วันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

นายกฯชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแส Gen Z ใส่ผ้าไทย

People Unity News : 6 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit สร้างกระแสวัยรุ่น Gen Z ใส่ชุดผ้าไทย ด้านศิลปิน ดารา คนดัง ร่วมเป็นต้นแบบใช้งานคราฟต์สร้างมูลค่าเพิ่ม หัตถกรรมไทยให้โกอินเตอร์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ชื่นชมแคมเปญ Friend of sacit ของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่มีออกกิจกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานหัตถกรรมไทยด้านต่างๆ ให้ทันสมัยเป็นที่สนใจของคนไทยและต่างชาติ เช่น ล่าสุดได้ชวนคนรุ่นใหม่แสดงพลังต้นแบบการใช้ผ้าไทยในกิจกรรม “แปลงโฉมวัยรุ่น Gen Z ด้วยผ้าไทย” ที่ให้วัยรุ่นมาสวมใส่ชุดผ้าไทยที่มีเสน่ห์แตกต่างกันตามภูมิภาค เพื่อสร้างกระแสการสวมใส่ผ้าไทยในหมู่เยาวชน เป็น Soft Power ที่จะส่งผลบวกทั้งด้านวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แคมเปญ Friend of sacit ได้เชิญศิลปิน ดารา นักแสดง เซเลบริตี้คนดัง และผู้ที่อยู่ในแวดวงงานคราฟต์ มาเป็นต้นแบบเพื่อสื่อสารในภาพลักษณ์ของงานหัตถศิลป์ไทยในผลงานต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ส่วนตัว ที่มีความสวยงาม ทันสมัย สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป สะท้อนพลังสร้างสรรค์ของงานศิลปหัตถกรรมที่สามารถออกแบบให้มีความเป็นสากลแต่ยังคงสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างโดดเด่นได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศไทยไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจ ซึ่งการผลักดัน Soft Power ไทยด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรม จะเป็นการต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาประเทศ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความมั่นคง และการสร้างเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก

Advertisement

มีลุ้น!!! คนไทยได้เชียร์บอลโลก

People Unity News : 2 พฤศจิกายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” บอกกำลังเจรจา กสทช.ถ่ายทอดบอลโลก ด้าน “สมศักดิ์” ระบุ ดีลช้าราคาจะถูกลง แต่อาจโดนวิจารณ์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค. 65 ที่ประเทศกาตาร์ ว่า เป็นหน้าที่ของตนที่จะทำให้ได้ อยากให้ดูกันทุกคน

เมื่อถามย้ำว่าคนไทยจะได้ชมแน่ๆใช่หรือไม่และถ่ายทอดทางช่องใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ เดี๋ยวให้ได้ก่อน โดยใช้งบประมาณของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะงบประมาณนี้ ทำให้ประชาชน

ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีไม่มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกเหมือนปีที่แล้ว ว่า ตนไม่ได้เป็นคนเริ่ม หลายท่านเป็นคนเริ่ม ตนเลยตอบไม่ถูก เอาเป็นว่ามีให้ดูก็โอเคแล้ว และงบที่ใช้น่าจะไม่ถึงหลักพันล้านบาท เพราะตนบอกในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ถ้ายิ่งช้ามันยิ่งคุ้ม ครั้งที่แล้วเหลือ 300 ล้านบาท เคยดีลมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าทำช้าไปก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เสียหน้า ตอนนี้ยังไม่ถือว่าช้าและราคาเริ่มลง

เมื่อถามว่าประเทศไทยถูกมองว่าใช้งบประมาณถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมากที่สุดในภูมิภาค นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเราทำสัญญามันก็ถูก เพราะเขากลัวเราไม่เอา และว่า “แม้ผมจะชอบเล่นฟุตบอล แต่ไม่ชอบดูฟุตบอลโลก เพราะมีหลายทีมไม่รู้จะเชียร์ใคร เยอะไปหมด”

Advertisement

กต.-มูลนิธิไทย มอบรางวัลทูตสาธารณะครั้งแรกของไทย 

People Unity News : 20 ตุลาคม 2565 กต. จับมือมูลนิธิไทย มอบรางวัลการทูตสาธารณะเชิดชูเกียรติบุคคลทำงานสาธารณประโยชน์ ด้าน “นพ.สุนทร อันตรเสน” ผู้รับมอบรางวัลคนแรก ชี้เป็นกำลังใจให้เดินหน้าทำงานต่อ และหวังสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยคนอื่นด้วย

กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับมูลนิธิไทย โดยนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการมูลนิธิไทย และนายธฤต จรุงวัฒน์ เลขาธิการมูลนิธิไทย จัดทำโครงการรางวัลการทูตสาธารณะเพื่อเชิดชูเกียรติบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่ดำเนินงานสาธารณประโยชน์ มนุษยธรรม วัฒนธรรม กีฬา นวัตกรรม จนสามารถสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศไทยและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ

นายธฤต กล่าวว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการมอบรางวัลนี้ เพื่อจารึกเป็นเกียรติสำหรับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ โดยนายแพทย์สุนทร อันตรเสน เป็นผู้ได้รับมอบรางวัล จากที่มีการเสนอรายชื่อมา 8 คน โดยถือว่ามีผลงานโดดเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมากว่า 30 ปี ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และในฐานะที่เป็นคนไทยช่วยให้คนหายป่วยได้ ทำให้ได้รับความประทับใจ และทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักนิยม ได้รับการยอมรับ จึงถือเป็นการส่งเสริมให้ผู้รับรางวัลสามารถดำเนินงานตามเจตนารมณ์ต่อไป และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่น อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้ว่าประชาชนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานการทูตสาธารณะได้

ด้านนายแพทย์สุนทร อันตรเสน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเป็นกำลังใจให้ตนและทีมงานได้เดินหน้าทำงานต่อไป ซึ่งได้ทำงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหูมาตั้งแต่ปี 2518 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริเวณชายแดน เมื่อเห็นคนไข้มาหาก็อยากจะช่วย การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดีกว่าตั้งรับอยู่เฉยๆ ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคนไข้หลากหลาย รวมถึงรัฐมนตรีของเมียนมาด้วย และหลายเคสหากไม่ช่วยอาจจะเสียชีวิตจากฝีในสมองอักเสบได้ พร้อมทั้งหวังว่าการที่มีการมอบรางวัลเช่นนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำงาน เพื่อสาธารณะมากขึ้น ซึ่งในส่วนของตนก็อยากได้คนมาสานต่อ เพราะตอนนี้อายุ 82 ปีแล้ว

สำหรับผู้ได้รับรางวัลในปีนี้คือ นายแพทย์สุนทร อันตรเสน ซึ่งมีผลงานเด่นในการนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรคหู (Ear Surgery Mobile Unit) ไปให้บริการตรวจรักษาและผ่าตัดโรคหูให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นพื้นที่ห่างไกลในประเทศต่างๆ เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ เคนยา เมียนมา สปป ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

Advertisement

เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อหลายรูปแบบ

People Unity News : 14 ตุลาคม 2565 เตือนภัยผู้ใช้แอปฯ หาคู่ ระมัดระวังการคบหาบุคคลบนโลกออนไลน์ เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อาชญากรรมหลายรูปแบบ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปรากฏกรณีการใช้แอปพลิเคชันหาคู่เป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมโดยต่อเนื่อง เช่นล่าสุดได้ปรากฏว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ได้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หลอกลวงเหยื่ออีกรายและมีการกักขัง ทำร้ายร่างกาย แต่เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้และจับกุมผู้กระทำผิดได้

ดังนี้ จึงขอเตือนให้ประชาชนที่มีการใช้แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดียทุกช่องทางในการหาคู่ ให้ใช้ความระมัดระวังในการคบหาผู้ที่พบกันในช่องทางดังกล่าวอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีมิจฉาชีพ และอาชญากรรูปหลากหลายรูปแบบแอบแฝงอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงไปทำร้ายร่างกาย หลอกลวงเพื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วถ่ายคลิปเพื่อนำไปแบลคเมลเรียกเงินจากเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่พบมากคือกลุ่มโรแมนซ์สแกม ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติ ที่จะเข้ามาหาเหยื่อในลักษณะตีสนิท พูดคุยคบหาเป็นคนรัก จากนั้นจะสร้างเรื่องราวต่างๆ เพื่อหลอกลวงให้มีการโอนเงินให้กลุ่มคนร้าย หรือบางกรณีหลอกลวงใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย

“ปัจจุบันแอปพลิเคชันหรือโซเชียลมีเดียเพื่อการหาคู่ได้รับความนิยมมากของคนทุกวัย เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อหาคู่ได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ความนิยมดังกล่าวก็เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพ อาชญากรไซเบอร์เข้ามาใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเหยื่อด้วยรูปแบบต่างๆ จึงขอเตือนให้ผู้ใช้บริการใช้ความระมัดวัง อย่าหลงเชื่อผู้ที่พบกันในโซเชียลมีเดียโดยง่าย ขอให้ตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะคบหาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะที่เข้ามายืมเงินและให้โอนเงินไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอย่าโอนเด็ดขาดให้สันนิษฐานก่อนว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาหลอกลวง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งเหตุอาชญากรรมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและมีการออกข่าวสารเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแนะนำแนวทางป้องกันการถูกหลอกลวงจากใช้แอปพลิเคชันหาคู่ ดังนี้ 1)ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก 2) ไม่หลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดโดยง่าย หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วย 3) ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือเพียงลำพัง ควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้งานว่าแอปพลิเคชันไหนใช้ได้บ้างหรือแอปพลิเคชันใดควรหลีกเลี่ยง 4) อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไปให้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าอาจจะดีเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์

ทั้งนี้ หากผู้ใช้แอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ พบเบาะแสการกระทำผิดไม่ว่าจะรูปแบบใด ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ความช่วยเหลือ และดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามขั้นตอนกฎหมาย โดยสามารถแจ้งได้ทั้งสายด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 191 หรือ สายด่วน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

Advertisement

“ตรีนุช” สั่งให้อาชีวะเร่งติดประตู-หน้าต่างนิรภัยศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ

People Unity News : 10 ตุลาคม 2565 นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจ ระดมมาตรการป้องกันภัยสถานศึกษาทุกระดับ มอบ “ตรีนุช” เดินหน้าให้อาชีวะติดตั้งประตู-หน้าต่างนิรภัยศูนย์เด็กเล็กสังกัด สพฐ. – กระทรวงมหาดไทย ทั่วประเทศ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เร่งดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการหามาตรการป้องกันและเฝ้าระวังเหตุร้ายภายในพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนสอนเด็กปฐมวัย ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ

“กระทรวงศึกษาได้ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ติดตั้งระบบประตูป้องกันภัยให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดและโรงเรียนสอนเด็กปฐมวัย ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ เพื่อคัดกรองบุคคลแปลกหน้าเข้า-ออกในพื้นที่  โดยให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคและอาชีวะ ในสังกัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประสานกับหน่วยการจัดการศึกษาปฐมวัยในจังหวัด สังกัด สพฐ. เทศบาล องค์กรบริหารส่วนจังหวัด องค์กรบริหารส่วนตำบล และเอกชน สำรวจความต้องการจัดตั้งระบบป้องกันภัย ตามบริบทของแต่ละพื้นที่  โดยให้สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อาทิ ช่างเชื่อม ช่างก่อสร้าง ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างเมคคาทรอนิกส์ และช่างไฟฟ้า จัดทำและติดตั้งระบบป้องกันภัย” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เบื้องต้น ได้ประสานให้วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา เป็นจังหวัดต้นแบบนำร่องเพื่อใช้ทั่วประเทศ ในการออกแบบทดลองระบบป้องกันภัยให้กับนักเรียนเด็กเล็ก โดยมุ่งหวังเป็น ประตู-หน้าต่างนิรภัยศูนย์เด็กเล็กแบบครบวงจร ที่มีคุณภาพและความแข็งแรงมีระบบเตือนภัยภายใน พร้อมกับมีกล้องตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงและเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที ซึ่งนายธนภัทร แสงจันทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมาได้เร่งดำเนินการออกแบบและจัดหาอุปกรณ์ในการดำเนินการ และคาดว่าต้นแบบจะออกมาให้ได้ภายในสัปดาห์หน้า

“รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ โดยนายกรัฐมนตรีเตรียมระดมมาตรการเพื่อออกแบบให้สถานศึกษามีความปลอดภัยทุกระดับ โดยเฉพาะกำลังพิจารณาแนวทางการติดตั้งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่  เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งเน้นย้ำการซักซ้อมวิธีการเอาตัวรอดจากการเผชิญเหตุร้าย เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนมีทักษะสามารถปฏิบัติตามวิธีการที่ถูกต้อง เพื่อลดการสูญเสีย” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว

Advertisement

เปิดตัว “LINE ALERT” บัญชีแจ้งเตือนภัยพิบัติ

People Unity News : 7 ตุลาคม 2565 เปิดตัว “LINE ALERT” บัญชีแจ้งเตือนภัยพิบัติ ให้ ปชช. ติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติอย่างทั่วถึง ทันเวลา

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกรมอุตุนิยมวิทยา จับมือ LINE ประเทศไทย เปิดตัว “LINE ALERT” บัญชีทางการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ยกระดับการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่ประชาชนผ่านการบูรณาการข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างหน่วยงานด้านภัยพิบัติและแพลตฟอร์ม LINE

LINE ALERT จะเป็นช่องทางให้บริการข้อมูลข่าวสารและการแจ้งเตือนภัยต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศ ผ่านระบบการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่รวดเร็วและเข้าถึงระดับพื้นที่ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ทั่วถึง ทันเวลา และสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที

ประชาชนสามารถรับการแจ้งเตือนภัยได้แล้ววันนี้ เพียงเพิ่มเพื่อนใน LINE > ค้นหา @linealert หรือ คลิก https://lin.ee/l40xtWN

Advertisement

“ไทย” ติดอันดับ 3 Top Countries in the World

People Unity News : 6 ตุลาคม 2565 นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงาน สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ที่ประเทศไทยได้อันดับ 3 “ประเทศระดับท็อปของโลก” (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ ‘ดีที่สุด’ อื่นๆอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers’ Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโก ได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

ในขณะที่การจัดอันดับ 10 ‘เกาะยอดนิยม’ ในเอเชีย เกาะสมุยได้อันดับที่ 3 ด้วยคะแนน 92.13 ภูเก็ตอยู่ที่ 5 ด้วย 90.88 คะแนน ส่วนเกาะพีพี อยู่ที่อันดับ 10 ด้วยคะแนน 76.41 นอกจากนี้ การประกาศรางวัลดังกล่าวได้มีการจัดอันดับ The Best ในส่วนของของรีสอร์ท โรงแรม สปา และอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยก็ติดอันดับสูงในหลายรายการอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนทุกคน ที่มีส่วนร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย จากเสน่ห์ และความมีเอกลักษณ์ของประเทศ จนได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับด้านต่างๆหลายรายการจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยมีชื่อเสียงในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่สนใจชาวต่างชาติประสงค์เดินทางมาไทย ทั้งเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ทำงาน และมาอยู่อาศัย ซึ่งรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมดำเนินนโยบายที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของกระแสโลก เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ชื่นชมผลงาน สคบ. แก้ปัญหาผู้บริโภครอบด้าน

People Unity News : 20 กันยายน 2565 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการประชาชน การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคกับอาเซียน การคุ้มครองผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์โควิด-19 การบังคับใช้กฎหมาย การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อ และการดำเนินการเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้บริโภค

ทั้งนี้ สคบ. ได้แก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคทั่วประเทศสามารถยุติได้ จำนวน 13,697 เรื่อง ผู้บริโภคได้รับการเยียวยาความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 384,338,946.48 บาท การฟ้องคดีแทนผู้บริโภค จำนวน 422 ราย ผู้บริโภคได้รับการเยียวยาความเสียหายเป็นเงินจำนวน 130,931,494.93 บาท การบังคับคดีตามคำพิพากษา โดยตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจแทนผู้บริโภค จำนวน 1,225 คดี ผู้บริโภคจำนวน 7,067 ราย เปรียบเทียบความผิดผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค จำนวน 38 ราย เป็นเงิน 2,760,000 บาท

สคบ.ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน ได้แก่ ระบบร้องทุกข์ออนไลน์ ไกล่เกลี่ยออนไลน์ การจดทะเบียนขายตรงและตลาดแบบตรงออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน OCPB Connect และ Chat Bot “พี่ปกป้อง” ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ หรือ Big Data เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขี้น รวมทั้งดำเนินงานด้านต่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือด้านการคุ้มครองผู้บริโภคกับนานาชาติเรื่องต่างๆ เช่น การพัฒนากลไกการแจ้งและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ การสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภคของอาเซียนในการเยียวยาผู้บริโภคข้ามแดน เป็นต้น และจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) จำนวน 2 ฉบับ ระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร และไทย-รัสเซีย เพื่อประสานความร่วมมือด้านการคุ้มครองผู้บริโภค โดย MoU ทั้งสองฉบับอยู่ระหว่างการลงนาม

พล.อ.ประวิตร แสดงความชื่นชมผลการดำเนินงานด้านต่างๆ อันก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมในวงกว้าง โดยขอให้บูรณาการทำงานและร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ปัญหา อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและคุ้มครองสิทธิด้านต่างๆ ให้กับประชาชน ประชาสัมพันธ์ผลงานและสร้างการรับรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อการให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ รวมทั้งขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เข้มแข็ง เสียสละ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน 

Advertisement

ไทยอยู่กลุ่มประเทศพัฒนามนุษย์สูงสุด 3 ปีต่อเนื่อง

People Unity News : 11 กันยายน 2565 UNDP เผยไทยอยู่ในกลุ่มประเทศมีการพัฒนามนุษย์สูงสุด 3 ปีต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จนโยบายรัฐบาลเร่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกด้าน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาของสหประชาชาติ (UN) ได้เผยแพร่รายงานการพัฒนาของมนุษย์ (Human Development Report) ปี 2021/2022 ซึ่งมีสาระสำคัญระบุถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ที่กระทบต่อการพัฒนาของมนุษย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับโรคระบาด ผลจากสงครามที่กระทบต่อราคาน้ำมันและค่าครองชีพ ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับมีข้อเสนอแนะต่อประเทศต่างๆ ในการกำหนดนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในสถานการณ์ความไม่แน่นอน

พร้อมกันนี้ ในรายงานได้จัดทำดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์ โดยรายงานระบุถึง HDI ของไทยในปี 2021 อยู่ที่ 0.800 อยู่ในลำดับที่ 66 จาก 191 ประเทศทั่วโลก จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูงมาก และอยู่ในประเทศกลุ่มนี้ต่อเนื่องมา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2019 หรือ พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หากพิจารณาเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนมี 4 ประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูงมาก ได้แก่ สิงคโปร์ (0.939) บรูไน (0.829) มาเลเซีย (0.803) และไทย (0.800) ประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูง มี 2 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย (0.705) เวียดนาม (0.703) และประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับกลาง มี 4 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (0.699) สปป.ลาว (0.607) และเมียนมา (0.585)

ทั้งนี้ HDI จะวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความรู้ และด้านการครองชีพ แบ่งระดับการพัฒนาเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งในปี 2021 ใน 191 ประเทศทั่วโลก จัดอยู่ในแต่ละกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีการพัฒนาสูงมาก (ดัชนี 0.800-1.000) จำนวน 66 ประเทศ, พัฒนาสูง (ดัชนี 0.700-0.799) จำนวน 49 ประเทศ, พัฒนาระดับกลาง (ดัชนี 0.550-0.699) จำนวน 44 ประเทศ และ พัฒนาต่ำ (ดัชนี 0.350-0.549) จำนวน 32 ประเทศ

“การที่ประเทศไทยมีผลการพัฒนามนุษย์อยู่ในระดับสูงมากได้ต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จในการผลักดันนโยบายด้านต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะยังคงขับเคลื่อนโดยรับฟังข้อแนะนำขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNDP มาปรับใช้ และเดินหน้าตามแผนงานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนแม่บทฉบับต่างๆ ที่แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบ โดยมีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาและยกดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นต่อเนื่อง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

Advertisement

ธอส.เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “GHB Green Together” ลดภาวะโลกร้อน เปลี่ยนพฤติกรรมสู่ไลฟ์สไตล์กรีน

People Unity News : 2 กันยายน 2565 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ชูแคมเปญ “GHB Green Together” ลดภาวะโลกร้อนไปด้วยกัน เปลี่ยนพฤติกรรมสู่ไลฟ์สไตล์กรีน เรียนรู้และลงมือทำอย่างจริงจัง ช่วยลดการเกิดขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งวงจร ตั้งแต่การผลิตจนถึงการบริโภค โดยเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ของแคมเปญที่ Facebook Fanpage “ธนาคารอาคารสงเคราะห์” แนบภาพบอกเล่าไอเดียหรือวิธีการรักษาสิ่งแวดล้อม ตามหลัก 7R พร้อมแชร์โพสต์เป็นสาธารณะ โดยทุก 1 คอมเมนต์ ธนาคารจะบริจาคเงิน 100 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ศิริราชมูลนิธิ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจหลักในการช่วยเหลือสนับสนุนด้านการเงินเพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” และดำเนินการควบคู่กับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ธนาคารมีเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรให้เป็น Digital Bank และก้าวไปสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bank) เพื่อมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน ที่มีสาเหตุมาจากกระบวนการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดมลภาวะด้านต่างๆขึ้น ธอส. จึงมีแนวคิดในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงานประจำวัน ตลอดจนร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บริการและกระบวนการทำงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมและสร้างจิตสำนึกแก่ผู้ปฏิบัติงานธนาคาร ลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาชนทั่วไป ให้เห็นความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “GHB Green Together” ตามหลักการ 7R ประกอบด้วย

1.Rethink : คิดให้รอบคอบถี่ถ้วน ก่อนซื้อสินค้าบริโภคหรือสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ

2.Reduce : ลดการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่จะช่วยประหยัดทรัพยากรลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.Reuse : ใช้ซ้ำ หรือการนำของที่ยังใช้ได้กลับมาใช้ซ้ำอีกครั้ง

4.Recycle: การนำสิ่งที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้แล้ว ซึ่งอาจจะฉีกขาด แตกหัก กลับไปเข้ากระบวนการแปรรูปให้เป็นวัตถุดิบ โดยอาจจะใช้วิธีหลอม Recycle เพื่อนำกลับมาผลิตของขึ้นมาใหม่

5.Repair :  ซ่อมแซมสิ่งของที่มีความจำเป็นที่ยังต้องใช้งานให้นานที่สุด

6.Regift : ส่งต่อของที่ไม่ได้ใช้งานแล้วให้ผู้อื่นใช้งานต่อ

7.Refuse : ปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น บรรจุภัณฑ์ซ้ำซ้อน วัสดุที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

และเพื่อเป็นการส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน ธอส.จึงได้เปิดพื้นที่จัดกิจกรรมให้ทุกคนที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อมสามารถร่วมสนุกได้ง่ายๆ เพียงเขียนคอมเมนต์ใต้โพสต์แคมเปญดังกล่าว ใน Facebook Fanpage “ธนาคารอาคารสงเคราะห์” และแนบภาพบอกเล่าไอเดีย หรือวิธีการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1R พร้อมติดแฮชแทก #GHBGREENTOGETHER แชร์โพสต์ และตั้งค่าเป็นสาธารณะ โดยทุก 1 คอมเมนต์ ธนาคารจะบริจาคเงิน 100 บาท ให้ศิริราชมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ต่อไป

ทั้งนี้ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมและร่วมทำบุญในแคมเปญนี้ด้วยกัน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและร่วมสนุกได้ทางเฟซบุ๊ก”ธนาคารอาคารสงเคราะห์” ที่ https://www.facebook.com/ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายนนี้

Advertisement

Verified by ExactMetrics