วันที่ 4 ธันวาคม 2024

สธ. เผยผลสำเร็จ อสม. ปักหมุดแอป “พ้นภัย” เข้าพื้นที่ค้นหาดูแลกลุ่มเปราะบางทั่วไทยแล้วกว่าร้อยละ 90

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กรกฎาคม 2567 สธ. เผยผลสำเร็จ อสม. ปักหมุดแอป “พ้นภัย” เข้าพื้นที่ค้นหาดูแลกลุ่มเปราะบางทั่วไทยแล้วกว่าร้อยละ 90

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการ อสม. ทั่วไทย ร่วมใจปักหมุดผ่านแอป “พ้นภัย” เฉลิมพระเกียรติฯ หนุน อสม.- อสส. ปักหมุดพิกัดกลุ่มเปราะบางให้ครบทุกตำบล/แขวง เพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพและได้รับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข เผย ปักหมุดแล้ว 6,762 ตำบล/แขวง คิดเป็นพื้นที่ ร้อยละ 91.10 เดินหน้าผลักดันให้ครอบคลุมทั้งหมดภายใน 28 กรกฎาคม 2567 นี้

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) ที่ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด “โครงการ อสม. ทั่วไทย ร่วมใจปักหมุดผ่านแอป “พ้นภัย” เพื่อกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” โดยมี นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล รองปลัด กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และ อสม. ร่วมงาน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัด “โครงการ อสม. ทั่วไทย ร่วมใจปักหมุดผ่านแอป “พ้นภัย” เพื่อกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” มุ่งหวังให้ประชากรกลุ่มเปราะบางทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้เข้าถึงบริการสุขภาพและได้รับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและครอบคลุม โดยให้ อสม./อสส. ทำการสำรวจและปักหมุดพิกัดกลุ่มเปราะบางใน 76 จังหวัด 7,255 ตำบล และกรุงเทพมหานคร 168 แขวง รวมเป็น 7,423 ตำบล/แขวง สำหรับเข้าช่วยเหลือเป็นลำดับแรกเมื่อเกิดภัยพิบัติ และยังช่วยลดความซ้ำซ้อนในการช่วยเหลือของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการเข้าช่วยเหลือ

นายแพทย์ภาณุมาศ กล่าวว่า โครงการ อสม. ทั่วไทย ร่วมใจปักหมุดผ่านแอป “พ้นภัย”ฯ นอกจากช่วยให้กลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ ยังเป็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขของประเทศให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ขยายโอกาสดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2567 อสม./อสส. ได้ทำการปักหมุดในพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว 6,762 ตำบล/แขวง คิดเป็นร้อยละ 91.10 มีผู้เปราะบางในการปักหมุดรวม 424,738 ราย แบ่งเป็น ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 359,970 ราย ผู้พิการที่ไม่สามารถหลบหนีภัยได้ 49,861 ราย และผู้ป่วยติดเตียง 14,907 ราย ซึ่งจะมีการสนับสนุนให้ อสม./อสส. ปักหมุดพิกัดกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมอีก 661 ตำบล/แขวงที่เหลือให้ครอบคลุม ภายในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 นี้

ด้าน นายแพทย์สามารถกล่าวว่า การปักหมุดลงพิกัดกลุ่มเปราะบางรายใหม่ผ่านแอป “พ้นภัย” เป็นหนึ่งในภารกิจของ อสม. ที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยบูรณาการกับระบบการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำ กำกับ ติดตามการปฏิบัติงาน เพื่อให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ที่ผ่านมามีหน่วยงานต่างๆ นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ อาทิ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ นำข้อมูลไปใช้ในการจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย เตรียมความพร้อมช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง, สภากาชาดไทยส่งมอบชุดธารน้ำใจ 204,890 ชุด นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มเปราะบางที่อยู่ลำพัง หรือบางรายที่คนในครอบครัวต้องออกไปทำงานในช่วงกลางวัน ได้มีโอกาสพูดคุย ตรวจสุขภาพเบื้องต้นกับ อสม. ถือเป็นการเสริมพลังใจ สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับกลุ่มเปราะบางได้อีกทางหนึ่ง

Advertisement

นายกฯย้ำเดินหน้าแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ขอช่วยกันปลูกฝังให้เด็กนักเรียนเกลียดชังยาเสพติด

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 24 กรกฎาคม 2567 นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ย้ำเดินหน้าแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ช่วยกันปลูกฝังให้เด็กนักเรียนเกลียดชังยาเสพติด แนะแบ่งเงินรางวัลนำจับเป็น 2 ส่วน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) เวลา 12.00 น. ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2567 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าเข้าร่วมประชุม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง นายกฯ ถ่ายภาพร่วมกับคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าและคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ จากนั้น นายกฯ พร้อมคณะเข้าห้องประชุม นายกฯ กล่าวเปิดการประชุมฯ ว่า เป็นการพบกันครั้งที่ 2 ตามที่ได้บอกไว้ สำหรับประเด็นวันนี้ อยากจะพูดคุยถึงเรื่องการศึกษา และเสริมด้วยเรื่องของความมั่นคง รวมถึงปัญหายาเสพติด

ต่อจากนั้น นายกฯ รับฟังบรรยายการนำเสนอข้อมูล บทบาท ภารกิจ ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ประกอบด้วย ภารกิจด้านการศึกษา ภารกิจด้านความมั่นคง (ปัญหาในพื้นที่ชายแดนและปัญหายาเสพติด) และภารกิจอื่น ๆ

ภายหลังรับฟังบรรยายการนำเสนอข้อมูลฯ นายกฯ กล่าวขอให้เน้นย้ำเรื่องการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา รวมถึงการแก้ไขปัญหาเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ Thailand Zero Dropout เป็นเรื่องที่ดี รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขอให้ขับเคลื่อนทำงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับฝากให้หน่วยงานของ ศธ. ทำงานร่วมกัน ส่วนเรื่องของยาเสพติดจากข้อมูล ในโรงเรียนยังไม่มีการแพร่ระบาดมากนัก ถ้าไม่พูดถึงเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า ขอให้ช่วยกันปลูกฝัง ให้เด็กมีความเกลียดชังยาเสพติดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจถึงโทษและอันตรายของยาเสพติด

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการพนันออนไลน์ เรื่องคอลเซ็นเตอร์ และเรื่องของยาเสพติด ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคง ซึ่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ขอให้ถือเป็นภารกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด เป็นปัญหาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านมีConcern อย่างมากในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลได้เพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการบำบัด การสร้างเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงการวางมาตรการป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาตามตะเข็บชายแดน ขอให้ระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ สำหรับเจ้าหน้าที่ขอให้มีความพร้อมในการทำงาน รองรับสถานการณ์ ขออย่าประมาท อุปกรณ์การทำงานจะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์

นายกฯ ระบุเรื่องของเงินรางวัลนำจับยาเสพติด ตนเองเข้าใจว่า ยังมีหลายหน่วยงานที่มีข้อถกเถียงเรื่องของการแบ่งปันเงินรางวัล ซึ่งจากที่ตนเองได้พบปะพูดคุยกับผู้บัญชาการในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเช่น ป.ป.ส. กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้มีการแบ่งเงินรางวัลจากการจับยาเสพติดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ตามที่ได้ตกลงไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการจ่ายเงินรางวัล ส่วนมากจะจ่ายเมื่อจบสิ้นคดี บางคนเกษียณไปแล้วยังไม่ได้เงินรางวัล ขอให้มีการแบ่งจ่าย 30% เมื่อมีการจับกุม ส่วนอีก 70% จ่ายตอนคดีจบสิ้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นมุ่งหมายหลักในการทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้สิ้นซาก

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาตนเองได้สั่งการให้ ปปง. ดำเนินการยึดทรัพย์ ขอให้เร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ถ้าหากสงสัยขอให้ยึดมาก่อน ซึ่งหน้าที่พิสูจน์ทราบเป็นหน้าที่ของผู้ที่ถูกยึดทรัพย์มาชี้แจง ส่วนเรื่องของความมั่นคง ปัจจุบันมีปัญหาอย่างมาก ขอให้หน่วยงานความมั่นคงร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาการลุกลามตามชายแดนของบุคคลต่างด้าว และปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ ฝากให้กระทรวงมหาดไทยดูในเรื่องนี้ ถ้าหากบุคคลกลุ่มนี้มีคุณสมบัติครบที่ต้องได้สิทธิ์ต่าง ๆ ก็ขอให้เร่งดำเนินการให้บุคคลกลุ่มนี้ได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายที่ระบุโดยเร็ว ขออย่านำไปเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง ถือเป็นสิทธิ์ของคนที่พึงจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา สาธารณสุข ขอให้ยึดความเท่าเทียมเป็นหลัก อย่าให้เกิดความเหลื่อมล้ำ อย่าปฏิเสธก่อน ขอให้กำชับเจ้าหน้าที่ดูแล อำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

ในส่วนเรื่องของการพนันออนไลน์และคอลเซ็นเตอร์ การประสานงานกับต่างประเทศถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ตนเองได้พูดคุยกับนายกฯ กัมพูชา เข้าใจว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการประสานไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของการตัดตอนขบวนการคอลเซ็นเตอร์ตามตะเข็บชายแดนที่มีจำนวนมาก ถือว่าได้รับการประสานงานที่ดี อยากให้มีการติดตามที่ชัดเจน ส่วนเรื่องของทุนจีนสีเทา นายกฯ ย้ำ เรื่องของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานธุรกิจ เราไม่ได้รังเกียจ แต่เรารังเกียจนักธุรกิจผิดกฎหมาย ขอให้เจ้าหน้าที่รวมถึงฝ่ายมั่นคงอย่านิ่งนอนใจ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อไป

Advertisement

กยศ. คิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ตั้งแต่เริ่มกู้จนชำระเสร็จสิ้น ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กรกฎาคม 2567 “คารม” ย้ำ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ตั้งแต่เริ่มกู้จนชำระเสร็จสิ้น ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ขอให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ตามจำนวนที่แจ้งในหน้าแอปพลิเคชัน กยศ.Connect ยืนยันไม่มีใครเสียสิทธิ์อันพึงได้ตามกฎหมายอย่างแน่นอน

วันนี้ (17 กรกฎาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีที่สื่อออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเรื่อง   ผู้กู้ยืมได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดหนี้ที่ปรากฏในแอปพลิเคชัน กยศ.Connect  กับตารางผ่อนชำระ 15 ปี มีจำนวนไม่ตรงกันนั้น กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงว่า ตารางชำระหนี้ของผู้กู้ยืมได้กำหนดขึ้นหลังจากจบการศึกษาและปลอดหนี้ 2 ปีแล้ว ซึ่งยอดหนี้และอัตราการผ่อนชำระของผู้กู้ยืมแต่ละรายจะไม่เท่ากัน โดยกำหนดผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี  สำหรับอัตราการผ่อนชำระรายปีกำหนดให้แบ่งชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ดังนี้  ปีที่ 1 ชำระเงินต้น 1.5% ไม่มีดอกเบี้ย ปีที่ 2 ชำระเงินต้น 2.5% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ และปีที่ 3 ชำระเงินต้น 3% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ โดยจะชำระเป็นขั้นบันไดจนถึงปีที่ 15 (ปีสุดท้าย) จะชำระเงินต้น 13% พร้อมดอกเบี้ย 1% ของเงินต้นคงเหลือ

“กองทุนฯ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพียง 1% ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ส่วนกรณีที่ยอดรวมที่ต้องชำระมีจำนวนแตกต่างกับตารางที่กำหนดนั้น เกิดจากเหตุต่าง ๆ เช่น ความเข้าใจคลาดเคลื่อนและชำระเงินไม่ตรงตามกำหนดทำให้เกิดดอกเบี้ยค้างหรือเบี้ยปรับ ซึ่งกองทุนฯ ขอให้ชำระตามยอดรวมที่ต้องชำระที่ปรากฏในแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ส่วนดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมมีข้อสงสัยว่าทำไมเพิ่มขึ้นรายวันนั้น ขอชี้แจงว่า หากเงินต้นจำนวน 200,000 บาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี จะเกิดดอกเบี้ยปีละ 2,000 บาท เมื่อคำนวณเป็นรายวัน จะเกิดดอกเบี้ย 5.48 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ในระบบจะมีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวันจนกว่าผู้กู้ยืมจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ขณะนี้กองทุนฯ อยู่ในระหว่างการคำนวณภาระหนี้ย้อนหลังนับตั้งแต่วันเริ่มกู้จนถึงปัจจุบันให้กับผู้กู้ยืม 3.6 ล้านราย ซึ่งมีรายการคำนวณประมาณ 100 ล้านรายการ และเมื่อการคำนวณภาระหนี้ทั้งหมด ในระบบเสร็จสมบูรณ์แล้ว กองทุนฯจะขึ้นระบบเพื่อทราบต่อไป และขอยืนยันว่าจะไม่มีใครเสียสิทธิ์อันพึงได้ ตามกฎหมายอย่างแน่นอน” นายคารม ย้ำ

Advertisement

รัฐบาลเผยรายชื่อโรงพยาบาล 140 แห่ง ที่ให้บริการนอกเวลาราชการ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้แล้ว 140 แห่ง โรงพยาบาลที่ให้บริการนอกเวลาราชการ พร้อมยกระดับโครงการ ​“30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” สู่ยุคดิจิทัล ด้วยธรรมาภิบาลข้อมูลสุขภาพ

วันนี้ (14 กรกฎาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นการยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพทั่วประเทศ เปิดรายชื่อโรงพยาบาล 140 แห่ง ซึ่งเป็นหน่วยบริการนอกเวลาราชการ ที่เป็นความจําเป็นของผู้มีสิทธิในหน่วยบริการอื่น โดยมีห้องบริการ แยกจากห้องฉุกเฉิน สอดรับกับนโยบายปฏิรูปห้องฉุกเฉินของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเดินหน้าปฏิรูประบบสาธารณสุข ยกระดับโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” สู่ยุคดิจิทัล ด้วยธรรมาภิบาลข้อมูลสุขภาพ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ สปสช. เรื่อง รายชื่อหน่วยบริการที่ให้บริการนอกเวลาราชการที่เป็นความจําเป็นของผู้มีสิทธิในหน่วยบริการอื่น พ.ศ. 2567 ซึ่งมีการปรับปรุงรายชื่อหน่วยบริการ ที่ให้บริการนอกเวลาราชการ ที่เป็นความจำเป็นของผู้มีสิทธิในหน่วยบริการอื่น โดยมีห้องบริการ แยกจากห้องฉุกเฉิน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปห้องฉุกเฉินของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีรายชื่อโรงพยาบาล จำนวน 140 เเห่งที่ให้บริการนอกเวลาราชการ เเละมีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลทั้งหมดได้ที่ https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/33539.pdf

พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ยกระดับโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” เข้าสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติธรรมาภิบาลข้อมูลสุขภาพ เพื่อเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย 1.จัดทำแนวปฏิบัติธรรมาภิบาลข้อมูลสำหรับหน่วยบริการทั่วประเทศ 2.แต่งตั้งทีมบริกรข้อมูล นำโดยผู้อำนวยการสำนักดิจิทัลสุขภาพ 3.ประกาศโครงสร้างมาตรฐานข้อมูลสุขภาพ เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ รวมถึงระบบการเบิกจ่าย โดยจะมีการลงนามประกาศให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและดำเนินการต่อไป และ 4.กำหนดมาตรฐานการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับผู้รับและผู้ให้บริการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้เกิดการบูรณาการข้อมูลอย่างไร้รอยต่อจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนเข้ารับบริการได้ทุกที่ สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองอย่างสะดวกและรวดเร็ว

“นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งการทำงาน ดำเนินนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อความต้องการของประชาชน โดยเชื่อมั่นว่าการยกระดับบริการสุขภาพ ให้ครอบคลุมช่วงเวลา ความจำเป็นของประชาชน รวมทั้ง อำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสร้างระบบสาธารณสุขที่เหมาะสมสำหรับคนไทย จะช่วยเพิ่มทางเลือก ลดความเเออัดในการเข้าใช้บริการทางสาธารณสุข และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนรับบริการทางสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น” นายชัย กล่าว

Advertisement

เผยประชาชนพอใจ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” – “ร้านยาชุมชนอบอุ่น”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กรกฎาคม 2567 “คารม” เผยประชาชนพอใจ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” “ร้านยาชุมชนอบอุ่น” ช่วยให้ประชาชนเจ็บป่วยเล็กน้อยเข้าถึงสิทธิและบริการได้สะดวก ระบุประชาชนใช้บริการแล้วกว่า 1 ล้านคน จำนวนกว่า 2 ล้านครั้ง

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” บริการที่ “ร้านยาคุณภาพ” ในการร่วมดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท ) ภายใต้โครงการ “ร้านยาดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ” (common illnesses) ซึ่งเป็นหนึ่งใน “หน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุข” ที่ผ่านมาจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขับเคลื่อนร่วมกับสภาเภสัชกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมากในพื้นที่ 45 จังหวัดที่เริ่มนโยบายนี้

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลในระบบ AMED ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้เป็นระบบปฏิบัติการในการเบิกจ่าย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 พบว่า ขณะนี้มีร้านยาชุมชนอบอุ่นในระบบ จำนวน 2,151แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 1,125,253 คน เป็นการรับบริการจำนวน 2,849,528 ครั้ง โดยช่วงอายุ 45-64 ปี เป็นกลุ่มประชากรที่เข้ารับบริการมากที่สุดจำนวน 429,907 คน สำหรับกลุ่มอาการในการเข้ารับบริการ พบว่า ไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นกลุ่มอาการที่มีการเข้ารับบริการมากที่สุด จำนวน 1,191,643 ครั้ง หรือร้อยละ 47 ของการเข้ารับบริการ กลุ่มอาการรองลงมาได้แก่ ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ จำนวน 597,737 ครั้ง อาการทางผิวหนัง ผื่น คัน จำนวน 339,846 ครั้ง ปวดท้อง จำนวน 239,967 ครั้ง ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา จำนวน 145,591 ครั้ง ปวดหัว จำนวน 117,091 ครั้ง และบาดแผล จำนวน 114,809 ครั้ง เป็นต้น

“จากข้อมูลที่ปรากฏนี้สะท้อนให้เห็นว่า 30 บาทรักษาทุกที่ รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น ได้ช่วยดูแลประชาชนที่มีภาวะเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งอยูใน 16 กลุ่มอาการ ได้เข้าถึงการรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ การบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นนี้ เป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากเภสัชกรที่เป็นหนึ่งในวิชาชีพระบบสุขภาพ และให้คำปรึกษาหรือแนะนำการกินยา สำหรับการเข้ารับบริการขอให้ประชาชนสังเกตสติ๊กเกอร์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” โดยมีวิธีรับบริการ 2 รูปแบบ ไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ 1. โทร.สายด่วน สปสช. 1330 จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นใกล้บ้าน หรือ 2. ดูรายชื่อร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/List_of_retail_pharmacies หรือสังเกตสติกเกอร์ติดหน้าร้านยา ภายใต้ชื่อ ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” นายคารม ระบุ

Advertisement

ก.ศึกษาฯ ขับเคลื่อนกลยุทธ์ “ปลุก” ชุมชนให้เข้มแข็ง ลุกขึ้นมาสู้ปัญหายาเสพติดในเด็กและเยาวชน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 6 กรกฎาคม 2567 “คารม” เผย ก.ศึกษาธิการ ขับเคลื่อนกลยุทธ์ “ปลุก” ปลุกชุมชนให้เข้มแข็ง ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติด ร่วมกับภาครัฐ ป้องกัน สอดส่องดูแล ไม่ให้เยาวชนใช้ยาเสพติด

วันนี้ 6 กรกฎาคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทุกภาคส่วนเร่งระดมกวาดล้างปัญหายาเสพติดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลา 3 เดือน ด้วยกลยุทธ์ “ปลุก เปลี่ยน ปราบ” โดยสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งหาวิธีการสอดส่องดูแลอย่าให้ลูกหลานเสพยา และให้โรงเรียนร่วมกันปลูกฝังค่านิยมคุณค่าใหม่ เด็กและเยาวชนต้องไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

นายคารม กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับนโยบายขับเคลื่อนนกลยุทธ์ “ปลุก” คือ การปลุกชุมชนให้เข้มแข็ง ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติดร่วมกับภาครัฐ ป้องกันตั้งแต่ระดับเยาวชนผ่านหลักสูตรในสถาบันการศึกษา เร่งหาวิธีการสอดส่องดูแล ไม่ให้เยาวชนใช้ยาเสพติด และให้โรงเรียนร่วมกันปลูกฝังค่านิยมใหม่ “เด็กและเยาวชนต้องไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด” โดยสอดแทรกเรื่องโทษของยาเสพติดเข้าไปให้เด็กมีการรับรู้ในชีวิตประจำวัน เช่น การพูดหน้าเสาธงว่าเราจะห่างไกลจากยาเสพติด การให้ข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น

“เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดยาเสพติดสูง เนื่องจากเป็นวัยแห่งการเรียนรู้แต่ยังขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ รวมทั้งการเผชิญการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ศธ. ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง จึงได้วางรากฐานการสร้างภูมิคุ้มกันในสถานศึกษาทุกระดับให้แข็งแกร่ง ผ่านกระบวนการการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาทุกระดับให้มีความรู้เท่าทันกับปัญหายาเสพติด ควบคู่กับการพัฒนาทักษะชีวิตกิจกรรมทางเลือกเชิงสร้างสรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนนักศึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งการเสพและการค้าในทุกกรณี ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของชาว ศธ. ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเข้มแข็ง สอดส่องดูแล ช่วยเหลือ ประคับประคอง เฝ้าระวังไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาแพร่ระบาดในสถานศึกษาชุมชนและครอบครัว จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ศธ. จะสามารถพัฒนานักเรียน นักศึกษาให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา มีความรู้ความสามารถ คุณธรรมจริยธรรมสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นสุข” นายคารม กล่าว

Advertisment

ลุ้น “ต้มยำกุ้ง – ชุดเคบาย่า” ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2567 “เกณิกา” เผย ข่าวดีคนไทย รมว.สุดาวรรณ หนุน สวธ.จัดทำแผน ปีนี้เตรียมลุ้น “ต้มยำกุ้ง – ชุดเคบาย่า” ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก เดินหน้าผลักดัน Soft Power ไทยให้นานาชาติรู้จัก

วันนี้ (30 มิ.ย. 67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการดำเนินงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม  ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับจังหวัดและระดับประเทศทุกปี และมีการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกแล้ว  4 รายการ ได้แก่ โขน นวดไทย โนรา และประเพณี“สงกรานต์ในประเทศไทย” ซึ่งปีนี้มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย 2 รายการ  ได้แก่ “ต้มยำกุ้ง”และชุด“เคบาย่า” ซึ่งชุด“เคบาย่า”ประเทศไทยได้เสนอร่วมกับมาเลเซีย  บูรไนดารุสซาลาม อินโดนีเซียและสิงคโปร์ จะเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 วันที่ 2-7 ธันวาคม 2567  ณ สาธารณรัฐปารากวัย และได้เสนอ“ชุดไทย”และ“มวยไทย” รวมทั้ง“ผ้าขาวม้า”เพื่อเข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกด้วย

“รมว.สุดาวรรณ ได้ให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสที่ต้มยำกุ้งและชุดเคบาย่า ได้เข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกในปีนี้ รวมถึงจัดทำแผนล่วงหน้า 10 ปีในการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก ก็ให้จัดทำรายละเอียดทั้งประเภทและระยะเวลาดำเนินการ เพื่อส่งเสริมมรดกทางศิลปวัฒนธรรมและ Soft Power ด้านต่างๆของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ”

น.ส.เกณิกา กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการส่งเสริม Soft Power นำมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น อาหารไทย งานหัตถกรรม งานเทศกาลประเพณีมาสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนและชุมชน  ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ Soft Power ด้านต่าง ๆ ของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ

Advertisment

กระทรวงสาธารณสุขจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 21 วันที่ 3 – 7 ก.ค. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 30 มิถุนายน 2567 นายกฯ ขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็น Medical and Wellness Hub ต่อเนื่อง ยินดีตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยคงอันดับ 1 ในอาเซียน เดินหน้าจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 21 เชื่อมั่นสร้างรายได้ 300 ล้านบาท ต่อยอดอุตสาหกรรมยาในประเทศซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้าน

วันนี้ (30 มิถุนายน 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินหน้าขับเคลื่อนไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Hub) อย่างครบวงจรตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมศักยภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในฐานะสินค้า Soft Power ของไทย พร้อมสนับสนุนให้การผลิตยาในไทยได้มาตรฐานระดับสากลและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ส่งเสริมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 (The 21th Thailand Herbal Expo 2024) ภายใต้แนวคิดการจัดงาน “นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก” ระหว่างวันที่ 3 – 7 กรกฎาคม 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดการณ์ว่าสร้างเป็นรายได้กว่า 300 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข วัตถุประสงค์ต้องการขยายโอกาสตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยจัดเป็น 6 บริเวณ ได้แก่ 1) บริเวณวิชาการ มีการประชุมและประกวดผลงานด้านแพทย์แผนไทย 2) บริเวณ Service มีคลินิกให้คำปรึกษา ตรวจรักษาโรคด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และคลินิกบำบัดยาเสพติด 3) บริเวณ Product ที่ให้คำแนะนำเรื่องการส่งออกและภาพรวมตลาดสมุนไพร 4) บริเวณ Wellness มีบริการนวดไทย และจัดแสดงสปาจำลองเพื่อสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ 5) บริเวณ Innovation ที่ให้คำแนะนำด้านนวัตกรรมและวิจัยพัฒนา 6) บริเวณการแจกต้นพันธุ์และเมล็ดพันธุ์สมุนไพรฟรีวันละ 1,000 ชิ้น โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาการจัดงาน

นอกจากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่พบว่า ตลาดยาในประเทศมีมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ตลาดยาจะยังเติบโตได้อีก 11% ต่อปี จึงเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพที่ช่วยยกระดับเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพของไทยได้นั้น ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยเป็นที่น่าจับตามองเช่นกัน ในปัจจุบันมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน เป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก โดยในปี 2566 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในไทยสร้างรายได้เป็นมูลค่ารวม 56,944 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2570 ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยจะมีมูลค่าเติบโต 104,000 ล้านบาท ด้วยค่านิยมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาและสมุนไพรที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จำนวนกว่า 17,300 รายการ และมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยกว่า 2,000 รายการที่ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสุขภาพของไทย ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมยาของไทยที่ทำมูลค่าได้สูง รวมทั้งผลักดันขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาของไทย เพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเติบโตต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub) ให้มีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาค” นายชัย กล่าว

Advertisment

นายกฯ ภูมิใจผลสำเร็จโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ ยกระดับชีวิตประชาชนได้รวม 1,900 ราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มิถุนายน 2567 นายกฯ ภูมิใจผลสำเร็จโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ ยกระดับชีวิตประชาชนได้รวม 1,900 ราย เข้าถึงการเช่า ที่ดินราคาต่ำและผ่อนปรน เชื่อมั่นจะทำให้ 1,900 ครอบครัวนี้ มีชีวิตที่ดีขึ้น

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการทำงานซึ่งถือเป็นโครงการดีๆ ของกระทรวงการคลัง “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” มอบสัญญาเช่าที่ดินกว่า 7,000 ไร่  ให้ประชาชน 9 จังหวัด รวม 1,900 ราย ภายใน 6 เดือน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสให้ประชาชน เข้าถึงบริการสาธารณะของภาครัฐและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ภายใต้การดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมใจแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ทำให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ช่วยแก้ไข บรรเทาปัญหาที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินของประชาชน จึงได้นำที่ดินราชพัสดุในความครอบครองของส่วนราชการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์นำมาบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน นำมาให้ประชาชนเช่าด้วยอัตราค่าเช่าต่ำและผ่อนปรน

โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การดำเนินโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ มอบสัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” นี้ เป็นการช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย  ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ และบริการสาธารณะของภาครัฐ ซึ่งการมอบสัญญาเช่าที่ดินจะเกิดขึ้นใน 9 จังหวัด กว่า 1,900 ราย กว่า 7,000 ไร่ ภายใน 6 เดือน ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา 248 ไร่ เชียงราย 273 ไร่ เชียงใหม่ 281 ไร่ นครสวรรค์ 1,120 ไร่ นครพนม 661 ไร่ กาฬสินธุ์ 1,174 ไร่ ปัตตานี 29 ไร่ ราชบุรี 1,500 ไร่ และสุราษฎร์ธานี 2,100 ไร่ ทั้งหมดนี้ได้สั่งการให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน

โดยมี “ค่าเช่าต่ำและผ่อนปรน” ดังนี้ ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย หากไม่เกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.25 บาท/ตารางวา/เดือน หากเกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.50 บาท/ตารางวา/เดือน และหากเป็นที่ดินเพื่อประกอบการเกษตร เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 20 บาท/ไร่/ปี และหากเกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 30 บาท/ไร่/ปี เป็นสัญญาเช่าครั้งละ 3 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการเช่าของกรมที่ดินให้กับประชาชน แต่สามารถขอเป็นสัญญาเช่า 30 ปีได้ หากผู้เช่าประสงค์

“นายกรัฐมนตรี มีวิสัยทัศน์ในการบริหาร พัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงโดยหลักคือประชาชนต้องยกระดับวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน ทำให้ได้ประโยชน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูมิใจที่โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์นี้ ถือเป็นอีกความสำเร็จที่รัฐบาลได้มอบให้ประชาชน ยกระดับความเป็นอยู่ ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น” นายชัย กล่าว

Advertisment

สั่ง “กรมทางหลวง” เร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M6 เตรียมเปิดให้บริการช่วงหินกอง-ปากช่องเป็นของขวัญปีใหม่ 2568

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 มิถุนายน 2567 “สุริยะ” สั่งกรมทางหลวงเร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-โคราช ปัจจุบันงานโยธาคืบหน้ากว่า 95% แย้มข่าวดี! เตรียมเปิดให้บริการฟรีเพิ่มช่วงหินกอง-ปากช่อง ระยะทาง 87 กม. มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 คาดเปิดตลอดทั้งเส้นทาง 196 กม. ช่วงปีใหม่ 2569 อำนวยความสะดวกการเดินทาง-บรรเทาการจราจรหนาแน่นบน ถ.มิตรภาพ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน – นครราชสีมา หมายเลข 6 (M6) ระยะทาง 196 กิโลเมตร (กม.) โดยความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างฯ จากข้อมูล ณ พฤษภาคม 2567 งานด้านโยธา มีความก้าวหน้า 95.20% ล่าสุดก่อสร้างแล้วเสร็จ 31 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 9 สัญญา ขณะที่งานระบบมีความก้าวหน้า 39.86% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทาง 9 ด่าน ส่วนงานก่อสร้างที่พักริมทาง 15 แห่ง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายน 2568 และจะเปิดให้บริการบางส่วนได้ในช่วงเดือนมิถุนายน 2569 ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเปิดให้บริการตลอดเส้นทาง โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางภายในปี 2568 ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ยังได้สั่งการให้ ทล. เร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M6 ช่วงหินกอง – ปากช่อง ระยะทาง 87 กม. ซึ่งเป็นช่วงที่การจราจรบนถนนมิตรภาพที่มีความหนาแน่น โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ โดยในระยะแรกจะเปิดให้บริการ 1 ฝั่งจราจร ทั้งนี้ การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 เพิ่มเติมในช่วงหินกอง – ปากช่องนั้น จะทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการมอเตอร์เวย์ M6 รวมระยะทางประมาณ 164 กม. จากที่ในปัจจุบัน ทล. ได้เปิดให้ประชาชนได้บริการแล้ว ตั้งแต่ช่วงอำเภอปากช่อง – ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 นั้น จะช่วยเพิ่มทางเลือก และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน อีกทั้งยังแบ่งเบาการจราจรหนาแน่นบนถนนมิตรภาพ ที่ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ จะมีประชาชนใช้เส้นทางดังกล่าว เดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

Advertisment

Verified by ExactMetrics