วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

4 แม่เฒ่าที่ถูกเจ้าหนี้ยึดบ้าน ได้บ้านใหม่แล้ว ผอ.ธนาคารออมสินมอบบ้านมูลค่า 1.4 ล้านบาทให้

People Unity News : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำบุญบ้านใหม่ 4 แม่เฒ่า แจงไม่ได้ใช้เงินบริจาค แต่มูลนิธิออมสินมอบให้ เผยนายกรัฐตรีห่วงย้ำให้ทำให้เรียบร้อย ยัน “นิตยา” ไม่ใช่หัวคะแนน ถูกการเมืองป้ายสี สั่งกรมบังคับคดีปรับการทำงานยึดเอื้ออาทรเป็นหลัก

ที่บ้านเลขที่ 20/3 หมู่ที่ 6 ตำบลปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีมอบบ้านเดี่ยว 1 หลังให้แก่ 4 แม่เฒ่า และทำบุญบ้านใหม่ โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายอำเภอศรีสำโรง เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน ผู้นำท้องถิ่น ร่วมงาน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ความสำเร็จการแก้ปัญหา ต้องขอบคุณธนาคารออมสินที่เป็นที่พึ่ง เป็นธนาคารเพื่อสังคมแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และดูแลความเป็นอยู่ที่ดี ปัญหาของเรื่องนี้เริ่มต้นที่ส่วนที่เกี่ยวข้องได้ประสานงานมาทางตน และตนประสานผ่าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และท่านได้ส่งข่าวไปยัง นายวิทัย รัตนากร ผอ.ธนาคารออมสินและมูลนิธิออมสินเพื่อสังคม ซึ่งได้เห็นความเดือดร้อนของ 4 แม่เฒ่า จึงได้มอบบ้านให้ดำรงชีพมูลค่า 1,400,000 บาท โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ โดยมอบผ่านมูลนิธิฯ ซึ่งหลายท่านสงสัยเรื่องเงินบริจาคของประชาชนในขณะนี้ ยอดรวมเงินบริจาคประมาณ 2,100,000 บาท รวมทั้งบ้านและเงินบริจาคมูลค่า 3,500,000 บาท เราไม่ได้เอาเงินบริจาคมาซื้อบ้าน ยังอยู่เต็มๆ แต่บ้านนี้เป็นมูลนิธิออมสินที่รับผิดชอบทั้งหมด ส่วนบ้านหลังเดิม ใครมีสติปัญญาทางกฎหมายจะช่วยแม่เฒ่าอย่างไร เราเปิดโอกาสให้ช่วยได้เต็มที่ แต่ตนคงไม่ไปยุ่งเกี่ยวแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิธีในวันนี้ มีนางโปรย อนุเคราะห์ และนางตะล่อม ทิมแย้ม เป็นตัวแทน 4 แม่เฒ่ามาร่วมพิธีรับมอบ ส่วนน.ส.ศรีนวล ทิมแย้ม และน.ส.แฉล้ม ทิมแย้ม มีอาการป่วยต้องไปพบแพทย์และจะเข้ามาที่บ้านในช่วงเย็น ทั้งนี้นายสมศักดิ์ ได้มอบพระพุทธรูปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านใหม่ด้วย ซึ่งงานในวันนี้ก็ยังมีภาครัฐและภาคเอกชนได้เข้ามอบเงินช่วยเหลือ 4 แม่เฒ่าอีกกว่า 3 แสนบาท ซึ่งยังคงมีการเปิดรับเรื่อยๆ

หลังเสร็จพิธี นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในเรื่องนี้ และได้กำชับส่งข้อความมาหาตนเมื่อคืนให้ทำให้เสร็จ ซึ่งตนได้ชี้แจงรายละเอียดและรายงานผลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของเงินบริจาคจะเก็บไว้ให้คุณยายทั้ง 4 คนใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยจ่ายเดือนละ 1,600 รวมกับเบี้ยผู้สูงอายุ 800  บาท รวมเป็นเงิน 2,400  บาทต่อเดือน เฉลี่ยจะได้ประมาณ 30 ปี โดยจะมีคณะกรรมการคอยดูแล เบิกจ่ายจากบัญชีสงเคราะห์ ในส่วนของการบังคับคดี ตนก็มีข้อติดใจอยู่ อาจจะมีเรื่องของการเอื้ออาทร ซึ่งคงจะมีการปรับการทำงานของกรมบังคับคดี ให้เพิ่มเรื่องการเอื้ออาทรให้เหมือนกับธนาคารออมสิน มีความเป็นมนุษยธรรมมากขึ้น เรื่องนี้ต้องดำเนินการ และได้ร่างแนวทางไว้แล้ว สัปดาห์หน้าจะได้แจ้งให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงในแต่ละจังหวัดประชุมกัน นอกจากนี้ตนขอประชาสัมพันธ์การทำงานของกองทุนยุติธรรม ซึ่งมีเงินช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญา และจำเลยที่สามารถช่วยด้านการประกันตัว

“มีคนครหาบอกว่านางนิตยา จิวตระกูล โจทย์ผู้ฟ้อง 4 แม่เฒ่า เป็นหัวคะแนนและสนิทกับผม ขอยืนยันไม่เป็นความจริง การให้ข้อมูลลักษณะนี้เป็นเกมการเมือง เป็นการพยายามให้ร้ายป้ายสีผม พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการกระทำที่เลวจริงๆ ตนไม่ได้สนิทสนมและไม่เคยพบกับนางนิตยา 20 กว่าปีแล้ว ซึ่งเมื่อวานตนรู้สึกโกรธมากที่ไปหาที่บ้านแต่ไม่เปิดบ้านให้พบ ดังนั้นข้อครหาไม่เป็นความจริง” นายสมศักดิ์ กล่าว

Advertising

4 วัน 7 มิ.ย.-10 มิ.ย. ไทยฉีดวัคซีนเพิ่ม 1.45 ล้านโดส รวมยอดฉีดสะสม 5.66 ล้านโดส

People Unity News : ฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 4 วัน เพิ่ม 1.45 ล้านโดส เริ่มฉีดในนิคมอุตสาหกรรมระยองนำร่อง

10 มิ.ย.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ที่เป็นวันแรกของการกระจายการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ โดยเริ่มกับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเสี่ยง 7 โรค ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก นับถึงวันที่ 10 มิ.ย. มีจำนวนฉีดวัคซีนสะสม  5.66 ล้านโดส ซึ่งภายในช่วงเวลา 4 วัน นับจากวันที่ 6 มิ.ย.  ที่มีจำนวน 4.21 ล้านโดส เพิ่มขึ้น 1.45 ล้านโดส  ซึ่งจากนี้ไปทางกระทรวงสาธารณสุขให้ความมั่นใจว่า จะได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตมากขึ้นและสามารถทยอยกระจายไปยังสถานบริการสาธารณสุขและจุดบริการต่างๆ เพื่อดำเนินการฉีดให้ได้ตามแผน

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมด้วยแล้ว นำร่องพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกลุ่มมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง และชุมชนรอบข้างพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น  25,000 คน จาก 1)นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 2)นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก (มาบตาพุด) 3)นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย 4) นิคมอุตสาหกรรมผาแดง 5)นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล และ 6)ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ตั้งเป้าวัคซีนให้ได้วันละประมาณ 1,000 คน

ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาไทย ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ  นับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ถึง 6 มิ.ย. ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้ว จำนวนกว่า 1,600 คน และมีรอการฉีดอีก 2 พันกว่าคน ซึ่งเมื่อดำเนินการในกลุ่มนี้แล้วเสร็จ ทางกรมการกงสุลจะพิจารณาเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้ง

Advertising

รัฐบาลยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ เผยใน กทม. มี 20,652 เตียง ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง

People Unity News : รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19 เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1 พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน

วันนี้ (22 พ.ค.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19 รายใหม่ ที่พบว่ามีเพิ่มขึ้นมากในพื้น กทม.และปริมณฑล นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุม ศบค. วันนี้ (22 พ.ค.) ได้ติดตามความพร้อมของจำนวนเตียงผู้ป่วยกลุ่มสีแดง (อาการหนัก) และเหลือง (มีอาการ) เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงพอต่อการรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอาการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า จากข้อมูลระบบ Co-ward ณ วันที่ 20 พ.ค. มีจำนวนเตียงทั้งหมดในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ในพื้นที่ กทม. จำนวน 20,652 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง  61% ยังว่างอยู่ 7,905 เตียง ในพื้นที่เขตสุขภาพ 1-12 จำนวน 40,648 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 39% ว่างอยู่ 24,786 เตียง และหากแบ่งตามอาการความรุนแรง จากข้อมูลทั่วประเทศ มีผู้ป่วยครองเตียง ระดับสีแดง 69% ระดับสีเหลือง 54% และระดับสีเขียว 44%

ส่วนพื้นที่ กทม.และปริมณฑลซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด19 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนขยายจำนวนเตียงโรงพยาบาลบุษราคัมอีก 1 พันเตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดี มีบุคลากรทางการแพทย์สลับเข้ามาดูแล  ใช้กล้องซีซีทีวีเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยด้วย และกระทรวงฯยังได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักด้วย ซึ่งแนวทางการจัดการเตียงในทุกโรงพยาบาล หากผู้ป่วยอาการหนักมีอาการดีขึ้น ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลโรงพยาบาลกลุ่มสีเหลืองที่ดูแลผู้ป่วยอาการไม่มากต่อไป

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่พบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นคลัสเตอร์ กระจายอยู่ในแคมป์ก่อสร้างในหลายเขตของ กทม.นั้น คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. เห็นชอบแนวทางการควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ โดย 1)ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน 2)จัดการดูแลสุขอนามัยของผู้ที่อยู่ในแคมป์ 3)ส่งมอบอาหาร 4)จัดทีมแพทย์ดูแลรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายใน และ 5)หากพบผู้มีอาการป่วยจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป ส่วนการดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอื่นๆ จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ 1) แคมป์คนงานก่อสร้างที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง หากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่เช่นเดียวกับแคมป์คนงานเขตหลักสี่ โดยผู้ที่อยู่ภายในยังสามารถทำงานได้ตามปกติ และ 2) แคมป์คนงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้าง ให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในพื้นที่แคมป์ซึ่งเจ้าของต้องจัดให้เหมาะสม ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัย และผู้ที่ไม่ติดเชื้อที่ต้องเดินทางไปทำงานจะต้องแจ้งเส้นทางการเดินทางต่อเขตต้นทางและปลายทาง โดยจะต้องไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทาง และปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆที่กำหนดอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ สำนักอนามัยจะจัดทีมลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ย. หมุนเวียน 6 กลุ่มเขต เพื่อลดการเดินทางของประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย

“นายกรัฐมนตรีห่วงใยและติดตามการดำเนินการในพื้นที่ กทม.และจังหวัดโดยรอบอย่างใกล้ชิด ยืนยันดูแลทุกชีวิตให้ดีที่สุด ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย มั่นใจแนวทางที่สาธารณสุข กทม.และหน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันดำเนินการอยู่นี้ครอบคลุมการเร่งค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดำเนินการฉีดวัคซีน จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้”  นางสาวรัชดากล่าว

Advertising

ธอส.สนับสนุนงบประมาณ 3 แสนบาท ร่วมสร้างไอซียูสนาม โรงพยาบาลราชวิถี สู้ภัย COVID-19

People Unity News : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนงบประมาณ 3 แสนบาท ให้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยวิกฤติเข้ารับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อย่างเต็มศักยภาพและเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร

18 พฤษภาคม 2564 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานทางการแพทย์ ในการให้ความช่วยเหลือดูแลรักษาประชาชนที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ซึ่งปัจจุบันยังคงพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งผู้ป่วยวิกฤติที่มีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคาร ประกอบด้วย นายภพกร เจริญลาภ นางภานิณี มโนสันติ์ นางกรุณา เหมือนเตย และนางสุดจิตตรา คำดี เป็นผู้แทนธนาคาร มอบเงินสนับสนุน จำนวน  300,000 บาท ให้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี สำหรับจัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง โดยมี นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี และคณะ เป็นผู้รับมอบ อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากนายปริญญา พัฒนภักดี และนายขรรค์ ประจวบเหมาะ ร่วมในพิธีส่งมอบครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังได้มอบน้ำดื่มของธนาคาร จำนวน 5,000 ขวด หน้ากากอนามัย พร้อมสายคล้องหน้ากากอนามัยที่พนักงานธนาคารจัดทำขึ้นด้วยจิตอาสา นำไปแจกจ่ายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนที่มารอรับบริการจากโรงพยาบาลอีกด้วย

ทั้งนี้ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีภารกิจหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์/ศาสนา/ศิลปวัฒนธรรม และการกีฬา โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน

Advertising

“ประยุทธ์” ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก

People Unity News : นายกฯ ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีที่โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง ได้รับรางวัล 2020 Asian Townscape Awards จากโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Settlements Programme: UN-HABITAT) ถือเป็นความภาคภูมิใจในความสำเร็จของโครงการพัฒนาคูคลองของกรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

ขณะเดียวกัน โครงการนี้จะเป็นต้นแบบของการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ รวมถึงเป็นต้นแบบการพัฒนาให้กับหลายๆประเทศทั่วโลก ในการปรับปรุงพื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ส่งผลในแง่บวกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

“นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาและบริหารจัดการคลองโอ่งอ่างมาโดยตลอด ได้พบว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านเศรษฐกิจและการยอมรับ มีหลากหลายกิจกรรมสามารถดึงดูดความสนใจ กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญยังเป็นต้นแบบของการพัฒนาบริเวณโดยรอบคูคลองให้กับพื้นที่อื่นๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวา”

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณคูคลอง เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีการปรับปรุงและอยู่ในระหว่างการปรับปรุงคลองแล้วหลายสาย เช่น คลองหลอด คลองผดุงกรุงเกษม คลองลาดพร้าว คลองช่องนนทรี โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การปรับภูมิทัศน์พื้นที่เมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น มีการวางแนวทางการปรับปรุงที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวชุมชน รักษาเอกลักษณ์ของพื้นที่ พร้อมเพิ่มกิจกรรมใหม่ๆให้มีความหลากหลาย ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยรอบคูคลองให้กลายเป็นที่พักผ่อนของประชาชน รวมถึงการเชื่อมโยงการเดินทาง ซึ่งผลที่ได้มาคือ มูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะถูกพัฒนาต่อยอดจากไปมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับวิถีชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นแนวการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Advertising

16 ธ.ค. “ประยุทธ์” เปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทาง 59 สถานีเชื่อมเดินทาง 3 จังหวัด

People Unity News : นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทอง โดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน จะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรี ไปยังสถานีคลองสาน เพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทอง เที่ยวปฐมฤกษ์ ในวันพุธที่ 16  ธันวาคมนี้ ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ ทำให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชน รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทย ช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย

ทั้งนี้  การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพิ่มจำนวน 7 สถานี (สถานีพหลโยธิน 59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต) ซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย เป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี  ตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี รวมระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร คาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,500,000 เที่ยว/คนต่อวัน  ขณะที่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรอง ระยะที่ 1 มีระยะทาง 1.8 กิโลเมตร ประกอบด้วย 3 สถานี  คือ กรุงธน-เจริญนคร-คลองสาน  เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ Automated Guideway Transit (AGT) หรือรถไฟฟ้าระบบ Automated People Mover (APM) คาดการณ์ผู้โดยสาร 42,000 เที่ยว/คนต่อวัน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อรางรวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 14 สาย ระยะทางกว่า 553.41 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 9 เส้นทาง และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆปี เช่น 2564 ได้แก่ สีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน (บางซื่อ–ตลิ่งชัน) ปี 2565 สีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และปี 2566 สีแดงเข้ม (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) – สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศิริราช) เป็นต้น

Advertising

ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

People Unity News : ออมสินช่วยน้ำท่วมภาคใต้พักหนี้ 3 เดือนทันที ให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน

ธนาคารออมสิน จัดมาตรการเร่งด่วนช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ทันที 3 เดือน เน้นช่วยเหลือพื้นที่ตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวันในช่วงนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง ธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือ โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนแล้วกว่า 3,500 ชุด และหน่วยบริการอาหารฟรีทุกวัน ซึ่งเบื้องต้นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ คือ จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อธนาคารออมสินกว่า 957,000 ราย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ โดยเฉพาะระดับความรุนแรงสูง และทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารผ่อนปรนให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับระดับความรุนแรงปานกลาง ที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชำระเงินต้นและชำระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี และระดับความรุนแรงขั้นต้น ที่ถูกภัยน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และชำระเงินแต่ดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังให้ประชาชนที่ประสบภัยกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม/ภัยพิบัติ รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ชำระเงินเป็นรายเดือน 3-5 ปี โดยปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก นอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ถึง 100% ของราคาประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-3 = 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี  และสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร วงเงินกู้สูงสุด 10% ของวงเงินกู้เดิมแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี โดยปลอดชำระเงินต้น 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยธนาคาร MRR = 6.245% และ MLR = 6.150% ต่อปี)

Advertising

รองโฆษกรัฐบาลเผยเตรียมใช้ระบบ M Flow เก็บเงินบนทางด่วนแก้ปัญหาแออัดช่องจ่ายเงิน

People Unity News : เตรียมพร้อมใช้ระบบ M Flow บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 แก้ปัญหาจราจรแออัดด้วยระบบ AI

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยกระทรวงคมนาคมเตรียมนำร่องใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางอัจฉริยะรูปแบบใหม่ (M Flow) ช่วยแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบนทางด่วนและมอเตอร์เวย์ ลดความแออัดของรถบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทาง เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับผู้ใช้บริการ โดยกรมทางหลวงจะนำร่องบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ในช่วงต้นปี 2564 โดยปรับปรุงด่านนำร่องจำนวน 4 ด่าน ได้แก่ ด่านทับช้าง 1 ด่านทับช้าง 2 ด่านธัญบุรี 1 และด่านธัญบุรี 2 ในขณะที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะนำร่องบนทางพิเศษฉลองรัช บริเวณด่านจตุโชติ ด่านสุขาภิบาล 5-1 และด่านรามอินทรา ทั้งนี้ ระบบ M Flow เป็นการใช้เทคโนโลยี AI มาพัฒนาระบบจัดเก็บค่าผ่านด้วยกล้องตรวจบันทึกภาพป้ายทะเบียนรถ แทนการเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบระบบไม้กั้น ทำให้ผู้ใช้รถยนต์สามารถขับขี่ผ่านบริเวณด่านฯ โดยไม่ต้องหยุดหรือชะลอรถ ด้วยความเร็วได้ถึง 160 กม./ชม. ช่วยระบายรถได้ 2,000 -2,500 คัน/ชม./ช่องทาง เร็วขึ้นกว่าระบบเดิมที่ใช้อยู่ถึง 5 เท่า รองรับการใช้งานกับรถยนต์ทุกประเภทที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือทางพิเศษ ทั้งรถยนต์ 4 ล้อ รถยนต์ 6 ล้อ และรถยนต์มากกว่า 6 ล้อขึ้นไป ชำระค่าธรรมเนียมผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หลังการใช้บริการ หรือระบบ Post Paid ทั้งแบบชำระเป็นรายครั้งหรือชำระตามรอบบิล รวมไปถึงการชำระผ่านเว็บไซต์หรือโมบายแอปพลิเคชั่นของระบบ M-Flow ตลอดจนการชำระด้วยระบบ QR Code และการชำระผ่านระบบตัดเงินอัตโนมัติ

นางสาวไตรศุลี ย้ำว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ทุกส่วนราชการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยเฉพาะการพัฒนางานบริการประชาชนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ในปีหน้าผู้ใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 และทางพิเศษฉลองรัช จะได้สัมผัสมิติใหม่ของการให้บริการ ซึ่งกรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศยังจะเตรียมขยายผลนำระบบ M Flow ไปใช้กับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางพิเศษในเส้นทางอื่นๆต่อไป

Advertising

สธ.-วธ.จัดงานวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ 29 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน

People Unity News : สธ.-วธ. จัดงานฉลอง ยูเนสโกประกาศให้ นวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทยพร้อมฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เตรียมยกระดับนวดไทยสู่ Thai Wellness ให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ดูแลตนเองและสังคม

วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดงานฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ประจำปี 2563 โดยความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเฉลิมฉลองนวดไทยได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” ปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ดูแลตนเองและสังคมได้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงคุณค่าของศาสตร์แห่งการนวดไทยและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และอนุรักษ์นำมาใช้ประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในปีที่ผ่านมา องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ “นวดไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ซึ่งศาสตร์การนวดไทยที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่สุด คือ “เส้นประธานสิบ” ปรากฏในแผ่นศิลาจารึก จำนวน 60 ภาพ มากกว่า 100 ปี ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร จึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ยกระดับสู่ Thai Wellness จัดอบรมนวดไทย 372 ชั่วโมง เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” คณะรัฐมนตรีได้ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติต่อคุณูปการที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงการแพทย์แผนไทยให้รุ่งเรือง จึงได้จัดกิจกรรมทั้งด้านเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การนวดไทย ดังปรากฏในแผ่นจารึกต่างๆ ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นฐานรากให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้และใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพถึงปัจจุบัน

ด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า จากการที่ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนนวดไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ  กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้กำหนดโดยมีแนวทางสำคัญคือ การสร้างมาตรฐานนวดไทย ทั้งด้านองค์ความรู้ หลักสูตร รวมถึงการบริการนวดไทยให้เป็นที่ยอมรับ ตั้งแต่ในระดับชุมชน โดยดำเนินการใน 2 ประเด็นคือ ได้แก่ การอบรมหมอนวดครู ก จำนวน 188 คน เพื่อสืบสานรักษา​ และต่อยอดการผลิตบุคลากรให้เป็นครูสอนคนในชุมชนนวดไทย​ นวดพื้นบ้านไทยแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ และยังต่อยอด​ ฟื้นฟู การอบรมหมอนวดไทยสร้างงานสร้างอาชีพ 1,000 คน โดยร่วมกับโรงเรียนนวดแผนไทยวัดโพธิ์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มอบรมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2563 พร้อมมอบใบประกาศให้กับผู้เข้ารับการอบรมนวดเพื่อต่อยอดในการประกอบวิชาชีพด้านการนวดไทย

การจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติในปีนี้ ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “นวดไทย” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ กิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย”, ประวัติศาสตร์นวดไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน, นวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ โดยได้จัดทำนวดอัตลักษณ์แต่ละภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ตอกเส้น, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขิดเส้น, ภาคกลาง เหยียบเหล็กแดง ตบเหล็กแดง ,โอสถศาลา, การจัดเวทีทางวิชาการในประเด็นต่างๆ, การออกหน่วยบริการด้านสุขภาพ โดยหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการออกร้านของภาคเอกชน โดยมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพร กินอาหารเป็นยา สะอาด สดใหม่ ปลอดภัย ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2563 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.30 น. ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร

Advertising

ข่าวดี “ประยุทธ์” สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว

People Unity News : นายกรัฐมนตรีสั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว

25 ตุลาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการยกระดับระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุข ด้วยการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกรณีประชาชนผู้มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาที่ใดก็ได้ และยกเลิกการต้องใช้ใบส่งตัวของผู้ป่วยในกรณีมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่รักษาพยาบาล โดยมีรายละเอียดการคลายล็อกดังนี้

1.ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้ โดยทดลองให้ประชาชนในกรุงเทพมหานคร สามารถไปรับบริการที่ “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” อันประกอบด้วยคลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น ได้ทุกแห่ง ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะถูกจับคู่กับหน่วยบริการประจำ (คลินิก) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษาที่คลินิกประจำนั้นๆ หากป่วยหนักจนคลินิกรักษาไม่ไหว คลินิกก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพให้รักษาต่อ

แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการที่หลากหลายมากขึ้น โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งเป้าที่จะประสานหน่วยบริการจำนวน 500 แห่ง ให้เข้ามาเป็น “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” (คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการชุมชนอบอุ่นในเขตของตัวเองได้ทุกแห่ง และสามารถนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าได้ โดย สปสช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาระบบนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าผ่าน App เป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มให้บริการในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน ความดัน และจะขยายไปในกลุ่มผู้ป่วยนอกทั้งหมดในระยะต่อไป

2.“ผู้ป่วยใน” ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ทั้งนี้ “ใบส่งตัว” เป็นเอกสารที่ใช้สื่อสารลักษณะโรค อาการป่วย การรับการรักษาเบื้องต้น ซึ่งที่ผ่านมา หากหน่วยบริการประจำ (คลินิก) วินิจฉัยและส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ผู้ป่วยต้องไปรับใบส่งตัวจากคลินิกหรือโรงพยาบาลก่อน ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก

แต่นโยบายใหม่นี้ หากผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ แล้ว โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องแอดมิท (นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล) ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอีก เนื่องจาก สปสช. จะจัดทำระบบออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเองโดยอัตโนมัติ

3.ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใด รักษาที่ใหม่ได้ทันที

ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการ จะต้องรออีก 15วัน จึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้ แต่นโยบายใหม่นี้ ผู้ป่วยไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อมีความประสงค์ที่จะย้ายเมื่อใด ก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันที ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองจึงอุ่นใจได้ว่า เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ก็จะสามารถย้ายหน่วยบริการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันทีอย่างแน่นอน

4.ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและไม่แออัด ทั้งนี้ มะเร็งเป็นโรคที่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตสูง ค่าใช้จ่ายก็สูงด้วย และที่สำคัญคือ โรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้นที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง จึงเกิดปัญหาคอขวดในการเข้ารับบริการเกิดความแออัด ต้องรอการนัดหมายที่ค่อนข้างนาน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเข้าถึงบริการรักษาล่าช้า ก็อาจทำให้มะเร็งลุกลามได้โดยไม่จำเป็น

ทั้งนี้ สปสช. จึงมีแนวคิดในการยกระดับการรักษาใหม่ โดยเมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หน่วยบริการผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายัง สปสช. เพื่อให้ สปสช.ประสานจัดหาโรงพยาบาลที่ไม่แออัด และมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งประเภทนั้นๆได้ทันที ประชาชนก็จะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมทั้งบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน พร้อมด้วยการติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล (Telehealth) ภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า “การคลายล็อกข้อจำกัดต่างๆของบัตรทองในครั้งนี้ คือนโยบายของรัฐบาลในความพยายามที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลที่ดี มีมาตรฐาน ง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน”

Advertising 

Verified by ExactMetrics