วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

พุทธทั่วโลกนับ 10,000 คนชุมนุมที่อินเดีย ถกความสัมพันธ์กับโลกปัจจุบัน

People Unity News : ชาวพุทธทั่วโลกกว่า 10,000 คนชุมนุมกันที่เมืองออรังคาบัดอินเดีย ถก”ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน”

เมื่อเวลา 16.00 น. วันศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ที่ PES, College of Education, Nagsenvan Campus (Stadium) เมืองออรังคาบัด (Aurangabad) รัฐมหาราษฏร์ ประเทศอินเดีย พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ร่วมเป็นประธานในการชุมนุมชาวพุทธ โดยมมีพระมหาเถระจากทั่วโลกอาทิสมเด็จพระสังฆราชจากประเทศศรีลังกาและชาวพุทธอินเดียมากกว่า 10,000 คนเข้าร่วม เพื่อรับฟังการปาฐกถาเรื่อง “ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน” จากวิทยากรทั่วโลก

พระธรรมโพธิวงศ์กล่าวความตอนหนึ่งว่า “วันนี้นับว่าเป็นวันมงคลที่มหาบัณฑิตมาประชุมกันเพื่อปรารภธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเจริญ อันเป็นแนวทางห่างไกลจากความเสื่อม การมาสัมมนาเป็นการเสวนาธรรมเพื่อเปิดทางเดินให้โลกปลอดภัยจากภัยอันตราย ธรรมที่เรียกว่ามีอยู่ทุกที่ จะสร้างสันติสุขยืนเคียงคู่กับมนุษย์ได้อย่างถาวร

ท่านพระมหาเถระทั้งหลาย ท่านมหาบัณฑิตทุกท่านเราคงต้องยืนยันว่าโลกเราเดือดร้อน จากกิจกรรมต่างๆ ปฏิบัติในปัจจุบันนี้ทำให้โลกวุ่นวาย ความร้อน ความทุกข์จากเหตุอย่างปรากฎในพรหมชลสูตร และธรรมที่ทรงโปรดในวิถีทางดับทุกข์ให้แก่ชาวโลกกับความปลอดภัย อันปรากฏในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาที่ให้ความสัมพันธ์กับโลกที่เปิดทางแห่งความสุขให้สรรพสัตว์เดินทางปฏิบัติในมรรค การเปิดมิตร ปิดศัตรู ที่ได้อย่างแท้จริงและทราบว่า ที่นี่เป็นเป้าหมายของมหาชนผู้มีปัญญาแท้ และยั่งยืน นำแสงสว่างมาให้ชาวโลกให้มีความสุขอยู่เสมอ เมื่อสรรพทุกชีวิตฟังธรรมจากศรัทธา ในหนทางของมรรค เช่นสัมมาทิฐิ จะได้ความเบิกบานเปิดใจในงานนี้”

เมืองออรังคาบัด (Aurangabad) นั้นตั้งอยูทางทิศตะวันออกของเมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏร์ ครอบคลุมพื้นที่ 200 ตร.ก.ม. โดยมีแหล่งท่องเที่ยวคือถ้ำอจันตา (Ajanta Caves)หางจากเมืองออรังคาบัด 95 ก.ม.และถ้ำเอลโลรา (Ellora Caves) หางจากเมืองออรังคาบัด 30 ก.ม.

และที่สำคัญคือรัฐมหาราษฏร์เป็นรัฐกำเนิดของ ดร.เอ็มเบดการ์ (Dr. Ambedkar) จากวรรณะจันฑาลซึ่งสังคมฮินดูของอินเดียรังเกียจเนื่องจากเป็นวรรณที่ต่ำสุด แต่สามารถพัฒนาตนจนเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอินเดียและพระพุทธศาสนา โดยเป็นบุคคลแรกของประเทศอินเดียที่ได้นำเอาพระพุทธศาสนากลับมาสู่มาตุภูมิ (ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา) เดิมนั้นดร.เอ็มเบดการ์ นับถือศาสนาพราหมณ์ต่อมาจึงเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ และได้ยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นประชาธิปไตย ให้ความเสมอภาค ภราดรภาพ และยกย่องความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

Cr.เพจสำนักสื่อสารองค์กร พระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล

“นิพนธ์”รุกโคราชเตรียมรับมือ 7 วันปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่63

People Unity News :  “นิพนธ์”รุกโคราชประตูอีสาน เตรียมรับมือ 7 วันปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่63 ลดบาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณปริสุทโธ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครราชสีมา การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

นายนิพนธ์ กล่าวว่า มาเยี่ยมและมอบนโยบายความปลอดภัยทางถนนในโอกาสที่จะถึงช่วงเทศกาลวันปีใหม่ 7 วันอันตราย โดยได้มอบหมายทุกภาคส่วนช่วยกันดูแล ทั้งในส่วนกลไกลท้องถิ่น มูลนิธิ องค์กรการกุศลต่างๆ ต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยลดการสูญเสียชีวิตบนท้องถนน โดยขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการทุกจังหวัดในฐานะเป็นประธานศูนย์ความปลอดภัยทางถนนจังหวัด โดยมีกลไก ของ ศปถ.จังหวัด  ศปถ.อำเภอ  รวมไปถึง ศปถ.ท้องถิ่น

โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้แก้กฎหมายเพิ่มอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่นจากเดิมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องของความสงบเรียบร้อย เรื่องของจราจร ขณะนี้กฎหมายสภานิติบัญญัติได้แก้ไขให้ท้องถิ่นมีอำนาจดูแลเรื่องการจราจร ท้องถิ่นจึงสามารถตั้งงบประมาณในการดูแลทรัพย์สินและการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
เพราะจากสถิติข้อมูลถนนที่อยู่ในการดูแลของท้องถิ่นมีอยู่ประมาณ 86 เปอร์เซ็นต์ทั้งประเทศ อยู่ในความดูแลของกรมทาหลวง 7 เปอร์เซ็นต์ คือ ประมาณ 51,000 กม. อยู่ในการดูแลของกรมทางหลวงชนบทประมาณ 48,000 กิโลเมตร ท้องถิ่นจึงต้องเข้ามามาดูแลความปลอดภัยทางท้องถนนให้มากขึ้น มุ่งที่จะลดจำนวนการสูญเสีย เราต้องการลดปริมาณการเสียชีวิตจากปีละ 22,000 กว่าราย และพิการเกือบ 50,000 รายต่อปีไม่รวมบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวนกว่า 1 ล้านราย ซึ่งในการลดตัวเลขเหล่านี้จะลดลงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน วันนี้จึงเดินสายชวนทำบุญช่วยชีวิตคน ชวนภาคีเครือข่าย องค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ ได้เข้ามาร่วมกันรณรงค์เพื่อลดตัวเลขการสูญเสียชีวิตบนท้องถนนอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการสูญเสีย  จึงมีความจำเป็นที่พวกเราต้องช่วยกันลดการสูญเสียชีวิต ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับการดำเนินการนั้นต้องทำต่อเนื่องทั้งปีและสิ่งสำคัญคือต้องให้ความเข้าใจกับผู้ใช้ถนน โดยเฉพาะมาตรการกฎหมายมีการแก้ราชบัญญัติจราจร พยายามจะนำมาตรการต่างๆ มาใช้ เช่น การหักคะแนนใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งตอนนี้กำลังฟังความคิดเห็นอยู่ว่าจะใช้เกณฑ์ใดบ้างในการหัก เพราะฉะนั้นมาตรการต่างๆ จะนำมาสู่การเข้มงวดในการใช้ยานพาหนะมากขึ้นการปฏิบัติตามกฎจราจรมากขึ้น

ทั้งนี้การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2563 จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการภายใต้แนวคิด “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ ช่วงการประชาสัมพันธ์ ช่วงการเตรียมความพร้อมและการรณรงค์ และช่วงควบคุมเข้มข้น โดยศปถ.เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ โดยนำข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2560-2562) มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้จังหวัดและอำเภอที่มีความเสี่ยงหามาตรการแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องกำหนดมาตรการพิเศษในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด

“พม.”จับมือ”ม.นเรศวร”ร่วมสร้างทักษะพัฒนาอาชีพ ให้กลุ่มเปราะบาง

People Unity News : “พม.”จับมือ”ม.นเรศวร”ร่วมสร้างทักษะพัฒนาอาชีพ ให้กลุ่มเปราะบางในสังคม พร้อมต่อยอดไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.15 น. ที่ห้องประชุมวิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับ วิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายธนสุนทร สว่างสาลี รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังสี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร และนางสาวมารีน่า จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการนำองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงความร่วมมือระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตคนพิการ การพัฒนาอาชีพและศักยภาพสตรี อีกทั้งเพื่อการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัว

นายจุติ กล่าวว่า เป็นการบูรณาการของหน่วยงานภาควิชาการ ท้องถิ่น ราชการ และประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม โครงการนี้จะเป็นการสร้างอาชีพ สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาส เป็นการเน้นจุดแข็งของประเทศ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาทุนมนุษย์ ต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ที่ร่วมมือกันทำโครงการนี้ ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง ทาง กระทรวง พม.จะนำไปต่อยอดและขยายไปในทั่วทุกภูมิภาค

นายจุติ กล่าวอีกว่า เป้าหมายในการทำโครงการ คือต้องการสร้างทักษะ สร้างอาชีพ ให้กับกลุ่มเปราะบางในสังคมทั่วประเทศที่มีมากถึง 500,000 ครัวเรือน ทำให้ปัญหาสังคมมีมากมาย เช่น สถิติการหย่าร้าง คุณพ่อและคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นต้น ดังนั้นทางกระทรวง พม.ต้องแก้ไขปัญหาของสังคม พร้อมกับการสร้างอาชีพ เพื่อเศรษฐกิจและประโยชน์ที่จับต้องได้ให้กับประชาชน โดยจะมีกระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่จะช่วยกันสร้างโมเดลนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้นไป

“สนธิรัตน์”ชู “ชุมชนผาปัง” ต้นแบบดันเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลังงาน

People Unity News : “สนธิรัตน์” ชู “ชุมชนผาปัง” ต้นแบบผนึกกำลังร่วมพัฒนาแผนพลังงานเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับวัสดุทางการเกษตรในชุมชนมาเป็นพลังงาน ชี้เห็นแผนใน 1 เดือน ก่อนชง ครม.รับทราบ

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ที่อ.แม่พริก จ.ลำปาง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ชุมชน ต.ผาปัง ในฐานะชุมชนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ “พลังงานชุมชน” ด้วยตนเอง โดยการใช้ประโยชน์จากไผ่ซางหม่น ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่น ในการสร้างพลังงานทดแทนด้วยการแปรรูปเป็นถ่านชีวภาพ (biochar) ทำให้ประหยัดการใช้น้ำมันสูบน้ำเพื่อการเกษตรได้สูง ทั้งยังสามารถลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ด้วยการนำมาใช้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม ตลอดจนมีการยกระดับจากพลังงานในชุมชนสู่การจัดตั้งบริษัท กิจการเพื่อสังคม โดยมีชุมชนเป็นแกนกลางการขับเคลื่อนต่อยอดให้ไผ่ซางหม่นเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าในด้านอื่นๆ เช่นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ตะเกียบ ก้านธูป น้ำยาฆ่าเชื้อราจาก น้ำควันไม้จากการเผาถ่าน ตลอดจนการท่องเที่ยวชุมชน เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอุโมงค์ไผ่ขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทย

นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่ากระทรวงพลังงานได้เตรียมหารือ กับหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ กระทรวง มหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลัง งาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อกำหนดแผนพลังงานเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฐานราก โดยพัฒนาด้านพลังงานของชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ใช้วัตถุ ดิบในพื้นที่ยกระดับสู่การจัดตั้งบริษัท กิจการเพื่อสังคม (SE) เช่นเดียวกับโมเดลของชุมชนผาปัง

ทั้งนี้ แผนดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือนหลังจากนี้ และจะนำเสนอต่อคณะรัฐ มนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบในแนว ทางการทำงาน และคาดว่าจะมีการ กำหนดใช้ได้ภายในช่วงต้นปี 2563 โดยแผนดังกล่าวเป็นการทำให้สอดรับกับการพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชน แต่ไม่ใช่รูปแบบการพัฒนาโรงไฟฟ้า เนื่องจากจะเป็นการนำวัตถุ ดิบในพื้นที่มาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง อื่นๆ อย่างเช่นแก๊สได้ และเป็นโมเดลแบบใช้ไฟฟ้าได้เฉพาะตอนกลางวัน (ออฟกริด) โดยคาดว่าจะ ใช้กลไกของกองทุนอนุรักษ์พลัง งานมาสนับสนุน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขอชื่นชมความเข้มแข็งและภูมิปัญญาของชุมชนผาปังที่ร่วมกันระดมความคิด สามารถพลิกฟื้นพื้นที่ที่เคยแห้งแล้ง มาเป็นพื้นที่ที่มีความมั่นคงทางพลังงานในชุมชนได้ด้วยตนเอง จากการใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่มีไผ่เป็นพืชท้องถิ่นสะท้อนว่า พลังงานเพื่อชุมชน คือสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ได้เป็นเพียงอนุเสาวรีย์ ทั้งสอดคล้องกับนโยบาย Energy for all ของกระทรวงพลังงาน ที่แสดงให้เห็นถึงการมีความหวังโดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่า ต้องให้ความสำคัญ มีการจัดตั้งงบประมาณพร้อมให้การสนับสนุนชุมชนอื่นๆ ให้ร่วมกันสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับชุมชนของตนเอง ด้วยการบูรณาการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนชุมชนอื่นๆ ให้เกิดการใช้พลังงานเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยยกให้ชุมชนผาปังเป็นตัวแบบในการบริหารจัดการเพื่อปลุกเศรษฐกิจฐานรากในปี 2563 ด้วยพลังงาน และยกระดับไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชุมชนผาปังนั้น มีความมั่นคงทางพลังงาน สามารถลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้จากถ่านชีวภาพได้ 40,000 บาท ต่อไร่ต่อปี ผลิตถ่านปุ๋ยชีวภาพได้ราว 1 แสนบาท มีการยกระดับวิสาหกิจถ่าน สู่การเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เตรียมประกาศเป็นหมู่บ้านไม่มี lpg ในอนาคต นอกจากนี้ยังถือเป็นต้นแบบการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน ด้วยการใช้สอยพื้นที่ป่ากว่า 2.4 หมื่นไร่ จนสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 2,500 คนต่อปี โดยระหว่างปี 2558 -2562 สามารถสร้างรายได้สูงถึง 11 ล้านบาท

ยกนิ้วพระพุทธเจ้าน้อยนักยุทธศาสตร์จิ๋ว วิสัยทัศน์ชัดแจ้ง แปลงแผนสู่การปฏิบัติจึงมีประสิทธิผล

People Unity News : ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ม.สงฆ์ มจร ยกนิ้วพระพุทธเจ้าน้อยนักยุทธศาสตร์จิ๋ว วิสัยทัศน์ชัดแจ้ง แปลงแผนสู่การปฏิบัติจึงมีประสิทธิผล

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดเผยระหว่างนำนิสิตปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา ทัศนศึกษาแดนแห่งพุทธภูมิ ประเทศอินเดียเนปาล ถึงสวนลุมพินีประเทศเนปาลว่า “#เราจะผู้เลิศที่สุดของโลก #เราจะเป็นผู้เจริญที่สุดของโลก #เราจะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก” ประโยคดังกล่าวนี้ ถือเป็นการประกาศวิสัยทัศน์ของสิทธัตถะโพธิสัตว์ในช่วงนาทีแรกของการประสูติออกจากครรภ์พระมารดา อันเป็นการปักหมุดจุดมุ่งหมายที่จะไปให้ถึง หรือบรรลุความสำเร็จ

#Thomas_Bata นักยุทธศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า “วิสัยทัศน์ที่ปราศจากการลงมือทำเป็นเพียงแค่ความฝัน การลงมือทำโดยปราศจากวิสัยทัศน์เป็นเเค่การกระทำให้ผ่านไปเพียงเท่านั้น แต่วิสัยทัศน์ที่มาพร้อมกับการลงมือทำสามารถเปลี่ยนโลกได้”

หากมองในเชิงยุทธศาสตร์ การจัดวางวิสัยทัศน์ของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะน้อย เป็นการวางกรอบ และกำหนดทิศที่มีความ #คม #ชัด #ลึก มาก วิสัยทัศน์ที่ดีคือการบอกได้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน? หลังจากนั้น จึงเป็นการจัดวางกลยุทธ์โดยการตอบคำถามว่า ทำอย่างไร? จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้

จุดเด่นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะจึงไม่ใช่แค่คิดยุทธศาสตร์ แล้วประกาศวิสัยทัศน์ เพื่อที่จะได้ตอบคนอื่นว่ามีวิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์การทำงาน หากแต่เป็นนักปฏิบัติการ หรือเป็นผู้ที่เก่งในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ

มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดเน้นสอนคนที่จะเป็นอาจารย์ว่า “จงถามคำถามที่ถูก เพื่อจะได้รับคำตอบที่ถูก” หรือภาษาอังกฤษว่า “Good Quesion Good Answer” เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะวางวิสัยทัศน์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การตอบโจทย์ดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่สามารถหวังผลในการปฏิบัติ

หลังจากประกาศวิสัยทัศน์แล้ว พระโพธิสัตว์สิทธัตถะกลับมิได้หยุดนิ่ง ที่เรียกว่า #แผนแล้วนิ่ง หรือประกาศทิ้ง หากหนีบแผนไว้กับตัว แล้วเพียรพยายามแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

ตัวอย่างหนึ่งในยามวัยเยาว์ ขณะที่มีพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ทรงปลีกพระองค์ออกไปบำเพ็ญภาวนาใต้ต้นหว้าจนสามารถบรรลุปฐมฌานในขณะมีพระชนมายุได้เพียง 7 ปี

จะเห็นว่า เมื่อพระองค์วางแผนและกำหนดวิสัยทัศน์แล้ว พระองค์ไม่เคยทิ้งแผนที่ได้ออกแบบไว้ แม้พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดา เพียรพยายามจะวางกับดักเอาไว้ ทั้งปราสาทสามฤดู ตำแหน่งจักรพรรดิ์ รวมถึงกามคุณต่างๆ แต่ก็มิอาจทำให้ปล่อยวางสายตาไปจากวิสัยทัศน์ที่ได้วางเอาไว้แต่แรกเริ่ม

เมื่อถึงจุดหนึ่ง จุดที่จะทำให้การบรรลุวิสัยทัศน์ทรงพลังมากยิ่งขึ้น จึงทำให้พระองค์ต้องตอบตัวเองว่า สุดท้ายแล้ว พระองค์เกิดมาเพื่อที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ของพระราชบิดา หรือเลือกที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ของตัวเอง เพราะวิสัยทัศน์ที่วางไว้แต่แรกชัดแจ้งมาก คำตอบที่ได้ คือ การทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยออกจากพระราชวังเพื่อตอบวิสัยทัศน์ที่ตัวเองได้วางเอาไว้

เมื่อเสด็จออกจากพระราชวัง พระองค์จึงต้องปรับแผน หรือ Rolling Plan ครั้งใหม่ เพราะตัวแปรและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่ใช้เครื่องมือภายใต้วิถีแบบฆราวาสตามแนวทางกามสุขัลลิกานุโยคเพื่อเข้าถึงความสุข วิสัยทัศน์ยังคงเดิม แต่แผนกลยุทธ์ต้องปรับใหม่ พระองค์เลือกใช้เครื่องมือแบบใหม่โดยการบำเพ็ญทุกรกิริยาตามแนวอัตตกิลมถานุโยค

ท้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่ได้ปรับและวางเป็นแนวปฏิบัติ พระองค์ก็ตัดสินใจปรับแผนอีกรอบ แม้ว่าการปรับครั้งนี้ จะทำให้พระองค์เสียแนวร่วม จนทำให้ปัญจวัคคีย์ซึ่งเป็นทีมสนับสนุนไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพระองค์จนตัดสินใจทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในที่สุด

จะเห็นว่า พระองค์ไม่ดื้อดึงที่จะบุ่มบ่ามเดินหน้าต่อไป ทั้งๆ ที่ส่วนลึกในใจตัวเองทราบว่า การเดินทางตามแผนกลยุทธ์เดิมรังแต่จะเข้าป่าเข้าดง และไม่สามารถตอบวิสัยทัศน์ตั้งแต่เริ่มแรก ฉะนั้น เมื่อแผนนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุปัจจัยและสถานการณ์ จึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์อีกรอบ

#โทมัส_เอดิสัน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ล้มเหลว ข้าพเจ้าค้นพบ 10,000 วิธี ที่มันไม่ได้ผล” การเดินตามแผนขอพระโพธิสัตว์สิทธัตถะก็เช่นกัน การใช้เครื่องมือทั้งกามสุขัลลิกานุโยค และบำเพ็ญทุกรกิริยาตามแนวอัตตกิลมถานุโยค แม้จะเป็นมิจฉาวิธี และพบกับความล้มเหลว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พระองค์มองว่าทั้งหมดที่ทำมานั้นล้มเหลว

พระองค์จึงเริ่มปรับแผนอีกรอบ การปรับแผนครั้งนี้ เป็นการปรับแผนโดยการ SWOT คือการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการที่เคยใช้มาทั้งหมด จนในที่สุดจึงทำให้พระองค์ได้กำหนดตัวชี้วัดเฉพาะ (Specific Indicators) ซึ่งสามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

#มัชฌิมาปฏิปทา อันได้แก่ “มรรค 8” จึงเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้พระองค์ได้ออกแบบมาใช้เป็นเครื่องมือในการใช้เป็นแนวปฏิบัติจนนำไปสู่การดับสาเหตุของทุกข์อันได้แก่ตัณหา 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

เมื่อสาเหตุแห่งทุกข์ดับ ตัวทุกข์ก็ถูกดับไปด้วย และเมื่อทุกข์ดับลง ความสุขอันเป็นผลจากการดับลงแห่งราคะ โทสะ และโมหะ ที่พระองค์เรียกว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง” จึงบังเกิดตามมาในที่สุด

พระโพธิสัตว์สิทธัตถะต้องใช้ระยะเวลา 35 ปี ในชาติสุดท้ายนี้ จึงบรรลุวิสัยทัศน์ที่ได้ประกาศเอาไว้ว่า “เราจะเป็นผู้เลิศของโลก เราจะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก และเราจะเป็นผู้เจริญที่สุดของโลก ชาตินี้ จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา”

วิสัยทัศน์ดังกล่าวทำให้บรรลุถึงการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้อธิษฐานตนในขณะที่ทอดร่างกายให้พระพุทธเจ้าทีปังกรและเหล่าสาวก 500 รูปได้เดินเหยียบข้ามคลองน้ำเล็กๆ เมื่อที่เป็นสุเมธดาบส

จะเห็นว่า Vision, Action, Mission และ Passion จะต้องทำงานประกอบร่างไปในทิศทางเดียวกัน วิสัยทัศน์ดี แม้จะตั้งใจทำดีเพียงใด หากขาดกลยุทธ์ที่ดี และขาดความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแล้ว ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะนำพาเจ้าของไปบรรลุ Vision ได้

ด้วยเหตุนี้ แผนยุทธศาสตร์ที่ดีจึงต้องมีทั้งวิสัยทัศน์เป็นตัวนำทาง การแปลงแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและการทุ่มเทกายใจทำงาน ดังที่มหาตมะ คานธีได้กล่าวไว้ว่า “ใช้ชีวิตราวกับว่าคุณจะตายพรุ่งนี้ เรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

“โป๊ปฟรานซิส”ทรงชูภาษาเป็นสะพาน สร้างความเข้าใจแก้ความขัดแย้ง สร้างสันติสุขให้กับมนุษยชาติ

People Unity News :กรรมการมหาเถรสมาคมร่วมรับฟังสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงแสดงปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “สร้างสะพานแห่งสันติสุขและความเข้าใจ” ทรงชูภาษาเป็นสะพาน สร้างความเข้าใจแก้ความขัดแย้ง สร้างสันติสุขให้กับมนุษยชาติ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.20 น. สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน และศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เสด็จยังหอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงแสดงปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สร้างสะพานแห่งสันติสุขและความเข้าใจ” (Building Bridges for Peace and Understanding) ต่อคณะผู้นำศาสนาต่างๆ และประชาคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีพระคาร์ดินัลฟรังซิส เซเวียร์เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช อาร์คบิชอปแห่งเขตปกครองกรุงเทพฯ นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมุขแห่งเขตปกครองนครราชสีมา และประธานกรรมาธิการฝ่ายเสวนาระหว่างศาสนา ผู้แทนคริสตศาสนสัมพันธ์ของสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย ร่วมรับเสด็จ

ขณะเดียวกัน มีคณะนักร้องประสานเสียงจากหลากหลายกลุ่มศาสนาได้ร่วมขับร้องประสานเสียงบทเพลง Peace Prayer ให้การต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ทรงแสดงปาฐกถาในหัวข้อ “Building Bridges for Peace and Understanding” หรือ สร้างสะพานแห่งสันติสุขและความเข้าใจ” โดยทรงตรัสเป็นภาษาสเปน พร้อมมีล่ามแปลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผู้นำทางศาสนา 5 ศาสนา จำนวน 18 ท่าน อาทิ

ผู้แทนมหาเถรสมาคมคือสมเด็จพระวันรัต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศวาสวรวิหาร ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ไทย ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก นายประสาน ศรีเจริญ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ นายปานชัย สิงห์สัจเทพ นายกสมาคมศรีคุรุสิงห์ นายจรัล ศรีสวรรค์ชวาลา นายกสมาคมศาสนาซิกข์นามธารีสังคัตประเทศไทย และผู้นำคริสตชนนิกายต่างๆ รวมถึงคณาจารย์ และนิสิต ร่วมรับฟัง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสปาฐกถาสาระสำคัญตอนหนึ่ง โดยพระองค์ได้ตรัสถึงเรื่องความจำเป็นในการยอมรับและเห็นคุณค่าของกันและกัน รวมถึงความร่วมมือระหว่างศาสนาต่างๆ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติในการเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนในปัจจุบันโดยพระองค์ตรัสว่า โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจการเงิน และผลกระทบที่รุนแรงต่อการพัฒนาสังคมท้องถิ่น ความขัดแย้งทางสังคม รวมทั้งปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้ลี้ภัย ซึ่งภาวะการณ์เหล่านี้กระตุ้นเตือนว่าไม่มีภูมิภาคหรือภาคส่วนใดของมนุษยชาติที่จะไม่ได้รับผลกระทบ เราจึงจำเป็นต้องค้นหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งคือการสร้างความเข้าใจระหว่างกัน

พระองค์เชื่อว่าสถาบันศาสนา รวมถึงสถาบันการศึกษา จะเป็นส่วนสำคัญในการร่วมกันแก้ปัญหา และน่าจะเป็นหลักประกันในอนาคตให้กับอนุชนรุ่นหลัง รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและสันติภาพ

จากนั้น เวลา 17.00 น. สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จถึงอาสนวิหารอัสสัมชัญ ทรงประกอบพิธีมิสซา และประทานโอวาทให้เยาวชนที่เป็นคนรุ่นใหม่ “You are the Now of God” ในเรื่องของการใช้ชีวิต เพราะเยาวชนคือความหวังของโลกอนาคต ควรต้องรู้จักใช้ชีวิต ด้วยการสร้างและวางรากฐานชีวิตเหมือนกับบรรพบุรุษ เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านงดงาม มีรากที่แข็งแรง เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ด้วยการเรียนรู้ ทำความดี อย่ากลัวอนาคต ขอให้มองอนาคตด้วยความเบิกบาน กล้าหาญ ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน และนำความรักความเมตตามอบสู่ผู้คนบนโลก เพื่อให้เกิดความสันติสุขสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ขอให้เยาวชนผู้ต่างเป็นความหวังของโลกอนาคต อย่าให้สิ่งดึงดูดความสนใจทำให้เยาวชนล่องลอยและไฟแห่งชีวิตมอดดับ และขอให้เชื่อมั่นในความดีและมิตรภาพที่แน่นแฟ้น เพราะจะทำให้ทุกคนมีความสุข

กลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ประชุมภาคใต้ ดีเดย์ฟ้ององค์กรรัฐสามแห่งฉ้อโกงประชาชน

People Unity News : กลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ประชุมภาคใต้ ดีเดย์ฟ้ององค์กรรัฐสามแห่งฉ้อโกงประชาชน หลังบุกร้องกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ได้คำตอบเพียงขณะนี้ได้รับเรื่องไว้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 หลังจากกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ 200 กว่าคนจากทั่วประเทศไปร้องเรียนกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ท. กระทรวงศึกษาธิการและ ป.ป.ง.ให้ทำการตรวจสอบการกระทำของสำนักงานสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ธนาคารรัฐแห่งหนึ่ง และบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ส่อว่าจะฉ้อโกงประชาชนตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2561 ต่อมามีเพียงสองหน่วยงานเท่านั้นที่ตอบมาว่า บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง อาจมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 จึงได้ส่งข้อมูลการกระทำผิดและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และ ป.ป.ท.ได้ตอบมาว่า ขณะนี้ได้รับเรื่องไว้แล้วนั้น

นายสำคัญ จงโกเย็น เลขาธิการกลุ่มครูยุติธรรมภิวัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เราได้ประชุมกับคณะทนาย 8 คนที่กรุงเทพฯ ที่ประชุมตกลงกันกำหนดวันฟ้องศาลทุจริตกลางและศาลทุจริตฯประจำภาคต่างๆ ในเดือนธันวาคม 2562 และจะทำการประชุมก่อนฟ้องร่วมกับพี่น้องครูผู้กู้รายละ 6 แสนบาทในโครงการ ช.พ.ค.5 ครูผู้กู้รายละ 1.2 ล้านบาทโครงการฯ 6 และครูผู้ก้ 3 ล้านบาทโครงการฯ 7 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ในวันเสาร์ที่ 30พ.ย.นี้

นายสำคัญกล่าวอีกว่า หนึ่งปีเต็มเราได้รับความร่วมมือจากแหล่งข่าว ผู้ใหญ่ในกระทรวงและสืบค้นพบว่า น่าจะมีเงื่อนงำอันเป็นปมเงื่อนหนี้ครูอยู่มากและมีความซับซ้อนมาก อาทิเช่น1. ครูผู้กู้โครงการ5-6-7 มีจำนวนรวม 358,705 ราย ยังคงต้องต่ออายุกรมธรรม์ประกันวินาศภัยอุบัติเหตุฯ ไม่ใช่ประกันชีวิตฯตามมติคณะรัฐมนตรี
22 พ.ค.2550 ครูต่างเดือดร้อนกันมาก เพราะอัตราเบี้ยประกันรายละ 33,480 บาท(เงินกู้6แสน) 66,960 บาท(เงินกู้ 1.2ล้านบาท) 186,300 บาท(เงินกู้3ล้านบาท)
ครูแทบสิ้นเนื้อประดาตัวและแสนสาหัส ถ้าไม่มีเงินเสียเบี้ยประกันในสัญญาข้อ 6 ให้ธนาคารออมสินหักเบี้ยประกันได้เลย แล้วไปเพิ่มยอดหนี้เรื่อยๆ ส่งเท่าไรก็เสียแต่ดอกเบี้ย เงินต้นเล็กน้อย อย่างเช่น ครูกลุ่มหนึ่งเมื่อโอนหนี้ไปแก้ยังสหกรณ์ครูจะต้องผ่อนส่งถึง 519 งวด เลยทีเดียวเราพากันเรียกว่า ชาติหน้าก็ใช้หนี้ไม่หมด 2. เงินค่าคอมมิชชัน มีหลักฐานแสดงการจ่ายเงินนี้แก่คนใน สกสค.สองส่วน ธนาคารออมสิน 1 ส่วน และบริษัทประกันอีก 1ส่วน ตอนแรกใส่ถุงไปแจกกันในระดับสาขา เขต และภาค ตอนหลังจำนวนเงินมากขึ้นต้องโอนเข้าบัญชีลับของธนาคาร สามารถตรวจสอบได้ที่บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเงินโอนทันทีจากธนาคารทุกสาขามาทำประกันกับบริษัทนี้มีจำนวนเงินสูงถึง 3 หมื่นกว่าล้านบาท

3. เอกสารน่าจะสมคบคิดกันในการหักโอนใน 4 บัญชีของ สกสค.ที่ธนาคารมอบให้ตามสัดส่วนร้อยละ 1 ของผู้กู้ ไปชำระหนี้แทนครูผู้กู้ค้างชำระ 3 เดือนติดต่อกันเพราะอดีตเลขาธิการ สกสค.ได้ไปลงนามในฐานะ”ผู้มีอำนาจทำการแทน” ให้กับรองผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 1 เป็นผู้หักโอนจาก 4 บัญชีไปชำระหนี้แทนครูรวมแล้วทั้งสิ้น 99,198 คน เป็นเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายสำคัญยังกล่าวอีกว่า ในงานประชุมเตรียมฟ้องนี้ จะมีวิทยากรที่น่าสนใจอีกสองคน คือนายสมคิด หอมเนตร ประธานเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน จะพูดถึงอดีต รมช.กระทรวงพาณิชย์มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และได้เป็นผู้ประสานองค์กรของรัฐทั้งสาม และจะได้เปิดเผยถึงส่วนแบ่งคอมมิชชันเป็น 4 ส่วน

อีกทั้งยังจะชี้ให้เห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งการที่ธนาคารปล่อยกู้ให้แก่คณะกรรมการ สกสค.23 คนรวมทั้งปลัดกระทรวงรายละ2ล้านบาทโดยไม่ต้องทำประกันหนี้แต่ประการใด และยังนำเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษฯที่ออมสินให้ครูและ สกสค.ไปให้เจ้าหน้าที่ สกสค. กู้ยืมในวงเงินที่สูงดอกเยี้ยต่ำเพียงร้อยละ2ต่อปี ฯลฯ และนายสาโรช บุตรเนียร อดีตนิติกรและคณะทำงานของรัฐมนตรีคนก่อนจะพูดถึง การทำสัญญาเงินกู้เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ การทำประกันเป็นการสร้างภาระมากกินปกติแก่ครูหรือไม่ ก่อนทำประกันเคยมีการบอกกล่าวครูให้รู้ก่อนหรือไม่หรือเพียงมีแผ่นปลิว และเอกสาร สกสค.เท่านั้น และการรักษาผลประโยชน์ของครูโดยองค์กร สกสค.ชื่อเต็มๆ ก็บอกอยู่แล้วว่าสวัสดิการและสวัสดิภาพครู ทำสมชื่อหรือไม่?

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ผู้ประสานงานกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ กล่าวถึงงานนี้ว่า ตนจะพูดในเรื่อง 1. องค์กรของรัฐสมคบคิดกันฉ้อโกงครูหรือไม่ 2. สัญญาเงินกู้แบบสำเร็จรูปฝ่ายเดียวเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจนกลายเป็น”อาชญากรทางการศึกษา” กระทำการผ่านการกู้เงินและประกันภัยจนสร้างความเดือดร้อนของครูอย่างแสนสาหัสกระทบถึงคุณภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แก่ผู้เรียนและประชาชน และ 3.การสุมหัวกันแสวงหาประโยชน์ทั้งประกันภัย และการกู้เงินของอดีตปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่ สกสค.แบบดอกเบี้ยถูกและไม่ต้องใช้หลักประกันใดๆ เลย.

สมเด็จพระสังฆราชตรัสรำลึกความสัมพันธ์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทย

People Unity News : สมเด็จพระสังฆราชตรัสรำลึกความสัมพันธ์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเป็นดุจเสด็จมาเยือนของมิตรแท้อันเก่าแก่ของคนไทย

วันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ประมุขแห่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก และนครรัฐวาติกัน ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระดำรัสรับเสด็จ ความว่า

“ขอถวายพระพร มหาบพิตรสมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงสมณคุณอันประเสริฐ

อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ไทย ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ ในโอกาสที่มหาบพิตร เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และเสด็จมาทรงเยี่ยมอาตมภาพในวาระนี้ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพึงจดจารึกไว้เป็นศุภนิมิตแห่งน้ำใจไมตรีที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทย มีสืบเนื่องกันมาอย่างแน่นแฟ้น ราบรื่น และงดงาม เป็นเวลาเนิ่นนานนับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

เมื่อ ๓๕ ปีล่วงมาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เฉพาะพระพักตร์พระพุทธอังคีรส ประธานพระอุโบสถแห่งนี้ สมเด็จพระอุปัชฌายะของอาตมภาพ คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ได้เสด็จลงทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก เสด็จมาทรงเยี่ยมประมุขแห่งพุทธจักรไทย ณ ราชอาณาจักรไทย ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของอาตมภาพ ผู้มีโอกาสได้เฝ้าอยู่ในการดังกล่าวด้วย ทั้งสองพระองค์ทรงปราศรัยกัน ทรงแสดงพระอัธยาศัยอันงามต่อกัน บนพื้นฐานแห่งพระเมตตาจิตอย่างแท้จริง ในฐานะนักบุญผู้ประเสริฐแห่งสองศาสนา ซึ่งมุ่งหมายจะแผ่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ไปสู่ทุกชีวิตอย่างไม่มีประมาณ เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน

ขอถวายพระพรให้ทรงทราบว่า ใต้ฐานพระพุทธอังคีรส ยังเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ ๑๓ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๐, เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ ๑๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๗ อีกทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นที่ ๒๓ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๓ และทรงเคยรับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒ ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๗

ณ สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นมงคลสถานสำหรับการพบกันของเราทั้งสอง ด้วยส่วนแห่งพระวรกายของทุกๆ พระองค์ ยังคงประดิษฐานเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพ ซึ่งได้ทรงสร้างสรรค์ไว้นับแต่อดีตสมัย หากแต่ละพระองค์มีพระญาณวิถีใดที่จะทรงหยั่งทราบ คงจะทรงโสมนัสพระราชหฤทัยไม่น้อย ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญงอกงามแห่งทางพระราชไมตรี เป็นภาพอันน่าประทับใจอีกครั้งในวันนี้

การเสด็จมาครั้งนี้ของมหาบพิตร จึงไม่ใช่การมาของมิตรใหม่ หากแต่เป็นการมาเยือนของมิตรแท้อันเก่าแก่ของคนไทย ระยะทางที่ห่างไกลกันหาใช่อุปสรรคของความสนิทสนมกลมเกลียวกัน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ว่า ‘ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง.’ ‘ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง.’ บัดนี้ มหาบพิตร ทรงพระอุตสาหะตรากตรำพระวรกายบนหนทางแสนไกล เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และมาทรงเยี่ยมอาตมภาพด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพถึงที่นี้ อาตมภาพขอสนองน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพนั้นๆ ตอบถวาย เป็นหลายเท่าทวีคูณ

ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาธรรม ซึ่งมหาบพิตรทรงเจริญมั่นอยู่ในพระหฤทัย และด้วยศุภผลแห่งกุศลเหตุ คือความไม่ประทุษร้ายมิตร ขอมหาบพิตร ทรงสถิตสถาพร เป็นปูชนียฐานอันประเสริฐของศาสนิกบริษัท และทรงพระเจริญในสมณคุณ ค้ำจุนให้ทรงผ่องแผ้วผ่านพ้นภัยพิบัติทั้งปวง สมตามพระพุทธานุศาสนีดังอาตมภาพอัญเชิญมาอ้าง เป็นสัจจวาจาข้างต้นนี้ทุกประการ.

ขอถวายพระพร”

Cr.เพจสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช

People Unity News : สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จฯทำเนียบฯ ชมไทยเป็นพหุสังคม อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ หลังจากนั้นเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้เข้าเฝ้าถวายการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส (His Holiness Pope Francis)ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของรัฐบาล

ในโอกาสนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฯได้ประทานพระดำรัส ใจความสำคัญ ระบุว่า ยินดีที่ได้มาเยือนประเทศไทย ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และเป็นประเทศที่ยังคงรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับ ย้ำถึงความปรารถนาดีต่อราชอาณาจักรไทย และต่อการปกครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอแสดงความเคารพอย่างสูงต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เคารพและยินดีที่ได้พบทุกท่าน ตลอดจนได้อำนวยพรไปยังบรรดาปวงชนชาวไทยทุกคน และขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้สมเด็จพระสันตะปาปาฯ มาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้

อาเซียนเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจเพื่อแก้ไขปัญหาในภูมิภาคที่กำลังเผชิญ ซึ่งปัญหาของโลกในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของโลก ในฐานะที่ไทยมีวัฒนธรรมหลากหลายเป็นประเทศ พหุสังคมจึงเป็นประเทศที่ยอมรับถึงการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งประสบการณ์จากการให้ความเคารพและยอมรับความแตกต่าง เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนที่ปรารถนาที่จะสร้างโลกที่แตกต่าง เพื่อมอบให้กับชนรุ่นต่อไป

นอกจากนี้ ยังชื่นชมการจัดตั้งคณะกรรมการจริยธรรมและสังคม ซึ่งได้เชิญผู้แทนจากศาสนาต่างๆ ในประเทศเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อรับฟังความคิดเห็น ในการที่จะรักษาความทรงจำทางจิตวิญญาณอันมีชีวิตของประชาชน สมเด็จพระสันตะปาปาฯ และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อแสดงถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการสร้างมิตรภาพระหว่างศาสนา เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของสังคม ยืนยันว่า ชาวคาทอลิกจะพยายามอย่างเต็มความสามารถ ในการสนับสนุนอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แผ่นดินไทยได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินแห่งอิสรภาพ อิสรภาพจะเกิดขึ้นต่อเมื่อทุกคนมีความรับผิดชอบต่อกันและกัน เพราะฉะนั้นต้องเอาชนะความไม่เท่าเทียมให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา อาชีพการงาน และความช่วยเหลือด้านสุขภาพเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์และยั่งยืน

ในโอกาสนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้กล่าวเกี่ยวกับวิกฤติการณ์การเคลื่อนไหวของผู้ย้ายถิ่น ซึ่งปัญหาอยู่ที่สถานการณ์ที่ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นเป็นปัญหาด้านจริยธรรมที่สำคัญ และขอสนับสนุนให้ประชาคมระหว่างประเทศ แก้ไขปัญหาที่ผลักดันให้ประชาชนต้องหลบหนีออกจากประเทศของตน และส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย มีการจัดการ และมีการควบคุม โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกประเทศจะจัดตั้งกลไกปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ย้ายถิ่นและผู้อพยพ

นอกจากนี้ยังได้ชื่นชมรัฐบาลไทยที่ได้ดำเนินการแก้ปัญหาการใช้ความรุนแรง และการใช้แรงงานในเด็ก และสตรี โดยปีนี้เป็นปีแห่งการครบรอบ 30 ปี ของ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับเราในการที่จะไตร่ตรองการวางอนาคตของประชากรของเรา

ในตอนท้าย สมเด็จพระสันตะปาปาฯ กล่าวส่งเสริมให้สังคมมี”ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” เป็นภารกิจที่ทุกคนสามารถทำได้ และสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ได้ขอพระพรจากพระเจ้า ให้ประเทศ ผู้นำ และประชาชนชาวไทย ขอให้พระเจ้าทรงนำทุกคน ในหนทางแห่งปัญญา ความยุติธรรม และสันติสุข

กรมราชทัณฑ์ติวเข้มผู้สอนบาลีศึกษาแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ

People Unity News :  “กิตติพัฒน์ เดชะพหุล” รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายพัฒนาพฤตินิสัย เปิดการสัมมนาบุคลากรด้านการเรียนการสอนบาลีศึกษาในเรือนจำ ประจำปี พ.ศ.2563

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ที่วัดเสมียนนารี พระอารามหลวง แขวงจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายกิตติพัฒน์ เดชะพหุล รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายพัฒนาพฤตินิสัย เป็นประธานเปิดการสัมมนาบุคลากรด้านการเรียนการสอนบาลีศึกษาในเรือนจำ ประจำปี พ.ศ.2563 พร้อมกล่าวว่า สืบเนื่องจาก การที่กรมราชทัณฑ์ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา กรมราชทัณฑ์ต้องหาวิธีอบรม กล่อมเกลาพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง เพื่อให้เขาสามารถดำเนินชีวิตในภาวะวิกฤตของชีวิต ให้เป็นไปอย่างปกติสุขตามอัตภาพ มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ สำนึกในบาปบุญคุณโทษการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ให้โอกาสผู้ต้องขังได้แสดงศักยภาพให้สังคมภายนอกได้รับทราบ ตลอดจนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ สนับสนุนให้เขาเหล่านี้ กลับสู่สังคมได้อย่างปกติสุข และไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก

นายกิตติพัฒน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมราชทัณฑ์พิจารณาเห็นสมควร ที่จะขยายผลการจัดการเรียนการสอนบาลีศึกษาไปยังเรือนจำ ทัณฑสถานทั่วประเทศ โดยได้สำรวจความพร้อมและความต้องการของเรือนจำ ทัณฑสถาน ในการเปิดการเรียนการสอนบาลีศึกษา พบว่า มีเรือนจำกว่า 80 แห่ง ประสงค์จะเปิดการเรียนการสอนแต่ได้พิจารณาคัดเลือกไว้เพียง 48 แห่ง เฉพาะที่มีความพร้อม ในด้านบุคลากรดำเนินการ คือ

“มีอนุศาสนาจารย์ประจำเรือนจำ มีอาคารสถานที่จัดการเรียนการสอน มีหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่พร้อมให้การสนับสนุนและมีผู้ต้องขังแจ้งความประสงค์สมัครเรียน รวมกับเรือนจำ ทัณฑสถานที่เปิดดำเนินการก่อนหน้าแล้ว 4 แห่ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 51 แห่ง ดังนั้น เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถประสาน ดำเนินการจัดการเรียนการสอนบาลีศึกษาได้อย่างถูกต้องมีแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อให้แผนนโยบายการจัดการเรียนการสอนบาลีศึกษาภายในเรือนจำ ทัณฑสถาน ขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั่วประเทศ และให้การขยายผลการจัดการเรียนการสอนบาลีศึกษา ประสบผลสำเร็จ และสนองต่อพระราชกระแสรับสั่ง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมาลี ด้านการส่งเสริมผู้ต้องขังให้ได้เรียนธรรมะอย่างจริงจัง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้เป็น คนดี มีคุณธรรมได้ต่อไปในอนาคต” นายกิตติพัฒน์ กล่าว

Verified by ExactMetrics