วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

“สุพัฒนพงษ์” โต้ “ธีระชัย” แจงโครงการไฟฟ้าโซลาร์

People Unity News : 6 พฤษภาคม 2566 “สุพัฒนพงษ์” โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงละเอียดยิบโครงการไฟฟ้าโซลาร์ หวั่นประชาชนเข้าใจผิด หลัง “ธีระชัย” แสดงความเห็นทำให้เกิดความสับสน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กตอบส่วนตัว “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ตอบโต้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ข้อความว่า คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้แสดงความเห็นใน facebook ส่วนตัวเรื่องไฟฟ้าโซลาร์ จึงเห็นว่าข้อมูลที่นำเสนอไม่ครบถ้วน และไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด จึงขอชี้แจงดังนี้

การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์

การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ เป็นการทยอยรับซื้อในระยะเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2573 เป็นพลังงานสะอาด ราคาถูก ไม่มีค่าพร้อมจ่าย โดยมีราคารับซื้อเพียง 2.0724-3.1014 บาท/หน่วยเท่านั้น ช่วยทำให้ค่าไฟของประเทศถูกลง เพราะไม่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวนด้านราคาสูงที่เป็นสาเหตุให้ค่าไฟแพงในตอนนี้

พลังงานหมุนเวียนที่รับซื้อ 8,900 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตพึ่งได้เพียง 3,700 เมกะวัตต์ เพราะการผลิตไฟฟ้าจากพลังหมุนเวียนไม่สามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง เหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ เช่น ไฟฟ้าจากโซลาฟาร์ม กลางคืนผลิตไม่ได้ หรือไฟฟ้าพลังลม ถ้าลมไม่พัดก็ผลิตไม่ได้

ในช่วงปี 2567-2573 จะมีโรงไฟฟ้าฟอสซิลขนาดใหญ่ที่มีค่าพร้อมจ่ายหมดอายุ ถูกปลดออกจากระบบคิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 9,800 เมกะวัตต์ การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ ที่มีกำลังการผลิตพึ่งได้ 3,700 เมกะวัตต์ เป็นการทดแทนโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่จะถูกถอดออกจากระบบ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังเป็นความจำเป็นของประเทศที่จะต้องเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อดึงดูดการลงทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเดิม และอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ความเข้าใจผิดในเรื่องการซื้อไฟจาก Solar Rooftop และ Solar Farm รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองมานานแล้ว โดยกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้กลับคืนเข้าระบบในราคา 2.2 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงกว่าอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก Solar Farm เอกชนรอบล่าสุดที่กำหนดไว้ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย

ปริมาณไฟฟ้าที่รับซื้อของ Solar Rooftop กับ Solar Farm เป็นคนละส่วนกัน ไม่ทับซ้อน ไม่แข่งขันกัน แต่ทั้ง 2 ส่วนช่วยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน

Net Metering อย่าผลักต้นทุนไฟ Rooftop ไปให้ผู้ใช้ไฟ 22 ล้านครัวเรือน การรับซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือ Net Metering เป็นเรื่องใหม่ จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่สามารถทำได้ทันทีทั่วประเทศ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดทั้งในเชิงความเป็นธรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า กฎหมายและเทคนิค ดังนี้

1.การรับซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย อัตราค่าไฟฟ้าที่ครัวเรือนขายออกมา (ราคาขายส่ง) จะต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าจัดหาให้ครัวเรือนเสมอ (ราคาขายปลีก) ต้นทุนส่วนเพิ่มจากการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Net Metering จะถูกกระจายลงค่าไฟในที่สุด ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้ามากจะได้เปรียบครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยเกิดความไม่เป็นธรรม

2.การผลิตไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าสู่ระบบจะส่งผลกระทบให้แรงดันไฟฟ้าในระบบไม่สมดุล เนื่องจากไฟฟ้าที่ผลิตจาก Solar มีความผันผวน หากมีการติดตั้ง Solar Rooftop ปริมาณมากกับระบบจำหน่ายไฟฟ้าจะเป็นผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบเสียหาย ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ป้องกันใหม่ และเพิ่มขีดจำกัดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในหม้อแปลงจำหน่ายลูกเดียวกัน เพื่อรองรับไฟฟ้าที่จะไหลย้อนเข้าสู่ระบบปริมาณมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบจะถูกส่งผ่านไปยังค่าไฟ ทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 1 และข้อ 2 ประชาชนทุกคนจะต้องรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตั้ง Solar Rooftop หรือไม่ก็ตาม ทำให้ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน กว่า 22 ล้านครัวเรือน ( 90% ของผู้ใช้ไฟ) ต้องมารับภาระแทนผู้มีรายได้สูง 2 ล้านครัวเรือน (10%) ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะและสามารถติดตั้ง Solar Rooftop ได้

3.การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประชาชนกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จะเกิดภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นทั้งฝั่งการซื้อและฝั่งการขาย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับวิธีการคำนวณภาษีจากผลต่างของแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้น

4.ผู้ผลิตไฟจาก Solar Rooftop จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Digital Meter ให้สามารถตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้าที่ไหลย้อนกลับเข้ามาในระบบไฟฟ้าได้ เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อคุณภาพไฟฟ้า และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประชาชนในภาพรวม

Advertisement

ออมสิน ให้กู้ติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ ซื้อรถไฟฟ้า ไฮบริด จักรยานยนต์ไฟฟ้า

People Unity News : 2 พฤษภาคม 2566 ออมสิน เปิดให้กู้ติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ หนุนใช้พลังงานทดแทนลดปัญหาโลกร้อน ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว ดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 1.99% เงินงวดผ่อนต่ำแสนละ 199 บาท

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสภาวการณ์ที่ปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงก่อเกิดผลกระทบต่อผู้คนและระบบนิเวศ จึงเป็นเป้าหมายระดับโลกที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันแนวคิดเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียนไปสู่การปฏิบัติจริง โดยส่งเสริมการใช้พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นการทดแทนดังกล่าว และยังเกิดประโยชน์ต่อระดับครัวเรือนในการช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว ธนาคารออมสินจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ล่าสุด สินเชื่อ GSB Go Green เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการติดตั้งและซื้ออุปกรณ์สำหรับบุคคลธรรมดา ในภาวะที่ต้องเผชิญปัญหาค่าไฟฟ้าครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นอยู่ขณะนี้ และสินเชื่อ GSB for BCG Economy เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อขอใช้บริการสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สินเชื่อ GSB Go Green สำหรับผู้กู้ที่เป็นบุคคลธรรมดา อายุ 20 ปี และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี วัตถุประสงค์เพื่อติดตั้งหรือซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยลดมลภาวะ เช่น Solar cell, Solar rooftop ติดตั้ง EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รถยนต์ไฮบริด รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ที่ช่วยประหยัดพลังงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง กรณีไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ให้กู้ไม่เกิน 10 เท่าของรายได้รวมสูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท ชำระเงินกู้ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 7.99% และเงินงวดผ่อนต่ำแสนละ 799 บาทต่อเดือน นาน 3 เดือนแรก หากใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดิน คอนโดฯ ที่ดินเปล่า ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระไม่เกิน 30 ปี ดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 1.99% และเงินงวดผ่อนต่ำแสนละ 199 บาทต่อเดือน นาน 3 เดือนแรก โดยธนาคารจัดอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขพิเศษนี้ไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2566 นี้เท่านั้น

สินเชื่อ GSB for BCG Economy สำหรับธุรกิจที่มีการบริหารจัดการตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model (Bio Economy, Circular Economy และ Green Economy) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ลงทุนในทรัพย์สิน ลงทุนด้านพลังงานทดแทน พลังงานจากก๊าซชีวภาพชีวมวล หรือรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น คุณสมบัติผู้กู้เป็นนิติบุคคลไม่จำกัดวงเงินกู้ และบุคคลธรรมดาให้วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป โดยใช้สมุดเงินฝากออมสิน สลากออมสินพิเศษ พันธบัตร ที่ดินและอาคาร โฉนดที่ดิน หรือคอนโดฯ เป็นหลักประกัน หรือให้ บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ร่วมค้ำประกันก็ได้ ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 10 ปี โดยสามารถกู้เป็นสินเชื่อระยะสั้น (O/D) , (P/N) และ/หรือ สินเชื่อระยะยาว (L/T) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น MOR/MLR -1.50% ต่อปี (ปัจจุบัน MOR = 6.495 และ MLR = 6.650) ติดตามรายละเอียดที่ www.gsb.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ GSB Contact Center โทร. 1115

Advertisement

 

กรมการค้าภายใน คิกออฟจับมือห้างท้องถิ่น เปิดจุดขายมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 200 จุด

People Unity News : 29 เมษายน 2566 กรมการค้าภายใน คิกออฟ “Fruit Festival 2023” จับมือห้างท้องถิ่น เปิดจุดจำหน่ายมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ปริมาณกว่า 1,000 ตัน ใน 200 จุดทั่วประเทศ ประชาชนแห่ซื้อ หลายจุดหมดเกลี้ยงในพริบตา

นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ผนึกกำลังร่วมกับชมรมทายาทห้างค้าปลีก-ค้าส่งแห่งประเทศไทย (ห้างท้องถิ่น) ซึ่งมีสาขารวมกันกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ แยกเป็นภาคอีสาน 69 สาขา ภาคใต้ 52 สาขา ภาคกลาง 41 สาขา ภาคเหนือ 38 สาขา ทำการ Kick off กิจกรรม Fruit Festival 2023 โดยนำมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จากแหล่งผลผลิตในพื้นที่จังหวัดพิจิตรและพิษณุโลก กว่า 1,000 ตัน หรือ 1 ล้านกิโลกรัม มาเปิดจุดจำหน่ายในราคา 30 บาท/กิโลกรัม (กก.) เพื่อช่วยพี่น้องชาวสวนได้มีตลาดรองรับผลผลิตที่กำลังออกสู่ตลาดมากในขณะนี้ และกระตุ้นให้ประชาชนหันมาบริโภคผลไม้เพิ่มขึ้น และผลักดันให้ราคามะม่วงน้ำดอกไม้ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ โดยจากการติดตามกิจกรรมเปิดจุดจำหน่ายมะม่วงร่วมกับห้างท้องถิ่นกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ พบว่า ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเดินทางมาซื้อมะม่วงตลอดทั้งวัน และบางจุดมะม่วงจำหน่ายหมดเกลี้ยงในพริบตา และผลผลิตที่เหลือคาดว่าจะจำหน่ายหมดเร็ว ๆ นี้ และเมื่อจำหน่ายหมด กรมจะเข้าไปรับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรในพื้นที่ ๆ ผลผลิตออกมาก มาเปิดจุดจำหน่ายต่อไป ซึ่งไม่ใช่แค่เปิดจุดจำหน่ายผ่านห้างท้องถิ่น แต่ในห้างค้าส่งค้าปลีก เช่น โลตัส บิ๊กซี แมคโคร ท็อปส์ ได้เปิดจุดจำหน่ายมะม่วง และผลไม้อื่น ๆ ในโครงการ Fruit Festival 2023 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลจากการนำผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นฤดูกาลผลิตและกระจายออกนอกแหล่งผลิตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคามะม่วงน้ำดอกไม้ เกรด AB ปัจจุบันอยู่ที่ 20-25 บาท/กิโลกรัม (กก.) สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่ 15-20 บาท/กก. ส่วนมะม่วงฟ้าลั่น ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 9-10 บาท/กก. สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่ 6-7 บาท/กก.และก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2566 ที่ผ่านมา นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน และกูร์เมต์ มาร์เก็ต เปิดงาน “พาณิชย์ Fruit Festival 2023” ซึ่งเป็น 1 ใน 22 มาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2566 เป็นครั้งแรก ณ พาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อจำหน่ายผลไม้สดและแปรรูปมากกว่า 100 ชนิด เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด สับปะรดภูแล ส้มสายน้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป ไอศกรีมทุเรียนและผลไม้ บ้าบิ่นทุเรียน พิซซ่าหน้าผลไม้ เป็นต้น และได้ร่วมมือกับพันธมิตรเอกชนและผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เช่น สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (พีที พีทีทีสเตชัน บางจาก เชลล์) นิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการแปรรูป การเคหะแห่งชาติ ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการท้องถิ่นเข้ามาช่วยระบายผลผลิตมะม่วงผ่านช่องทางที่ตัวเองมีอยู่ ทั้งการนำไปจำหน่ายในปั๊มน้ำมัน รับพรีออเดอร์ผลไม้จากนิคมอุตสาหกรรม นำไปเปิดจุดจำหน่ายที่การเคหะแห่งชาติ ส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางในการระบายผลไม้ และช่วยให้ประชาชนสามารถหาซื้อผลไม้ไปบริโภคได้ง่ายขึ้น และในปี 2566 คาดการณ์ผลผลิตผลไม้ในประเทศจะมีปริมาณ 6.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.2 ล้านตัน จากผลผลิต 6.56 ล้านตันในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 3% โดยผลผลิตที่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทุเรียน เพิ่ม 18% มังคุด เพิ่ม 22% เงาะ เพิ่ม 4% ลองกอง เพิ่ม 80% และลำไย เพิ่ม 0.8%

และที่สำคัญกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับภาคเอกชนและเกษตรกร ประชุมกำหนดแผนบริหารจัดการผลไม้ ปี 2566 ไว้ล่วงหน้าแล้ว และกำหนดมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2566 จำนวน 22 มาตรการ มีเป้าหมายการรับซื้อผลผลิตรวม 700,000 ตัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เริ่มนำมาตรการต่าง ๆ มาขับเคลื่อน เพื่อดูแลผลไม้ที่ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว ทำให้ราคาผลไม้อยู่ในเกณฑ์ดีตั้งแต่ต้นฤดู เช่น มะม่วงฟ้าลั่น ราคาสูงกว่าปีก่อน 46% มะม่วงน้ำดอกไม้ เพิ่ม 29-40% มังคุด เพิ่ม 80-146% เงาะโรงเรียน เพิ่ม 94% ทุเรียนหมอนทอง เพิ่ม 5% เป็นต้น

Advertisement

ผู้ว่าฯ ธปท.คาด GDP ปี 66 โต 3.6% ชี้นโยบายหาเสียงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

People Unity News : 24 เมษายน 2566 ผู้ว่าฯ ธปท.คาดจีดีพีปี 2566 โต 3.6% ชี้นักท่องเที่ยวต่างชาติ-การบริโภคภาคเอกชน ยังหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง เสถียรภาพเข้มแข็ง แต่ยังกังวลหนี้ครัวเรือน มองนโยบายหาเสียงพรรคการเมืองช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้o

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเจอวิกฤตจากหลายปัจจัย เริ่มจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ขณะที่จีดีพีของไทยปี 2563 หดตัวอยูที่ 6.1%, ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยเพิ่มขึ้นสูงสุด 7.9% ในเดือน ส.ค.2565 ขณะที่ธนาคารกลางหลักพร้อมใจกันขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลค่าเงินบาทอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี อยู่ที่ 38.40 บาท เมื่อ 28 ก.ย.2565 และปัญหาภาคธนาคารในต่างประเทศ ซึ่งระบบการเงินไทยได้รับผลกระทบในวงจำกัด ทั้งนี้ ธปท.ยังจับตาความผันผวนของตลาดการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 มองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาแล้ว ขณะนี้อยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีจะเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก  โดยคาดว่าครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ 2.9% และครึ่งปีหลังอยู่ที่ 4.3%  ภาพรวมทั้งปีอยู่ที่ 3.6%  โดยปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าตลอดทั้งปีจะแตะ 28 ล้านคน และการบริโภคภาคเอกชน  แต่ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าครึ่งปีแรกคาดว่าจะติดลบ และกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง  ขณะที่รายได้เกษตรกรในช่วงครึ่งปีหลังจะติดลบเนื่องจากปีที่ผ่านมาราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นสูงมาก จึงเข้าสู่ช่วงปรับลดลง ขณะที่เงินเฟ้อ คาดอยู่ที่ 2.9%  อย่างไรก็ตาม ยังกังวลหนี้ครัวเรือนมองว่าปีนี้จะอยูที่ 86.9% ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง แต่ยังมั่นใจว่าจะไม่ลุกลามถึงระบบเสถียรภาพการเงินโดยรวม

ส่วนการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.2565 ที่หลายพรรคการเมืองประกาศนโยบายหาเสียง ลดแลกแจกแถมนั้น หากได้รับเลือกตั้งและมีการนำมาใช้จริง มองว่าเป็นเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  ได้ผลเพียงชั่วคราว  และจะเกิดผลกระทบตามมา ตัวเลขหนี้ครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้น และยังมีค่าเสียโอกาส  อยากเสนอทางเลือกเพิ่มเติมว่าควรนำทรัพยากรที่มีไปบริหารจัดการในภารกิจที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศ

Advertisement

ชายหาดไทย 5 แห่ง ติดอันดับชายหาดที่ดีที่สุดในโลก เกาะกระดาน ติดอันดับ 1

People Unity News : 6 เมษายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ชายหาดไทย 5 แห่ง ติดอันดับชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566 โดยเว็บไซต์ World beach guide จัดอันดับให้เกาะกระดาน จ.ตรัง เป็นอันดับ 1 ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ชื่นชมทุกหน่วยงานต่อยอดความนิยม ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ชายหาดไทยถึง 5 แห่ง ติดอันดับชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566 (Top 100 beaches on Earth 2023) จากเว็บไซต์ World beach guide ปลื้มเกาะกระดาน จังหวัดตรัง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก สะท้อนความนิยมต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวไทย ผ่านการส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชายหาด World Beach Guide ของประเทศอังกฤษ เผยแพร่ผลการจัดอันดับในหัวข้อ “100 อันดับ ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566” (Top 100 beaches on Earth 2023) (https://www.worldbeachguide.com/top-100-beaches-earth.htm) ซึ่งชายหาดจากประเทศไทยติดอันดับถึง 5 แห่ง ได้แก่

อันดับ 1 เกาะกระดาน จังหวัดตรัง

อันดับ 9 หาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่

อันดับ 18 หาดฟรีด้อม (Freedom beach) จังหวัดภูเก็ต

อันดับ 21 แหลมหาด เกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา และ

อันดับ 44 อ่าวโตนด เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยได้ระบุว่าประเทศไทยเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี มีชายหาดที่สวยงาม หาดทรายขาวละเอียดที่ทอดยาวตลอดแนวชายหาดเปรียบเหมือนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งเกาะกระดาน จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม โดยเกาะกระดาน ถือเป็นสถานที่ที่มีเกาะที่สวยงามที่สุดและส่วนใหญ่ยังคงสภาพสมบูรณ์ อยู่ห่างจากทางใต้ของจังหวัดภูเก็ตและใกล้เกาะพีพีเพียง 2 – 3 ชั่วโมง จึงล้อมรอบไปด้วยความงดงามตามธรรมชาติ ซึ่งไม่มีผู้คนพลุกพล่านและเสียงรบกวน

“นายกรัฐมนตรียินดีกับผลการจัดอันดับดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความนิยมและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทย ซึ่งเป็นอีกทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศที่สำคัญและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่สามารถต่อยอด สร้างกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลได้อีกมาก พร้อมขอบคุณหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ที่พร้อมใจกันสานต่อความนิยมของไทย เป็นไปตามกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจ ซึ่งแต่ละจังหวัดสามารถนำเสนอรูปแบบ แนวทาง กิจกรรม อาหารการกิน ประเพณีและวัฒนธรรม เป็นไปตามแหล่งท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ต่อไป” นายอนุชา กล่าว

อนึ่ง หนึ่งในแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2566 ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนด ได้แก่ “Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” ซึ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมายและทรงคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยว (Meaningful Travel) โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible tourism) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

Advertisement

นายกฯ ยินดี ร้านอาหารไทยคว้าอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย

People Unity News : 1 เมษายน 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ร่วมแสดงความยินดี ร้านอาหารไทยคว้าอันดับ 1 การจัดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย Asia’s 50 Best Restaurants 2023 ร้านอาหารไทยติดอันดับรวม 9 ร้าน ตอกย้ำเอกลักษณ์ soft power ของไทยในระดับสากล

วันนี้ (1 เม.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและร่วมแสดงความยินดีกับ 9 ร้านอาหารไทยติดอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 เชื่อมั่นอาหารไทยเป็นอาหารที่มีเสน่ห์ ครบรส สวยงาม เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมากให้กับประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า Asia’s 50 Best Restaurants Academy ซึ่งเป็นการรวมตัวของบุคคลสำคัญวงการอาหารกว่า 300 คน ประกอบด้วยนักเขียนบทความอาหาร นักวิจารณ์ เชฟ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารในระดับภูมิภาค ได้ร่วมกันจัดอันดับร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 (Asia’s 50 Best Restaurants 2023) โดยร้าน Le Du ของไทยได้รับอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยม (https://www.theworlds50best.com/asia/en/list/1-50) โดยขึ้นมาจากลำดับที่ 4 จากปีก่อน และยังได้รับอันดับ 1 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย (The Best Restaurant in Thailand) ควบอีก 1 รางวัลด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดอันดับดังกล่าว ร้านอาหารไทยรวม 9 อันดับ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลมากที่สุดอีกด้วย ได้แก่ ร้าน Le Du อันดับ 1 ร้าน Nusara อันดับ 3 ร้าน Gaggan Anand อันดับ 5 ร้าน Sorn อันดับ 9 ร้าน Suhring อันดับ 22 ร้าน Ms. Maria & Mr. Singh อันดับ 33 ร้าน Potong อันดับ 35 Raan Jay Fai (เจ๊ไฝ) อันดับ 38 ร้าน Baan Tepa อันดับ 46 และแม้ว่าผู้ชนะส่วนใหญ่ในการจัดอันดับจะเป็นร้านอาหารรสเลิศ แต่ร้านอาหารริมทางอย่าง ร้านเจ๊ไฝ ก็ได้รับการจัดให้ติดใน 1 ใน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2566 ด้วย

“รัฐบาลชื่นชมและตระหนักถึงศักยภาพหลายๆ ด้านของไทย โดยอาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติ ใช้วัตถุดิบที่หลากหลาย ครบเครื่อง โดดเด่นในการนำเสนอวัฒนธรรม นำความเป็นไทยเผยแพร่ไปสู่สากล สู่การเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลยินดีผลักดัน และสนับสนุนศักยภาพในด้านนี้เสมอมา และพร้อมผลักดันให้อาหารไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว สร้างภาพลักษณ์ให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว” นายอนุชา กล่าว

 Advertisement

นายกฯ ยันไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพงาน EXPO 2028 Phuket Thailand

People Unity News : 29 มีนาคม 2566 นายกฯ ประชุมความคืบหน้าเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 Phuket Thailand ยันไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพ เชื่อได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 Phuket Thailand ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ว่าได้มีการหารือกับคณะทำงานทั้งหมด พร้อมฝากไปยังประชาชนว่า นี่คืออนาคตของประเทศในปี 2028 นี้ ที่ไทยจะมีโอกาสในการจัดงาน expo ระดับโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหาเสียงในประเทศสมาชิก 171 ประเทศ ซึ่งการตัดสินจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ขณะนี้ ประเทศไทยได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายประเทศแล้ว แต่ยังต้องหาเสียงต่อไป เพื่อให้ผ่านการคัดเลือก หากไทยได้เป็นเจ้าภาพ ถือเป็นโอกาสดีของประเทศที่จะได้ผลประโยชน์โดยตรงและโดยอ้อม เช่น ผลประโยชน์โดยตรง ส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ช่วยสร้างรายได้ในพื้นที่ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศไทยกำลังส่งเสริมด้าน Health and Wellness ซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ตรวจสถานที่แล้ว และเป็นที่น่าพอใจ มีพื้นที่สวยงาม และยังมีธรรมชาติอีกมาก ซึ่งงบประมาณได้มีการจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ขอให้ทุกคนช่วยกัน และเป็นเจ้าภาพที่ดี เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ และกำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงขอให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เพราะจะส่งผลให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งหลายอย่างรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ยอมรับว่า ยังกังวลกับผู้ที่มีรายได้น้อย จึงมุ่งหวังว่าจะทำให้ดีขึ้นในระยะต่อไปตามงบประมาณที่มีอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการจัดงานครั้งนี้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของตนเองที่ได้วางไว้ ให้ประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นการตอบโจทย์ BCG ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ตนเองยังมีวิสัยทัศน์ที่จะเชื่อมเศรษฐกิจฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน หรือ “ไทยแลนด์ริเวียร่า” ให้เกิดความเชื่อมโยงกัน เพื่อเพิ่มพูนรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ส่วนใครจะมาสานต่อ ตนเองไม่ทราบ

พร้อมกันนี้ รัฐบาลจะแก้ปัญหาการจราจรในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้เกิดการแออัด ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในอนาคตอยากฝากการสร้างเส้นทางสายใต้ใหม่อีกเส้น หากมีความเป็นไปได้ก็จะมีเส้นทางในพื้นที่ภาคใต้เพิ่มขึ้น แต่บางอย่างติดปัญหาเรื่องประชาชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมย้ำรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ มากพอสมควร จึงอยากให้ทุกคนมองไปข้างหน้าด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญต้องเคารพความคิดเห็นของประชาชนเป็นหลัก ขณะนี้ประเทศก้าวมาไกลแล้ว ดังนั้นจึงต้องก้าวต่อไป ให้ประเทศชาติมีความมั่นคงปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ไทยมีความพร้อมในด้านศักยภาพอยู่แล้ว และเป็นประเทศที่หมายหลักของหลายประเทศ ซึ่งหลายประเทศที่จะร่วมมือกับเรา และอยากให้ประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับ ในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก

ดังนั้น ขออย่าทำลายโอกาสนี้ด้วยความไม่เรียบร้อย ทะเลาะเบาะแว้งกัน สิ่งไหนที่ไม่ดีก็อย่าทำในช่วงนี้ เพราะประเทศชาติกำลังเดินไปและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบใหม่ ซึ่งมีความซับซ้อน มีความไม่แน่นอนผันผวนอยู่ ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องปรับตัวให้ทันโลกด้วย เพราะเรายังมีโอกาส

Advertisement

10 ธนาคารร่วมมือรัฐบาล ตัดวงจรหลอกโอนเงิน ยกเลิกส่ง SMS – แนบลิงก์

People Unity News : 25 มีนาคม 2566 รองโฆษกรัฐบาลเผย 10 ธนาคารพาณิชย์ร่วมมือรัฐบาลตัดวงจรหลอกโอนเงิน ยกเลิกส่ง SMS แบบแนบลิงก์ ถ้าเจอเป็นมิจฉาชีพแน่นอน ที่เหลือกำลังดำเนินการ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง และล่าสุด ธนาคารพาณิชย์บางส่วนได้ออกมาตรการยกเลิกการส่ง SMS และแบบแนบลิงก์แล้ว 10 แห่ง (ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารทหารไทยธนชาติ ธนาคารอาคารสงเคราะห์) และธนาคารที่ยกเลิกการส่งอีเมลแบบแนบลิงก์อีก 2 แห่ง (ธนาคารกรุงเทพและธนาคารอาคารสงเคราะห์) ที่เหลือกำลังดำเนินการ (ข้อมูล ณ 24 มีนาคม 2566) ดังนั้น หากประชาชนได้รับ SMS หรืออีเมลที่แนบลิงก์ส่งมาให้ โดยอ้างว่ามาจากธนาคารดังกล่าว ขออย่าคลิกเด็ดขาด เพราะนั้นเป็นการส่งจากมิจฉาชีพแน่นอน

นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ขณะนี้กฏหมายลงโทษผู้รับจ้างเปิดบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งผู้กระทำผิดจะได้รับโทษอาญาหนัก จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้ที่ได้เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนหมายเลขโทรศัพท์ ก็มีโทษอาญาหนักเช่นกัน คือ จำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2-5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอเตือนประชาชนที่รับจ้างเปิดบัญชีให้ไปปิดบัญชีให้หมด และสำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้ตรวจความเคลื่อนไหวของบัญชีเป็นประจำ เมื่อพบความผิดปกติให้แจ้งธนาคารทันที

Advertisement

ปตท.คว้ารางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจำปี 2565

People Unity News : 24 มีนาคม 2566 สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2565“รัฐวิสาหกิจไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน GROW GREEN BALANCE”

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “รัฐวิสาหกิจไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (GROW GREEN BALANCE)” โดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในงาน พร้อมทั้งให้เกียรติมอบรางวัลและมอบนโยบายให้แก่รัฐวิสาหกิจ เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยการจัดงานในปีนี้มีการมอบรางวัลทั้งสิ้น 11 ประเภทรางวัล

นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. เปิดเผยว่า สคร. ได้มีการจัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น หรือ SOE Awards อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพและนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมงานจากรัฐวิสาหกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีตลอดมา โดยการจัดงานในปีนี้ ภายใต้แนวคิด “รัฐวิสาหกิจไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (GROW GREEN BALANCE)” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

สำหรับผลรางวัล SOE Award ประจำปี 2566 ทั้ง 11 ประเภทรางวัล มีดังนี้

1.​รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น

​(1) ประเภทเกียรติยศ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

​(2) ประเภทดีเด่น ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารอาคารสงเคราะห์

2.รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น

​(1) ประเภทเกียรติยศ ได้แก่ ธนาคารออมสิน

​(2) ประเภทดีเด่น ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์

3.รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น ได้แก่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม

4.รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น – ไม่มีผู้ที่ได้รับรางวัล –

5.รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

6.รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน

7.รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น

​​(1) ประเภทดีเด่น ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์

​​(2) ประเภทชมเชย ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน

8.รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น แบ่งรางวัลเป็น 2 ด้าน ประกอบด้วย

​8.1 ด้านความคิดสร้างสรรค์

​​(1) ประเภทดีเด่น ได้แก่ การประปานครหลวง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน

​​(2) ประเภทชมเชย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

​8.2 ด้านนวัตกรรม

​​(1) ประเภทดีเด่น ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารอาคารสงเคราะห์

​(2) ประเภทชมเชย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และธนาคารออมสิน การยาสูบแห่งประเทศไทย องค์การเภสัชกรรม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

9.รางวัลความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาดีเด่น

​(1) ประเภทดีเด่น จำนวน 1 คู่ความร่วมมือ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

​(2) ประเภทเชิดชูเกียรติ จำนวน 1 คู่ความร่วมมือ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

10.รางวัลบริการดีเด่น ได้แก่ ธนาคารออมสิน การประปานครหลวง และธนาคารอาคารสงเคราะห์

11.รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจำปี 2565 ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

Advertisement

จ่อส่งออกน้ำมันปาล์ม  ลดสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ

People Unity News : 10 มีนาคม 2566 “พล.อ.ประวิตร” ห่วงใยชาวสวนปาล์ม จ่อดันส่งออกน้ำมันปาล์ม ลดสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ กระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นย้ำให้ดูแลกลไกราคา ให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวสวนปาล์ม

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการปาล์มแห่งชาติ (กนป.) มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันของประเทศ สืบเนื่องจากมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 66 ได้เห็นชอบการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลอยู่ที่ 7% หรือ บี7 ไปจนถึงเดือน กันยายน 66   ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันทะลายของเกษตรกรในอนาคต  รองนายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดร.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเตรียมรับกับสถานการณ์ที่จะเข้าสู่ฤดูกาลที่ผลปาล์มมีผลผลิตมากในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ดูแลกลไกราคา ให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวสวนปาล์ม

พล.ต.อ.ดร.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม กล่าวว่า ได้เชิญผู้แทนกระทรวงการคลัง สำนักงานงบประมาณ กรมการค้าภายใน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนป. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือการผลักดันส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 เป้าหมาย 150,000 ตัน ระยะเวลาส่งออกตั้งแต่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ถึง กันยายน 2566 โดยรัฐบาลจะพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil : CPO) ในอัตราไม่เกิน 2.00 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก ทั้งนี้ เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน และรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศรวมถึงอาจพิจารณาอุดหนุนการส่งออกเพิ่มเติมในอนาคตตามสถานการณ์ผลผลิตที่คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นอีกใน ปี 2566

ทั้งนี้ จะได้นำข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เกี่ยวข้องกับเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินโครงการและรายละเอียดด้านงบประมาณ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้นำมาพิจารณาทบทวน โดยจะต้องคำนึงถึงแนวทางปฏิบัติที่ได้มีประกาศ กกต. ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานี้อีกด้วย

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับทุกหน่วยงานให้คำนึงถึงเกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ไม่ไห้ได้ผลกระทบ หรือ ได้ผลกระทบน้อยที่สุด และขอให้ดำเนินมาตรการให้ทันต่อสถานการณ์โลก ทั้งนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงมาตรการระยะยาว ได้แก่ หลักการการเกษตรอัจฉริยะ Smart Farming การขับเคลื่อนการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันในรูปแบบของศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อการพัฒนาจังหวัด Center of Excellence for Provincial Development หรือ COE-PD) ด้านการเกษตร ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เสริมสร้างรายได้ให้ “กินดีอยู่ดี” อย่างยั่งยืน

Advertisement

Verified by ExactMetrics