วันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

ประยุทธ์ สั่งเร่งผลักดันท่องเที่ยว “Wellness Tourism – Medical Tourism” รองรับท่องเที่ยวยุคโควิด

People Unity News : ประยุทธ์ สั่งเร่งผลักดันการท่องเที่ยว “Wellness Tourism – Medical Tourism” รองรับการท่องเที่ยวยุคโควิด-19

30 พ.ย.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย นโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น

มุ่งเน้นการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับกลยุทธ์ของภาคการท่องเที่ยวที่สอดรับกับมาตรการสาธารณสุข

จากข้อสั่งการดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เตรียมแนวทางส่งเสริมและการขยายการท่องเที่ยวในรูปแบบ Medical Tourism (การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์) และ Wellness Tourism (การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ)

จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่าสูง หรือมีค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่สูงแทน (ค่าใช้จ่ายต่อหัว 80,000 – 120,000 บาท) เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในปี 2565

ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุขนั้น จะดำเนินการตาม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พ.ศ. 2560 – 2569” โดยสนับสนุนการใช้สมุนไพรไทย เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพให้กับนักท่องเที่ยว แนวนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะช่วยบรรเทาผลกระทบของประชาชนที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยว ยืนยัน รัฐบาลพร้อมแก้ไขปัญหาและวางแผนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่อาจเกิดขึ้นอย่างเต็มที่

Advertising

กรมชลประทานจ้างแรงงาน 75,000 คนปี 65 สร้างรายได้ทดแทนให้แก่เกษตรกรและประชาชน

People Unity News : กรมชลประทานเดินหน้าจ้างแรงงานปี 65 หวังสร้างรายได้ทดแทนให้แก่เกษตรกรและประชาชน สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน 1460

28 พ.ย.64 กรมชลประทานเปิดรับสมัครแรงงานทั่วประเทศ ตามโครงการจ้างแรงงานชลประทาน ปี 65 ในตำแหน่งงานซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำ แก้มลิง โครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ ฯลฯ เพื่อให้เกษตรกร มีรายได้ทดแทนจากการว่างเว้นการทำการเกษตร โดยได้รับค่าจ้างประมาณเดือนละ 7,800 บาท ระยะเวลาการจ้างงาน 1 – 10 เดือน

ขณะนี้ ทั่วประเทศมีผู้สนใจเข้าร่วมจ้างแรงงานแล้ว 2,155 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.87 ของแผน ยังสามารถจ้างแรงงานได้อีกประมาณ 72,845 คน ให้ครบตามเป้าที่กำหนดไว้ 75,000 คน

สำหรับคุณสมบัติของผู้ร่วมโครงการที่จะได้รับการจ้างแรงงาน มีดังนี้

✅ เกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรหรือเกษตรกรในพื้นที่

✅ สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทานในพื้นที่

✅ ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไป

✅ หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ จะพิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ

เกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามหรือสมัครได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือสายด่วนกรมชลประทาน โทร.1460

Advertising

ชัยวุฒิ เผย Thailand pass พร้อมใช้งาน 100% แล้ว รับนักท่องเที่ยวลงทะเบียนผ่านดิจิทัล

People Unity News : ชัยวุฒิ เผย Thailand pass พร้อมใช้งาน 100% แล้ว รับนักท่องเที่ยวลงทะเบียนผ่านดิจิทัล

18 พฤศจิกายน 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว. ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยืนยัน Thailand pass หรือระบบลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อขอรับเอกสารรับรองก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย ขณะนี้พร้อมใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยระบบดิจิทัล 100% ต้อนรับการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ

เรื่องนี้เป็นไปตามข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ต่อการดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศ เพื่อประสิทธิภาพและความชัดเจนของข้อมูล และลดปัญหาการรอคอย ไม่เป็นภาระของนักท่องเที่ยว

ซึ่งวันนี้สามารถเชื่อมโยงระบบต่างๆ โดยไม่ต้องถือกระดาษ เอกสารใดๆมา เพียงแค่ผู้เดินทางกรอกข้อมูลใน Thailand pass ที่ต้นทาง เมื่อมาถึงเมืองไทย เพียงสแกนคิวอาร์โค้ด หรือให้หมายเลขหนังสือเดินทาง การตรวจสอบก็จะรวดเร็วมากขึ้น มั่นใจว่าจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดการณ์ในเดือนมีนาคม ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน

Advertising

ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ “3 เมกะอีเว้นท์” หนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

People Unity News : ครม.เห็นชอบ ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ “3 เมกะอีเว้นท์” หนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

17 พฤศจิกายน 2564 ที่ประชุม ครม. เมื่อวาน (16 พ.ย.) เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเมกะอีเว้นท์ 3 รายการ ได้แก่ งาน Expo 2028 Phuket – Thailand ปี 2571, มหกรรมพืชสวนโลกอุดรธานี ปี 2569 และพืชสวนโลกนครราชสีมา (ระดับ A1) ปี 2572

ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานเมกะอีเวนท์ดังกล่าว คือ การพัฒนาและต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เกิดการจ้างงานที่จะส่งผลให้จีดีพีเติบโตขึ้น รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประเมินว่าจะทำให้มีเงินสะพัดในประเทศไทยรวม 100,173 ล้านบาท จีดีพีเติบโตขึ้นราว 68,520 ล้านบาท สร้างรายรับภาษีให้ภาครัฐ 20,641ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน 230,442 คน

Advertising

“ประยุทธ์” สั่งดูแลค่าครองชีพ ให้ ก.พาณิชย์คุยผู้ประกอบการศูนย์อาหาร ลดต้นทุนอาหารจานด่วน

People Unity News : “ประยุทธ์” สั่งดูแลค่าครองชีพประชาชน ให้ ก.พาณิชย์เร่งพูดคุยผู้ประกอบการศูนย์อาหาร ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายอาหารจานด่วน เพิ่มรายการอาหารทางเลือกใหม่ๆ

15 พฤศจิกายน 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์ประจำวัน ทราบถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ขณะนี้ร้านอาหารตามสั่ง/อาหารจานด่วน มีการปรับราคาขึ้นหลายรายการ เนื่องจากช่วงนี้ วัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารมีราคาสูง อาทิ น้ำมันปาล์ม ไข่ไก่ ผักสด จึงสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปตรวจสอบดูแลในเรื่องดังกล่าว ซึ่งกรมการค้าภายในแจ้งว่า จะมีการหารือกับห้างสรรพสินค้าที่ให้บริหารศูนย์อาหาร Food court เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการในแง่ต้นทุนการผลิต ค่าเช่า ส่วนแบ่งการขาย รวมถึงหารือกับผู้ประกอบการตลาดสด เร่งติดตามราคาสินค้า อาหารสด เครื่องปรุงต่างๆ ช่วยลดภาระต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ขายอาหารจานด่วนไม่ให้ขาดทุน และยังสามารถจัดจำหน่ายรายการอาหารทางเลือกอื่นๆในราคาที่เหมาะสม ลดภาระค่าครองชีพของประชาชนผู้บริโภคในขณะนี้

“ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีโครงการคนละครึ่ง และร้านอาหารธงฟ้าราคาประหยัด ที่จะสามารถช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในการซื้อของอุปโภคบริโภคในราคาที่ถูกลง และยังได้วางแผนการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนให้ทั่วถึง” นายธนกร กล่าว

Advertising

รัฐบาลปลื้มดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมสูงสุดในรอบ 5 เดือน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อ 2 เดือน

People Unity News : รัฐบาลปลื้ม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัว สูงสุดในรอบ 5 เดือน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 เดือนซ้อน สะท้อนผู้ประกอบการขานรับนโยบายเปิดประเทศ

วันนี้ 9 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2564 ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 82.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และสูงสุดในรอบ 5 เดือน ที่สำคัญเป็นการปรับตัวในทุกขนาดอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม โดยองค์ประกอบของดัชนีฯ เพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวด ทั้งยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการ ยกเว้นต้นทุนประกอบการ ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้น สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง จำนวนผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น มาตรการคลายมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ความต้องการสินค้าในประเทศและต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งสินค้าประเภทคงทน อาทิ ยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและโลหะการ เป็นต้น และสินค้าประแภทไม่คงทน เช่น อาหารและยา นอกจากนี้ยังมีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าในกลุ่มสินค้าอาหารและสินค้าแฟชั่นสำหรับเทศกาลปีใหม่ด้วย ผลักดันให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ มาตรการภาครัฐยังช่วยพยุงกำลังซื้อในประเทศ สอดคล้องกับรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมล่าสุดประจำเดือนกันยายน 2564 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวดีขึ้น อยู่ที่ระดับ 93.72 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.49 เมื่อเทียบกันกับเดือนก่อน โดย 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.10 โดยเฉพาะชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.12  เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.61 เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.24 ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.32 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน บุหรี่ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 71.29 จากการเร่งผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นมาก หลังรับข่าวการปรับโครงสร้างภาษียาสูบใหม่ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม ที่ผ่านมา

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจภาพรวมความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมไทยหลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและโลหะการ ที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เน้นสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) จัดทำโครงการพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่เมืองสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยตั้งเป้าภายในปี 2579 ประเทศไทยจะมีต้นแบบ “เมืองน่าอยู่ คู่อุตสาหกรรม” ไม่น้อยกว่า 40 พื้นที่ ใน 37 จังหวัดด้วย ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังได้รับทราบปัญหาและข้อห่วงใยของผู้ประกอบการ ทั้งปัญหาต้นทุนแพงจาก ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ทำให้มีการลักลอบนำแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม บูรณาการงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ พร้อมกำชับให้ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดีขณะนี้

Advertising

รัฐบาลชวนผู้ประกอบการเข้าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม รับสิทธิประโยชน์ภาษี-จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ 

People Unity News : รัฐบาลชวนผู้ประกอบการเข้าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม รับสิทธิประโยชน์ภาษีและจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผู้สนับสนุนได้ลดหย่อนภาษีด้วย

8 พ.ย.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการขับเคลื่อนการประกอบกิจการเพื่อสังคม เพื่อส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจ และภาคประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนและประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม มี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้ดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ซึ่งในช่วงเวลาสองปีของการเริ่มใช้กฎหมายฉบับนี้ คณะกรรมการฯได้ผลักดันให้มีการออกสิทธิประโยชน์หลายอย่าง เพื่อเป็นแต้มต่อให้วิสาหกิจเพื่อสังคมได้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และนำผลกำไรคืนสู่สังคมต่อไป ขณะนี้มีจำนวนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise:SE )  ที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จำนวน 162 กิจการ

การดำเนินงานที่ผ่านมาหลายหน่วยงานภาครัฐได้ออกมาตรการในการสนับสนุนการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคม อาทิ กรมสรรพาการมีประกาศให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการจดทะเบียนกับ สวส. กล่าวคือ 1) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่นิติบุคคลที่จดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไร 2) ผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถหักลดหย่อนเงินลงทุนในหุ้นของนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ 3) ผู้บริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศให้กิจการ SE ที่ผ่านการจดทะเบียนรับรอง สามารถระดมทุนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนได้ โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจาก ก.ล.ต.ตามปกติ เป็นต้น และล่าสุดที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ คือ กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างผลิตผลชิ้นงาน หรือบริการที่ผลิตหรือจัดทำขึ้นจะวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนโดยวิธีเฉพาะเจาะจงได้ ทำให้วิสาหกิจฯมีโอกาสเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้มากขึ้น

นอกจากสิทธิประโยชน์ที่ได้กล่าวมาแล้ว คณะกรรมการฯยังผลักดันให้มีการเสริมแกร่งแก่วิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น การสร้างเครือข่ายกับ 18 หน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อเป็นพี่เลี้ยงด้านการตลาด การลงทุน การระดมทุน การส่งเสริมศักยภาพกลุ่มกิจการเพื่อสังคมสำหรับคนพิการ และที่สำคัญ กระทรวงพาณิชย์ได้ริเริ่มการจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Online Business Matching) นำกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคม 13 ราย พบผู้ซื้อและผู้นำเข้าจากต่างประเทศ กว่า 34 รายจาก 13 ประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม เยอรมัน สเปน ซาอุดิอาระเบียและประเทศกลุ่มยุโรป นำไปสู่มูลค่าการค้าประมาณ 15 ล้านบาท  โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่เจรจาทางธุรกิจเป็นสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องสำอางค์ สินค้าเพื่อสุขภาพและในระยะต่อไปก็จะดำเนินการให้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการส่งออกร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการอื่นๆ รวมถึงจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ในการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า สำหรับปีหน้า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เล็งเห็นโอกาสที่จะเพื่มจำนวนผู้จดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมากให้ความสนใจ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนหลายแห่งก็มีศักยภาพที่จะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ด้วย ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์และการสนับสนุนหลายอย่าง มีโอกาสต่อยอดธุรกิจให้มีรากฐานที่แข็งแรง มั่นคง และยั่งยืนตามเป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศให้ยั่งยืนต่อไป ผู้สนใจ สามารถติดต่อ สวส. ได้ที่ https://www.osep.or.th/ โทร 02 246 2344

Advertising

พาณิชย์-เกษตร จัดโครงการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่ หวังกู้วิกฤติข้าวไทยสู่ตลาดโลก

People Unity News : พาณิชย์-เกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนประกวดข้าวพันธุ์ใหม่ หวังกู้วิกฤติข้าวไทยสู่ตลาดโลก

เมื่อวาน (5 พฤศจิกายน 2564) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อการพาณิชย์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าวไทย โดยมี นายชาตรี บุญนาค ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการข้าว นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว คณะผู้บริหาร ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเกษตรกรจากจังหวัดชัยนาทและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ ณ ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท พร้อมคณะทูตพาณิชย์จาก 25 ประเทศ และพาณิชย์จังหวัดใน 27 แหล่งเพาะปลูกของประเทศ ร่วมกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์

นายชาตรี กล่าวว่า สำหรับการประกวดข้าวในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว ส่งผลงานเข้าประกวดในข้าว 3 ประเภท ได้แก่ ข้าวหอมไทย ข้าวขาวพื้นนุ่ม และข้าวขาวพื้นแข็ง ซึ่งมีพันธุ์ข้าวที่ส่งประกวดทั้งสิ้นจำนวน 48 พันธุ์ แบ่งเป็นพันธุ์ข้าวของกรมการข้าวจำนวน 31 พันธุ์ โดยไดันำพันธุ์ข้าวที่ส่งเข้าประกวด มาทดลองปลูกในแปลงปลูกของศูนย์วิจัยข้าว 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก และศูนย์วิจัยข้าวขอนแก่น ซึ่งจะดำเนินการตัดสินผลการประกวดในช่วงเดือนธันวาคม

ด้าน นางสาวนนทิชา เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการตัดสิน คณะกรรมการจะเปรียบเทียบพันธุ์ข้าวที่ส่งเข้าประกวดกับข้าวพันธุ์เดิมที่โดดเด่นในแต่ละประเภท ทั้งด้านการเพาะปลูกในแปลง การขัดสี คุณภาพทางกายภาพของเมล็ด คุณภาพทางเคมี และคุณภาพการหุงต้ม ซึ่งเชื่อมั่นว่าการประกวดดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่ออนาคตข้าวไทยให้กับชาวนา ผู้ประกอบการค้าข้าว ตลอดจนผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังได้นำประธานและคณะ เยี่ยมชมแปลงนาพันธุ์ข้าวจากการประกวดในพื้นที่ของศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท ตลอดจนการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว

Advertising

บอร์ด กพช.เห็นชอบอัตราส่งเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน 0.005 บาท/ลิตร 1 ปี 0.05 บาท/ลิตร 2 ปี ลดภาระประชาชน

People Unity News : บอร์ด กพช. เห็นชอบกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี บรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

วันนี้ (5 พ.ย.64) เวลา 14.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วย ซึ่ง นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการประชุม  ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลวางนโยบายอย่างเป็นขั้นตอนเกี่ยวกับมิติการใช้พลังงานสะอาดและการลดก๊าซเรือนกระจกที่ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศในเวทีโลกในการประชุมผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 ที่สก็อตแลนที่ผ่านมา ร่วมกับนานาขาติ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลก  ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมพร้อมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศโดยแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศด้วย และให้สอดคล้องกับนโยบายการใช้พลังงานสะอาดตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของโลก ขณะเดียวกัน การลงทุนด้านพลังงานต่างๆต้องมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และไม่มีการผูกขาด สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังด้วย

โอกาสนี้  นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบกับการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนซ้า และน้ำมันเตาในอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวล 3 ปี   เพราะเป็นความจำเป็นในการลดภาระและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรียังขอให้ กกพ. ให้เร่งดำเนินการเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนให้เกิดผลโดยเร็ว เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าจากขยะถือเป็นพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดที่จะนำไปสู่การลดโลกร้อน และยังสามารถแก้ปัญหาบริหารจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยต้องคำนึงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศด้วย พร้อมให้กระทรวงมหาดไทยและกกพ. ได้จัดตั้งกลไกดำเนินงานร่วมกันในการพิจารณากลั่นกรองโครงการโรงไฟฟ้าขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการกำหนด TOR ให้มีความชัดเจนมีความโปร่งใสเพื่อไม่เกิดข้อขัดแข้งตามมาในอนาคต

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญๆ  ดังนี้

1 ) ปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตา ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา อีกทั้งยังเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2567 ปีละ 4,000 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนและกลุ่มงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวม 12,000 ล้านบาท

2) ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Price Review) จากสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท PETRONAS LNG LTD.,  จากสถานการณ์ตลาด LNG ในปัจจุบันมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงื่อนไขสัญญาระหว่าง บริษัท ปตท. และ PETRONAS นั้นก็ให้คู่สัญญาเปิดเจรจา Price Review ได้ในระหว่างปีที่ 5 ของสัญญา ปตท. จึงขอเจรจาในปี 2564 เพื่อปรับลดราคา LNG โดยได้ข้อสรุปผลการเจรจา LNG Price Review สามารถปรับลดสูตรราคา LNG SPA ลงเฉลี่ย -7% ซึ่งสามารถลดต้นทุนการจัดหา LNG ลงประมาณ 900 – 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือรวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาทในปี 2565 – 2569 หรือลดต้นทุนค่า Ft ประมาณ 0.42 สตางค์ต่อหน่วย และ กพช.มอบหมายให้บริษัท ปตท.ฯ เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาต่อไป

3) เห็นชอบบรรจุโครงการ LNG Terminal พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 [T-3] ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง ซึ่งมีกำลังการแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ 10.8 ล้านตัน ต่อปี (ขยายได้ถึง 16 ล้านตันต่อปี) ไว้ในแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการฯ ตามแผนดำเนินงานของ EEC และสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

4) เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าและการขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป. ลาว ดังนี้ โครงการน้ำงึม 3 ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8934 บาทต่อหน่วย โครงการปากแบง ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.7935 บาทต่อหน่วย โครงการปากลาย ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.9426 บาทต่อหน่วย โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดสัญญาและมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการน้ำงึม 3 โครงการปากแบง  และโครงการปากลาย ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้า ใน สปป. ลาว จาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ทั้งนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจาก สปป. ลาว นั้น สอดคล้องตามกรอบ “แผนพลังงานชาติ” ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และสอดคล้องทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด ลดการปล่อย CO2 อีกด้วย

5) ที่ประชุมเห็นชอบหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT ปี 2565 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 – 50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี โดยมอบหมายให้ กกพ. พิจารณากำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินการแต่ละโครงการต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าต่อไป

Advertising

ก.คลังเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” 15 พ.ย.นี้ เยาวชนอายุ 15 ปีซื้อได้

People Unity News : ลงทุนอย่างมั่นใจไปกับพันธบัตรออมทรัพย์ “ออมไปด้วยกัน” เริ่มจำหน่ายผ่านวอลเล็ต สบม. 15 พฤศจิกายนนี้

3 พ.ย.64 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่ากระทรวงการคลังจะเริ่มจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” โดยในครั้งนี้กระทรวงการคลังได้เพิ่มวงเงินจำหน่ายเป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม และจ่ายดอกเบี้ยให้ประชาชนทุก 3 เดือน ประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รุ่นอายุ และซื้อได้ทั้งในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

รายละเอียดการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นออมไปด้วยกัน เป็นดังนี้

1.รุ่นออมไปด้วยกันบนวอลเล็ต สบม. จำหน่ายให้แก่ประชาชน 2 รุ่น วงเงิน 10,000 ล้านบาท ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.10 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 3.00 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซื้อได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป (ผู้เยาว์จะต้องลงทะเบียนในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และไปยืนยันตัวตนพร้อมผู้ปกครองเพื่อกรอกเอกสารให้ความยินยอม ณ สาขาธนาคารกรุงไทยสำหรับการซื้อครั้งแรก) ลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท – 10 ล้านบาท จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2564 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังเพื่อลงทะเบียน ยืนยันตัวตน และเติมเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ผ่านพร้อมเพย์จากทุกธนาคาร หรือผูกบัญชีธนาคารกรุงไทยกับ วอลเล็ต สบม. รวมถึงเติมเงินสดด้วย Wallet ID ได้ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เพื่อเตรียมซื้อพันธบัตรได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานวอลเล็ต สบม. ได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

2.รุ่นออมไปด้วยกัน จำหน่ายให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรที่กระทรวงการคลังกำหนด วงเงินรวม 70,000 ล้านบาท จำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ลงทุนได้ตั้งแต่ 1,000 บาทและไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง โดยจะจำหน่ายให้กับประชาชนก่อนนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด 2 วัน  เพื่อบริหารจัดการการใช้บริการ ณ สาขาธนาคารของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ หากเป็นผู้เยาว์ต้องมีบัญชีธนาคารตัวแทนจำหน่ายและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดยวันจำหน่าย วงเงิน และรุ่นอายุเป็นดังนี้

1) จำหน่ายให้แก่ประชาชน 2 รุ่น วงเงิน 55,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2564 ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.10 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 3.00 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จำหน่ายทั้งในช่องทาง Counter Internet Banking และ Mobile Banking ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

2) จำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด รุ่นอายุ 10 ปี วงเงิน 15,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2564 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.20 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทาง Counter ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

ทั้งนี้ วงเงินที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และธนาคารตัวแทนจำหน่ายไม่นับรวมกัน ผู้ลงทุนจึงสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง และกระทรวงการคลังสามารถปรับเพิ่ม/ลดวงเงินทั้ง 2 รุ่นที่จำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายได้ตามความเหมาะสม

สบน. ได้แจ้งให้ธนาคารตัวแทนจำหน่ายปรับวิธีการจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขและวิธีการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านช่องทางต่างๆของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

Advertising

Verified by ExactMetrics