได้ไปปรากฏตัวในเวทีโลกหลายเวที และเน้นย้ำเสมอว่า ประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับทำธุรกิจ และไม่มีโอกาสและช่วงเวลาไหนดีที่สุดที่จะมาลงทุนในไทยเท่าช่วงเวลาแล้ว

Advertisement

นายกฯ เผยหารือภาคเอกชนด้านแฟชั่นของอิตาลี นำเสนอผ้าย้อมคราม จ.สกลนคร

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 พฤษภาคม 2567 นายกฯ ให้สัมภาษณ์ภารกิจเยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการวันแรก หารือภาคเอกชนด้านแฟชั่นที่สำคัญของอิตาลี นำเสนอผ้าย้อมคราม จ. สกลนคร พร้อมหารือผู้ว่าแคว้นลอมบาร์เดียดึงดูดการลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน

วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 เวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองมิลาน ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภารกิจวันแรกของการเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ โดยช่วงเช้าวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงาน Zegna บริษัทแบรนด์แฟชั่นของอิตาลีขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงสำคัญ เป็นบริษัทผลิตผ้าทั้ง Wool Cashmere ผ้าฝ้าย ผลิตให้บริษัทใหญ่หลายแบรนด์ดัง เช่น Dior Hermes มีร้านค้าที่พารากอน และจะเปิดสาขาอีก โดยเชื่อว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในไทย มีความเข้าใจในตลาดและเข้าใจความเป็นไทย ผูกพันกับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีจึงนำผ้าย้อมครามจาก จ. สกลนคร มานำเสนอโดยในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าบริษัทจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาไทย

การหารือกับผู้บริหารบริษัท Loro piana ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่สำคัญ ผลิตเสื้อผ้าสำหรับประเทศในอากาศหนาว เจ็ดเดือนที่ผ่านมาได้ไปเปิดสาขาพารากอนจึงเป็นอีกเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีได้พบกับ Loro Piana บริษัทมีความเข้าใจด้านแฟชั่นไทย นายกรัฐมนตรีจึงได้นำเครื่องจักสาน และผ้าย้อมครามของโครงการดอนกอยมานำเสนอ ปัจจุบันหากมีการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ร้านค้ามักจะเปิด Pop-up Store เป็นร้านชั่วคราวในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว

ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีหารือกับ นายคาร์โล คาปาซา ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ เป็นการรวมตัวกันของสินค้าแบรนด์ไฮเอนของอิตาลี เป็นสมาคมที่แน่นแฟ้นมีการพูดคุยกันตลอดเวลาโดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ มีเอ็กซ์ซิบิชั่น โรงเรียนสอนที่มิลาน พร้อมพูดคุยให้พานักเรียนไทยมาเรียนต่อที่อิตาลี และช่วยเหลือไทยในการจัดแฟชั่นโชว์ลักษณะเดียวกับมิลานแฟชั่นโชว์ ให้นำดีไซเนอร์ที่กำลังมีชื่อเสียงและเป็นรุ่นต่อไปที่มีชื่อเสียงไปไทย

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้พบหารือผู้บริหารบริษัท Leitner ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกระเช้าลอยฟ้า ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งมีระบบการก่อสร้างที่ใช้เวลาเพียงหกเดือน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยในการทำรถกระเช้าจะมีช่วงการผ่านป่าสาธารณะจึงเป็นประโยชน์กับไทย ซึ่งบริษัททราบว่าประเทศไทยมีความสนใจที่จะทำกระเช้าลอยฟ้าภูกระดึง อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องทำการศึกษาความคิดเห็นจากประชาชนก่อน นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า อาจจะต้องปรึกษาทางบริษัทว่านอกเหนือจากภูกระดึงยังมีความสนใจที่จังหวัดใดอีกบ้าง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นตัวเลือกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ภารกิจสุดท้าย นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับผู้ว่าแคว้นลอมบาร์เดีย  ซึ่งเป็นแคว้นที่มี GDP สูงที่สุดในอิตาลี มีความสำคัญในด้านเกษตรอิเล็กทรอนิกส์ และมีการพูดคุยกันเพื่อสนับสนุนการลงทุนระหว่างกัน ทั้งนี้เอกอัครราชทูตไทยประจำอิตาลีจะทำงานร่วมกับประธาน TTR และเลขาธิการ BOI จัดทีมงานเสนอแนะการลงทุนในไทยว่าไทยมีมาตรการสนับสนุนยังไงบ้าง โครงการสำคัญ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกัน

ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการที่ ส.ว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีโดยได้กล่าวว่า เชื่อว่า ส.ว. ทำหน้าที่นิติบัญญัติเช่นเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ความชอบธรรมความถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามกลไกการปกครอง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไม่เคยละเลยเสียงท้วงติงพร้อมตอบคำถามและปรับปรุง และได้กล่าวถึงโควตารัฐมนตรีในตำแหน่งที่ยังเหลือว่างอยู่ว่า เป็นโควตาในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งยังต้องพูดคุยกับหัวหน้าพรรค ในการทำงานด้วยกันต้องรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน

Advertisement

นายกฯ หารือ ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ ดันแลกเปลี่ยนดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 พฤษภาคม 2567 นายกฯ หารือ ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ ดันแลกเปลี่ยนดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ และ ผู้บริหาร Leitner บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการทำกระเช้าลอยฟ้า

วันนี้ (17 พฤษภาคม 2567) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองมิลาน ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) ณ ห้อง Galleria ชั้น 1 โรงแรม Park Hyatt Milan นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย Carlo Capasa, ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ (Chairman of the National Chamber of Italian Fashion)  ซึ่งเป็นสมาคมไม่หวังผลกำไรที่ดำเนินการและรณรงค์เกี่ยวกับการพัฒนาแฟชั่นอิตาลี โดยเป็นผู้จัดสัปดาห์แฟชั่นเมืองมิลาน (Milan Fashion Week) ซึ่งเป็นหนึ่งในงานสัปดาห์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก (Big Four Fashion Weeks) ร่วมกับนครนิวยอร์ก กรุงปารีส และกรุงลอนดอน

ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้กับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ชาวไทย เป็นลักษณะโปรแกรมฝึกอบรมที่อิตาลี ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาความร่วมมือร่วมกันด้านการอบรมเพิ่มความรู้ต่อไป

หลังจากนั้น เวลา 15.40 น. นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย Thomas Schubert, Export Director, Leitner ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้า เป็นบริษัทย่อยของบริษัท High Technology Industries (HTI) ผู้นำด้านเทคโนโลยีกีฬาฤดูหนาว การเดินทางสัญจรในเขตเมือง การขนส่งวัสดุ การจัดการหิมะและผลิตผลทางการเกษตรและด้านพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทสนใจลงทุนโครงการเคเบิลคาร์ในประเทศไทย

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับกระเช้าขึ้นภูกระดึงซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลผลักดัน  การเดินทางมาอิตาลีในช่วงนี้จึงเป็นโอกาสดีและได้พูดคุยหารือกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างอย่างปลอดภัย และทันสมัย โดยทั้งสองฝ่ายจะได้พิจารณาด้านความร่วมมือกันต่อไป

Advertisement

นายกฯ เดินทางเยือนฝรั่งเศส-อิตาลี-ญี่ปุ่น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – นายกฯ เตรียมนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand-France Business Forum พบ ปธน.ฝรั่งเศส -เยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการ และร่วมปาฐกถา Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29

นางรัดเกล้า อินทวงศ์  สุวรรณคีรี  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (15 พ.ค.) เวลา 23.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชม.  และจะเดินทางถึงกรุงปารีส วันพรุ่งนี้ (16 พ.ค.) เวลา 07.10 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง

การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 15 – 16 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงปารีส การเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ 17 – 21 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองมิลาน และกรุงโรม และการเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในส่วนของการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นการเยือนเพื่อนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand – France Business Forum ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นการจัดงานส่งเสริมการค้าระหว่างกันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

ในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อติดตามผลความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และ soft power ตลอดจนร่วมกันผลักดันประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการยกระดับความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ตามที่ระบุไว้ในแผนการ (Roadmap) การดำเนินความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส ค.ศ. 2022 – 2024

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ พบหารือกับนางจอร์จา เมโลนี (H.E. Mrs. Giorgia Meloni) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งในปี 2567 จะครบรอบ 156 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน    พร้อมขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยและอิตาลีมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การท่องเที่ยวเชิงกีฬา วิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชกรรม และกลาโหม โดยนายกรัฐมนตรีจะผลักดันประเด็นสำคัญ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยในเขตเชงเกน และการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป ให้สามารถสรุปภายในปี 2568 (ค.ศ. 2025)    รวมถึงประเด็นการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากอิสราเอลไปทำงานในอิตาลีในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนาย Attilio Fontana ผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์เดีย ซึ่งเป็นแคว้นที่สำคัญที่สุดด้านเศรษฐกิจของอิตาลีด้วย

การเยือนในครั้งนี้จะเป็นโอกาสพบหารือภาคเอกชนรายใหญ่ระดับโลกของอิตาลี และ นาย Carlo Capasa ประธาน the National Chamber of Italian Fashion โดยจะเชิญชวนภาคเอกชนอิตาลีให้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและ Soft Power การเกษตรและอาหาร ยานยนต์ พลังงาน การเงินและพันธบัตร Sustainability Linked Bonds รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์

จากนั้น นายกรัฐมนตรี จะเดินทางต่อเนื่องไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ซึ่งหัวข้อหลักในปีนี้ คือ Asian Leadership in an Uncertain World พร้อมจะเสนอให้เอเชียมีความร่วมมือสำคัญ ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนเพื่อเปิดโอกาสธุรกิจ 2) เสริมสร้างความยั่งยืนโดยเน้นเศรษฐกิจและพลังงานสีเขียว 3) การร่วมมือเพื่อเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และ 4) การปรับกระบวนทัศน์ของระบบพหุพาคีใหม่ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของเอเชีย และก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ผันผวน ท้าทาย

Advertisement

“สุทิน” เตรียมคุยปมเรือดำน้ำกับจีน 14-15 พฤษภาคมนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 พฤษภาคม 2567 “สุทิน” รมว.กลาโหม เผยเตรียมเคลียร์ประเด็นเรือดำน้ำกับจีน เร็วๆ นี้ ยินดีรับฟังข้อเสนอ “วิโรจน์” เสนอยกเลิกสัญญาปัจจุบัน ย้ำพรรคร่วมฯ แข็งแรงดี

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง การเจรจาประเด็นเรื่องการซื้อเรือดำน้ำกับทางรัฐบาลจีน ว่า จะมีการนัดพูดคุยอีกครั้งในเร็วๆ นี้  โดยเบื้องต้นเคาะวันที่ในการเจรจาเป็นวันที่ 14-15 พฤษภาคมนี้

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เสนอให้ยกลิกสัญญาซื้อขายเรือดำน้ำฉบับปัจจุบัน และให้กองทัพเรือเสนอคำของบประมาณเข้ามาใหม่ในปี 2569 นายสุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้คณะทำงานได้ปรึกษาหารือถึงเรื่องที่นายวิโรจน์เสนออย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยส่งเรื่องไปให้คณะทำงานพิจารณา ตนไม่ได้คิดคนเดียว ซึ่งถ้าใครมีข้อเสนออะไรเข้ามาเรารับฟังหมด พร้อมยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกับทางรัฐบาลจีนอีกแน่นอน จบไม่จบคืออีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถามว่าสถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่า ยังแข็งแกร่ง แข็งแรงดี ไม่มีปัญหา สบายมาก

Advertisement

“มาริษ” ไม่หนักใจรับไม้ต่อ “ปานปรีย์” โวเป็นลูกหม้อเก่า กต.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤษภาคม 2567 ทำเนียบ – “มาริษ” มั่นใจทำงานได้แม้ไร้ตำแหน่งรองนายกฯ ไม่หนักใจรับไม้ต่อ “ปานปรีย์” โวลูกหม้อเก่าบัวแก้ว ปัดแจงกระแสใกล้ชิด “ทักษิณ”

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าสำหรับตนเองแล้วตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไม่มีความจำเป็น เพราะตนเองสามารถทำงานได้ไม่มีข้อจำกัด พร้อมเปิดเผยว่าตนเองไม่หนักใจที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อจากนายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีผลงานเป็นที่ชื่นชม และมั่นใจว่าตนเองก็เคยเป็นเอกอัครราชทูตมาหลายประเทศ และเป็นลูกหม้อของกระทรวงการต่างประเทศมาก่อนเช่นกัน จึงไม่หนักใจใดๆ

ส่วนนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายงานใดๆ ให้แล้วหรือไม่นั้น นายมาริษ ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้มีการมอบหมายงานใดๆ เนื่องจากยังไม่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน

ส่วนได้มีการพูดคุยกับนายปานปรีย์ ในฐานะที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับนายปานปรีย์มาก่อนหรือไม่นั้น นายมาริษ ยอมรับว่าได้มีการพูดกัน แต่ไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องงาน ซึ่งนายปานปรีย์ได้ฝากสานงานต่อ แต่ตนเองยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากยังไม่ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ

นายมาริษ ยังปฏิเสธที่จะชี้แจงถึงกระแสข่าวที่ตนเองนั้นมีความสนิทสนมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อน

Advertisement

กรมศิลป์ส่งผู้แทนบินตรวจสอบโบราณวัตถุที่อเมริกาเตรียมคืนไทย พ.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 เมษายน 2567 รมว.วัฒนธรรม เผยไทยส่งผู้แทนเดินทางไปอเมริกา ร่วมตรวจสอบโกลเด้นบอย เตรียมส่งคืนประเทศไทย

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The MET) สหรัฐอเมริกา แจ้งความประสงค์ส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริด 2 รายการ ซึ่งมีหลักฐานว่าถูกนำออกจากประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ที่รู้จักกันในนามโกลเด้นบอย (Golden Boy) และประติมากรรมรูปสตรี จึงมอบหมายให้กรมศิลปากรประสานรายละเอียดขั้นตอนการรับมอบโบราณวัตถุ 2 รายการดังกล่าว ขณะนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The MET) ได้แจ้งให้ประเทศไทยส่งผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโบราณวัตถุที่จะส่งคืน โดยได้มอบหมายให้ นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เดินทางไปร่วมตรวจสอบ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งในการนี้จะได้มีการหารือถึงรายละเอียดและกำหนดเวลาในการส่งคืน นอกจากนี้ยังจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมศิลปากร และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The MET) เพื่อความร่วมมือทางวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และนายแมกซ์ ฮอลเลน ผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหารพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทโพลิทัน เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจ และมีนางสาวสมใจ ตะเภาพงษ์ กงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายเสริมศักดิ์ ยังได้เปิดเผยว่า การส่งคืนโบราณวัตถุในครั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The MET) จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งคืน และคาดว่าจะมาถึงประเทศไทยราวเดือนพฤษภาคม ซึ่งถือเป็นข่าวดีของชาวไทยทั้งประเทศที่จะได้รับโบราณวัตถุล้ำค่ากลับคืนสู่ประเทศไทย โดยรายละเอียดความคืบหน้าจะได้แจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป

Advertisement

ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตยไทย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 เมษายน 2567 แม่สอด – 3 รัฐมนตรี ย้ำไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตยไทย พร้อมตั้งรับชายแดนได้ “ปานปรีย์” รับเป็นไปได้เป็นตัวกลางพูดคุยเมียนมา “อนุทิน” ขอคนไทยสบายใจ ยืนยันดูแลผู้หลบภัยเสี่ยงต่อชีวิต “สุทิน” มั่นใจกองทัพรับมือได้ พร้อมบินสกัด-ไม่ต้องยกระดับกำลัง ทบ.-ทอ.

วันนี้ (23 เม.ย.67) เวลา 16.50 น. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และประธานกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา

นายปานปรีย์ กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายตนเอง และรัฐมนตรีอีก 2 คน มาติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเดินทางมาถึง จึงมีการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการดูแลด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนชาวเมียนมาที่หาที่ปลอดภัยในแผ่นดินไทย ได้รับคำตอบว่า ทุกคนสบายใจ จากที่เข้ามากว่า 2,000 คน หลายคนก็เดินทางกลับประเทศเมียนมาแล้ว ยังคงค้างอีกประมาณ 600 คน เชื่อว่าหากสถานการณ์คลี่คลายก็คงจะกลับไปทั้งหมดใน 1-2 วันนี้

ส่วนผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ อ.แม่สอด นายปานปรีย์ ตอบว่า ครั้งนี้มีการดูแลเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากมีกรณีที่คาดว่าจะเกิดอันตราย ฝ่ายรัฐบาลก็พร้อมเข้าดูแลทันที ย้ายคนไทยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แต่ที่ผ่านมาไม่มีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย ดังนั้น กองทัพบก กองทัพอากาศ และกระทรวงมหาดไทย ถือว่ามีการดูแลอย่างดีมาก ที่สำคัญ จะไม่ให้ใครรุกล้ำอธิปไตยโดยเด็ดขาด หรือใช้พื้นที่ของไทยไปต่อต้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พร้อมทั้งยึดมั่นการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เหล่านี้คือนโยบายที่มอบหมายไปตั้งแต่ต้น และดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายปานปรีย์ ยืนยันว่า การข้ามแดนเป็นไปตามปกติ อุปกรณ์ผ่านแดนฝั่งเมียวดีที่เสียนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร คงจะซ่อมแซมได้โดยเร็ว ส่วนจำนวนผู้หนีภัยความไม่สงบก็เหลือเพียง 600 กว่าคนแล้ว การเดินทางกลับไปจึงน่าจะไม่มีปัญหาแล้ว

“เสียงระเบิดมีอยู่บางช่วงเวลา เราห่วงการขนส่งทางรถ เพราะสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ยังไม่ได้เปิด การขนส่งสินค้าจึงยังไม่เรียบร้อย แต่เชื่อว่าภายใน 1-2 วัน จะเปิดได้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฝั่งเรา แต่ปัญหาอยู่ฝั่งเขา ซึ่งเราไม่รู้ว่าเวลานี้ ฝ่าย ตม. กับศุลกากร อยู่กับฝ่ายใด ศูนย์สั่งการชายแดนส่งเจ้าหน้าที่ไปคุยเจรจากับเมียนมาตลอด เพื่อแก้ไขปัญหาเล็กน้อยได้เกือบทั้งหมด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

ส่วนข้อเสนอต่อการตั้งเมืองเมียวดีเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone) นายปานปรีย์ ตอบรับว่า มีการพูดคุยกัน แต่ไทยรับสถานการณ์ได้ไม่ถึงขั้นต้องตั้งพื้นที่ปลอดภัยในพื้นที่ของเขา ทั้งยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคิดให้ละเอียด ท้ายที่สุดเราก็อยากให้เกิดความสงบโดยเร็วที่สุด แต่เป็นเรื่องเมียนมาที่เราไม่สามารถแทรกแซงได้ ให้เมียนมาจัดการกันเอง แต่ไทยพร้อมประสานงานให้พูดคุยกัน และให้เกิดสันติภาพในเมียนมา

นอกจากนี้ นายปานปรีย์ ตอบรับถึงข้อเสนอให้รัฐบาลไทยเป็นตัวกลางพูดคุยให้การสู้รบลดน้อยลงว่า เป็นไปได้มาก เพราะขณะนี้มีการพูดคุยในระดับหนึ่งแล้ว โดยมีกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงชาติพันธุ์ติดอาวุธ และรัฐบาลเมียนมา แต่เนื่องจากขณะนี้ในส่วนของเมืองเมียวดี การเจรจายังอยู่ภายในฝ่ายของเขา ยังไม่มีเวลาคุยกับเรา แต่เขาทราบแล้วว่า เราพร้อมเป็นตัวเชื่อมประสานแก้ไขเมียนมาทั้งระบบให้กลับสู่สันติภาพโดยเร็ว ส่วนการเจรจาผ่านบทบาทอาเซียน ไทยคิดว่าอาเซียนควรมีส่วนประสานงานแก้ไขปัญหาเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกด้วย หลังจากส่งหนังสือไป 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ประธานคือประเทศลาว ทำงานเร็ว แต่ยังอยู่ระหว่างรอคำตอบจากอาเซียนอีก 8-9 ประเทศ และคาดว่าจะมีการประชุมของอาเซียนอีกชุดด้วย

ส่วนสภาพการดูแลที่ภาคประชาสังคมห่วงกังวล นายปานปรีย์ กล่าวว่า คนเข้ามาหลบภัยคงไม่คาดหวังว่าจะเข้ามาอยู่ในที่สะดวกสบาย ดังนั้น การดูแลจึงเป็นไปอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีแนวปฏิบัติที่เป็นสากล (Standard of Procedures) และเท่าที่ได้รับฟัง ยังไม่มีใครมีความรู้สึกว่าเข้ามาแล้วยากลำบาก แต่เข้ามาชั่วคราวเพื่อหลบภัย

ด้านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และมีการรายงานสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เรามีความจำเป็นต้องให้การดูแลผู้หลบภัยเข้ามาด้วยความจำเป็นด้านมนุษยธรรม เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า หากเพื่อนบ้านมีภัยเสี่ยงต่อชีวิต เราก็ต้องให้ความดูแลอย่างปลอดภัย ในการนี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน ชรบ.

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สถานการณ์ดีขึ้นมาเป็นลำดับ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทุกหน่วยงาน จึงขอให้ความมั่นใจให้ประชาชนที่มีญาติพี่น้องในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก สบายใจ ส่วนนักท่องเที่ยวก็สามารถมาท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ มากมาย และอุดหนุนการค้าชายแดนได้ด้วย อยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ จึงไม่ควรให้เหตุการณ์ปัญหาในประเทศเพื่อนบ้านมาทำลายโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศของเรา

“นี่คืออธิปไตยของประเทศเรา ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้ามาทำร้ายคนของเขา หรือทิ้งอะไรต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายทหารของเรา เตรียมตัวอย่างเต็มที่” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กองทัพยืนยันว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ อยู่ในระดับที่เรารับมือได้ เตรียมการในระดับปกติ ยังไม่มีความจำเป็นต้องยกระดับการรับมือ ทั้งในภาคพื้นดิน มีกองทัพภาคที่ 3 มีกองกำลังผลักดัน และให้ขวัญกำลังใจชาวบ้านได้ และกองทัพอากาศมีความสามารถสกัดยับยั้งได้ โดยมีข้อตกลงกับฝ่ายตรงข้ามว่า หากนำเครื่องบินเข้ามาต้องแจ้งก่อน โดยเรามีศักยภาพในการนำเครื่องบินขึ้นสกัดได้ทันที ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ยังไม่มีภัยทางอากาศ และรับมือได้

ส่วนผู้หนีภัยความไม่สงบ นายสุทิน ย้ำว่า มีการดำเนินมาตรการคัดแยกตามกลุ่มตามขั้นตอน คือ หากเป็นชาวบ้าน ฝ่ายปกครองก็จะดูแล แต่หากเป็นทหารก็เข้าสู่กระบวนการปลดอาวุธ ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ใดเกินกำลัง ทั้งทรัพย์สินชาวบ้านและอธิปไตย ยืนยันกองทัพรับมือได้

Advertisement

Verified by ExactMetrics