วันที่ 21 พฤศจิกายน 2024

นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 1 พฤศจิกายน 2567 นายก ฯ แพทองธาร ยืนยันจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด วอนสังคมร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน

วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2567) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด (อบต.น้ำใส) ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการฝึกอาชีพและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เข้ารับการบำบัด และพบปะพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธขายสินค้าผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด โดยได้สอบถามพร้อมอุดหนุนสินค้า และให้กำลังผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด ซึ่งผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้ทุ่มเทแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทำให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเข้มแข็งด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีตั้งใจมาให้กำลังใจทุกคน ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ รัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ  ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ไม่สามารถบำบัดรักษาได้เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก ๆ เพียงกลุ่มเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันที่ทำงาน จังหวัด รวมถึงระดับประเทศ ในบางครั้งเมื่อมีหัวใจที่อ่อนแอ อาจหลงผิดไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยาเสพติด แต่การจะช่วยพวกเขากลับมาได้นั้นต้องอาศัยกำลังใจอย่างมหาศาล ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการช่วยให้ผู้บำบัดกลับสู่สังคมได้เร็วขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางมาจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนี้เพื่อมาติดตามการดำเนินงาน ประสบปัญหาหรือต้องการอะไรเพิ่มเติม รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือ รวมทั้งจะดำเนินนโยบายเกี่ยวกับ   ยาเสพติดอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น รัฐบาลยืนยันว่าจะทำให้ประเทศไทยมียาเสพติดน้อยลงและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกัน

สำหรับการดำเนินงานศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตำบลน้ำใส อำเภอจตุรพักตรพิมาน บำบัดรักษาโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง CBTx  สำหรับกลุ่มผู้เสพ ชุดปฏิบัติการประจำตำบลนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างการรับรู้ ส่งเสริมสุขภาพ และตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดทุกครั้ง จนครบ 9 ครั้ง ดำเนินการต่อเนื่องตามระยะห่าง 4 วัน/ครั้ง มีกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการบำบัดรักษา CBTx 620 คน ผลปัสสาวะเป็นลบ 481 คน ผลปัสสาวะเป็นบวก 139 คน (ส่งเข้ารับการรักษาต่อมินิธัญญารักษ์ โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน) ภายหลังทำการบำบัดรักษา ผู้บำบัดมีงานทำ จากการขยายโอกาสทางการศึกษา เพิ่มพูน ฝึกฝนทักษะ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เกิดการเรียนรู้ ตลอดชีวิต โดยมีหน่วยงานสนับสนุน เช่น ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอจตุรพักตรพิมาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น ทำให้ผู้ผ่านการบำบัดมีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวห่างไกลจากยาเสพติด

Advertisement

ดีอี เตือน “ภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” เป็นข่าว-ภาพปลอม

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ตุลาคม 2567 ดีอี เตือน ข่าวปลอม “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” ขออย่าเชื่อ-แชร์ หวั่นทำสังคมเข้าใจผิดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตรวจพบข่าวปลอมรายสัปดาห์ ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 เรื่อง “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” รองลงมาคือเรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ” โดยขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เลือกเชื่อ เลือกแชร์ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวั่นสร้างความวิตกกังวล ความสับสน ความเข้าใจผิด และส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 11-17 ตุลาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 821,387 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 400 ข้อความ

สำหรับช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 375 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 21 ข้อความ และช่องทาง Facebook จำนวน 4 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 248 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 101 เรื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 95 เรื่อง

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายจำนวน 30 เรื่อง

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 27 เรื่อง

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 8 เรื่อง

กลุ่มที่ 5 : กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ จำนวน 88 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับหน่วยงานรัฐ และนโยบายของรัฐ ซึ่งเป็นข่าวที่เกี่ยวข้อง และมีผลกระทบต่อสังคม สร้างความวิตกกังวล หรือความเข้าใจผิด โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ

อันดับที่ 2 : เรื่อง ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ

อันดับที่ 3 : เรื่อง พายุไต้ฝุ่น เข้ามาอีก 3 ลูก น้ำท่วมกรุงเทพฯ แน่นอน

อันดับที่ 4 : เรื่อง หากคอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูง ไม่ต้องทานยา เพราะยาเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ

อันดับที่ 5 : เรื่อง ต้นต้อยติ่งนำไปต้มน้ำ แล้วนำมาดื่มก่อนอาหาร เช้า เย็น สามารถช่วยฟื้นฟูไตได้

อันดับที่ 6 : เรื่อง การไฟฟ้าแจ้งเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นแบบดิจิตอลให้ฟรี โดยให้ติดต่อผ่านไลน์

อันดับที่ 7 : เรื่อง ทำ IF ปล่อยให้ร่างกายหิว ช่วยกำจัดเซลล์ที่ป่วย และโรคอัลไซเมอร์

อันดับที่ 8 : เรื่อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดให้ติดต่อ PEA e-Service โดยส่งเอกสารผ่านไลน์ และสนทนาวิดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่

อันดับที่ 9 : เรื่อง เจ้าหน้าที่กรมขนส่งเปิดช่องทางให้ ลงทะเบียนทำใบขับขี่ออนไลน์เพียง 1 ชั่วโมง ผ่านเพจ ศูนย์การจัดการออกบัตรใบขับขี่ DLT

อันดับที่ 10 : เรื่อง กรุงไทยเปิดให้ลงทะเบียนอาชีพอิสระ แม่ค้า ลูกจ้าง กู้ได้ 5 หมื่น ผ่อน 826 บาท/เดือน

“เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจมากที่สุด จาก 10 อันดับข้างต้น พบว่าเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและโครงการของรัฐ มากถึง 6 อันดับ และข่าวที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ สุขภาพ ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อประชาชน อาจทำให้เกิดความวิตกกังวล ความสับสน สร้างความเสียหาย การเข้าใจผิด ให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง หากมีการแชร์ส่งต่อกันไปในสังคม” นายเวทางค์ กล่าว

สำหรับอันดับ 1 เรื่อง “เผยภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ในเรือนจำ” พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยกระทรวงดีอีได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพผู้ต้องหา THE iCON GROUP ขณะที่อยู่ในเรือนจำ ทางสื่อต่าง ๆ นั้น พบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพประกอบในละคร “ศีล 5 คนกล้า ท้าอธรรม” ซึ่งภาพดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรมราชทัณฑ์ และมิใช่ภาพจำลองเหตุการณ์จริง รวมถึงไม่ใช่สถานที่ภายในเรือนจำแต่อย่างใด

โดยหากมีการแชร์ส่งต่อกันไปอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าเป็นภาพที่ถ่ายจากภายในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจาก กรมราชทัณฑ์ สามารถติดตามได้ที่ www.correct.go.th หรือ โทร. 02-967-2222

ด้านข่าวปลอม อันดับ 2 “ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ผู้ลงทะเบียนได้รับทุกคนในเดือนธันวาคม จะโอนเงินเข้าแอปฯ ทางรัฐ” พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ โดยกระทรวงดีอีได้ประสานงานตรวจสอบคลิปข้อมูลกล่าวร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และขอชี้แจงว่า ปัจจุบัน “แอปพลิเคชันทางรัฐ” ยังไม่มีการเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีการโอนเงินเข้า “แอปฯ ทางรัฐ” โดยขณะนี้ “แอปทางรัฐ” จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของหน่วยงานรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ไม่มีการเปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปพลิเคชันแต่อย่างใด ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th หรือ โทร. 02-612-6060

อย่างไรก็ตาม ดีอี มีความห่วงใยประชาชน เรื่องความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน ส่งต่อข้อมูลข่าวปลอม ทำให้เกิดการหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนบุคคล และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวหรือลิงก์เว็บไซต์ให้แน่ชัด

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

|  Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

Advertisement

นายกฯ ชวนคนไทยร่วมกิจกรรม “เดินวิ่งปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 26 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมกิจกรรม “เดินวิ่งปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ” เสาร์ที่ 2 พ.ย.นี้

วันนี้ (26 ตุลาคม 2567) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมออกกำลังกายในโครงการ “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567”  ซึ่งจัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช , ศิริราชมูลนิธิ และภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนชาวไทยในการรักษาสุขภาพและการออกกําลังกาย  ตลอดจนจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้โรคหลอดเลือดสมอง ภายใต้หัวข้อ “คนไทยสมองดี” หรือ “Healthy Thais, Healthy Brains” และรณรงค์เชิญชวนคนไทยให้หันมาออกกําลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อันจะเป็นการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ในอีกทางหนึ่ง

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน ผ่านวิดีโอประชาสัมพันธ์โครงการว่า “สุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรหรือเพศใดก็ตาม ถ้าสุขภาพดีก็คือพื้นฐานของความแข็งแรง (เปรียบได้กับ) ถ้ามีบ้านที่แข็งแรง บ้านสะอาด บ้านเรียบร้อย ผู้อาศัยก็จะอยู่สบาย”

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อในประเด็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวว่า “รัฐบาลนี้เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข 30 บาท รักษาทุกที่ ที่ในปลายปีนี้จะสามารถดูแลประชาชนได้ทั่วทุกพื้นที่ ในส่วนของกรุงเทพมหานครได้มีการสร้างสวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้นเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้เดิน (ออกกำลังกาย) นอกจากนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมการกีฬาและการท่องเที่ยวผ่านนโยบาย Thailand Grand Tourism & Sport Year ในปี 2568 ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากยิ่งขึ้น เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น”

สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะร่วมออกกำลังกายในวันดังกล่าว สามารถสวมเสื้อสีเหลืองแบบใดก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม ณ สถานที่จัดกิจกรรมซึ่งถูกจัดไว้ในแต่ละจังหวัด สำหรับกิจกรรมส่วนกลางจัด ณ สนามลู่ปั่นจักรยานเจริญสุขมงคลจิต หรือติดตามรายละเอียดการจัดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ WRB Fighting Stroke

Advertisement

‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 ตุลาคม 2567 ‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน วางมาตรการจัดระเบียบ สั่งลงทะเบียน ‘Sender Name’ ทั้งระบบ พร้อมกำหนด ‘ผู้ให้บริการ’ ตรวจสอบลิงก์ก่อน หากพบผิดปกติแจ้ง ‘ตำรวจ’ เอาผิดตามกฎหมาย

วันที่ 23 ตุลาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของ SMS แนบลิงก์หลอกลวงจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ช่องทางของ SMS หรือข้อความแนบลิงก์ ในโทรศัพท์มือถือของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยลิงก์ดังกล่าว อาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการติดตั้งระบบดึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือดูดเงินในบัญชีของประชาชน ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประชาชน กระทรวงดีอี จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เร่งดำเนินมาตรการป้องกันการส่ง SMS แนบลิงก์หลอกลวง ดังนี้

1.การลงทะเบียน Sender Name ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 นี้ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร , 2. มาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงค์ ดังนี้ 2.1 ผู้ส่งข้อความ (Sender Name) SMS แนบลิงก์ จะต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครือข่ายทุกครั้ง , 2.2 สำหรับการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user) และ 2.3 หากกรณีที่มีการตรวจพบ ข้อความแนบลิงก์หลอกลวง ข้อความแนบลิงก์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือ ข้อความอื่นที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น เช่น ไอดี Line ทั้งนี้มอบหมายให้ตำรวจดำเนินการ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยให้ดำเนินการแจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายยกเลิกสัญญาบริการกับผู้ส่งข้อความ (Sender Name) และผู้ให้บริการต้องแจ้งข้อมูลการลงทะเบียนของผู้ส่งข้อความให้กับทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีตากฎหมายกับผู้ส่งข้อความต่อไป

“สำหรับมาตรการ Cleansing Sender Name ดังกล่าวจะเป็นการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพในการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์หลอกลวงเพื่อใช้ในการติดตั้งระบบดูดเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก โดยกำหนดลงทะเบียนให้ผู้ส่งข้อความจบภายในปี 2567 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

นายประเสริฐ ย้ำว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากมีการส่ง SMS แนบลิงก์ เข้ามาจากผู้ส่งข้อความ (เบอร์โทร) ที่น่าสงสัย หากมีการแอบอ้างในข้อความว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือธนาคาร ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยงานราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่มีนโยบายในการให้ ข้าราชการ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ส่ง SMS ผ่านเบอร์โทรส่วนตัวถึงประชาชน โดยหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามผ่านสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน

Advertisement

สำนักงานสลากฯ ห้ามขายสลากตัวเลขสามหลัก ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และใกล้สถานศึกษา

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 18 ตุลาคม 2567 สำนักงานสลากฯ ห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และใกล้สถานศึกษา ตรึงจุดทดสอบจำหน่ายเฉพาะโครงการสลาก 80 เท่านั้น เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อรับสมัครตัวแทน

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 11.00 น. สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) นำโดย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานฯ พร้อมด้วยนายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ณ บริเวณจุดจำหน่ายสวนหลวง จ.กรุงเทพฯ และจุดจำหน่ายศรีสมาน จ.นนทบุรี เพื่อเป็นการยืนยันความพร้อมในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

พันโท หนุน กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการออกผลิตภัณฑ์สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก คือ ต้องการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาผ่านกลไกตลาดเพื่อให้ผู้ซื้อมีทางเลือกในการซื้อ ด้วยจุดแข็งคือ ซื้อสลากฉบับเดียว 20 บาท มีโอกาสถูก 4 ประเภทรางวัล คือ สามตรง , สามสลับหลัก , สองตรง และ รางวัลพิเศษ และสามารถเลือกได้เองทุกหมายเลขที่ต้องการ ซึ่งผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือการช่วยบรรเทาปัญหาการพนันนอกระบบ หรือ หวยใต้ดิน ได้อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ การกำหนดให้จำหน่ายผ่านจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จำนวน 647 แห่งทั่วประเทศ และชำระเงินด้วยด้วยระบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในราคาฉบับละ 20 บาทเท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงระบบทดสอบแบบปิด (Sandbox) ซึ่งสำนักงานสลากฯ เป็นผู้จำหน่ายเอง โดยได้รับความร่วมมือจากจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 เป็นช่องทางในการจำหน่าย และขอเน้นย้ำว่า ยังไม่ได้มีการเปิดให้จำหน่ายผ่านตัวแทนแต่อย่างใด จึงขอความร่วมมืออย่าหลงเชื่อว่ามีการเปิดรับสมัครตัวแทนในขณะนี้

อีกประการหนึ่ง นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาสลากเกินราคา และการพนันนอกระบบแล้ว สำนักงานสลากฯ ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบในทุกมิติ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการเล่นพนันอย่างกว้างขวาง ซึ่งการกำหนดจำหน่ายเฉพาะจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จะสามารถควบคุมไม่ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีสามารถซื้อสลากได้ และไม่มีการจำหน่ายสลากฯ ใกล้กับสถานศึกษาได้อย่างแน่นอน เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคมของผู้ให้บริการเกมเสี่ยงโชค (Responsible Gaming)

พันโท หนุน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายและจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ดำเนินการภายใต้กฎหมายอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจ่ายเงินรางวัลแบบผันแปรตามจำนวนผู้ถูกรางวัลในแต่ละหมายเลขของงวดนั้น ๆ ดังนั้น อัตราการจ่ายเงินรางวัล จึงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อ โดยจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นแตกต่างกันในแต่ละหมายเลข ตั้งแต่ต้นงวดจนถึงช่วงปิดจำหน่าย

ทั้งนี้ ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบจำนวนเงินรางวัลแต่ละประเภทรางวัลได้จาก 1. ตรวจสอบด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังในฟีเจอร์ ‘เช็กเลขขายดีและเงินรางวัลงวดนี้’ ทั้ง 1,000 หมายเลข 2. มีการแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ ในช่วงการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลักและสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน หรือตามที่สำนักงานสลากฯ กำหนด

“สำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ดำเนินการถูกกฎหมาย และจ่ายเงินรางวัลแน่นอนทุกบาททุกสตางค์ หากท่านไม่ถูกรางวัล รายได้จากการจำหน่ายสลากตามกฎหมาย จะถูกนำส่งเป็นรายได้เข้ารัฐ เพื่อดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ของสังคมต่อไป”

สำหรับการออกรางวัล จะใช้ผลรางวัลอ้างอิงจากผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก โดยรางวัลสามตรงและสามสลับหลัก จะมาจากเลข 3 ตัวท้ายของผลรางวัลที่ 1, รางวัลสองตรงมาจากผลรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลพิเศษจะสุ่มจากผู้ถูกรางวัลสามตรงเท่านั้น โดยจะมีการออกรางวัลพิเศษภายหลังจากการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลักเสร็จสิ้นในแต่ละงวด

โดยผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับการเตือนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง และสามารถกดรับเงินรางวัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ทันที โดยจะต้องมีการชำระค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อเงินรางวัล 200 บาท หรือเศษของ 200 บาท และการรับเงินโดยวิธีการโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคาร ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

Advertisement

วธ.เดินหน้า 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ จับมือ 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ตุลาคม 2567 วธ.เดินหน้า 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ จับมือ 7 มหาวิทยาลัยชั้นนำ จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านศิลปะทั่วประเทศ พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนวงการศิลปะไทยสู่สากล

กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  ผลักดันนโยบายรัฐบาล สนับสนุนขับเคลื่อน OFOS ศิลปะ ร่วมกับสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน 7 แห่ง จัดทำโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ครู อาจารย์ นักเรียน ปราชญ์ชาวบ้าน สล่าพื้นเมือง ครูพระ บุคลากรในวงการศิลปะ และผู้ที่สนใจหรือมีความชื่นชอบด้านศิลปะทั่วประเทศ ให้เป็นพลังขับเคลื่อน พัฒนาวงการศิลปะไทยสู่สากล สมัครได้แล้ววันนี้

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล OFOS ด้านศิลปะ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณงบกลาง ประจำปี 2567 โครงการสนับสนุนเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะตามนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์ วงเงิน 13,686,000 บาท เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมาย ส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ด้านศิลปะ ให้เป็นไปในทิศทางการพัฒนาประเทศภายใต้นโยบาย THACCA บัดนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 7 แห่ง ร่วมดำเนินโครงการฯ เพื่อพัฒนาบุคลากรและวงการศิลปะของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ เผยอีกว่า โครงการเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะฯ กับสถาบันการศึกษา 7 แห่ง ในส่วนภาคกลาง และส่วนภูมิภาค มีกำหนดการดำเนินการ ในระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 ประกอบด้วย

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการ “Next-Gen Arts : พัฒนาศักยภาพครูศิลปะด้วย Soft Power และ คณะครุศาสตร์ ภายใต้โครงการจัดทำคู่มือส่งเสริมการสอนในด้านสุนทรียภาพในรูปแบบ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของครูผู้สอน สำหรับมัธยมศึกษา 1 – 6 ของวิชาศิลปะและศิลปะการแสดง ประจำปี 2567
  2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคณะวิจิตรศิลป์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการบุคลากรครูด้านศิลปะเขตพื้นที่การศึกษาภาคเหนือ ประจำปี 2567
  3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านศิลปะตามโครงการสนับสนุนเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะตามนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์
  4. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการบุคลากรครูด้านศิลปะภาคใต้ ประจำปี 2567
  5. มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ ภายใต้โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการนักเรียนศักยภาพด้านศิลปะระดับสูง ประจำปี 2567 “การพัฒนาศักยภาพด้านศิลปะ ผ่านการเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนและความหลากหลายของวัฒนธรรม”
  6. มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการอบรมออนไลน์เชิงปฏิบัติการ หัวข้อหลักสูตร การจัดการด้านลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญางานศิลปะ ประจำปี 2567
  7. มหาวิทยาลัยรังสิต โดยวิทยาลัยการออกแบบ ภายใต้โครงการอบรมออนไลน์เชิงปฏิบัติการ หัวข้อหลักสูตร Arts Marketing (เข้าสู่ตลาดศิลปะ)

ทั้งนี้ จึงขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้าน สล่าพื้นเมือง ครูพระ บุคลากรในแวดวงศิลปะ และผู้ที่สนใจหรือมีความชื่นชอบด้านศิลปะ ติดตามข่าวสาร สมัครเข้าร่วมโครงการ ตามวัน เวลา สถานที่ ในการดำเนินโครงการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ โดยสแกนคิวอาโค้ด ใน infographic ที่แนบ

Advertisement

ก.วัฒนธรรม ชวนนักท่องเที่ยวร่วมบุญออกพรรษา ชมขบวนแห่ต้นกระธูปที่สวยที่สุดในโลกและฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 ตุลาคม 2567 “สุดาวรรณ” ชวนนักท่องเที่ยวร่วมบุญออกพรรษา ชมขบวนแห่ต้นกระธูปที่สวยที่สุดในโลกและฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล สุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ด้าน วธ.พร้อมยกระดับประเพณีของไทยสู่นานาชาติ โชว์ Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายยกระดับเทศกาลประเพณีที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นของจังหวัดในการส่งเสริมให้มีการยกระดับเทศกาลประเพณีในระดับชาติและนานาชาติเพื่อเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประชาชน รวมถึงในปีนี้วธ. มุ่งขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างสังคมเข้มแข็งและสนับสนุนเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน สนับสนุนการบูรณาการความกับทุกภาคส่วนและทุกหน่วยงาน ผลักดันการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรม รองรับนโยบายรัฐบาล THACCA (Thailand Creative Content Agency) ขับเคลื่อน Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลก วธ. จึงได้ประกาศการยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยจังหวัดชัยภูมิ ได้รับการคัดเลือกเทศกาลประเพณีเพื่อยกระดับชาติและนานาชาติ คือ ประเพณีบุญกระธูปออกพรรษา จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างวันที่ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า การจัดงานประเพณีบุญกระธูปออกพรรษา เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชัยภูมิ กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอหนองบัวแดง จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โชว์อัตลักษณ์งานบุญกระธูป ประเพณีโดดเด่นของอำเภอหนองบัวแดง ด้วยพิธีเปิดสุดยิ่งใหญ่ ชมขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรม และต้นกระธูปใหญ่ยักษ์ นอกจากนี้กิจกรรมตลอดการจัดงานระหว่างวันที่ 13 -16 ตุลาคม 2567 ประกอบด้วย การรำถวายพระยาภักดีชุมพล จำนวน 1,500 คน การประกวดต้นกระธูปโบราน การแข่งขัน “NBD to be number 1 contest 2024” การประกวดเต้นรำเข้าจังหวะย้อนยุค และการประกวดสวดมนต์หมู่ ทำนองสรภัญญะ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากศิลปินชื่อดัง โดยในส่วนของวธ. ร่วมบูรณาการนำกิจกรรมส่งเสริมงานวัฒนธรรมมากมาย ได้แก่ กิจกรรมอบรมพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม อาทิ ต้นกระธูปจิ๋ว ปิ่นปักผม พวงกุญแจ กระเป๋า กิจกรรมถนนสายกระธูป (กระธูปหรรษา) กิจกรรมจัดนิทรรศการองค์ความรู้ประเพณีบุญกระธูป และกิจกรรมรำกระธูปบูชา โดยวิทยาลัยนาฏศิลป์นครราชสีมา สุดตระการตา

“กระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ดำเนินการขับเคลื่อนและส่งเสริมเทศกาลบุญกระธูปในครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประชาชนในพื้นที่ มีเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในจังหวัดชัยภูมิ ที่น่าสนใจและเป็นไปในรูปแบบการอนุรักษ์ธรรมชาติ วิถีชีวิตวัฒนธรรมชุมชน ชุมชนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มและความต้องการของตลาดในทุกรูปแบบ ตลอดจนหวังให้เทศกาลประเพณีบุญกระธูปได้รับการยกระดับจากระดับจังหวัดไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยในเชิงมิติวัฒนธรรม ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรมต่อไป และขอเชิญเที่ยวงานบุญกระธูปออกพรรษา 13 – 16 ตุลาคม 2567 นี้ ที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ งานบุญกระธูปสุดอลังการตระการตา หนึ่งเดียวในโลก ชมขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรม และต้นกระธูปใหญ่ยักษ์ จาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 9 แห่ง ชมพิธีเปิดและการฟ้อนรำถวายเจ้าพ่อพญาแล สุดยิ่งใหญ่อลังการ แล้วพบกันที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอหนองบัวแดง” นางสาวสุดาวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ ประเพณีนี้เกิดจากภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น จังหวัดชัยภูมิอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเขตอำเภอหนองบัวแดง ซึ่งมีความเชื่อ ความศรัทธา พิธีกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมรวมไปถึงการดำเนินชีวิตสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก การแห่กระธูปเป็นคติความเชื่อโดยมองว่าเป็นการสร้างความร่มเย็นอันยิ่งใหญ่ใต้ร่มพระพุทธศาสนา โดยต้นกระธูปเป็นสัญลักษณ์แทนต้นหว้า ต้นไม้ประจำชมพูทวีป อันมีบันทึกไว้ในหนังสือฎีกาพระมาลัยสูตรว่าลักษณะของต้นกระธูปมีความยาวประมาณ 50 โยชน์ มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง แผ่ออกไป 4 ทิศทาง กว้างเป็นมณฑลทั้งได้ 100 โยชน์ อันสื่อความหมายถึง พระพุทธศาสนานี้เป็นที่ร่มเย็นแก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบเอาต้นกระธูปนี้จุดแล้วย่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจายไปยังทิศต่าง ๆ ทำให้เกิดความสุข เป็นคุณค่าทางจิตใจ และเพื่อบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวาระที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา

ขั้นตอนการทำต้นกระธูป เริ่มจากเอาขุยมะพร้าวมาผสมกับฝุ่นผงหอมของใบอ้ม ใบเนียม ใบปอสาแล้วห่อด้วยกระดาษเข้ารูปยาวเหมือนธูป นำกระดาษสีมาตัดแปะเป็นลวดลายให้สวยงาม ส่วนใหญ่นิยมแบบลายไทยเช่นเดียวกับลายมัดหมี่ แล้วนำธูปที่ได้มาติดกับดาวที่ทำจากใบลาน มามัดติดกับคันไม้ไผ่ที่มีลักษณะคล้ายคันเบ็ด แล้วเอาไปเสียบไว้กับแกนไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ความสูงประมาณ 3 – 5 เมตร หรือมากกว่านั้น ขึ้นทรงคล้ายฉัตร พร้อมกับเอาลูกดุมกา ลักษณะคล้ายส้ม แต่มีเปลือกแข็งมาผ่าเป็นสองซีก ใส่น้ำมันพืชลงไปแล้วขวั้นด้ายเป็นรูปตีนกาเพื่อจุดไฟให้แสงสว่างใต้ต้นกระธูป แต่ในระยะหลังเริ่มมีการนำธูปสำเร็จรูปมาใช้แทนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว

ประเพณีแห่บุญกระธูปจัดขึ้นในช่วงออกพรรษา โดยมีความสอดคล้องกับความเป็นมาของประเพณีฮีตสิบสอง ซึ่งถือเอาช่วงก่อนวันออกพรรษา 3 วัน คือ ขึ้น 12 – 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ก่อนเทศกาลจะเริ่มผู้นำชุมชนร่วมกับชาวบ้านจะจัดทำต้นกระธูปเพื่อจุดถวายพุทธบูชา  ต้นกระธูปมีหลากหลายขนาด ขนาดเล็กมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร ขนาดใหญ่ มีความสูงไม่เกิน 6 เมตร  ภายในงานมีการแห่กระธูป ขบวนนางรำ ธิดากระธูป การแสดงดนตรี การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การประกวดกระธูปสวยงาม การแสดงพื้นบ้าน และมหรสพสมโภชกลางคืน

Advertisement

นายกฯ สั่งตรวจสอบรถติดแก๊ส 13,000 คัน ภายใน 60 วัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 8 ตุลาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ สั่งตรวจสอบรถติดแก๊สทั้ง 13,000 คัน ภายใน 60 วัน พร้อมให้ สธ.-มท.-พม.-ศธ. พิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของผู้คน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ครม. ภายหลังเมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) ประชุมหารือในเรื่องความปลอดภัยทางถนน ว่า ให้รถที่ติดแก๊ส CNG และ NGV รวมประมาณ 13,000 คัน เร่งตรวจสอบให้ได้ภายใน 60 วัน

ขณะเดียวกัน ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงต่างๆ

ขณะที่ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แจ้งแก่ ครม. ว่า ได้สั่งการกรมเจ้าท่า ให้ตรวจสอบเรือโดยสารทั้งประเทศที่มีทั้งหมด 15,000 ลำ และเรือภัตตาคารที่วิ่งตามลำน้ำต่างๆทั่วประเทศทั้งหมด 108 ลำ ให้ไปตรวจ 2 พลังงาน คือ 1.พลังงานที่ใช้กับการทำครัว ซึ่งเป็นถังแก๊สต่างๆที่วางอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสม 2.พลังงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยให้ตรวจสอบละเอียด และกลับมารายงานต่อที่ประชุมต่อไป

Advertisement

“วราวุธ” เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 กันยายน 2567 “วราวุธ” รมว.พม. เปิดงานวันผู้สูงอายุสากล 2567 ย้ำ ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์แล้ว ดัน นโยบาย พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร

วันที่ 30 กันยายน 2567 ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 (International Day of Older Persons 2024) ภายใต้แนวคิด “การสูงวัยอย่างมีศักดิ์ศรี : ความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการดูแล และสนับสนุนผู้สูงอายุทั่วโลก” “Ageing With Dignity: The Importance Of Strengthening Care And Support Systems For Older Persons Worldwide” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานถึงการจัดงาน และนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงาน พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม.  นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน

ในงานมีการกล่าวสาส์นสากล โดยนางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่ง (UNFPA) ประจำประเทศไทยอาจารย์นคร ถนอมทรัพย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล – ประพันธ์และขับร้อง) พุทธศักราช 2554 อายุ 92 ปี ร้องเพลง “สดใสวัยชรา” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จากนั้นมีพิธีแสดงความยินดี นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ผู้นำขบวนการแพทย์ชนบท” (RURAL DOCTORS MOVEMENT) ได้รับรางวัลรามอนแมกไซไซไซ (Ramon Magsaysay Award) ประจำปี 2567

สำหรับภายในงานมีการจัดกิจกรรมในบรรยากาศย้อนไปในยุคดิสโก้ หรือยุค 70 อาทิ การประกาศเจตนารมณ์วันผู้สูงอายุสากล , นิทรรศการวิชาการ นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร , นิทรรศการระบบการดูแลและสนับสนุนผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ , การสาธิตผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุศูนย์การเรียนรู้การแสดงทางวัฒนธรรมและการสร้างเศรษฐกิจเพื่อชุมชนอย่างยั่งยืน , การสาธิตดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล , บริการตรวจสุขภาพฟัน โดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ , บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง

นายวราวุธ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุสากล ถือเป็นวันเฉลิมฉลองที่สำคัญของผู้สูงอายุทั่วโลก เพื่อแสดงถึงคุณค่าของผู้สูงอายุให้คนทั่วไปตระหนักว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผู้สูงอายุได้สร้างคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง คุณงามความดี รวมทั้งสรรค์สร้างทุกสิ่งให้กับสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 20.08 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จึงได้จัดงานมหกรรมวันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2567 เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ ในความสูงอายุยิ่งมีความสูงค่า เพราะผู้สูงอายุเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้มากประสบการณ์ ไม่ใช่ผู้รอรับการสงเคราะห์ สามารถเป็นพลังของสังคมและเป็นส่วนสำคัญและเป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ด้วยการใช้ศักยภาพมาร่วมพัฒนาสังคม และมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามมาตรการสำคัญ 5 มาตรการ ภายใต้นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร ของกระทรวง พม. ได้แก่ 1. การมุ่งการป้องกันโรคมากกว่ารักษาโรค 2. การขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 4. การส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อม ทั้งภายในบ้าน รอบบ้าน และในชุมชน และ 5. การส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในทุกมิติ ผู้สูงอายุทุกจะเป็นพลัง เป็นทรัพยากรที่สำคัญ เป็นทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นภาระหรือผู้ไม่มีศักยภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. และเครือข่ายทุกภาคส่วนจะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านการดูแลผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่ในชุมชนของตนเองได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน และจะเสริมสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยให้เป็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังหลักคอยสนับสนุนคนรุ่นต่างๆ ในสังคมไทย

Advertisement

“วราวุธ” เผย ครม. อนุมัติงบกลาง กว่า 400 ล้าน ให้ พม. จ่ายค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ที่ค้างจ่ายเกือบ 1.4 แสนราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กันยายน 2567 “วราวุธ” เผยมติ ครม. อนุมัติงบกลาง กว่า 400 ล้านบาท ให้ พม. จ่ายค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ที่ค้างมาระยะหนึ่งแล้ว

ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขอบคุณทางคณะรัฐมนตรีที่ได้มีมติอนุมัติเงินจากงบกลางสำหรับโครงการสนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งค้างจ่ายอยู่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และสถานะล่าสุด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 มีการค้างจ่ายอยู่ประมาณ 138,832 ราย ที่ผู้สูงอายุเสียชีวิตแล้วจะต้องได้รับค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี ในการนี้จาก 138,832 ราย ทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจากงบกลาง เป็นจำนวนเงิน 416,496,000 บาท ในการที่จะจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ในส่วนของงบประมาณประจำปี 2568 นั้น เราได้ของบประมาณไปแล้ว แต่จากตัวเลขที่มีการเพิ่มขึ้นลดลงของจำนวนผู้สูงอายุที่เสียชีวิตนั้น อาจจะทำให้งบประมาณยังไม่ครบในส่วนของงบประมาณประจำปี 2568 ซึ่งจะทำการของบประมาณในช่วงของปีหน้าเพื่อสมทบให้ครบตามจำนวนต่อไป แต่เบื้องต้นในส่วนของงบประมาณประจำปี 2567 นี้ เรามีความยินดีที่จะได้แจ้งข่าวให้กับพี่น้องประชาชนว่าค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณีนั้น ขณะนี้ทางรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรี และกระทรวง พม. ได้รับเงินอุดหนุนจากงบกลางมาเรียบร้อยแล้ว และจะเร่งจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศภายในเร็วๆ นี้

Advertisement

Verified by ExactMetrics