วันที่ 23 พฤศจิกายน 2024

กรมสุขภาพจิตยกหลักธรรม “สติ-อภัยทาน” ผู้ขับขี่บนท้องถนน

People Unity : กรมสุขภาพจิต แนะวิธีการป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะ คือ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท เตรียมกาย-ใจให้พร้อม 3. สร้างบรรยากาศดีๆ 4. อย่าคาดหวังในการปรับพฤติกรรมผู้อื่น และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน

วันที่ 24 ต.ค.2562 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบันการเดินทางบนท้องถนนเป็นเรื่องที่เครียดสำหรับใครหลายๆ คน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานอยู่บนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด เกิดมลภาวะ และมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยเคารพกฏจราจรและขับขี่อันตราย ความเครียดต่างๆ เหล่านี้ อาจก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง ซึ่งการบันดาลโทสะบนท้องถนน หรือ road rage มักพบได้ตั้งแต่การแสดงภาษากาย การแสดงความรุนแรงทางวาจา การทะเลาะวิวาททางกายภาพ หรือแม้แต่การใช้อาวุธทำร้ายร่างกายกัน โดยส่วนมากมักจะเริ่มจากความรุนแรงเล็กๆ และขยายตัวเป็นความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การทะเลาะกับคนแปลกหน้าบนท้องถนนเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาที่เป็นคดีความทางอาญาได้หากไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า การป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน มีดังนี้ 1. เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง เพราะเส้นทางอาจมีการจราจรติดขัดหรือมีอุบัติเหตุ การเผื่อเวลาจะทำให้เราไม่ร้อนรนในการขับขี่ 2. ตั้งสติก่อนสตาร์ท ให้มีสติรู้ตัวเสมอว่าตนเองกำลังจะไปไหน มีใครรออยู่ และเตรียมสภาพกายและจิตใจให้พร้อมก่อนการขับขี่ยานพาหนะ โดยดูว่ามีความพร้อมหรือไม่ 3. สร้างบรรยากาศ โดยการเปิดเพลงที่ชอบและร้องตาม หรือพูดคุยเรื่องดีๆ กับคนที่โดยสารมาด้วย 4. อย่าคาดหวัง เพราะเราอาจต้องพบเจอผู้คนที่มีมารยาทบนท้องถนนแตกต่างกัน จึงไม่ควรคาดหวังว่า เราจะปรับพฤติกรรมของคนอื่นได้ ควรมองการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก และ 5. เป็นคนใจดีบนท้องถนน โดยขับขี่เคารพกฏจราจร แบ่งปันน้ำใจต่อผู้ร่วมเส้นทาง ให้อภัย ไม่เก็บเอาความรุนแรงจากคนอื่นมาใส่ใจ ไม่มองถนนเป็นสนามแข่งที่ต้องมาเอาชนะกัน เน้นการเดินทางถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัยพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งนี้ จากการที่มีการกล่าวอ้างถึงปัญหาความรุนแรงบนท้องถนนกับอาการป่วยทางด้านสุขภาพจิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายๆ เหตุการณ์ สังคมไทยควรทำความเข้าใจว่า แม้การมีปัญหาด้านสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และปัญหาด้านสุขภาพจิตบางกลุ่มโรค เช่น โรคทางอารมณ์ โรควิตกกังวล ที่อาจทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย เศร้าเสียใจ หรือหงุดหงิดได้ง่ายกว่าปกติ อาจจะทำให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์ได้ยากก็ตาม แต่พฤติกรรมหรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล้วนเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิเลือกวิธีตอบสนองอารมณ์ของตัวเองภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเอง ดังนั้นปัญหาสุขภาพจิตจึงไม่ควรถูกยกมาเป็นคำอธิบายในการกระทำไม่ดีต่อผู้อื่นหรือกระทำไม่ดีกับสังคม เพราะจะทำให้สังคมมองภาพลักษณ์ผู้ป่วยจิตเวชในแง่ลบ โดยขอฝากทิ้งท้ายว่า “สังคมไทยควรเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะให้อภัย” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

แพทย์เตือนนอนกรนเสียงดังเป็นประจำเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ง่วงนอนมากผิดปกติ ในเวลากลางวัน หงุดหงิดง่าย อย่าละเลยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับโดยไม่รู้ตัว

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการยุบตัวของทางเดินหายใจส่วนต้น ทำให้ขณะหลับร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ การนอนหลับจะขาดตอน ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้เกิดอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วนลงพุง ภาวะนี้สามารถพบได้ในคนทุกวัย โดยผู้ใหญ่จะพบว่าเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง คนในวัยทองและคนอ้วน และอาจพบในเด็กที่มีต่อมทอนซิลและอดีนอยด์โต มีปัญหาโครงสร้างใบหน้า หรือเด็กที่อ้วน

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณเตือนที่เสี่ยงอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น คือ การนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ญาติสามารถสังเกตได้ ในขณะนอนหลับอาจหยุดหายใจหรืออาจหายใจแรง เสียงดังเป็นพักๆ สลับนิ่งเงียบ หายใจเฮือกเหมือนสำลักน้ำลาย บางครั้งตื่นมารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ขี้ลืม หงุดหงิดง่าย วิตกจริตหรือซึมเศร้า สำหรับการรักษาภาวะดังกล่าวขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค โดยแบ่งเป็น

1.การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นมาตรฐานในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น 2.การใส่ทันตอุปกรณ์ โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้เหมาะสมในแต่ละรายซึ่งจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของโรคเล็กน้อยถึง ปานกลาง 3.การผ่าตัด ในกรณีผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ร่วมกับมีโครงสร้างทางเดินหายใจส่วนต้นผิดปกติ

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น สามารถปฏิบัติตนโดยการคุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการนอนหงาย พยายามนอนตะแคง ไม่ควรรับประทานยานอนหลับเพราะยาจะกดการหายใจ ทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเป็นมากขึ้น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 4 ชั่วโมงก่อนนอนเพราะแอลกอฮอล์จะทำให้รูปแบบการนอนหลับไม่ต่อเนื่อง และไม่ควรขับรถขณะง่วงนอน เนื่องจากอาจหลับในสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้หากพบว่ามีสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อเข้ารับการตรวจการนอนหลับวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาต่อไป

แพทย์เตือนโรคเอ็มเอสแขนขาอ่อนแรงภัยเงียบใหม่วัยทำงาน

People Unity : กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เตือนคนวัยทำงานหรือวัยหนุ่มสาว ระวังภัยโรคเอ็มเอส ทำให้แขนขาอ่อนแรง ชาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย มีปัญหาในการเดิน การทรงตัว ตามัวมองไม่เห็น

วันที่ 24 ตุลาคม 2562 นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคมัลติเพิลสเคอโรสิส หรือโรคเอ็มเอส คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด จากข้อมูลพบว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น ความไม่สมดุลของภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและในช่วงวัยทำงาน อายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ตามองไม่เห็นหรือมองภาพซ้อน ปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การออกเสียง สะอึก ปวดแสบร้อน หรือคล้ายไฟช็อต การทรงตัวที่ผิดปกติ ภาวะเมื่อยล้า ปัญหาด้านความจำ อารมณ์ ความคิด และการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธิ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วยแต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และไม่สามารถคาดเดา การเกิดอาการได้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก วิธีการรักษาปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบให้หายขาด แต่เป็นการรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายและควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ1. รักษาด้วยยา ตามอาการของผู้ป่วย จะเป็นยาที่บรรเทาอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น 2. การบำบัด โดยยึดเส้นและออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงลดการสั่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว โดยออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก รวมทั้งยังเป็นการช่วยยืดเส้นอีกด้วย ผู้ป่วยเป็นโรคเอ็มเอสควรปฏิบัติตัวดังนี้ งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน ว่ายน้ำ ยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยช่วยในการขับถ่าย หลีกเลี่ยงความเครียด อย่างไรก็ตามโรคเอ็มเอส เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเอง หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

สสส.หนุนพระ”มจร”ทำวิจัย”ลดเหล้า บุหรี่”เชิงพุทธเมืองปราจีนบุรี

People Unity : สสส.หนุนพระ”มจร”ทำวิจัย”ลดเหล้า บุหรี่”เชิงพุทธเมืองปราจีนบุรี พร้อมภาคีเครือข่ายลงพื้นที่ถอดบทเรียนเซ็น MOU “บวร”เกาะมะไฟประจันตคาม สืบสานเจตนารมณ์หลวงพ่อพระครูประโชติพรหมธรรม”อย่าเอาวัดมาทำบาร์ อย่าเอาศาสนามาทำบ่อน”

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นำโดย พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ, ผศ.ดร.หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว และผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว มจร ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายฯ ได้จัดกิจกรรมการถอดบทเรียนและพิธีลงนามความร่วมมือ โครงการเสริมสร้างสุขภาวะและเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพุทธบูรณาการ (การบำบัดพฤติกรรมทางความคิดและสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดเหล้า บุหรี่ เชิงพุทธบูรณาการในจังหวัดปราจีนบุรี) ที่วัดเกาะมะไฟ ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรีโดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 150 รูป/คน

โดยโครงการนี้คณะครุศาสตร์ มจร ได้ร่วมกับวัดเกาะมะไฟ โรงเรียนวัดเกาะมะไฟ องค์การบริหารสวนตำบลบ้านหอย ชุมชนตำบลบ้านหอยและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะแดง ทั้ง 6 หน่วยงาน ได้ตระหนักถึงพิษภัยและผลกระทบอันเกิดจากการบริโภคบุหรี่และสุรา ในฐานะปัจจัยเสี่ยงที่มีผลเสียต่อสุขภาพ จึงได้มีการศึกษา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนเกี่ยวกับ “การบำบัดพฤติกรรมทางความคิดและสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดเหล้า บุหรี่ เชิงพุทธบูรณาการในจังหวัดปราจีนบุรี” ขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 ที่วัดเกาะมะไฟ โดยมีพระครูสถิตธรรมกิจ รองเจ้าคณะอำเภอประจันตคาม วัดเกาะแดง เป็นประธาน มีพระครูประโชติพรหมธรรม อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะมะไฟ และผู้แทนภาคีเครือข่าย เป็นวิทยากรหลัก จากนั้นภาคีเครือข่ายได้มีการดำเนินการขยายพื้นที่จากชุมชนวัดเกาะมะไฟออกไปเป็น 5 พื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด และหน่วยงานราชการ ผลจากการดำเนิการเบื้องต้นก่อให้เกิดบุคคลต้นแบบ จำนวน 13 คน บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิตจำนวน 18 คนและบุคคลที่ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษา จำนวน 27 คน

โครงการนี้ได้เริ่มขึ้นในเวลา 13.30 น.ด้วยกิจกรรมการถอดเรียน “การขับเคลื่อนการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ” โดยผู้แทนภาคีเครือข่าย บุคคลต้นแบบ บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิตและบุคคลที่ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษา โดยมีพระปลัดสรวิชญ์เป็นผู้ดำเนินการ

ผลจากการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนพบว่า โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น วัด ผู้นำหมู่บ้าน หน่วยงานรัฐ อสม. อบต. ตลอดจนเยาวชนและสถานศึกษาในชุมชนเกาะมะไฟ ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา โดยให้ทุกคนเห็นถึงประโยชน์ในการลด ละ เลิก สุราและบุหรี่ ผลจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4-5 ปีของกลุ่มผู้นำชุมชน ภาคีเครือข่าย และประชาชนในชุมชน ทำให้ปัจจุบันมีผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 300 คน จาก 5 หมู่บ้าน และมีผู้ที่สามารถลดละเลิกการดื่มสุราและยาเสพติดได้ถึง 250 คน

โดยผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นโครงการที่ดีและมีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามลำดับในช่วงเริ่มโครงการ 2 ปี โดยผู้นำชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความสำคัญและเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันในการผลักดันโครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม แม้แต่หน่วยงานเล็กๆ เช่น โรงเรียน ซึ่งเยาวชนเองก็สามารถส่งต่อความรู้ความเข้าใจไปถึงครอบครัวได้ นอกจากนั้น การให้ความช่วยเหลือของผู้จัดตั้งโครงการ และผู้นำชุมชน ยังมีทัศนคติในการแก้ปัญหาว่า คนในชุมชนสามารถดูแลกันได้ โดยการพัฒนาบุคคลากรให้มีความสามารถในการดูแล ด้วยการอบรมหลักการชมเป็น ถามเป็น และแก้ปัญหาเป็นให้คนในชุมชน

ขณะเดียวกัน ประเด็นปัญหาที่ยังคงพบได้ในชุมชนคือ วิถีและค่านิยมในการดื่มของคนไทยยังคงมีอยู่ ซึ่งถือเป็นค่านิยมทางสังคมอย่างหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจใหม่ให้กับชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนคนรุ่นหลังเพื่อให้เกิดค่านิยมที่ถูกต้อง นอกจากนี้สุราในท้องถิ่นของชุมชนยังหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกง่ายต่อการซื้อหามาดื่ม

ที่สำคัญภาวะจิตใจของผู้เข้าร่วมโครงการเองก็มีผลต่อการทำงานและการเข้าร่วมจนจบโครงการ โดยพบว่าที่ผ่ายมา มีบางรายได้ออกจากโครงการไปก่อน เนื่องจากไม่สามารถทนต่อภาวะทางจิตใจของตนเองได้ และการสร้างการรับรู้สำหรับผู้ที่ติดสุราให้พร้อมเผชิญและกล้าที่จะเข้ามาบำบัด หรือเข้าร่วมโครงการ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทีมทำงานในโครงการนี้ให้ความสำคัญเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่จะทำให้คนในชุมชนสามารถลด ละ เลิก การดื่มสุรา และบุหรี่ได้นั้น ต้องอาศัยกำลังใจ และความเข้มแข็งของสติและปัญญา เห็นคุณและโทษของอบายมุข โดยการใช้กระบวนการชุมชนบำบัด (community therapy) โครงการนี้ถือเป็นโครงการต้นแบบสำหรับชุมชนเกาะมะไฟ และสามรถขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ได้ เป้าหมายคือการให้ชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้ มีการช่วยเหลือกันของคนในชุมชน ซึ่งความต่อเนื่องในการดำเนินงานโครงการและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันต่อการขยายผลโครงการและความสำเร็จของโครงการในระยะยาวจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดทั่วประเทศไทยได้อย่างมั่นคง และยั่งยื่นต่อไป

ต่อมาเวลา 15.30 น. มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยระหว่างคณะครุศาสตร์ มจร ร่วมกับ วัดเกาะมะไฟ โรงเรียนวัดเกาะมะไฟ องค์การบริหารสวนตำบลบ้านหอย ชุมชนตำบลบ้านหอยและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะแดง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาองค์ความรู้และกระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะในการลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพุทธบูรณาการสร้างและพัฒนาเครือข่ายการสร้างสุขภาวะเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่และสุราในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี และพัฒนานโยบายเพื่อการรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่และสุราในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีผู้แทนจากองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมลงนามและเป็นสักขีพยานจำนวน ๒๐ รูป/คน

และเวลา 16.00 น. พระพิศาลศึกษากร,ดร. ในนามพระเดชพระคุณพระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 7 ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ “หมู่บ้านรักษาศีล 5” ส่วนกลาง เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ได้เมตตาเดินทางมาเป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้ บุคคลต้นแบบ บุคคลที่เลิกเหล้าตลอดชีวิต,บุคคลที่สามารถ ลด ละ เลิก เหล้า ในพรรษาและผู้แทนภาคีเครือข่ายและกล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตอนหนี่งว่า ท่านทั้งหลายได้ตัดสินใจเลิกดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จะทำให้มีสุขภาพกายดีสุขภาพจิตและการนอนดีขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นประหยัดเงินในกระเป๋าเป็นการปกป้องสุขภาพของคนในครอบครัวลดอุบัติเหตุ และลดอาชญากรรมในชุมชน โดยเฉพาะการรักษาศีล 5 ถือว่าเป็นเกาะป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่อบายมุขหรือทางแห่งความเสื่อมขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทำกิจกรรมให้เกิดประโยชน์กับสังคมและชุมชน สืบต่อไป

จนกระทั้งเวลา 17.00 น. มีการประชุมคณะทำงานเพื่อสรุปผลการจัดโครงการฯ โดยมีพระปลัดสรวิชญ์เป็นประธานพร้อมสรุปว่า หน้าที่ของเราคือการดำเนินตามวิถีแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ หวังช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ทางกายและใจ สร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นภายในเพื่อโยงใยไปสู่ภายนอกผ่านภาคีเครือข่ายที่มีจิตอาสาทำความดีที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน จัดทำฐานข้อมูลเพื่อขยายผลไปในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดในที่สุดก็จะทำให้เกิดบุคคลที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีทั่วประเทศต่อไป ที่สำคัญเราต้องนึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อพระครูประโชติพรหมธรรม อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะมะไฟ ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ทำงานเพื่อผู้อื่นท่านฝากเราทั้งหลายว่า “อย่าเอาวัดมาทำบาร์ อย่าเอาศาสนามาทำบ่อน” ถึงท่านไม่อยู่พวกเราก็ต้องสานต่องานท่าน ถือว่าเป็นความกตัญญู ผ่านการปฏิบัติบูชา

ส.ส.แคนาดาสนใจฝึกสมาธิ เตรียมนิมนต์พระพุทธเปิดคอร์สที่บ้าน

People Unity : ส.ส.แคนาดาสนใจฝึกสมาธิ เตรียมนิมนต์พระพุทธเปิดคอร์สที่บ้าน ขณะที่ผลเลือกตั้งทั่วไปของประเทศแคนาดา “ทรูโด” อดีตนายกฯชนะไม่ขาด เตรียมตั้งรัฐบาลผสม ผลักดันนโยบายปลูกต้นไม้ 2 พันล้านต้นตามที่รับปากไว้กับ “เกรตา ธันเบิร์ก”

วันที่ 22 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานผลการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศแคนาดาที่มีขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 จนกระทั้งเวลา 02.00 น. วันอังคารที่ 22 ตุลาคมตามเวลาท้องถิ่น หลังปิดการเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งทั้ง 6 โซนเวลาทั่วประเทศ อันดับ 1 คือ พรรคลิเบอรัล ที่หัวหน้าพรรคคือนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด วัย 47 ปี ได้ 156 ที่นั่ง จากเขตเลือกตั้ง 338 เขต อันดับ 2 คือ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ ที่หัวหน้าพรรคคือ แอนดรูว์ เชียร์ วัย 40 ปี คู่แข่งสำคัญของทรูโด พรรคของเขาได้ 122 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในปี 2558 ที่ได้ 95 ที่นั่ง

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ทำให้นายทรูโดต้องจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพันธมิตรที่เป็นพรรคเล็กอย่างน้อย 1 พรรค โดยนายทรูโดกล่าวกับผู้สนับสนุนในนครมอนทรีออลเมื่อวันอังคารว่า ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่าชาวแคนาดาปฏิเสธการแบ่งแยกและความคิดด้านลบ ปฏิเสธนโยบายตัดงบประมาณและรัดเข็มขัด และลงคะแนนเพื่อสนับสนุนแผนการที่ก้าวหน้าและการลงมือปฏิบัติที่เข้มแข็งในการแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ช่วยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายทรูโดได้พบกับนางสาวเกรตา ธันเบิร์ก เยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดน โดยรับปากว่าหากได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจะมีนโยบายเพิ่มต้นไม้ให้ได้มากถึง 2 พันล้านต้น

ขณะเดียวกันเพจ “Bhante Saranapala” พระสงฆ์ชาวศรีลังกาที่เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ประเทศแคนาดา ได้โพสต์ภาพขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในพื้นที่ที่วัดตั้งอยู่ ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการฝึกสมาธิและมีแผนเปิดฝึกที่บ้านของเขา

“จรถะ ภิกขเว”! คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศจัด “สังฆะประชาปันสุขเพื่อผู้ป่วยติดเตียง”

People Unity : คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศสนองงาน “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” ขับเคลื่อนงาน “สาธารณสงเคราะห์เชิงรุก” จัดกิจกรรม “สังฆะประชาปันสุขเพื่อผู้ป่วยติดเตียง” นำเจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส และชาวบ้านเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงเดือนละครั้ง ทั้งอำเภอจำนวน 163 ราย

วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ตามที่ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายจังหวัดที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ได้เมตตากล่าวคำพรประคองใจ ชโลมหัวใจของพุทธศาสนิกชน ความตอนหนึ่งว่า “ยามปกติญาติโยมไม่ทิ้งพระเณร ยามวิกฤตพระเณรคงทิ้งญาติโยมไม่ได้ หากไม่มีทานคือการให้ โลกนี้ย่อมอยู่ลำบาก เราต่างเกื้อกูลกัน”นั้น

คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้จัดกิจกรรม “สังฆะประชาปันสุขเพื่อผู้ป่วยติดเตียง” เมื่อขับเคลื่อนงาน “สาธารณสงเคราะห์เชิงรุก ภายใต้การนำของพระมหาศราวุธ จิตฺตทนฺโต เจ้าคณะอำเภออรัญประเทศ ได้นำเจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส และชาวบ้าน เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงเดือนละครั้ง ทั้งอำเภอ 163 ราย โดยวันที่ 21 ตุลาคม 2562 คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศ ออกเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง มอบแพมเพิส ข้าวสารอาหารแห้ง และสวดโพชฌังคปริตร ในพื้นที่ ตำบลหนองสังข์ – หันทราย จำนวน 10 ย

กิจกรรมนี้คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศได้ประสานงานสำรวจหาข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงจากสาธารณสุขอำเภออรัญประเทศ ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ มีผู้ป่วยติด เตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จำนวน 163 ราย

คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศจึงจัดกิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยทั้งอำเภอ เดือนละ 1 ครั้งต่อราย โดยมีเจ้าคณะตำบลและเจ้าอาวาสทุกวัดพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา ร่วมออกเยี่ยมดูแลผู้ป่วยใน พื้นที่หมู่บ้านของตน กิจกรรมนี้เป็นการส่งเสริม “พลังบวร” โดยมีความร่วมมือจากคณะสงฆ์ อำเภออรัญประเทศ เจ้าคณะตำบลทุกตำบล เจ้าอาวาสทุกวัด สาธารณสุขอำเภออรัญประเทศ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม)ในพื้นที่ และพุทธศาสนิกชน ในเขตอำเภออรัญประเทศ ซึ่งมีกำหนดการที่จะออกเยี่ยมในทุกตำบล

กิจกรรมนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศ ได้ร่วมกับฝ่ายบ้านเมือง ร่วมกันขับเคลื่อนงาน “สาธารณะสงเคราะห์” ซึ่งเป็น 1 ใน 6 งานหลักของคณะสงฆ์ไทย ทั้งยังได้ฟื้นความหมาย คำว่า “พลังบวร” ในการทำงานร่วมกันระหว่าง บ้าน วัด โรงเรียน ราชการ ด้วยความสามัคคีของพุทธบริษัททั้ง 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในฐานะชาวพุทธเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“ดีอีเอส”ผนึกกำลังมหิดลดันร่างหลักการและแนวทางเชิงจริยธรรม AI

People Unity : “ดีอีเอส” ผนึกกำลังมหิดล ผลักดันร่างหลักการและแนวทางเชิงจริยธรรม หวังพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์(AI)ที่ยั่งยืน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างก้าวหน้า

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES)จับมือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมหิดล ผสานมุมมองและประสบการณ์ระดับโลกจากเอกชน โดยไมโครซอฟท์ ร่วมวางรากฐานเพื่ออนาคตของประเทศไทยในยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) มุ่งสรรสร้างสังคมไทยและเทคโนโลยีอัจฉริยะ เสริมศักยภาพให้กัน ภายใต้หลักจริยธรรม เป็นก้าวแรกในการสร้างความโปร่งใส น่าเชื่อถือ และมั่นคงปลอดภัยของระบบ AI

วันที่ 21 ต.ค.2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ยุทธศาสตร์ชาติได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยได้เดินหน้า พัฒนาศักยภาพต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน สำหรับด้านยุทธศาสตร์การสร้างความสามารถทางการแข่งขัน คณะกรรมการฯ ได้บรรจุเป้าหมายยุทธศาสตร์ที่ 2 อันว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูลต่างๆ และปัญญาประดิษฐ์ให้เป็นปัจจัยสาคัญที่ขับเคลื่อนความแข็งแกร่งทาง เศรษฐกิจและสังคม ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างศักยภาพและภูมิปัญญาของคนไทยไปพร้อมกัน

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำโดยนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เล็งเห็นถึงความสาคัญในการปูรากฐานเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เป็นไปในรูปแบบที่คานึงถึงบริบททางสังคมและจริยธรรม รักษาไว้ซึ่งโอกาสในการเติบโตและพัฒนา ของแรงงานคนไทย พร้อมป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบที่เอนเอียง ไม่เป็นธรรม และยับยั้งการนาเทคโนโลยีนี้มาใช้ในทิศทางที่ผิดต่อจริยธรรมเป็นภัยต่อเพื่อนมนุษย์ จึงได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้ร่างเอกสารหลักการและแนวทางจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ “Digital Thailand – AI Ethics Guideline” ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสาหรับทั้งผู้วิจัย ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนา และผู้ให้บริการผู้ปัญญาประดิษฐ์ ทั้งยังเป็น การชี้แจงให้ผู้รับบริการได้ทราบถึงสิทธิและความเสี่ยงในการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว จึงถือเป็นก้าวแรกในการสร้าง ความโปร่งใส น่าเชื่อถือ และมั่นคงปลอดภัยให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้ ยู่ร่วมกับสังคมไทยอย่างลงตัว

นายพุทธิพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับร่างเอกสารหลักการและแนวทางจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ “Digital Thailand – AI Ethics Guideline” ได้ผ่านการนาเสนอสู่สาธารณชนและสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในวันนี้ (21 ตุลาคม 2562) โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล และภาคเอกชนในการสร้างร่างเอกสาร ดังกล่าวขึ้น เพื่อวางแนวทางในขั้นแรกเริ่มในด้านหลักการทางจริยธรรมสาหรับปัญญาประดิษฐ์ โดยสามารถแยก แนวทางนี้ออกได้เป็น 6 ประการ ได้แก่

1) ความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะต้องได้รับ การส่งเสริมความการใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างการแข่งขันและ พัฒนานวัตกรรม พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 2) ความสอดคล้องกับกฎหมาย จริยธรรม และ มาตรฐานสากลกาหนดให้มีแนวทางการปฏิบัติในการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ ให้มีความสอดคล้องกับกฎหมาย จริยธรรม และมาตรฐานสากล โดยเคารพต่อความเป็นส่วนตัว เกียรติ สิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน

3) ความ โปร่งใสและภาระความรับผิดชอบ ควรมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งจะต้องมีภาระ ความรับผิดชอบ ต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นตามภาระหน้าที่ของตนได้ 4) ความมั่นคงปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ควรได้รับการออกแบบให้มีความมั่นคงปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีจากภัยคุกคาม เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูลและระบบ รวมถึงการคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล ตามหลักจริยธรรม 5) ความเท่าเทียม หลากหลาย ครอบคลุม และเป็นธรรม ควรมีการออกแบบและพัฒนาโดยคานึงถึง ความเท่าเทียม หลากหลาย ครอบคลุม และความเป็นธรรม หลีกเลี่ยงการผูกขาด ลดการแบ่งแยกและเอนเอียง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนจานวนมาก และ 6) ความน่าเชื่อถือ ควรได้รับการสนับสนุนให้มีความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในการใช้งานต่อ สาธารณะ โดยมีผลลัพธ์อย่างถูกต้องแม่นยา พร้อมการดาเนินการควบคุมคุณภาพและความครบถ้วนสมบูรณ์ของ ข้อมูลได้

“บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ

People Unity : “บิ๊กตู่”ตั้ง”พงศ์พร”นั่งที่ปรึกษาดูแลพุทธศาสนาต่อ เหตุภารกิจบางอย่างยังไม่เสร็จสิ้น ส่วนผอ.พศ.คนใหม่อยู่ที่”เทวัญ” พร้อมรับโอน “สมเกียรติ ธงศรี”รอง ผอ.พศ.เข้ากรุสำนักนายกฯ

เมื่อเวลา 12.20 น.วันที่ 21 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง ผอ.พศ. ได้มีการว่าจ้างต่อให้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในกิจการพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องบางเรื่องที่ค้างอยู่ใน พศ. และเมื่อถึงเวลาได้ ผอ.พศ.คนใหม่แล้วก็จะได้แบ่งหน้าที่กันให้ถูกต้องต่อไปว่า จะให้ พ.ต.ท.พงศ์พรช่วยประสานหรือดูแลเรื่องใดบ้าง การจ้างเช่นนี้ไม่ใช่การต่ออายุ และไม่มีอำนาจทางราชการ แต่มีบทบาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการว่าจ้าง ขึ้นอยู่กับภารกิจหรือแล้วแต่นายกฯ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การว่าจ้าง พ.ต.ท.พงศ์พรต่อ เพื่อให้มาดูแลคดีเงินทอนวัดหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องประสานกับหน่วยงานอื่น ซึ่งยังไม่ทราบว่า ผอ.พศ.คนใหม่เป็นใคร หาก ผอ.พศ.ถนัดในภารกิจเหล่านี้ พ.ต.ท.พงศ์พรก็จะมีบทบาทน้อยลง แต่ถ้าไม่ถนัด พ.ต.ท.พงศ์พรก็อาจจะมีบทบาทมากขึ้น แต่ว่าไม่มีอำนาจในการสั่งการ

นายวิษณุกล่าวถึงการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คนใหม่ว่า ต้องถามนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.ว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ต.ค.เลยหรือไม่ ซึ่งตนไม่ทราบ แต่หากจะเสนอเข้า ครม.จะต้องมีการเสนอมายังตนก่อน ส่วนที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติรับโอนนายสมเกียรติ ธงศรี รอง ผอ.พศ. มาเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการโอนในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม และมาช่วยงานได้

“อนุทิน” ย้ำจุดยืน “บัตรทอง” ไม่ต้องร่วมจ่าย

People Unity : “อนุทิน” ย้ำจุดยืน “บัตรทอง” ไม่ต้องร่วมจ่าย พร้อมหนุนขยายสิทธิ์ครอบคลุมรักษา “ทุกโรค”

วันที่ 21 ต.ค.2562 ที่ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์รการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ในงานประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การเำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กับทิศทางในอนาคต ความตอนหนึ่งว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ไม่อายใครในโลก บางที่จัดให้อยู่อันดับ 6 แต่ตนขอจัดให้อยู่อันดับ 1 เพราะบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างน่าชื่นชม ส่วนใครจะวิพากษ์วิจารณ์ให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่สามารถเอาใจทุกคนได้หมด แต่ถ้าทำเต็มที่แล้ว ก็ขอให้สบายใจ ปัจจุบัน ระบบประกันสุขภาพของไทยมีพัฒนาการไม่หยุดนิ่ง เราพยายามขยายสิทธิ์การรักษาโรคให้มากที่สุด วันนี้ โรคที่พบยาก ก็อยู่ในการครอบคลุมแล้ว เรื่องงบประมาณ ถ้าเป็นไปเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น จะไม่เสียดาย

ในอนาคตอันใกล้ หน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข จะไม่หยุดแค่การรักษา แต่ต้องสร้างชุดความคิด ให้คนไทยดูแลสุขภาพตัวเอง ออกกำลังกาย รับประทานอาหารสะอาด ถูกสุขลักษณะ และไม่พาตัวเองไปอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพ วันนี้ เรามีหน่วยงานด้านสุขภาพมากมาย เราให้งบ ขอให้นำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค คนไทยต้องตระหนักรู้ถึงการดูแลตนเอง อาทิ เรื่องการใช้ช้อนกลาง ถ้าทำให้คนไทยทำเป็นเรื่องปกติ จะลดความเจ็บป่วยไปได้มาก

เป็นที่ชัดเจนว่า ประเทศไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขคือ ทำให้สังคมผู้สูงอายุของไทยเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เป็นผู้สูงอายุ ที่มีพลังผลักดันประเทศ

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ภายใต้กองทุนบัตรทอง คนไทยทุกคนต้องได้รับการดูแลสุขภาพอย่างดี รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ไม่ต้องร่วมจ่าย บนหลักการคือ “ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ภายใต้ 5 นโยบายสำคัญ ดังนี้

1. กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของดูแลสุขภาพตนเอง อาทิ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วย ซึ่งจะเกิดผลดีทั้งกับประชาชนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ

2. จัดระบบการคลังด้านสุขภาพที่ยั่งยืน (Sustainability) มี 2 ตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ รายจ่ายสุขภาพทั้งหมดต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และรายจ่ายรัฐบาลด้านสุขภาพต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 16.7แม้ว่าขณะนี้ตัวชี้วัดของประเทศจะยังไม่เกินเป้าหมาย แต่ควรเร่งรัดหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ซึ่งจะเป็นหนทางที่ช่วยทำให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีความยั่งยืน

3. การจัดบริการให้เพียงพอด้วยการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน อาทิ การดำเนินนโยบายลดความแออัดในโรงพยาบาลโดยผู้ป่วยรับยาร้านยาใกล้บ้านที่ช่วยลดการรอคอย เพิ่มการให้คำปรึกษาโดยเภสัชกรเพื่อการใช้ยาอย่างเหมาะสม เป็นต้น การใช้ดิจิตอลเทคโนโลยีเพื่อนัดตรวจ การเชื่อมโยงระบบข้อมูลสุขภาพผู้ป่วย รวมถึงการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้เข้มแข็ง

4. การลดความเหลื่อมล้ำในสิทธิประโยชน์และคุณภาพการบริการของ 3 กองทุน เปิดรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขในประเด็นที่ยังเป็นปัญหา อาทิ การร่วมจ่าย ณ จุดบริการที่ยังขาดความชัดเจน การกระจายบริการสุขภาพสู่ในพื้นที่ชนบทและเขตเมืองที่เหมาะสม และดูแลกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น

5. เพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการกองทุนและจัดการทรัพยากรที่จำกัดอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ กำลังคน พร้อมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ ให้กับประชาชน เช่น การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เป็นต้น

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเช้าร่วม เป็นจำนวนทาก อาทิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. เป็นต้น

สถาบันทันตกรรมให้บริการทำฟันฟรี 300 ราย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า

People Unity : กรมการแพทย์โดยสถาบันทันตกรรม ให้บริการทำฟันฟรีแก่ประชาชน 300 ราย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ พร้อมแนะพ่อแม่ดูแลสุขภาพของช่องปากและฟันของเด็กตั้งแต่แรกเกิดป้องกันปัญหาฟันผุ

วันที่ 21 ตุลาคม 2562 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ กรมการแพทย์โดยสถาบันทันตกรรม ได้ให้บริการและจัดกิจกรรมให้ความรู้ทางทันตกรรมแก่ประชาชน เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงมีพระเมตตาต่อประชาชนชาวไทย ทั้งนี้การดูแลสุขภาพของช่องปากและฟันโดยเฉพาะเด็ก ถือเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญในการดูแลตั้งแต่แรกเกิด เพราะหน้าที่ของฟันนอกจากใช้บดเคี้ยวอาหารและให้ความสวยงามแล้ว ยังช่วยพัฒนาการออกเสียงได้ชัดเจน นอกจากนี้เด็กยังได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากการมีฟันที่ดีใช้บดเคี้ยวอาหาร ส่งผลดีต่อการเรียนรู้และสติปัญญาอีกด้วย ซึ่งปัญหาสุขภาพฟันที่มักเกิดขึ้นกับเด็กคือ ฟันผุ โดยมีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารจำพวกขนมกรุบกรอบ และเครื่องดื่ม
ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ หรือน้ำอัดลม

ด้านทันตแพทย์อำนาจ ลิขิตกุลธนพร ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สุขภาพช่องปากเด็กควรดูแลตั้งแต่เริ่มมีฟันน้ำนม เพราะฟันน้ำนมมีประโยชน์ทั้งในการช่วยกัด และบดเคี้ยวอาหาร ช่วยในการออกเสียง กันพื้นที่สำหรับฟันแท้ ส่งผลให้ฟันแท้เรียงตัวได้สวยงาม ซึ่งโรคฟันผุเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เกิดเป็นกรดที่สามารถละลายแร่ธาตุที่ผิวฟันและทำลายชั้นเคลือบฟัน ทำให้ฟันเกิดรูผุที่มองเห็นได้ และฟันที่ผุลึกอาจทำให้เด็กปวดฟัน ดังนั้นผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่ ฝึกให้เด็กคุ้นเคยกับการทำความสะอาดช่องปาก สอนให้แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน สร้างบรรยากาศในการแปรงฟันให้รู้สึกสนุกผ่อนคลาย และตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน จากทันตแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำเรื่องอาหารและการดูแลสุขภาพช่องปาก ทั้งนี้ในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติปีนี้ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ได้ให้บริการทางทันตกรรมตรวจฟัน อุดฟัน ถอนฟันและขูดหินปูน ให้แก่ประชาชน จำนวน 300 ราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี

Verified by ExactMetrics