วันที่ 20 เมษายน 2025

กทม.จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 กทม.สนับสนุนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม จัดกิจกรรมจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันแห่งความรัก

นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ นอกจากกิจกรรมที่ได้มีการจัดอย่างปกติคือการจดทะเบียนสมรสแล้ว ปีที่แล้วยังมีการจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ นำร่อง 3 เขต ในปีนี้ที่ประชุมจึงเสนอให้มีการรับจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ ให้ครบทั้ง 50 เขต เบื้องต้นมีเขตที่พร้อมแจ้งจัดกิจกรรมการจดแจ้งชีวิตคู่ LGBTQ+ แล้วจำนวน 9 เขต แม้ว่าการจดแจ้งนี้จะยังไม่มีผลทางกฎหมาย แต่การจดแจ้งนี้สะท้อนถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครอยู่ 2 ส่วนคือ แสดงถึงเจตนารมย์ของกรุงเทพมหานครที่พร้อมให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และแสดงถึงความพร้อมของกรุงเทพมหานครที่หากมีกฎหมายแม่พร้อมแล้วและมีการออกกฎหมายลูกมาอย่างชัดเจน กรุงเทพมหานครก็พร้อมในการดำเนินการตามทันที

นอกจากนี้ สำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย ย้ำว่าหากจดแจ้ง LGBTQ+ ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 67 แล้วนั้น สามารถนำใบจดแจ้งเข้ามาตรวจสุขภาพได้ฟรีที่โรงพยาบาลสังกัด กทม. ทุกแห่งอีกด้วย

Advertisement

เขตบางรัก ชวนคู่รักจดทะเบียนสมรส ลุ้นทะเบียนสมรสทองคำ วันวาเลนไทน์

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 กุมภาพันธ์ 2567 วาเลนไทน์ปีนี้ “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” ลุ้นทะเบียนสมรสทองคำ 12 ฉบับ

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานแถลงข่าวจัดงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Event Hall ชั้น B1 ศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ (ซอยสีลม 19) เพื่อให้บริการจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ในวันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) และอำนวยความสะดวกแก่คู่รักที่มีความประสงค์จดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตบางรัก เนื่องจากมีชื่ออันเป็นมงคล อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการจดทะเบียนสมรส ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายอันเป็นการส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคง โดยมีสำนักงานเขตบางรัก สภาวัฒนธรรมเขตบางรัก ศูนย์การค้า จิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์ ในเครือกลุ่มเซ็นทรัล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ตลอดจนผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมแถลง

นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า การจัดงานสำหรับการจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์สํานักงานเขตบางรักได้จัดมาหลายปีแล้ว แต่ในแง่ของหลักการวัตถุประสงค์หลักของกรุงเทพมหานครคือต้องการให้คนในกรุงเทพฯ ทุกคนที่มารับบริการของกรุงเทพมหานครได้รับความสะดวกสบายเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรส แต่อย่างไรก็ดีเราก็มองว่าความจริงแล้ว ครอบครัวของเรา สังคมของเราสําคัญ ขณะเดียวกันถ้าเรามีครอบครัวที่มีความเข้มแข็ง เป็นครอบครัวที่สามารถจะพัฒนากรุงเทพมหานครของเราได้ด้วยก็จะเป็นเรื่องที่สําคัญ ดังนั้นถ้าเรามีลักษณะของกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้มแข็งได้ให้ครอบครัวของเรา เป็นครอบครัวที่มีความมั่นคงก็จะทําให้สังคมกรุงเทพมหานครมีการพัฒนา ถ้าความรักในครอบครัว มีความเจริญ มีความมั่นคง ก็มั่นใจว่าสังคมของเราก็จะมีความเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นความรักในวันวาเลนไทน์ก็คงจะไม่เป็นความรักเดียวแต่จะเป็นความรักทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ของเราไม่ว่าจะเป็นระหว่างชุมชน องค์กรต่างๆ จะเป็นตัวสําคัญที่ทําให้การพัฒนาของเราให้กรุงเทพมหานครมีความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ก็จะเป็นการสื่อความหมายของความรักในสังคมของเรา เราคงจะไม่ได้พูดถึงเฉพาะเรื่องของความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกัน มั่นใจว่าในปัจจุบันก็พยายามที่จะมีการพิจารณากฎหมาย ซึ่งตอนนี้สภาผู้แทนราษฎรก็พยายามเร่งรัดกฎหมายดังกล่าว หลังจากนั้นกรุงเทพมหานครก็คงจะมีแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้บุคคลในสังคมของเราได้มีความรักที่เท่าเทียมกันต่อไป

สำหรับการจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์ ในทุกปีการจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก ยังคงได้รับความนิยม และถูกเลือกเป็นสถานที่จดทะเบียนสมรสของคู่รักเป็นจำนวนมาก เมื่อปี 2566 มีคู่รักมาจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก ทั้งหมด 3,441 คู่ เฉพาะในวันวาเลนไทน์ จำนวน 640 คู่ ซึ่งเป็น อันดับที่ 1 ของทั้ง 50 เขต เขตบางรักเป็นสำนักทะเบียนที่คู่รักนิยมมาจดทะเบียนสมรส มากที่สุดในประเทศไทย การค้นหาอัตลักษณ์ และนำมาส่งเสริมเป็นเทศกาลเฉพาะถิ่น ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญภายใต้นโยบายบริหารกรุงเทพมหานคร เป็นรากฐานในการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ และความคิดสร้างสรรค์เฉพาะย่าน ซึ่งได้กำหนดไว้ในนโยบาย 9 ดี 9 ด้าน และขอเชิญชวนประชาชนผู้มีความรัก ที่ต้องการจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก เข้าร่วมกิจกรรมตามที่สำนักงานเขตจัดขึ้น และขออวยพรให้คู่รักทุกคู่มีความสุข ความเจริญ และมีความมั่นคงในชีวิต สืบไป

ด้าน นางธราพร อำนวยสาร ผู้อำนวยการเขตบางรัก กล่าวว่า “สำนักงานเขตบางรัก ได้ร่วมกับสภาวัฒนธรรมเขตบางรัก ศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ และผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)” จึงขอเชิญชวนคู่รักที่วางแผน จะจดทะเบียนสมรสหรือคู่บ่าวสาวที่ต้องการจดทะเบียนในวันดังกล่าว โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในการมาจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตบางรัก และเป็นการกระตุ้น ให้เห็นความสำคัญของการจดทะเบียนสมรส ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย อันเป็นการสงเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคง และยังเป็นการอำนวยความสะดวกแกประชาชน เนื่องจากสำนักงานเขตบางรักมีพื้นที่คับแคบ ไม่สามารถรองรับประชาชนที่มาขอรับบริการได้เพียงพอ และไม่สะดวกในการให้บริการ”

ด้านคุณชมพล พรจินดารักษ์ อุปนายก 1 สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า สำหรับในปีนี้ยังได้สมาพันธ์สมาคมอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า (ประเทศไทย) มาเป็นผู้สนับสนุนร่วมอีกด้วย ซึ่งทะเบียนสมรสสลักชื่อคู่สมรสลงบนแผ่นทองคำแท้ จำนวน 12 คู่ ถือเป็นของขวัญล้ำค่า ที่ไม่สามารถเทียบมูลค่าได้ แทนคำอวยพรจากสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยฯ และเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของสามีภรรยา ที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อสร้างครอบครัว

สำหรับปีนี้คู่รักที่ประสงค์จดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก สำนักงานเขตบางรักได้เปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้า ด้วยการสแกน QR Code ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา ถึงวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 โดยเปิดรับจำนวน 789 คู่ เพื่อให้คู่รักได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น อีกทั้งไม่เกิดความผิดพลาดในเรื่องของเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรส เฉพาะกรณี จดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ จะต้องเดินทางมายื่นเอกสารด้วยตนเองที่สำนักงานเขตบางรักล่วงหน้าเท่านั้น ในวันและเวลาราชการ (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.00-16.00 น) เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารกับทางสถานทูต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 236 1395 ต่อ 6231 หรือ 6233 ในวันและเวลาราชการ ดูรายละเอียดทางเว็บไซต์ www.bangkok.go.th/bangrak หรือทางเฟซบุ๊ก ฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตบางรัก

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ 2567 สำนักงานเขตบางรักได้จัดเจ้าหน้าที่ เตรียมพร้อมบริการจดทะเบียนสมรส โดยจะเริ่มเปิดตรวจสอบคำร้องตั้งแต่เวลา 07.00-16.00 น. สำหรับช่วงเช้าเวลา 08.30 น. จะจัดพิธีแหขบวนขันหมากจำลอง ตามรูปแบบของวัฒนธรรมไทย และมีพิธีเปิดงานในเวลา 09.00 น. โดยเริ่มจดทะเบียนสมรสจริงให้กับคู่สมรสตัวอย่าง และมอบรางวัลทะเบียนสมรสทองคำ จากนั้นเริ่มจดทะเบียนสมรสคูแรก ในเวลา 08.00 น. ซึ่งคู่รักที่มาร่วมงานจะได้รับของที่ระลึกทุกคู่ และมีสิทธิ์ลุ้นรับทะเบียนสมรสทองคำ รวมทั้งหมดจำนวน 12 ฉบับ เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้คู่สมรสได้ร่วมสนุกภายในงาน เพื่อลุ้นรับของรางวัลจากผู้สนับสนุนอีกมากมาย สำหรับคู่รักที่มีความประสงค์จะร่วมงาน “พรหมลิขิตผูกพัน รักนิรันดร์ ณ บางรัก (Love Infinity)’” ในวันวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถเดินทางมายังศูนย์การค้าจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ ด้วยรถยนต์ส่วนตัวโดยจอดรถในตัวอาคารได้ หรือเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีสุรศักดิ์ ประมาณ 500 เมตร รถประจำทางสาย 15, 76, 77, 115, 163, 504, 514, 4-68 โดยสามารถเข้าร่วมจดทะเบียนสมรสได้ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.

Advertisement

สภากาชาดไทย ชวนบริจาคโลหิตรับเทศกาลตรุษจีน สร้างบุญ เสริมเฮง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์  : 3 กุมภาพันธ์ 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเป็นมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 ก.พ.67 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) รับปฏิทินจีน เป็นของที่ระลึก

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า วันตรุษจีน ถือเป็นเทศกาลสำคัญของจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในปี 2567 วันตรุษจีนตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับปีนักษัตรมะโรงหรือปีมังกรทอง นับเป็นปีมงคลที่เหมาะแก่การทำบุญเสริมมงคลชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนชาวไทยเชื้อสายจีน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ตรุษจีนนี้ มอบโลหิต เป็นมงคลชีวิต” ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับปฏิทินจีน “Year of The Dragon Chinese New Year 2024” แทนคำขอบคุณ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้บริจาคโลหิต ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และส่งต่อพลังดีๆ ต้อนรับปีมังกรทอง

การทำบุญด้วยการบริจาคโลหิต นับได้ว่าเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เพราะเป็นการสละโลหิตในร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่ต้องการใช้โลหิตในการรักษา นอกจากจะได้บุญในการช่วยเหลือผู้ป่วยแล้ว การบริจาคโลหิตยังส่งผลให้ผู้บริจาคมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้สามารถบริจาคโลหิตได้เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีปริมาณโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

บริจาคโลหิตได้ที่ : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) เดอะมอลล์ สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)

ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต

โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ

Advertisement

PDPC ตรวจสอบเชิงรุก 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 มกราคม 2567 PDPC เดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกต่อเนื่อง ในรอบ 2 เดือน สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 5,000 เคส และร่วมตรวจสอบเพื่อขยายผลสู่การจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว 5 ราย โดยมีโทษหนักถึงจำคุก

PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เร่งทำงานเชิงรุกตรวจสอบเฝ้าระวังการรั่วไหลและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และมาตรการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการและบูรณาการความร่วมมือกัน เมื่อคราวประชุมวันที่ 9 พ.ย.2566

ในช่วงเวลากว่า 2 เดือน นับแต่วันที่ 9 พ.ย. 2566 – 12 ม.ค. 2567 ศูนย์ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนบนเว็บไซต์ของหน่วยงานอย่างเกินความจำเป็นหรือไม่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และได้แจ้งเตือนให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขแล้ว จำนวน 5,261 กรณี เป็นหน่วยงานภาครัฐและส่วนท้องถิ่น จำนวน 4,886 กรณี โดยสำนักงานฯ จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด กับหน่วยงานที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบพบการประกาศซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก (Facebook) และดำเนินการปิดเพจแล้ว จำนวน 23 กรณี และได้มีการดำเนินการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ในการสืบสวนสอบสวนขยายผลกรณีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนให้แก่แก๊งมิจฉาชีพ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. และ 12 ธ.ค. 2566 ซึ่งล่าสุดวันที่ 11 ม.ค. 2567 ซึ่งนำไปสู่การจับกุมหรืออยู่ระหว่างการจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ จำนวน 5 ราย

ทั้งนี้ ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในช่วงก่อนหน้านี้แล้วจำนวน 2 ราย โดยรายล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีคำพิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ รวมถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 80 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี (หลังลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการรับสารภาพ) แต่ไม่รอลงอาญา ด้วยพิจารณาเห็นว่า “การนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปขายทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างร้ายแรง ทั้งยังส่งผลกระทบกับบุคคลอื่นเป็นวงกว้างและเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มมิจฉาชีพนำข้อมูลดังกล่าวไปกระทำความผิดอื่นอีก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย”

PDPC จะเดินหน้าตรวจสอบเชิงรุกและเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ตามข้อสั่งการของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

ทำเนียบฯ จัดงานวันเด็กแสนสนุก สไตล์ Soft Power

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 9 มกราคม 2567 ทำเนียบ – ทำเนียบฯ จัดงานวันเด็กแสนสนุก สไตล์ Soft Power พบกิจกรรมระบายสีหัวโขนจิ๋ว ตกแต่งว่าวจิ๋ว และเกมบันไดงูยักษ์

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ตรงกับ “วันเด็กแห่งชาติ” โดยทำเนียบรัฐบาล ได้จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทำเนียบฯ เป็นประจำ โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 13 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. โดยมีกิจกรรมไฮไลต์ คือ ให้เยาวชนสามารถนั่งเก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีและถ่ายรูปได้ แต่พิเศษไปกว่านั้น ในปีนี้พื้นที่ของตึกนารีสโมสร ที่รับผิดชอบโดยทีมโฆษกรัฐบาล จะมีการจับสลากมอบของรางวัลทุกๆ 30 นาที และมีกิจกรรมพิเศษที่จัดมาภายใต้ธีมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)

โดยกิจกรรมที่ 1 เกมบันไดงู กระดานจัมโบ้ ให้เยาวชนร่วมสนุกล่ารางวัลในเกม ด้วยการโยนลูกเต๋ายักษ์และเดินตามเกมกระดาน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและความทรงจำวัยเด็กของคนไทยมายาวนาน

กิจกรรมที่ 2 ตกแต่งว่าวจุฬา-ปักเป้าจิ๋ว เพื่อรับเป็นของเล่นที่ระลึก และเรียนรู้เกี่ยวกับการแข่งขันว่าวต่อสู้ ซึ่งเป็นกีฬากลางแจ้งในฤดูร้อนของภาคกลางที่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมไทย ที่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หาสัมผัสได้ยาก โดยในวันงาน “ครูชาย” คเณศณัฏฐ์ เอื้อนสุภา ประธานชมรมว่าวจุฬา-ปักเป้าพระฤาษีตรีเนตร ในเขตบางพลัด จะเป็นผู้มาให้ความรู้แก่เยาวชน

กิจกรรมที่ 3 ระบายสีหัวโขนปูนปลาสเตอร์ พร้อมรับความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโขนและตัวละครในรามเกียรติ์ จาก “ครูนก” พิชิต บุญจินต์ จากบ้านหัวโขนลูกพระพาย ในชุมชนบ้านบุ เขตบางกอกน้อย ที่ทำงานเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมโขนไทยมายาวนาน

กิจกรรมที่ 4 การรับชมการแสดงของวงไอดอลไทยน้องใหม่ “วง Sora! Sora!” ใน 2 ช่วงเวลา คือ 11.00 น. และ 15.00 น. ซึ่งนอกเหนือจากให้ความสนุกสนานแล้ว สมาชิกของวงจะมาร่วมเล่นกิจกรรมต่างๆ กับน้องๆ บอกเล่าถึงประสบการณ์ของการเป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่ใช้เสียงดนตรีและการแสดงในการบอกเล่าเรื่องราวออกสู่สังคม

กิจกรรม 5 คือ การสวมบทบาทเป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯ บนโพเดียมแถลงข่าว ในตึกนารีสโมสร เพื่อเป็นประสบการณ์ที่ดีและได้บันทึกภาพแห่งความทรงจำไว้ด้วย

“การจัดงานในพื้นที่ตึกนารีสโมสรปีนี้ เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือร่วมใจของหลายๆ ภาคส่วน ขอบคุณสโมสรโรตารี่ ผู้สนับสนุนหลัก และผู้สนับสนุนรายอื่นๆ เช่น มูลนิธิวินวิน พัดลมฮาตาริ น้ำดื่มสปริงเกอร์ สายการบินนกแอร์ และจิตอาสาทีมไรท์ ที่ทำให้เกิดงานในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม ขึ้นได้ นอกเหนือจาก 5 กิจกรรมที่จะมีขึ้นในพื้นที่ของตึกนารีสโมสรแล้ว ในพื้นที่อื่นๆ ของทำเนียบรัฐบาลจะมีการจัดกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมาย ขอให้พาบุตรหลานมาร่วมงานกันเยอะๆ นะคะ” นางรัดเกล้า​ กล่าว

เฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์ย่อย JN.1

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มกราคม 2567 เฝ้าระวังโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ JN.1 หลังพบในหลายประเทศปะปนในน้ำเสีย อาการไม่แตกต่าง แต่หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันดีขึ้น

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยถึงการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ JN.1 (เจเอ็น วัน) ว่า พบผู้ป่วยแล้วในหลายประเทศ ทั้งในประเทศฝั่งยุโรป สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา และมีแนวโน้มในไทยด้วย ทั้งนี้ โควิด-19 สายพันธุ์ JN.1 พัฒนาต่อเนื่องมาจากสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.2.86 โดยพบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตรงโปรตีนหนาม 1 ตำแหน่ง ทำให้หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น จากเดิมที่ร่างกายเคยเรียนรู้วิธีป้องกัน อาจจะยากขึ้นต่อการรับมือ แต่อาการที่พบ ไม่ได้แตกต่างกับสายพันธุ์โอมิครอน ที่ผ่านมา

ส่วนการประกาศเรื่องไวรัสขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่ประกาศให้สายพันธุ์ JN.1 เป็นแบบ VOI หรือ Variants of interest หมายถึง เป็นสายพันธุุ์ที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้น่ากังวลเท่าสายพันธุ์อัลฟา เบตา แกมมา และเดลตา เบื้องต้นพบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์ JN.1 ในไทยแล้ว 3 คน และอาจต้องเฝ้าระวังจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงนี้เข้มงวดการตรวจเชื้อโควิดน้อยลง

ขณะที่อาการลักษณะคล้ายโอมิครอน ไม่รุนแรง แต่เป็นที่น่ากังวล เพราะสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบสาธารณสุขต้องเตรียมพร้อมรองรับด้วย อีกทั้งจะมีอาการผิดปกติระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากมีการตรวจพบเชื้อ JN.1 ในน้ำเสียในหลายประเทศ แหล่งอุจจาระและปัสสาวะในชุมชน อาจเป็นไปได้ว่าเชื้อมีการเคลื่อนตัวจากปอด ลงมาสู่ระบบทางเดินอาหารหรือไม่ จึงพบไวรัสในน้ำเสีย หัวหน้าศูนย์จีโนมฯ เปิดเผยว่า WHO จะให้มีการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนในไทยคาดว่าที่มีปัจจุบันมีเยอะน่าจะเป็นรุ่นที่ 2 ไบวาเลนท์ ซึ่งยังคงฉีดได้ แม้จะไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่ช่วยลดความอาการรุนแรงของโรคได้

ขณะที่วัฏจักรการระบาดของโควิด-19 ในช่วงเดือนมกราคม เป็นเรื่องปกติของการระบาด เหมือนช่วงเดลตาและโอมิครอน ซึ่งช่วงต้นปี 2024 พบการระบาดสายพันธุ์ JN.1 เป็นหลักแล้วหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จึงต้องจับตาว่า ในบ้านเราการระบาดของ JN.1 จะมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่าเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ในช่วงระยะเวลาเดียวกันอย่างไร และจากนั้นสายพันธุ์นี้ก็จะลดหายไปในช่วงปลายเดือนมกราคม และจะมีสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาจาก JN.1 มาแทนที่ ซึ่งต้องรอดูอัตราการแพร่ระบาดและความรุนแรงอีกครั้ง ส่วนบ้านเราที่น่ากังกลเป็นช่วงหลังเทศกาลที่มีการพบปะรวมตัวกัน และยังคงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าในพื้นที่แออัด เพราะยังพอช่วยป้องกันได้

“พวงเพ็ชร” ชวน “สวดมนต์ข้ามปี” พุทธมณฑลจัดใหญ่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ ื: 30 ธันวาคม 2566 ทำเนียบ – “พวงเพ็ชร” ชวนรับน้ำมนต์ประทานจากสังฆราช และ “สวดมนต์ข้ามปี” พุทธมณฑลจัดใหญ่

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 รัฐบาลมีกำหนดจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขให้กับประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ รวมถึงกิจกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวสำหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ในชื่อ “สวดมนต์ข้ามปี วิถีไทย วิถีพุทธ วิถีพอเพียง” ณ บริเวณลานหน้าองค์พระประธานพุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยมีกิจกรรมตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ไปจนถึงช่วงเข้าวันใหม่ วันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งประชาชนจะได้ร่วมพิธี ดังนี้

1.พิธีเจริญจิตตภาวนา รับฟังการบรรยายธรรม โดยพระรันตสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง จ.นครปฐม พระสุธีวชิรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และพระมหาอดิศักดิ์ อธิปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดบรมสถล (วัดดอน) กรุงเทพมหานคร

2.พิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาพระพุทธรูปประจำวันเกิด

3.พิธีสวดมนต์ข้ามปี วิถีพุทธ วิถีพอเพียง รับศีล รับพร เข้าสู่ปีใหม่ด้วยใจเบิกบาน

4.การปฏิบัติธรรมข้ามปี ณ สำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567

นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานการ์ดพระคติธรรมอำนวยพรปีใหม่ 2567 จำนวน 5000 แผ่น มอบให้กับประชาชนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และยังทรงประทานน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ร่วมพิธีในกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี นอกจากนี้ยังประทานไฟพระกฤษ์เพื่อนำจุดเทียนชัยในการประกอบพิธีอีกด้วย

“กิจกรรมการสวดมนต์ข้ามปี เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้น้อมนำหลักธรรมคำสอน มายึดถือ ปฏิบัติ ต้อนรับปีใหม่ด้วยความสุขใจ ซึ่งมีวัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักร และวัดไทยในต่างประเทศ ได้ร่วมจัดกิจกรรมนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดกิจกรรมทางศาสนาอื่น เช่น “อารามอร่าม 10 วัด” ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยจะเปิดไฟส่องสว่าง ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนได้เข้าเยี่ยมชมความสวยงามและศิลปกรรมอันทรงคุณค่าในยามค่ำคืน ที่วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร, วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร, วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร, วัดราชนัดดาราม วรวิหาร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร จึงอยากขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นี้ค่ะ“ นางพวงเพ็ชร กล่าว

Advertisement

ทบ.เปิดจุดบริการ ปชช.ทั่ว ปท. 83 จุดช่วงวันหยุดปีใหม่

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 28 ธันวาคม 2566 กองทัพบก – กองทัพบกเปิดจัดให้บริการปชช.ระว่างเดินทางช่วงวันหยุดปีใหม่ 83 จุด ตั้งแต่ 29 ธ.ค.66 – 4ม.ค.67 กำชับหน่วยทหารดูแลที่ตั้งหน่วย –ชายแดนเข้ม

พ.ต.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก  เปิดเผยว่ากองทัพบกขอส่งความสุขในช่วงปีใหม่ผ่านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน โดยพล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศคุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ทั้งที่ตั้งหน่วยทหารและพื้นที่ตามแนวชายแดน อีกทั้งให้หน่วยทหารทั่วประเทศบูรณาการร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กระทรวงมหาดไทย

“จัดตั้งจุดบริการประชาชนแบบครบวงจร ตั้งแต่ 28 ธ.ค.66- 4 ม.ค.67ในบริเวณเส้นทางคมนาคมหลัก และเส้นทางที่เป็นจุดเสี่ยงหรือพบการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เพื่อให้ประชาชนที่สัญจร ผ่านได้แวะพักรับประทานน้ำดื่มและกาแฟ สอบถามเส้นทาง ตลอดจนใช้บริการด้านต่าง ๆ อาทิ การนวดผ่อนคลาย การแก้ไขปัญหารถเสีย โดยปีนี้หน่วยทหารกองทัพบกจัดตั้งจุดบริการประชาชนทั่วประเทศรวม 83 จุด ประกอบด้วย กรุงเทพและปริมณฑล 7 จุด ภาคเหนือ 18จุด ภาคกลาง 12 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19จุด ภาคตะวันออก 6จุด ภาคตะวันตก 12 จุด และภาคใต้ 9จุด” ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก กล่าว

พ.ต.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารบกมอบนโยบายให้รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดฝ่ายทหาร ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาจัดตั้งศูนย์ควบคุมจราจรและจุดบริการของจังหวัด ในพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองหลักหรือพื้นที่ที่มีประชาชนเดินทางจำนวนมาก เพื่อลดความคับคั่งของการจราจร และดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในภาพรวมของจังหวัดอีกทางหนึ่งด้วย

Advertisement

ก.แรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ 11 ชิ้น

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 ธันวาคม 2566 “คารม” เผย รัฐบาล โดย ก.แรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ จำนวน 11 ชิ้น ในหัวข้อ “เพิ่ม ฟรี ปรับขึ้น สะดวก ช่วยปลดหนี้” ภายใต้แคมเปญ “อุ่นใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ” มอบความสุขแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานมอบของขวัญให้ประชาชน เพื่อป็นกำลังใจแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ รวมทั้งพี่น้องแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 จำนวน 11 ชิ้น ในหัวข้อ “เพิ่ม ฟรี ปรับขึ้น สะดวก ช่วยปลดหนี้” ภายใต้แคมเปญ “อุ่นใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ” เพื่อมอบความสุขแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ดังนี้

ชิ้นที่ 1 “เพิ่ม”อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน 6 สาขาอาชีพ 54 สาขา ตามร่างอัตราค่าจ้าง ตามมาตรฐานฝีมือ 54 สาขา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากวันที่ประกาศแล้ว

ชิ้นที่ 2 “ปรับขึ้น”อัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยคณะกรรมการไตรภาคีได้พิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.66 และได้นำมาทบทวนอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ซึ่งที่ประชุมไตรภาคีได้มีมติเห็นชอบให้ใช้มติเดิม ผมเองก็จะนำมติในเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความเห็นชอบให้มีผลใช้บังคับในช่วงเดือนมกราคม 2567 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องแรงงาน

ชิ้นที่ 3 “ฟรี”กู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ดอกเบี้ย 0% จำนวน 24 เดือน โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 – 24 โดยไม่ปลอดเงินต้น และงวดที่ 25 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ผู้รับงานไปทำที่บ้านรายบุคคลยื่นคำขอกู้ไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มบุคคลกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลายื่นคำขอกู้ ตั้งแต่1 ธ.ค.66 – 31 ส.ค.67 กรอบวงเงิน 5,000,000 บาท ทำให้มีผู้จดทะเบียนเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านกว่า 6,000 ราย เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 16.2 ล้านบาทต่อปี

ชิ้นที่ 4 “ฟรี”ตรวจเช็คสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ก่อนเดินทาง 7 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 22 – 28 ธ.ค. 66 ในวันและเวลาราชการ ฟรี 10 รายการ ได้แก่ ล้อ/ลมยาง ระบบเบรก กรองอากาศ ระบบไฟเลี้ยว/ไฟสัญญาณ ใบปัดน้ำฝน ระบบปรับอากาศ น้ำยาฉีดกระจก แบตเตอรี่ น้ำกลั่นพวงมาลัย/แฮนด์/แตร

ชิ้นที่ 5 “ฟรี” ฝึกอบรมออนไลน์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ ภาษาจีน การตลาดออนไลน์ และดิจิทัล ฟรีจำนวน 10,000 สิทธิ์ เพื่อแรงงานไทยได้ Up skill ตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา ตั้งแต่วันที่ 22 – 28 ธ.ค.66 หรือจนกว่าจะครบ

ชิ้นที่ 6 “ช่วยปลดหนี้” ผ่านโครงการเงินกู้สร้างสุข ปลดทุกข์หนี้นอกระบบ ในวงเงินไม่เกินคนละ 100,000 บาท เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ นำไปปลดหนี้สิน หรือลงทุนประกอบอาชีพเสริม ในวงเงินโครงการ จำนวน 50,000,000 บาท เพื่อพัฒนารายได้แก่ตนเองและครอบครัวให้แรงงานได้รับสวัสดิการที่ดีสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างรากฐานความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

ชิ้นที่ 7 “ฟรี”อบรม Safety 10,000 คน เพื่อให้นายจ้างปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ลดอุบัติเหตุ อุบัติภัยจากการทำงาน ทำให้ลูกจ้างได้รับการดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทำงาน จำนวน 1,000,000 คน

ชิ้นที่ 8 “ฟรี”ตรวจสุขภาพ 14 รายการ ผู้ประกันตนสุขภาพดีถ้วนหน้า อาทิ มะเร็งปากมดลูก ตรวจคัดกรอกมะเร็งลำไส้ ตรวจเต้านม ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เชื้อไวรัสตับอักเสบ ตรวจไขมันในเลือด เริ่ม 1 มกราคม 2567

ชิ้นที่ 9 “สะดวก”ผู้ประกันตนฟันดีด้วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ ณ สถานประกอบการ (SSO Mobile e-Dent) วงเงิน 900 บาท/คน/ปี โดยผู้ประกันตนเข้ารับบริการทันตกรรมด้วยรถ Mobile Service สะดวก ไม่ต้องสำรองจ่าย มอบสิทธิประโยชน์ทำฟันสะดวก อุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน และผ่าตัดฟันคุด ที่สถานประกอบการ ด้วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ประกันสังคม ผู้ประกันตนสะดวก ทำฟันสะดวก ที่สถานประกอบการ ไม่ต้องหยุดงาน ไม่ต้องเดินทาง เริ่ม 1 ม.ค. – 31 มี.ค.67

ชิ้นที่ 10 “ฟรี”บริการประกันสังคมครบจบใน APP เดียว “SSO plus+”ภายใต้โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล กลางเชื่อมต่อบริการประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนอย่างเฉพาะเจาะจง และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรวมศูนย์การบริการตามภารกิจหลักของกองทุนเงินทดแทน เพื่อความสะดวกให้ผู้ประกันตน เริ่ม 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

ชิ้นที่ 11 “ฟรี”ติดตั้งระบบรายงานจุดเสี่ยงอันตรายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และประเมิน ความเสี่ยงขั้นต้น เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ม.ค.67 สถานประกอบกิจการมีระบบรายงานจุดเสี่ยงอันตราย และประเมินความเสี่ยงขั้นต้นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน

Advertisement

รัฐบาลยัน เดินหน้าปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ลดความเหลื่อมล้ำประชาชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 ธันวาคม 2566 รัฐบาลจะเดินหน้าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อ ลดความเหลื่อมล้ำให้ประชาชน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติเห็นชอบปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2567 ตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมไปก่อน ว่ารัฐบาลเข้าใจสิ่งใดสามารถดำเนินการได้ พรรคเพื่อไทยในช่วงเลือกตั้ง ก็ได้มีการหาเสียงไว้ ดังนั้นรัฐบาลมีสิทธิ์รับฟังความคิดเห็น ขณะเดียวกัน คณะกรรมการมีหน้าที่ตามกฏหมาย ซึ่งเป็นเอกสิทธิไม่สามารถไปแทรกแซงได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้ และไม่มีข้อบังคับที่ระบุว่า 1 ปีให้พิจารณาการขึ้นค่าแรงเพียงครั้งเดียว หากผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการมีการทบทวนหรือพิจารณาใหม่อีกครั้งภายในปีเดียวกันก็ได้ ยืนยัน เรื่องนี้เป็นไปตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเคยระบุไว้ ส่วนตัวคิดว่า ตรรกะนายกรัฐมนตรี มองในเชิงการมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเห็นว่ามีช่องว่างและมีความเหลื่อมล้ำสูง เชื่อว่าเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีจะมีการขับเคลื่อนต่อ รวมถึงคณะรัฐมนตรีได้เห็นคล้อยตามนายกรัฐมนตรี จะต้องมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

ส่วนจะเป็นการผลักผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากย้ายฐานการผลิตจะทำให้เกิดช่องว่างของตลาด ย้ำว่า ธุรกิจทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าแรงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของเส้นทางคมนาคมขนส่ง ความเสถียรของไฟฟ้า ซึ่งยังมีปัจจัยอื่นอีกมาก ส่วนตัวไม่ห่วง เพราะหากถอยออกไปก็จะมีคนที่อยู่ได้และมีการขยายตัวเข้ามาแทนที่

Advertisement

Verified by ExactMetrics