วันที่ 21 เมษายน 2025

ชวนทุกคนร่วมมืออนุรักษ์-ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า

People Unity News : 22 มีนาคม 2566 นายกฯ อ่านสารเนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2566 ย้ำ “น้ำ” เป็นทรัพยากรสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เชิญชวนทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ยั่งยืน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อ่านสารผ่านบันทึกวีดิทัศน์ เนื่องในวันน้ำโลก ประจำปี 2566 ออกอากาศทางเพจไทยคู่ฟ้า Facebook และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  ว่า “น้ำ” เป็นทรัพยากรสำคัญที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมโลกร่วมกันรณรงค์ให้เกิดการฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 องค์การสหประชาชาติได้กำหนดประเด็นสำคัญในหัวข้อ “เร่งการเปลี่ยนแปลง” ด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อลดวิกฤติด้านน้ำและสุขาภิบาล โดยรณรงค์ให้ทุกคนร่วมกันเป็นผู้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่อยากเห็นในโลกใบนี้

“ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในทุกมิติให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน ขับเคลื่อนภารกิจด้านทรัพยากรน้ำโดยคำนึงถึงปัจจัยรอบด้านจากการวิเคราะห์ข้อมูลของหน่วยงานและองค์กร รวมทั้งสภาพปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ได้วางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบพลวัต โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ด้าน คือ การบริการน้ำอุปโภคบริโภคที่ได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม การสร้างความมั่นคงและเพิ่มผลิตภาพของน้ำ การลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากภัยพิบัติด้านน้ำ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำและคุณภาพน้ำ และการเสริมความเข้มแข็งในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชน ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลนิเวศ วิถีทางสังคม เศรษฐกิจของพื้นที่ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างสมดุลการอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งนํ้าด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ในลักษณะลุ่มนํ้าอย่างเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน 5 ด้าน คือ การบริการน้ำอุปโภคบริโภคที่ได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม การสร้างความมั่นคงและเพิ่มผลิตภาพของน้ำ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 22 ลุ่มน้ำของประเทศที่เป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนทุกพื้นที่ ร่วมกับภาคีหน่วยงานและองค์กร นักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่น ควบคู่กับการทำความเข้าใจและขยายเครือข่ายแนวร่วมภาคประชาชน และเดินหน้าไปพร้อมกับประเทศสมาชิกในการประกาศคำมั่นโดยสมัครใจ เพื่อยืนยันความร่วมมือ เร่งการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วม ในการประชุมสหประชาชาติทบทวนการดำเนินงานด้านน้ำในห้วงครึ่งแรกของทศวรรษระหว่างประเทศแห่งการดำเนินการ “น้ำสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดการประชุมระหว่างวันที่ 22 – 24 มีนาคม 2566 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เนื่องในโอกาส “วันน้ำโลก” ประจำปี 2566 ขอเชิญชวนประชาชนทุกคน ร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า รวมทั้งมีส่วนร่วมเป็นภาคีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกัน

Advertisement

ครม.รับทราบผลการร้องทุกข์ พบปัญหาเสียงดังรบกวน ไฟฟ้าขัดข้อง หวยแพง ติดอันดับ

People Unity News : 21 มีนาคม 2566 ครม.รับทราบการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนประจำไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2566 พบปัญหาเสียงดังรบกวน ไฟฟ้าขัดข้อง และหวยแพง ติดอันดับ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนประจำไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2566 ตามที่สำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ ซึ่ง สปน. ได้ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนและการบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์ต่อไป

ทั้งนี้ ในไตรมาสที่1 ของปีงบประมาณ 2566 (1 ต.ค.-31 ธ.ค. 65) ประชาชนได้ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ 1111 รวม 14,439 เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ  12,133 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 84.03 และรอผลการพิจารณาของหน่วยงานเกี่ยวข้อง 2,306 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 15.97 โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนหน้า พบว่าเรื่องร้องทุกข์ลดลง 1,039 เรื่อง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หน่วยได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นมาก 5 อันดับแรก สำหรับส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1,430 เรื่อง, กระทรวงคมนาคม 383 เรื่อง, กระทรวงการคลัง 302 เรื่อง, กระทรวงสาธารณสุข 285 เรื่อง และกระทรวงมหาดไทย 279 เรื่อง

รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 615 เรื่อง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 127 เรื่อง, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 124 เรื่อง การไฟฟ้านครหลวง 109 เรื่อง และการประปาส่วนภูมิภาค 70 เรื่อง ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 ลำดับแรกได้แก่ กรุงเทพมหานคร 767 เรื่อง จังหวัดนนทบุรี 237 เรื่อง สมุทรปราการ 212 เรื่อง ปทุมธานี 203 เรื่อง และชลบุรี 177 เรื่อง ตามลำดับ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อแยกตามเรื่องที่ประชาชนมีการยื่นเรื่องมากที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่

1) เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน เช่น การเปิดเพลงเสียงดัง เล่นดนตรีสดของร้านอาหาร สถานบันเทิง การจับกลุ่มสังสรร เสียงดังจากการแข่งรถจักรยานยนต์ รวม 1,576 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 1,487 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ  94.35

2) ไฟฟ้า เช่น แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ไฟฟ้าส่องสว่าง เป็นต้น รวม 696 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 595 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 85.49

3) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เช่น ขอให้พิจารณาจัดสรรโควตา แจ้งเบาะแสการจำหน่ายเกินราคา ขอให้ตรวจสอบการกว้านซื้อสลากของเอกชนเจ้าของแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากออนไลน์ รวม 644 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 623 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ  96.74

4) อุทุกภัย เช่น ขอความช่วยเหลือกรณีได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉบับพลัน การระบายน้ำจากที่น้ำท่วม เงินเยียวยา เป็นต้น รวม 556 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ  512 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 93.71

5) โทรศัพท์ เช่น การให้บริการผ่านโทรศัพท์ของหน่วยงานรัฐ เช่น รอสายนาน คู่สายเต็ม รวม 543 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 474 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 87.29

6) ยาเสพติด เช่น แจ้งเบาะแสการจำหน่าย 490 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 452 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 92.24

7) การเมือง เช่น แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่อยู่ในกระแสสังคม รวม 487 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 479 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 98.36

8) ประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น ขอให้แก้ไขปัญหามิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน ตรวจสอบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รวม 473 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 314 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 66.38

9) ถนน เช่น ขอให้ซ่อมแซมถนนที่เป็นหลุมบ่อจากสาเหตุต่างๆ รวม 473 เรื่อง แก้ไขจนได้ข้อยุติ 319 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 82.66

10) ประเด็นเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย  ชื่อเสียง และเสรีภาพ เช่น ขอความช่วยเหลือจากการถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกทำร้ายร่างกาย รวม 320 เรื่อง ดำเนินการได้ข้อยุติ 281 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 87.81

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สปน. ได้ประมวลปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์พบว่าประชาชนมีความคาดหวังต่อการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว จึงขอความร่วมมือทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการกำหนดระยะเวลาแก้ไขปัญหาตลอดจนการตอบความคืบหน้าต่อผู้ร้องทุกข์  ขณะเดียวกันประเด็นการร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องซ้ำๆ เช่น เสียงดังรบกวน การแข่งจักรยานยนต์ ร้านอาหารเสียงดัง แต่หน่วยงานยังไม่มีมาตรการรับมือ ไม่มีแผนเผชิญเหตุ หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนี้ จึงได้ขอให้หน่วยงานมีการเน้นการทำงานเชิงรุก วิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ เฝ้าระวังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิม มีการจัดทำแนวทาง มาตรการและแผนเผชิญเหตุรองรับการแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบ ตลอดจนมีการบูรณาการฐานข้อมูลและการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป ทางด้านสถานการณ์โควิด19 ที่คลี่คลายแม้จะทำให้เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโรคระบาดลดลงแล้ว แต่ยังคงต้องติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหลายประเทศได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว หน่วยงานต่างๆ ยังต้องร่วมกันมีมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มงวด ขณะเดียวกันประชาชนได้ขอให้หน่วยงานรัฐมีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน เข้มงวด ได้แก่ ปัญหายาเสพติด ที่มีการแพร่ระบาดหลายพื้นที่ เข้าถึงเยาวชนมากขึ้น รวมถึงปัญหามิจฉาชีพที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบกลวิธีต่างๆ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องดำเนินการเพื่อให้ปัญหาของประชาชนได้รับการแก้ไขต่อไป

Advertisement

ทบ.จับมือ 5 หน่วยงานแก้ภัยแล้ง

People Unity News : 17 มีนาคม 2566 ผบ.ทบ.ร่วม 5 หน่วยงานเปิดโครงการราษฎร์-รัฐร่วมใจช่วยภัยแล้ง ประจำปี 66 เป็นความร่วมมือกันต่อเนื่องกว่า 20 ปี ช่วยกันแก้ปัญหาจากภัยแล้ง ภัยธรรมชาติอื่น ๆ  ลดความเดือดร้อน ปชช. ให้ประเทศอยู่อย่างผาสุข

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานเปิดโครงการราษฎร์-รัฐร่วมใจช่วยภัยแล้ง ประจำปี 2566 ที่บริเวณกำแพงอนุสรณ์กองทัพบก ภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมีผู้แทนองค์กรภาคีเครือข่าย 5 หน่วยงานร่วมยืนยันความพร้อมผลึกกำลังแก้ปัญหาภัยแล้ง

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ปัญหาภัยแล้ง ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟป่า เป็นปัญหาที่ประเทศไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย 5 หน่วยงานแก้ปัญหาภัยแล้งมาเป็นปีที่ 25 แล้ว ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาก เพราะมีหลายหน่วยงานร่วมมือกันดูแลสถานการณ์น้ำทุกด้าน รวมไปถึงการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ

“การบริหารจัดการน้ำถือเป็นพระบรมราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาที่นำมาสู่ความเจริญในด้านต่าง ๆ ซึ่งปีนี้คาดการณ์ว่าปัญหาภัยแล้งในหลายพื้นที่อาจมีความรุนแรงเช่นเดียวกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน จึงนับเป็นความร่วมมือที่ดีของหน่วยที่จะได้ร่วมกันตอบสนองพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 และสืบสานมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน” พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าว

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันช่วยเหลือประชาชน ถือเป็นมือเล็ก ๆ ที่จะมาช่วยกันเติมเต็มให้ประเทศชาติและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีให้มากที่สุด เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาภัยแล้ง เพราะประเทศยังมีปัญหาเรื่องอื่น ๆ อีกมาก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยโชคดีที่มีหลายหน่วยงานเข้าใจความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อช่วยกันทำให้ประเทศอยู่กันอย่างผาสุข จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในหลายด้าน เพื่อให้ประชาชนผ่านภาวะต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่ได้

Advertisement

ครม.เห็นชอบรายงานพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน

People Unity News : 14 มีนาคม 2566 ครม.เห็นชอบ รายงานความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน บูรณะอาคารศาลากลาง จ.น่านหลังเก่าเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก หวังอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบรับทราบรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ.2546 และมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการและพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าเสนอขอทบทวนแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านในส่วนของพื้นที่เมืองเก่าน่านต่อไป

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 คณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าน่านได้มีมติเห็นชอบโครงการการบูรณะปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่าเพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก ซึ่งต่อมาคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าได้มีมติการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 เห็นชอบในหลักการการขอเปลี่ยนแปลงแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านโดยให้ปรับปรุงอาคารศาลากลางดังกล่าวเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก พร้อมกับให้จังหวัดน่านจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านฉบับใหม่ โดยทบทวนแผนแม่บทฉบับเดิมในภาพรวม และการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณต่าง ๆ ในเมืองเก่าให้เหมาะสม โดยจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ

“จากฐานข้อมูล ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2565 มี 36 เมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเขตพื้นที่เมืองเก่า ได้แก่  น่าน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พิษณุโลก กำแพงเพชร ลพบุรี พิมาย นครศรีธรรมราช สงขลา แพร่ เพชรบุรี จันทบุรี ปัตตานี เชียงราย สุพรรณบุรี ระยอง บุรีรัมย์ ตะกั่วป่า พะเยา ตาก นครราชสีมา สกลนคร สตูล ราชบุรี สุรินทร์ ภูเก็ต ระนอง แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ยะลา นราธิวาส ร้อยเอ็ด อุทัยธานี ตรัง ฉะเชิงเทรา โดยพื้นที่ดังกล่าวจะมีแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะมีการส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาเพื่อให้พื้นที่เมืองเก่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดความเจริญทางวัฒนธรรมของประเทศไทย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

นายกฯห่วงเด็กไทยน้ำหนักเกิน-อ้วน ติด 1 ใน 3 อาเซียน แนะใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมออกกำลังกาย

People Unity News : 12 มีนาคม 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงสุขภาพเด็กไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ติด 1 ใน 3 ของอาเซียน ขอพ่อแม่ ผู้ปกครอง ดูแลให้เด็กบริโภคอาหารถูกหลักโภชนาการ ใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ ด้วยกิจกรรมออกกำลังกายป้องกันภาวะอ้วน

วันที่ 12 มีนาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยสุขภาพเด็กไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน หลังกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยข้อมูลพบ เด็กไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ติด 1 ใน 3 ของอาเซียน ซึ่งสหพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) คาดการณ์ภายในปี 2573 ประชากรอายุต่ำกว่า 20 ปี จะมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงขึ้นอีกเกือบร้อยละ 50 โดยนายกรัฐมนตรีฝากความห่วงใยมายังเด็ก ๆ ขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ช่วยดูแลสุขภาพของลูกหลาน ให้รับประทานอาหารถูกหลักโภชนาการ เสริมการออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะอ้วนโดยเฉพาะในช่วงปิดภาคเรียนนี้

นายอนุชากล่าวถึงข้อมูลของกรมอนามัย จากการเฝ้าระวังภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนในเด็กของกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 พบว่า เด็กอายุ 0-5 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน ร้อยละ 9.13 เด็กวัยเรียน 6-14 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน ร้อยละ 13.4 และเด็กวัยรุ่น 15-18 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน ร้อยละ 13.2 รวมทั้งจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (อาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูง) ในเด็ก พบว่า เด็กประมาณ 1 ใน 3 คน ดื่มนมรสหวานทุกวัน กินขนมกรุบกรอบทุกวัน และดื่มน้ำอัดลมทุกวัน เด็กประมาณ 1 ใน 5 คนดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ทุกวัน รวมทั้งเด็กยังมีภาวะในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารน้อย เด็กส่วนใหญ่ยังซื้ออาหารตามความชอบ มีเพียงส่วนน้อยที่คำนึงถึงคุณค่าทางอาหาร ซึ่งสาเหตุภาวะอ้วน ส่วนใหญ่เกิดพฤติกรรมการกินจากอาหารที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูง

ทั้งนี้ กรมอนามัยแนะนำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียน คือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ควรสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเด็กในการเลือกซื้ออาหาร และส่งเสริมโภชนาการที่ดี จากการเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ ถูกหลักโภชนาการ ลดการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารมีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูง ลดขนมหวาน และเสริมอาหารที่ถูกหลักโภชนาการให้ครบ 5 หมู่ กินอาหารกลุ่มข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เพื่อเป็นการปลูกฝังนิสัยการบริโภคที่ดีให้กับเด็ก เน้นผักและผลไม้ นอกจากนี้ ปริมาณอาหารที่เด็กได้รับในแต่ละมื้อควรเป็นปริมาณที่เหมาะสมกับอายุ ให้ได้รับสารอาหารที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป รวมทั้งควรให้เด็กออกกำลังกายง่าย ๆ เช่น เต้นแอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน กระโดดตบ กระโดดเชือก ซิทอัพ ดันพื้น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน (สะสมต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ให้เด็กได้พัฒนาร่างกาย กล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อต่าง ๆ และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะออกกำลังกาย หรือพ่อแม่ควรเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายร่วมกัน ที่สำคัญควรให้เด็กนอนหลับสนิทเพียงพอ เพื่อช่วยพัฒนาสมรรถภาพของหัวใจ สมอง การเจริญเติบโต ให้สมวัย สูงสมส่วน และแข็งแรงอีกด้วย

“พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล โซเดียมสูง ทั้งขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กไทยอ้วนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์การตลาด ลด แลก แจก แถม ชิงโชค ชิงรางวัล ที่กระตุ้นให้เด็กบริโภคอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น และเด็กส่วนใหญ่ยังซื้ออาหารตามความชอบ ซึ่งอาจส่งผลไปยังสุขภาพในอนาคตของเด็กไทย โดยพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ควรฝึกให้เด็กกินหวานลดลง ให้กินขนมไทยน้ำตาลน้อย หวานน้อย หรือฝึกให้เด็กเลือกผลไม้เป็นของว่าง ควบคู่กับการดื่มนมรสจืดและไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์หรือไขมันต่ำเป็นการทดแทน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เด็กเรียนรู้และมีวินัยในการกิน และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีคาดหวังในการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อสุขภาพของเด็กไทยอย่างยั่งยืน โดยเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันทำให้เด็กไทยปลอดภัยจากการตลาดอาหาร ให้ความรู้ด้านโภชนาการกับเด็ก ให้เด็กรู้เท่าทันสื่อ สามารถเลือกกินขนมหรืออาหารที่ดีต่อสุขภาพของตนเองได้ เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วน รวมทั้งในช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ จึงเป็นโอกาสในการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ลดพฤติกรรมเสี่ยงโรคอ้วน ด้วยกิจกรรมการออกกำลังกายที่เพียงพอและเหมาะสม ทำให้เด็กสามารถดูแลสุขภาพตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นักวิชาการระบุฝุ่น PM 2.5 มาจากเครื่องยนต์ดีเซล 80%

People Unity News : 12 มีนาคม 2566 นักวิชาการวิศวกรรมเคมี สจล. ระบุฝุ่น PM 2.5 มาจากเครื่องยนต์ดีเซล 80% เจ้าของรถบางราย ยอมขายตัดท่อแคทดักฝุ่น เพิ่มความแรงเครื่องยนต์

ผศ.ดร.ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันติ์ นักวิชาการภาควิชาวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยนับว่าร้ายแรงมาก มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างมาก จากการศึกษาของกรมควบคุมมลพิษ ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล พบว่า PM 2.5 มาจากรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์ดีเซล มีปริมาณถึง 80% ของ PM 2.5 จากการจราจรบนท้องถนนทั้งหมดเลยทีเดียว ยอมรับว่าหากว่าจะให้เลิกใช้รถยนต์ดีเซลในปัจจุบัน คงเป็นไปไม่ได้

จึงต้องกวดขันของการตรวจสภาพรถยนต์ดีเซลเป็นประจำ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยต้องมีอุปกรณ์ช่วยลดปริมาณ PM 2.5 นั่นก็คือ Catalytic converter ซึ่งติดตั้งมาในรถยนต์ดีเซลทั้งหลาย หากแต่ระบบนี้มีราคาค่างวดค่อนข้างแพง เนื่องจากทำมาจากวัสดุมีราคาแพงอย่างเช่น Platinum จึงทำให้เกิดพ่อค้าหัวใส รับซื้อท่อแคท และผู้ใช้รถยนต์ดีเซลจำนวนมากยินดีตัดท่อแคทดังกล่าวออกไป เพราะมีความเชื่ออย่างไม่ถูกต้อง มองว่าการตัดท่อแคทจะทำให้รถแรงขึ้น และที่สำคัญได้เงินแถมมาด้วย นั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอหรือสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 จำนวนมากในปัจจุบัน

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียน อยากให้ความเห็นคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม ไทยควรมีมาตรการจริงจังเด็ดขาด เหมือนกับสหภาพยุโรป ในการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์จากค่ายยุโรป เครื่องยนต์น้ำมันดีเซล จะดูแลระบบไอเสียออกจากรถยนต์อย่างมาก เนื่องจากมีกฎหมายดูแลสภาพอากาศเข้มงวดมากกว่าเมืองไทย จึงเห็นได้ว่า รถยนต์จากค่ายยุโรปที่เติมน้ำมันดีเซล จะเติมน้ำยาบางอย่างลงไประหว่างการเช็กระยะ เพื่อเพิ่มความสะอาดให้กับไอเสียที่ออกมา น้ำยาดังกล่าวจะทำงานร่วมกับ Selective Catalytic Reduction เพื่อช่วยลดปริมาณ NOx ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด PM 2.5 จากปฏิกิริยาลูกโซ่เกิดจาก NOx ลงได้

มีมาตรการอย่างจริงจัง ถึงขนาดถ้าไม่เติมน้ำยาจะทำให้รถยนต์ไม่สามารถขับได้ตามปกติ ขณะที่เมืองไทย กลับหาแนวทางไม่อยากเติมน้ำยาดังกล่าว โดยการปรับปรุงระบบรถกันเองให้สามารถ start รถยนต์ได้ตามปกติ โดยไม่เติมน้ำยาเพิ่มเติม นับว่าเป็นความพยายามทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะสุดท้าย กลับสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม จากสภาพปัญหาอากาศมีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นปริมาณมาก ทางผู้เขียน เห็นว่าภาครัฐควรออกมาตรการทางด้านอากาศอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

เริ่มต้นจากการกวดขันให้รถยนต์ติดตั้งท่อแคทเดิมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมทำงาน จนถึงมาตรการบังคับการติดตั้งระบบ Selective Catalytic Reduction ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นในรถยนต์ดีเซล แบบเดียวกับในสหภาพยุโรปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในอนาคต เพื่อลดการเกิด PM 2.5 ลง ไม่เช่นนั้นเราทุกคนคงต้องใช้ชีวิตในสายหมอกของฝุ่นควันกันยาวนาน และไม่มีท่าทีจะดีขึ้น โดยปกติแล้วฝุ่นควันจะลดลงเมื่อเข้าสู่หน้าร้อน แต่อย่างที่ทุกคนรับทราบ ปีนี้ไม่มีท่าทีที่ฝุ่นจะลดลงแต่อย่างใด เราทุกคนควรช่วยกันคนละไม้คนละมือรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อตัวเราและลูกหลานของเราในอนาคต

Advertisement

กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท

People Unity News : 11 มีนาคม 2566 “ทิพานัน” แจ้งข่าวดี “พล.อ.ประยุทธ์” กดปุ่มโอนเงินอุดหนุนเด็กแล้ว 1,461 ล้านบาท ให้ผู้ปกครอง 2.3 ล้านราย ย้ำมุ่งพัฒนาเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด ส่งเงินตรงถึงมือกลุ่มเปราะบาง ทันที

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งลดเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองรับเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยทำงาน โดยได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ล่าสุดขอแจ้งข่าวดีพี่น้องประชาชน เงินอุดหนุนเด็กประจำเดือนมีนาคม 2566 เข้าบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 สำหรับผู้ปกครองที่มีสิทธิรับเงินอุดหนุนรายเดิมและรายใหม่ที่ลงทะเบียนสมบูรณ์ในระบบก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2,313,966 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,461,718,200 บาท ทั้งนี้ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิสามารถตรวจสอบยอดเงินจากเลขที่บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ที่แจ้งรับเงินอุดหนุนไว้ ส่วนการตรวจสอบสถานะสิทธิเงินอุดหนุนบุตรนั้น สามารถตรวจสอบได้ 3 ช่องทาง คือ 1)เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน https://csgcheck.dcy.go.th/public/eq/popSubsidy.do 2)แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และ 3)แอปพลิเคชัน “เงินเด็ก”

สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.เป็นบิดา มารดา หรือบุคคลอื่นที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

2.เด็กแรกเกิดต้องอาศัยร่วมด้วย

3.เป็นครอบครัวที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ คน /ปี

ส่วนเด็กแรกเกิดต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี มีสัญชาติไทย อาศัยอยู่กับผู้ปกครองในครอบครัวที่มีรายได้น้อยและไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนตามที่อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนประกาศกำหนด หากเข้าเกณฑ์คุณสมบัติรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนผ่านออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดและผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยกรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต เมืองพัทยา ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ส่วนภูมิภาค ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร.082-091-7245, 082-037-9767, 083-4313533, 065-731-3199(ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น.)

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการให้เงินอุดหนุนเด็ก 600 บาท และยังช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบางทั้ง เบี้ยผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุ และ เบี้ยผู้พิการ 800-1,000 บาท ตามเกณฑ์อายุอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ส่งเงินตรงถึงมือประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement

ขอสังคมช่วยป้องกันความรุนแรงในครอบครัว

People Unity News : 9 มีนาคม 2566 กสม.ชี้หญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต สะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เรียกร้องสังคมร่วมดูแล ช่วยเหลือเมื่อพบเหตุ อย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเอง

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงกรณีหญิงถูกสามีทำร้ายร่างกาย จุดไฟเผา และแทงจนเสียชีวิต ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยพลเมืองดีที่เข้าช่วยเหลือได้รับบาดเจ็บ ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่สูญเสีย และขอชื่นชมพลเมืองดีที่เข้าให้การช่วยเหลือเมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ กสม.ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนในปีนี้

“กรณีนี้นอกจากจะนำมาซึ่งความสูญเสียจากการกระทำที่โหดร้ายทารุณ อีกด้านยังสะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างที่น่าชื่นชมของพลเมืองดีที่เข้าให้ความช่วยเหลือ เมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 5 ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของทุกคนที่พบเห็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้การช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงหรือคนในครอบครัวเท่านั้นที่ต้องแจ้งเหตุ ทั้งนี้ ผู้แจ้งโดยสุจริต มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครองด้วย” นายวสันต์ กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ทุกคนในสังคมตระหนักว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ผู้หญิงมักจะเผชิญนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันสอดส่องดูแล การบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำให้กระทำ ไม่กระทำ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคนในครอบครัวโดยมิชอบนั้น มีความผิดทางอาญา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวของผู้อื่น รวมทั้งครอบครัวของตนเอง เป็นเรื่องที่ทุกคนที่พบเห็นหรือถูกกระทำต้องไม่เพิกเฉย ไม่ยอมจำนน ไม่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติที่คุ้นชินในสังคม โดยต้องแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าให้ความช่วยเหลือทันทีที่เกิดเหตุ เพราะทุกความรุนแรงที่เหยื่อถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายกันด้วยคำพูด หรือการทำร้ายร่างกาย อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ การใช้ชีวิต ไปจนถึงความสูญเสียต่อชีวิต อันเป็นการละเมิดสิทธิที่ร้ายแรง และเป็นความผิดทางอาญาด้วย

Advertisement

ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีหนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษต่อไปอีก 4 ปี

People Unity News : 7 มีนาคม 2566 ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีหนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษอีก 4 ปี ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่จ้างผู้พ้นโทษไม่เกิน 15,000 บาท

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ว่า ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….  ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษออกไปอีก 4 ปี สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (4 ปีภาษี) จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงานอย่างต่อเนื่อง

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเข้าทำงาน จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้พ้นโทษเฉพาะที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2568

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า แม้มาตรการทางภาษีดังกล่าว จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 705 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 176.25 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษได้มีงานทำหลังได้รับการปล่อยตัว จำนวน 39,000 คน สามารถประกอบอาชีพโดยสุจริตหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ

Advertisement

มท. สั่งกวดขันปืนเถื่อน เร่งจับกุมเด็ดขาด

People Unity News : 4 มีนาคม 2566 มท. สั่งการทุกจังหวัด กวดขันอาวุธปืนเถื่อน พร้อมกำชับนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยในสังคม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันปรากฏข่าวสารตามสื่อสาธารณะต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุและมีการจับกุมบุคคลที่มีพฤติกรรมครอบครอง หรือพกพาอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) และเพื่อให้การสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฏหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อาวุธปืนเป็นไปอย่างมีรูปธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีหนังสือสั่งการให้ทุกจังหวัดดำเนินการสั่งการให้นายอำเภอบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ กวดขันการบังคับใช้กฏหมายกลุ่มบุคคลผู้มีอิทธิพลโดยเฉพาะแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นที่มีความสุ่มเสี่ยงอาจก่ออาชญากรรมให้ดำเนินการบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกำชับให้ทุกอำเภอรายงานข้อมูลผลการปฏิบัติมายังกรมการปกครองเป็นประจำทุกเดือน

โดยกรมการปกครองแจ้งให้ทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน โดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน มาขอรับอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ เพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และกรณีเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ให้ส่งมอบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน แก่ทางราชการโดยไม่ต้องรับโทษ รวมทั้งการจัดเก็บรายละเอียดของอาวุธปืนทั้งกรณีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตใหม่และอาวุธปืนที่นายทะเบียนได้ออกใบอนุญาตไปแล้ว ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมอาวุธปืนผิดกฎหมายเพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมจากอาวุธปืน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีประกอบกับได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดแจ้งแนวทางปฏิบัติของนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่ กรณีเกิดเหตุอาชญากรรมโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ โดยให้รายงานผลการตรวจสอบให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยเร็ว และให้เร่งพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตหรือเรียกประกันหรือทัณฑ์บน แล้วแต่กรณี รวมทั้งให้ติดตามผลคดีจนกว่าจะเสร็จสิ้น และให้รายงานข้อมูลคดีและผลการดำเนินการทางทะเบียนเกี่ยวกับอาวุธปืนที่เกี่ยวข้องกับเหตุอาชญากรรม ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้กรมการปกครองทราบเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยมีหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุและมีการจับกุมบุคคลที่มีพฤติกรรมครอบครอง หรือพกพาอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนท้องที่จะออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ตามกฎหมายให้ไม่ได้ไปในที่สาธารณะ สร้างความหวาดกลัว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีการตรวจค้นจับกุมบุคคลที่ลักลอบทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) และยึดอาวุธปืนของกลางได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อความหวาดกลัวในความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำชับนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) เป็นไปอย่างมีรูปธรรมในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยให้นายอำเภอดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยระดมสรรพกำลังทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน รวมทั้งอาสาสมัครอื่น ๆ ในพื้นที่ ในการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีกลุ่มบุคคลผู้มีอิทธิพล กลุ่มบุคคลผู้มีข้อมูลเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นที่มีความสุ่มเสี่ยง ที่อาจก่ออาชญากรรม หรือบุคคลผู้ลักลอบทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) หากพบการกระทำความผิด ให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดในการจับกุม ผู้กระทำความผิดและยึดของกลางในการกระทำความผิด เพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีโดยเด็ดขาด ตามกฎหมายต่อไป

“นอกจากนี้ให้รายงานข้อมูลสถิติผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอดส่องดูแล ควบคุมตรวจตรา และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย กรณีเกี่ยวกับการทำ มี ใช้ หรือจำหน่ายอาวุธปืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (อาวุธปืนเถื่อน) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้กรมการปกครองทราบเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ติดตามผลการดำเนินคดีจนกว่าจะเสร็จสิ้น กระทรวงมหาดไทยคาดว่าจะสามารถลดการก่อเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวกับอาวุธปืน รวมถึงการกระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน ตลอดจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกชุมชนหมู่บ้านมีความเข้มแข็ง ทั้งนี้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ช่วยกันสอดส่องดูแลและเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการป้องกันการกระทำความผิดทางสังคมทุกรูปแบบโดยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน 1567 เพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ไปด้วยกัน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

Advertisement

Verified by ExactMetrics